ดูท่าตอนนี้นางพูดไปก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว"ท่านดูสิ ท่านมายืมพักบ้านคนอื่นแบบนี้รบกวนคนอื่นแค่ไหน" ฟู่จาวหนิงถอยมาอยู่ข้างๆ เซียวหลันยวน กดเสียงต่ำพูดเกี่ยงงอนกับเขาขึ้นมาคำหนึ่งเซียวหลันยวนตอบ "ถ้าข้าไม่มาเจ้าก็ไม่ได้มารบกวนพวกเขาหรือ?""นั่นข้ากับท่านมันไม่เหมือนกัน ฐานะข้าก็ไม่ได้สูงส่งขนาดนี้นี่""เจ้าเป็นพระชายาอ๋องเจวี้ยนนะ"พอได้ยินคำนี้ของเซียวหลันยวน ฟู่จาวหนิงก็ตกตะลึงไปทำไม เขาถึงโพล่งตัวตนฐานะนี้ออกมากัน?"แล้วมันทำไมล่ะ? ข้ากับพวกเขามีความสัมพันธ์ดีต่อกัน เป็นเหมือนคนบ้านเดียวกัน"เซียวหลันยวนต่อประโยคมาแบบไม่ต้องคิด "เช่นนั้นรอพวกกเขาคุ้นเคยกับข้าแล้ว ก็เป็นคนบ้านเดียวกันเหมือนกัน มันต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น"พูดจบเขาก็เดินไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อดื่มชาตามการเชิญของเศรษฐีฟางฟู่จาวหนิงมองแผ่นหลังเขาอย่างรู้สึกตั้งตัวไม่ทันเล็กๆฟางซือฉิงตอนนี้เพิ่งจะประชิดมาข้างตัวนาง กระตุกชายเสื้อนาง"จางหนิง คำพูดของอ๋องเจวี้ยนนั่นหมายถึงอะไรหรือ?" ฟางซือฉิงตาเป็นประกาย ฝืนยิ้มออกมา "เขาบอกว่าหลังจากนี้ถ้าคุ้นเคยกับพวกเราก็จะเป็นคนบ้านเดียวกันกับเรา? ทำไมข้าฟังแล้วมันเหมือนก
เซียวหลันยวนถอนเสื้อคลุมนอกออก"ข้าไม่นอนเตียงแล้วต้องนอนที่ไหน?" เขาย้อนถามนางมาคำหนึ่งฟู่จาวหนิงถูกเขาถามจนนิ่งไปนางมองมอง ข้างหน้าต่างมีแคร่นิ่มอยู่ตัวหนึ่ง "ที่นั่น!"เซียววหลันยวนมองตามนิ้วนางไป ปลดหน้ากากลงมา "เจ้าจะให้ผู้ชายตัวโตอย่างข้าไปนอนที่แคร่สั้นๆ ตัวนั้นหรือ?"ฟู่จาวหนิงพิจารณาตัวเขาขึ้นมา จากนั้นก็มองไปทางแคร่นิ่มตัวนั้นถ้าเขานอนลงไป สองขาน่าจะไม่มีที่วางแน่ๆ"ไม่งั้นเจ้าก็นอนไปสิ?" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้นฟู่จาวหนิงร้องเฮอะขึ้นมา "ข้าเองก็ไม่ได้เตี้ยเสียหน่อย"นางทำไมถึงรู้สึกอดสูตนเองขนาดนี้? ที่สำคัญคือหมู่บ้านนี้อยู่ใกล้ภูเขาด้วย ที่ตีนเขาพอตกกลางคืนลมจะแรงมาก อุณหภูมิเองก็ต่ำกว่าในเมืองหลวงเสียอีกถ้าคืนนี้นางนอนบนแคร่นั่น ผ้าคมคงได้กองเรี่ยพื้น พรุ่งนี้นางต้องขึ้นเขาหาเถาข่มเฝื่อนแต่เช้าด้วย ไม่อยากให้ตัวเองต้องมาป่วยหรอกนะ"เช่นนั้นก็นอนเตียงด้วยกัน"เซ๊ยวหลันยวนถอดเสื้อบนทั้งหมดออกแล้วเขาค่อยๆ เอนตัวลงนอนที่ด้านนอกของเตียง หลับตาลง"จะนอนหรือไม่นอนเจ้าก็ดูเองแล้วกัน"เซียวหลันยวนวันนี้ก็ประหลาดหน่อยๆฟู่จาวหนิงมองไฟเทียนที่แกว่งไกว สับสนอยู่ครู่
