"พระชายา ข้าน้อยมาช่วย"ตอนที่เสียงเล็กของหงจั๋วพูดกับฟู่จาหนิง ป้าหวางเองก็ตึงเครียดหวาดกลัวจนมึนไปแล้ว ยังฟังไม่ออกถึงคำพูดของหงจั๋ว ไม่เช่นนั้นนางก็เหมือนได้ยินคำเรียกว่าพระชายา"ได้ เจ้าประคองตัวป้าหวางไปเตรียมน้ำร้อนเถอะ" ฟู่จาวหนิงไม่เงยหน้าขึ้น "แล้วก็ช่วยดูให้หน่อยว่ามีสุราแรงๆ ไหม ถ้าในบ้านพวกเขาไม่มี เจ้าก็ให้เฉินซษนไปเอาที่บ้านตระกูลฟางมาไหหนึ่ง""เจ้าค่ะ"หงจั๋วเห็นฟู่จาวหนิงไม่พูดอะไร จึงกำชับเรื่องที่ตนเองต้องทำ ในใจกลับยิ่งดีใจขึ้นมานางรีบประคองป้าหวังออกไปทำงานหลัจากพวกนางออกไป ฟู่จาวหนิงก็เปิดผ้าของผู้เฒ่าหวางออกเพื่อตรวจดูบาดแผลเขา นางพบว่าบาดแผลอันที่จริงไม่ลึกมาก แต่ว่าริมบาดแผลมีอาการบวมขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยังม่วงคล้ำไปแล้วด้วยผู้เฒ่าหวางตอนนี้แม้จะไม่อาเจียนแล้ว แต่กำลังวังชาก็ยังไม่มี หัวมึนๆ งงๆ แรงที่จะลืมตามองนางให้ชัดก็ยังไม่มี"ท่าน ท่านหมอ ข้าจะตายไหม?"ผู้เฒ่าหวางเอ่ยถามฟู่จาวหนิงอย่างอ่อนแรง เมื่อครู่เขาอาเจียนจนฟ้าหมุนไปขนาดนั้น ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองนอนอยู่บนกระดานที่ลอยได้ ถูกน้ำพัดไหลหมุนไปเวียนมา ทรมานสุดๆเขาเองก็ไม่รู้ว่าฟู่จาวหนิงเ
เขาไม่ค่อยถูกชะตากับสกุลซือถูเท่าไรถ้าไม่ใช่ว่าคนผู้นี้มาจากตระกูลซือถูก เขาอาจจะสร้างเรื่องให้เขากับเซียวหลันยวนได้มาแย่งชิงกันหน่อย เช่นนี้เซียวหลันยวนก็จะยิ่งหวงแหนฟู่จาวหนิงมากขึ้นน่าเสียดายย เด็กคนนี้ดันเป็นคนจากตระกูลซือถู เขาเองก็มีหลักการอยู่นะแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยืนอยู่ข้างเซียวหลันยวน!"ไม่ต้องรบกวนผู้อาวุโสจี้แล้ว เพื่อเถาขมเฝื่อน ข้าน้อยยังรอต่อไปได้" ซือถูไป๋หัวเราะเขาเองก็มองไปทางแผ่นหลังของเซียวหลันยวนด้วยย ประกายตาลึกทึมเล็กน้อยเขามาช้าไปก้าวหนึ่งเท่านั้นฟู่จาวหนิงนวดมือนวดข้อมือนวดๆ นิ้ว จากนั้นก็ผ่อนคลาย แล้วจึงดึงเข็มขึ้นมา"ทำไมเจ้าไปที่ไหนก็ต้องเจอกับคนป่วยตลอดเลย?"เซียวหลันยวนตอนนี้จึงเพิ่งส่งเสียงขึ้นมาฟู่จาวหนิงหันมามอง "ให้ตายเถอะ ท่านจะทำให้ข้าตกใจตายหรือไรกัน?""ตกใจขนาดนี้เชียว? ข้ายืนอยู่นี่ตั้งนานสองนานแล้วเจ้าไม่เห็นหรือ?""ใครเขาคอยแต่สนใจท่านกันล่ะ" ฟู่จาวหนิงร้องเชอะตอนที่นางตรวจอาการผู้เฒ่าหวางเมื่อครู่ก็ใช้สมาธิไปมากจริงๆเซียวหลันยวนพบว่าหน้าของนางซีดขาวไปตอนที่หันกลับมา ยิ่งไปกว่านั้นหน้าผากยังมีเหงื่อผุดซึมเมื่อครู่เห็นน
ฟู่จาวหนิงรอจนป้าหวังวุ่นธุระเสร็จ จึงบอกเล่าสถานการณ์ของผู้เฒ่าหวางขึ้นมา"กระแทกที่หัวมา ในหัวมีเลือดออกและมีลิ่มเลือดอยู่ ซ้ำยังมีอาการสมองกระทบกระเทือน ดังนั้นเขาจึงลืมเรื่องนี้ไป แล้วที่อาเจียน ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับก้อนเลือดก้อนนั้นด้วย"เพราะจะให้พวกเขาได้ยินแล้วเข้าใจ ดังนั้นนางจึงอธิบายให้ง่ายลงหน่อยแต่ป้าหวางก็ยังไม่เข้าใจ"เลือไม่ใช่ว่าไหลออกมาแล้วหรือ? จุดที่เขาโขกก็มีเลือดไหลออกมาไม่น้อยเลยนะ" ป้าหวางดูทำอะไรไม่ถูก ดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งด้วย"ไม่ใช่เลือดจากบาดแผล แต่เป็นที่อยู่ในสมอง" ฟู่จาวหนิงทำเสียงให้เบาลง "ก็คือกระแทกรุนแรงเกินไป ด้านในมีเลือดออก จุดนั้นไม่มีบาดแผล เลือดจึงไหลออกมาไม่ได้ ท่านเข้าใจแบบนี้ได้ ผู้เฒ่าหวางตอนนี้มีบาดแผลสองแห่ง จุดหนึ่งคือที่เลือดไหลตรงนั้น ส่วนอีกที่คือด้านในหัว ท่านมองไม่เห็น"นางชี้ไปในสมองตอนนี้ป้าหวางก็เข้าใจขึ้นมาแล้วแต่หลังจากเข้าใจนางก็ลนลานขึ้นมา"เช่นนั้นทำอย่างไรดี? ตาเฒ่าของบ้านข้าจะตายไหม? แล้วบาดแผลในหัวนี่ รักษายากหรือไม่?"อาเพียนที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยสัญชาตญาณ "อยู่ข้างในกะโหลกแบบนี้ มองไม่เห็นจับก็ไม่ได้
หลังจากฟู่จาวหนิงเขียนรายการยา นางก็คิดออกถึงปัญหาที่ร้ายแรงข้อหนึ่ง"แต่ แต่ค่าตรวจอาการของเจ้าต้องแพงมากใช่ไหม? บ้าข้าไม่มีเงินเลย" ป้าหวางตบขาร้องไห้ออกมา "ไม่มีเงินเลยจริงๆ ไม่ใช่นั้นผู้เฒ่าบ้านข้าคงไม่รีบร้อนขายวัตถุดิบยาเช่นนี้"ฟู่จาวหนิงพิจารณาในบ้านพวกเขาแล้วบ้านหลังนี้ก็มีกำแพงสี่ด้านจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นโต๊ะเก้าอี้ก็ทำขึ้นด้วยตัวเองอีกต่างหาก เรียบง่ายมาก บางชิ้นก็ประกอบส่งเดชเข้ามาด้วยซ้ำเมื่อครู่ห้องนั้นของผู้เฒ่าหวาง ผ้าห่มเองก็มีรอยเย็บบ้านหลังนี้จนมาก ยากจนอย่างข้นแค้นและยาที่นางต้องใช้ เข็มที่นางต้องมี ราคาก็แพงมากจริงๆผู้เฒ่าจี้มองฟู่จาวหนิง จากนั้นจึงเหลือบมองรายการยาในมือนางผาดหนึ่ง ถอนหายใจ "เอาอย่างนี้ ศิษย์เอ๋ย วัตถุดิบยาของเจ้านี้ ส่วนใหญ่ในพันธมิตรโอสถของเรามีอยู่ หลังข้ากลับไปค่อยให้พวกเขาคิดราคายาต่ำสุดให้กับพวกเขาเขาจะให้พันธมิตรมอบให้เปล่าๆ ไม่ได้ พันธมิตรโอสถใต้หล้าไม่ใช่ของเขาคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเช่นนี้ในช่วงหลายปีนี้ก็มีอยู่นับครั้งไม่ถ้วนเลยใต้หล้าคนจนตั้งมากมายขนาดนั้น ช่วยหมดไม่ไหว ถ้าหาทุกคนล้วนจะเอาแต่ยาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน เช่น