แต่มุมเช่นนี้ก็ทำให้ริมฝีปากเขาประกบเข้ามาข้างหูนาง"ซือถูไป๋หลายปีนี้ตกดวงใจหญิงสาวไปแล้วไม่รู้ตั้งเท่าไร" ในหัวสมองเซียวหลันยวนมีภาพที่ซือถูไป๋ประคองตัวฟู่จาวหนิงฉากนั้นลอยขึ้นมา แล้วรู้สึกว่าหัวใจไม่ค่อยสบายนัก "ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็ไม่อยากถูกคนอื่นมาหัวเราะเย้ยหยันว่าพระชายาแอบปีนข้ามกำแพงไปด้วย ต่อให้ใจเจ้าจะคันยุบยิบ แต่ก็ต้องรักษาประเพณีเอาไว้"เขาเอ่ยขึ้นเสียงต่ำเช่นนี้ ลมหายใจเองก็รดอยู่ข้างหูนางฟู่จาวหนิงชาดิกไปทั้งตัวหูของนางเดิมทีก็รับเรื่องแบบนี้ไม่ไหว มันทำให้สะท้านไปทั้งตัวเซียวหลันยวนเองก็เอาแต่พูดว่านางกับซือถูไป๋ยั่วยวนนั่นโน่นนี่ อารมณ์นางหลังดื่มสุราเองก็ทะลักขึ้นมาแล้ว"ข้าทำไมต้องรักษาขนบประเพณีให้ท่านัน? หลังจากนี้ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องหย่าอยู่แล้วนี่""เจ้าเลิกคิดได้เลย รอให้ฟู่หลินซื่อกลับมาเสียก่อน""เซียวหลันยวน เคยมีคนบอกไหมว่าท่านมันน่ารังเกียจ?" ฟู่จาวหนิงตัดบทคำพูดเขา"ไม่เลย""เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะบอกให้ท่านได้ยิน ท่าน มันน่ารังเกียจเหลือเกิน""ขอบคุณ ต่อให้จะรังเกียจแค่ไหน แต่เจ้า็ต้องจดจำตัวตนฐานะของเจ้าด้วย พระชายาอ๋องเจวี้ยน" เซียวหลันย
ก่อนหน้าที่เซียวหลันยวนจะตื่น ฟู่จาวหนิงก็ทำเรื่องที่ตนเองรู้สึกโง่มากๆ นางหนีออกมาก่อนแล้ว!สมัยก่อนนางไม่เคยคิดเลยว่าตนเองตต้องทำเรื่องโง่เช่นนี้แต่ว่าพูดแล้วใครจะเชื่อกัน?ฟู่จาวหนิงแพทย์สาวสุดสวยที่เลื่องชื่อกระฉ่อนโลกที่อายุน้อยที่สุดตอนนั้น เป็นผู้อยู่โดดเดี่ยวมาตั้งแต่ในท้องแม่ แม้แต่จูบแรกก็ยังไม่เคยเสียให้ใครเหล่ารุ่นพี่รุ่นน้องของนางล้วนพูดกันว่า คนนี้น่ะนะ เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะโดดเด่นยอดเยี่ยมไปเสียทุกด้าน เวลาเองก็น้อยแค่นี้ เวลาทั้งหมดของนางล้วนอยู่ที่เรื่องวิชาแพทย์ การรักษา ค้นคว้าศาสตร์ยา จะเอาเวลาที่ไหนไปมีความรัก?ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ไม่มีเวลาไปฟังพวกผู้ชายที่อยากจะจีบนางโปรยคำหวานอะไรนั่นด้วยไอ้การจะเสียเวลาแต่งหน้าแต่งตัวออกไปกินข้าวดูหนังนี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยตอนที่ฟู่จาวหนิงคิดว่าตนเองใกล้จะผ่อนฝีเท้าลงจะมีความรักบ้าง นางก็ข้ามเวลามาแล้ว พอข้ามมาถึงก็แต่งงานเลยผลคือนางยังมาทำเรื่องที่โง่เง่าเช่นนี้อีก!วันนี้ตอนเช้าหลังจากหนีออกมานางก็รีบไปหาผู้อาวุโสจี้เพื่อขึ้นเขาแล้วระหว่างทางเจอเข้ากับซือถูไป๋ และยังพบกับป้าคนนั้นกับผู้ดูแลเติ้งอีก ด้านหลังเ