"ท่านพ่อ ท่านบอกว่าถ้าผ่าได้มรกตแล้วจะทำกำไลให้ข้ากับจาวหนิงคนละชิ้นนะ อย่าบิดพริ้วล่ะ" ฟางซือฉิงเองก็กำลังโหวกเหวกกับผู้เฒ่าฟาง"แน่นอน พ่อของเจ้าเป็นพวกไม่รักษาคำพูดเมื่อไรกัน? เคยหลอกเจ้าตอนไหน? มรกตชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ขนาดผู้เฒ่ากู้ยังพูดเลย ว่ามรกตชิ้นนี้ทำกำไลออกมาได้ถึงสี่ชิ้น แล้วตรงกลางของกำไลยังเอามาทำจี้ห้อยได้อีกสี่ชิ้นด้วย หรือจะทำแหวนวงเล็กก็ได้ ข้าตกลงไว้แล้ว ถึงตอนนั้นเจ้ากับจาวหนิงก็ได้กำไลคนละหนึ่งชิ้น ส่วนแม้เจ้าได้สองชิ้น""ขอบคุณท่านพ่อ""ข้าว่าให้จาวหนิงคู่หนึ่งดีกว่า ข้ากับซือฉิงคนละชิ้นก็พอแล้ว หลังจากจาวหนิงแต่งงานไปพวกเราก็ยังไม่ได้ให้ของขวัญดีดีเลย กำไลชิ้นเดียวเองก็ไม่พอ ถึงตอนนั้นข้าค่อยหาเครื่องประดับศีรษะแดงทองให้อีกชุด"ฮูหยินฟางตอนนี้ชอบฟู่จาวหนิงมากแล้วจริงๆนางรู้สึกว่าฟู่จาวหนิงไม่มีพ่อแม่ ต้องคอยดูแลท่านปู่ที่ป่วยอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก นี่ก็ไม่ง่ายเลย ทำให้นางพอคิดขึ้นมาแล้วรู้สึกปวดใจหดหู่ยิ่งไปกว่านั้นเด็กที่เติบโตมาในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ ก็ยังยอดเยี่ยมเสียขนาดนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกคนปวดใจเหลือเกินเซียวหลันยวนได้ยินบทสนทนาบางส่วนของครองครัวคระกูลฟางที
ดูท่าตอนนี้นางพูดไปก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว"ท่านดูสิ ท่านมายืมพักบ้านคนอื่นแบบนี้รบกวนคนอื่นแค่ไหน" ฟู่จาวหนิงถอยมาอยู่ข้างๆ เซียวหลันยวน กดเสียงต่ำพูดเกี่ยงงอนกับเขาขึ้นมาคำหนึ่งเซียวหลันยวนตอบ "ถ้าข้าไม่มาเจ้าก็ไม่ได้มารบกวนพวกเขาหรือ?""นั่นข้ากับท่านมันไม่เหมือนกัน ฐานะข้าก็ไม่ได้สูงส่งขนาดนี้นี่""เจ้าเป็นพระชายาอ๋องเจวี้ยนนะ"พอได้ยินคำนี้ของเซียวหลันยวน ฟู่จาวหนิงก็ตกตะลึงไปทำไม เขาถึงโพล่งตัวตนฐานะนี้ออกมากัน?"แล้วมันทำไมล่ะ? ข้ากับพวกเขามีความสัมพันธ์ดีต่อกัน เป็นเหมือนคนบ้านเดียวกัน"เซียวหลันยวนต่อประโยคมาแบบไม่ต้องคิด "เช่นนั้นรอพวกกเขาคุ้นเคยกับข้าแล้ว ก็เป็นคนบ้านเดียวกันเหมือนกัน มันต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น"พูดจบเขาก็เดินไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อดื่มชาตามการเชิญของเศรษฐีฟางฟู่จาวหนิงมองแผ่นหลังเขาอย่างรู้สึกตั้งตัวไม่ทันเล็กๆฟางซือฉิงตอนนี้เพิ่งจะประชิดมาข้างตัวนาง กระตุกชายเสื้อนาง"จางหนิง คำพูดของอ๋องเจวี้ยนนั่นหมายถึงอะไรหรือ?" ฟางซือฉิงตาเป็นประกาย ฝืนยิ้มออกมา "เขาบอกว่าหลังจากนี้ถ้าคุ้นเคยกับพวกเราก็จะเป็นคนบ้านเดียวกันกับเรา? ทำไมข้าฟังแล้วมันเหมือนก