"เจ้าคงไม่รู้ บันทึกแพทย์สกุลกู่เล่มนี้เป็นสิ่งที่เหล่าหมอแพทย์กับหมอยาทั่วทั้งใต้หล้าใฝ่ฝันอยากจะได้มาเลยนะ!"ผู้อาวุโสจี้เอ่ยกับนางอย่างภาคภูมิใจ "เดิมทีข้าก็ไม่อยากจะบอกเจ้าเร็วขนาดนี้ เพราะข้าเดิมทีคิดจะต่อให้เจ้าเป็นวิชาแพทย์ แต่ชื่อเสียงก็ไม่น่าจะแพร่กระจายได้รวดเร็วนัก แต่ตอนนี้ดูท่า อาจารย์ประเมินเจ้าต่ำเกินไป"เขาเองก็ภาคภูมิใจมาก แต่ก็ยังกังวลอยู่หน่อยๆ เกี่ยวกับตัวฟู่จาวหนิง"ข้าคิดไม่ถึงว่าวิชาแพทย์เจ้าจะดีขนาดนี้ ดูท่าการที่เจ้าจะชื่อเสียงเลื่องลือทั้งฟ้าดินคงจะเป็นเรื่องที่เร็วมากแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้พกวเราต้องเคาะกำหนดไว้ก่อน บันทึกแพทย์สกุลกู่ ว่ากันว่าสมัยก่อนตอนที่แย่งชิงกันก็ถูกคนฉีกออกเป็นฉลับไม่สมบูรณ์หลายฉบับ กระจัดกระจายออกไปสู่ภายนอก""ไม่สิ ท่านอาจารย์ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือ? หรือว่าแค่เล่าลือกัน?""เรื่องจริงสิ!" ผู้อาวุโสจี้ถลึงตาโต หลังจากนั้นก็ชี้ไปที่ตนเอง "เจ้ารู้ไหมว่าทำไมอาจารย์ถึงได้รู้จักวัตถุดิบยาตั้งมากมาย?""อาจารย์ของอาจารย์สอนมาน่ะสิ""อาจารย์ของอาจารย์สอนมาก็ถูกต้อง แต่ว่าอาจารย์ปู่ของเจ้าน่ะส่งฉบับไม่สมบูรณ์ของบันทึกแพทย์สกุลกู
ตำแหน่งที่ฟู่จาวหนิงอนุมานไว้ อยู่ห่างจากหมู่บ้านที่เชิงเขาไกลพอสมควรป้าหวางบอกว่าผู้เฒ่าหวางทำเกษตรมาทั้งชีวิต มือเท้าแคล่วคล่อง เขาเข้าภูเขาอยู่บ่อยครั้ง คุ้นเคยกับภูเขาเป็นอย่างดี เดินในภูเขาก็ล้วนรวดเร็วกว่าผู้อื่นและตอนที่นางไปถึงใกล้ๆ ตำแหน่งที่นางอนุมานไว้ ก็เห็นเข้ากับผืนป่าผืนหนึ่ง"ต้นไม้เหล่านี้โตกันหนาแน่นจริงๆ" ฟู่จาวหนิงตกตะลึงขึ้นมาผู้อาวุโสจี้ดวงตากลับเป็นประกาย"ศิษย์เอ๋ย ข้าบอกเจ้าไว้นะ สถานที่แบบนี้มักจะมีวัตถุดิบยาอยู่มากมาย อาจจะไม่ใช่แค่เถาขมเฝื่อน"พวกเขาเองก็ล้วนแบกตะกร้ายาไว้แล้ว ไม่คิดที่จะลงเขาไปมือเปล่าฟู่จาวหนิงให้พวกเฉินซานตามขึ้นเขามา ทุกคนแบกตะกร้าไว้ใบหนึ่ง เพียงแต่พวกเขากลัวว่าเข้าใกล้มากจะไม่ค่อยดี จึงคอยตาอยู่ห่างๆฟู่จาวหนิงทิ้งสัญลักษณ์ไว้"อาจารย์ ท่านลองดูรอบๆ ไหม ข้าจะเข้าไปหาเอง"ฟู่จาวหนิงกลัวผู้อาวุโสจี้จะเหนื่อย"ไม่ต้อง ข้าพักสักหน่อยก็พอแล้ว เจ้าลองไปดูก่อน" ผู้อาวุโสจี้หาที่นั่งลงมา แอบร้องซี๊ด นวดๆ ขาเหนื่อยจริงๆ ขาแทบหลุดเด็กสาวคนนี้ก็เดินไวเหลือเกินฟู่จาวหนิงหางตากวาดไปเห็นการกระทำของเขา ก็รู้สึกผิดขึ้นมา จึงล้วงเอ