เซียวหลันยวนถอนเสื้อคลุมนอกออก"ข้าไม่นอนเตียงแล้วต้องนอนที่ไหน?" เขาย้อนถามนางมาคำหนึ่งฟู่จาวหนิงถูกเขาถามจนนิ่งไปนางมองมอง ข้างหน้าต่างมีแคร่นิ่มอยู่ตัวหนึ่ง "ที่นั่น!"เซียววหลันยวนมองตามนิ้วนางไป ปลดหน้ากากลงมา "เจ้าจะให้ผู้ชายตัวโตอย่างข้าไปนอนที่แคร่สั้นๆ ตัวนั้นหรือ?"ฟู่จาวหนิงพิจารณาตัวเขาขึ้นมา จากนั้นก็มองไปทางแคร่นิ่มตัวนั้นถ้าเขานอนลงไป สองขาน่าจะไม่มีที่วางแน่ๆ"ไม่งั้นเจ้าก็นอนไปสิ?" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้นฟู่จาวหนิงร้องเฮอะขึ้นมา "ข้าเองก็ไม่ได้เตี้ยเสียหน่อย"นางทำไมถึงรู้สึกอดสูตนเองขนาดนี้? ที่สำคัญคือหมู่บ้านนี้อยู่ใกล้ภูเขาด้วย ที่ตีนเขาพอตกกลางคืนลมจะแรงมาก อุณหภูมิเองก็ต่ำกว่าในเมืองหลวงเสียอีกถ้าคืนนี้นางนอนบนแคร่นั่น ผ้าคมคงได้กองเรี่ยพื้น พรุ่งนี้นางต้องขึ้นเขาหาเถาข่มเฝื่อนแต่เช้าด้วย ไม่อยากให้ตัวเองต้องมาป่วยหรอกนะ"เช่นนั้นก็นอนเตียงด้วยกัน"เซ๊ยวหลันยวนถอดเสื้อบนทั้งหมดออกแล้วเขาค่อยๆ เอนตัวลงนอนที่ด้านนอกของเตียง หลับตาลง"จะนอนหรือไม่นอนเจ้าก็ดูเองแล้วกัน"เซียวหลันยวนวันนี้ก็ประหลาดหน่อยๆฟู่จาวหนิงมองไฟเทียนที่แกว่งไกว สับสนอยู่ครู่
แต่มุมเช่นนี้ก็ทำให้ริมฝีปากเขาประกบเข้ามาข้างหูนาง"ซือถูไป๋หลายปีนี้ตกดวงใจหญิงสาวไปแล้วไม่รู้ตั้งเท่าไร" ในหัวสมองเซียวหลันยวนมีภาพที่ซือถูไป๋ประคองตัวฟู่จาวหนิงฉากนั้นลอยขึ้นมา แล้วรู้สึกว่าหัวใจไม่ค่อยสบายนัก "ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็ไม่อยากถูกคนอื่นมาหัวเราะเย้ยหยันว่าพระชายาแอบปีนข้ามกำแพงไปด้วย ต่อให้ใจเจ้าจะคันยุบยิบ แต่ก็ต้องรักษาประเพณีเอาไว้"เขาเอ่ยขึ้นเสียงต่ำเช่นนี้ ลมหายใจเองก็รดอยู่ข้างหูนางฟู่จาวหนิงชาดิกไปทั้งตัวหูของนางเดิมทีก็รับเรื่องแบบนี้ไม่ไหว มันทำให้สะท้านไปทั้งตัวเซียวหลันยวนเองก็เอาแต่พูดว่านางกับซือถูไป๋ยั่วยวนนั่นโน่นนี่ อารมณ์นางหลังดื่มสุราเองก็ทะลักขึ้นมาแล้ว"ข้าทำไมต้องรักษาขนบประเพณีให้ท่านัน? หลังจากนี้ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องหย่าอยู่แล้วนี่""เจ้าเลิกคิดได้เลย รอให้ฟู่หลินซื่อกลับมาเสียก่อน""เซียวหลันยวน เคยมีคนบอกไหมว่าท่านมันน่ารังเกียจ?" ฟู่จาวหนิงตัดบทคำพูดเขา"ไม่เลย""เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะบอกให้ท่านได้ยิน ท่าน มันน่ารังเกียจเหลือเกิน""ขอบคุณ ต่อให้จะรังเกียจแค่ไหน แต่เจ้า็ต้องจดจำตัวตนฐานะของเจ้าด้วย พระชายาอ๋องเจวี้ยน" เซียวหลันย
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้
ทางที่ไปแท่นชมดาวค่อนข้างคดเคี้ยว สองข้างทางก็ปลูกต้นเหมยอยู่ไม่น้อย พอถูกแสงจันทร์ส่องกระทบ เงาทอดจากกิ่งไม้ก็นาบไปบนกำแพงขาว ราวกับเป็นภาพหมึกลายน้ำที่เย็นชาภาพหนึ่งรอบด้านนิ่งสงัดเอามากๆหากมีแค่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นคนเดียว นางรู้สึกว่าตนเองคงไม่กล้าเดินถนนเส้นนี้ แม้จะไม่ได้มืดครึ้มนัก แต่มันเงียบเกินไปคืนนี้มีแสงจันทร์ยังพอไหว ถ้าหากไม่มีแสงจันทร์ ที่นี่คงจะมืดมากนางกระทั่งเคยได้ยินฮูหยินเฉิงเล่าถึงแท่นชมดาวมาแล้ว ระหว่างทางที่มาเขาโยวชิง พวกนางว่างกันมาก ฮูหยินเฉิงจึงเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับยอดเขาโยวชิงมามากมาย แล้วก็บังเอิญเสียจริง เรื่องของแท่นชมดาวเองก็เล่าให้นางฟังด้วยฮูหยินเฉิงพูดออกมาละเอียดกว่าเซียวหลันยวนเสียอีก ศิษย์คนนั้นไปแท่นชมดาวอย่างไร ทำอะไรบนนั้น แล้วพลัดตกลงไปได้อย่างไร ตกลงมาเป็นอย่างไรบ้าง เล่าออกมาอย่างละเอียดดังนั้นตอนนี้พอคิดถึงว่าต้องไปสถานที่นั้น องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นจึงรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมานางมองไปยังคู่สามีภรรยาที่เดินเคียงบ่าไหล่ตรงหน้า ฝีเท้าก็ไม่กล้าผ่อนช้าลง แต่รีบเดินตามไปแต่ว่าเซียวหลันยวนก็ไม่ให้นางตามมาใกล้นัก แต่พอนางเข้ามาใกล้หน่อย เ
กลางดึกทั้งยอดเขาโยวชิงถูกปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์เย็นเยียบพอเดินออกมาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นดาวถร่างเต็มฟ้า ส่องแสงระยิบระวับ ทั้งสว่างทั้งใหญ๋เพราะยอดเขาโยวชิงอยู่สูง เหมือนใกล้ชิดท้องฟ้ามากอย่างไรอย่างนั้น ดวงดาวเหล่านั้นก็ราวกับอยู่ตรงหน้า ยื่นมือไปเด็ดลงมาได้เลยแสงจันทร์สว่างไสว สายตาของพวกฟู่จาวหนิงเดิมทีก็ดีมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถือตะเกียงก็มองเห็นทางได้ชัดเจนเซียวหลันยวนจูงมือฟู่จาวหนิงอารามโยวชิงเองก็เงียบมาก ในที่แบบนี้แค่แมลงร้องก็ยังได้ยินสายลมกลางคืนพัดเข้ามา ได้กลิ่นเครื่องหอมในอาราม เสียงฝีเท้าการเดินของพวกเขาดังขึ้นอย่างชัดเจนในกลางดึกนี้ฟู่จาวหนิงพอนึกถึงสิบกว่าปีก่อนเซียวหลันยวนพักอยู่ในสถานที่หนาวเย็นแบบนี้ ผ่านไปทีละวันทีละคืน ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ "แต่ก่อนตอนที่ท่านอยุ่ที่นี่ อยากจะลงเขากลับเมืองหลวงบ้างไหม?"สำหรับเด็กอายุสิบกว่าขวบคนหนึ่ง ความคึกคักทางโลกก็มีแรงดึงดูดมากอยู่กระมัง เขาเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นมาก่อน การออกจากในเมืองหลวงที่คึกคักมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ ความรู้สึกมันแตกต่างกันมากเกินไปแล้วยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครมาอยู่คุยกับเขา เ