"ใช้กำลังภายในน่ะ" ซือถูไป๋ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ "เพื่อจะได้ไล่ตามท่านมา"คำพูดนี้ฟังแล้วดูสองแง่สองง่าม แต่ฟู่จาวหนิงก็เลือกจะมองข้ามไป"ท่านไม่ใช่ว่าพาอาเพียนมาด้วยกันหรือ?" ฟู่จาวหนิงมองไปรอบๆ ไม่เห็นเด็กหนุ่มที่ไม่ชอบหน้านางมาตลอดคนนั้นเลย"อาเพียนเมื่อคืนไม่สบายไปแล้ว เดินมาได้ครึ่งทางก็ปวดหัว ข้าจึงให้เขากลับไปก่อน""โอ้"ซือถูไป๋มองมาทางนาง "พวกเราไปด้วยกันไหม?""ด้วยกัน?""ไปหาเถาขมเฝื่อนด้วยกัน ข้าอยากจะบอกอะไรท่านสักเรื่องหนึ่งด้วย" ซือถูไป๋กระโจนลงมาจากต้นไม้ ล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากในอก เดินมาเบื้องหน้าฟู่จาวหนิง"ท่านพูดมาก่อนเลย"ฟู่จาวหนิงไม่คิดจะไปหาเถาขมเฝื่อนกับซือถูไป๋ แต่เขาบอกว่ามีเรื่องอะไรจะบอกนาง นางก็จะฟังไว้หน่อยซือถูไป๋กางมือออกเบื้องหน้านาง ในฝ่ามือมีกุญแจอายุยืนหยกขาวสลักทองคำชิ้นหนึ่ง ดูประณีต สวยงามมาก ผูกเชือกแดงถักเส้นหนึ่งเอาไว้ด้วยกุญแจนี้ชิ้นเล็กมาก พอเข้าใกล้จึงเห็นถึงความพิถีพิถันและฝีมือช่าง ไม่ใช่ของที่จะวางขายดาษเดื่อทั่วไปภายนอกแน่นอนแต่ว่า สิ่งนี้ดูแล้วน่าจะเป็นสำหรับเด็กน้อยพก"นี่คือ?"ฟู่จาวหนิงไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเข
ตอนนี้ฟู่จาวหนิงอยากรู้ว่าอีกฝ่ายนำกุญแจเล็กนี้ไปที่โรงยาทงฝูเมื่อไร"ห้าปีก่อนได้แล้ว"ซือถูไป๋รับกุญแจเล็กชิ้นนั้นมาจากมือนาง ยิ้มๆ เก็บกลับไปในอกฟู่จาวหนิงมองการกระทำของเขาแล้วไม่เข้าใจหน่อยๆทำไมจึงเก็บกลับไปล่ะ? ไม่ใช่จะเอามันมาทวงหนี้กับนางหรือ?"ห้าปีก่อน ข้ายังเป็นพวกคนหนุ่มเลือดร้อนอยู่ และถูกทำให้ประทับใจได้ง่ายๆ อีกด้วย" ซือถูไป๋เองก็ตรงไปตรงมา "อันที่จริงถ้าเปลี่ยนเป็นข้าในตอนนี้ คงไม่แน่ว่าจะรับกุญแจอายุยืนชิ้นนี้ไว้ แล้วเอายาที่ล้ำค่าเหล่านั้นมอบให้เขา"ห้าปีก่อน"แต่ว่าตอนนั้นข้าเห็นว่าคนผู้นั้นที่ดูมีบุคลิกเป็นของตนเอง แม้จะตกอับ แต่ก็มองออกว่าเป็นผู้มีความรู้ ไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ พอบวกกับสิ่งที่เขาพูดอย่างหนักแน่น ว่าคนในบ้านไม่มีทางเล่นลิ้นไม่คืนเงินให้เขา ในใจข้าก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน คิดไปถึงว่าคนของบ้านนี้จะเป็นคนที่ไม่เบี้ยวหนี้จริงไหม""และผ่านไปห้าปีแล้ว ท่านไปหาที่บ้านตระกูลฟู่มาหรือยัง?" ฟู่จาวหนิงถามในความทรงจำนางไม่เคยเจอซือถูไป๋มาก่อน"ยัง ต่อมามีช่วงหนึ่งข้าถูกท่านพ่อบีบให้เรียนรู้ยาสมุนไพรกับการค้าขายอยู่ในแต่บ้าน ผ่านไปสองสามปีก็ลื
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้