ถึงตอนนั้นถ้ามีใครไม่เจียมตัว เขาจะลงมือเอง ไม่มีเกรงใจ"ขอแค่ศิษย์น้องหญิงออกไปตรวจได้ วัตถุดิบยาทุกอย่างบนเขาชิงถง ศิษย์น้องเลือกขุดได้ตามสะดวกทุกเวลาเลย ขอแค่ศิษย์น้องหญิงต้องการ ส่งจดหมายหาข้าได้ ข้าจะจัดการส่งคนออกไปหาไปขุดวัตถุดิบยามาให้"ถังอู๋เจวี้ยนหยิบป้ายตราชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก ยื่นส่งมาตรงหน้าฟู่จาวหนิง"ป้ายตรานี้เจ้าเก็บเอาไว้ เห็นป้ายตรานี้ก็เหมือนเจอข้า หลังจากนี้ถ้าเจอคนเขาชิงถงข้างนอก เจ้าก็หยิบป้ายตรานี้มาสั่งพวกเขาทำงานได้เลย"ถังอู๋เจวี้ยนก็จริงใจพอเหมือนกันเขาเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร พูดออกมาตรงๆว่านางกับลุงของเขามีความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์กัน ดังนั้นคนตระกูลถังจึงถือว่านางเป็นพวกเดียวกัน"ถ้าไปถึงเขาชิงถง เหล่าผู้อาวุโสก็คงจะมอบของขวัญต้อนรับเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าเก็บไว้ก็พอแล้ว อย่างเกรงใจกับพวกเขาเด็ดขาด" ถังอู๋เจวี้ยนบอกกับฟู่จาวหนิงผู้อาวุโสพวกนั้นของเขาชิงถง ของดีดีในมือมีอยู่ไม่น้อย แต่ละคนรวยล้นฟ้ากันทั้งนั้นเขาออกมาครั้งนี้ ก็เอาคำกำชับของพวกเขามาด้วย ผู้อาวุโสเหล่านั้นให้เขาคอยสังเกตนิสัยของฟู่จาวหนิงเดิมทีถังอู๋เจวี้ยนรู้สึกว่าตนเองอาจจะไม่ชอบฟู่
ฟู่จาวหนิงนิ่งงันไปครู่หนึ่งนางพบว่า คนเหล่านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับนางอยู่บ้างไม่มากก็น้อยน่าจะเพราะแบบนี้ นางถึงได้มาถึงที่นี่?"ขอถามหน่อยนะ น้องชายท่านตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว?" ความสนใจของนางยังคงอยู่บนตัวคนไข้"ยี่สิบพอดี" ถังอู๋เจวี้ยนชะงักไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยต่อว่า "ส่วนข้ายี่สิบสี่""ไม่ได้ถามเจ้า" เซียวหลันยวนตอบเขามาคำถังอู๋เจวี้ยนหัวเรา แต่รอยยิ้มนี้ดูขมขื่นหน่อยๆ"ถ้าหากพวกเจ้าเห็นน้องชายข้า จะต้องมองไม่ออกแน่ เขาเด็กกว่าข้าสี่ปี แต่ภายนอกดูแล้วเหมือนโตกว่าข้าสิบปีเลย ถ้าโรคนี้ไม่ได้รับการยับยั้งบรรเทาลง เขาคงจะแก่อย่างรวดเร็วต่อไปแน่"และเท่ากับเขาเดินเข้าหาความตายไวขึ้นคำนี้เขาทนพูดออกมาไม่ได้ แต่ฟู่จาวหนิงรู้ตอนนี้นางกำลังคิด เพื่อนออนไลน์ถังอู๋เจวี้ยนในอดีตจู่ๆ ก็หายตัวไปไม่ออนไลน์ จะเป็นเพราะแก่ชราลงอย่างรวดเร็วจนถึงบั้นปลายชีวิตหรือเปล่านะ?โรคแก่ชราอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนนางก็เคยเข้าใจมาบ้าง และเคยมีการค้นคว้าไว้บ้าง แต่ถังอู๋เจวี้ยนสุดท้ายก็อยู่ไม่ถึงฟู่จาวหนิงตอนนั้นเองก็ขาดวัตถุดิบยาอยู่ไม่น้อยนางเตรียมใช้การผสานกันของจีนและตะวันตก แต่ในตัวยาของจีน มีวัต