ทางที่ไปแท่นชมดาวค่อนข้างคดเคี้ยว สองข้างทางก็ปลูกต้นเหมยอยู่ไม่น้อย พอถูกแสงจันทร์ส่องกระทบ เงาทอดจากกิ่งไม้ก็นาบไปบนกำแพงขาว ราวกับเป็นภาพหมึกลายน้ำที่เย็นชาภาพหนึ่งรอบด้านนิ่งสงัดเอามากๆหากมีแค่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นคนเดียว นางรู้สึกว่าตนเองคงไม่กล้าเดินถนนเส้นนี้ แม้จะไม่ได้มืดครึ้มนัก แต่มันเงียบเกินไปคืนนี้มีแสงจันทร์ยังพอไหว ถ้าหากไม่มีแสงจันทร์ ที่นี่คงจะมืดมากนางกระทั่งเคยได้ยินฮูหยินเฉิงเล่าถึงแท่นชมดาวมาแล้ว ระหว่างทางที่มาเขาโยวชิง พวกนางว่างกันมาก ฮูหยินเฉิงจึงเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับยอดเขาโยวชิงมามากมาย แล้วก็บังเอิญเสียจริง เรื่องของแท่นชมดาวเองก็เล่าให้นางฟังด้วยฮูหยินเฉิงพูดออกมาละเอียดกว่าเซียวหลันยวนเสียอีก ศิษย์คนนั้นไปแท่นชมดาวอย่างไร ทำอะไรบนนั้น แล้วพลัดตกลงไปได้อย่างไร ตกลงมาเป็นอย่างไรบ้าง เล่าออกมาอย่างละเอียดดังนั้นตอนนี้พอคิดถึงว่าต้องไปสถานที่นั้น องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นจึงรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมานางมองไปยังคู่สามีภรรยาที่เดินเคียงบ่าไหล่ตรงหน้า ฝีเท้าก็ไม่กล้าผ่อนช้าลง แต่รีบเดินตามไปแต่ว่าเซียวหลันยวนก็ไม่ให้นางตามมาใกล้นัก แต่พอนางเข้ามาใกล้หน่อย เ
กลางดึกทั้งยอดเขาโยวชิงถูกปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์เย็นเยียบพอเดินออกมาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นดาวถร่างเต็มฟ้า ส่องแสงระยิบระวับ ทั้งสว่างทั้งใหญ๋เพราะยอดเขาโยวชิงอยู่สูง เหมือนใกล้ชิดท้องฟ้ามากอย่างไรอย่างนั้น ดวงดาวเหล่านั้นก็ราวกับอยู่ตรงหน้า ยื่นมือไปเด็ดลงมาได้เลยแสงจันทร์สว่างไสว สายตาของพวกฟู่จาวหนิงเดิมทีก็ดีมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถือตะเกียงก็มองเห็นทางได้ชัดเจนเซียวหลันยวนจูงมือฟู่จาวหนิงอารามโยวชิงเองก็เงียบมาก ในที่แบบนี้แค่แมลงร้องก็ยังได้ยินสายลมกลางคืนพัดเข้ามา ได้กลิ่นเครื่องหอมในอาราม เสียงฝีเท้าการเดินของพวกเขาดังขึ้นอย่างชัดเจนในกลางดึกนี้ฟู่จาวหนิงพอนึกถึงสิบกว่าปีก่อนเซียวหลันยวนพักอยู่ในสถานที่หนาวเย็นแบบนี้ ผ่านไปทีละวันทีละคืน ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ "แต่ก่อนตอนที่ท่านอยุ่ที่นี่ อยากจะลงเขากลับเมืองหลวงบ้างไหม?"สำหรับเด็กอายุสิบกว่าขวบคนหนึ่ง ความคึกคักทางโลกก็มีแรงดึงดูดมากอยู่กระมัง เขาเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นมาก่อน การออกจากในเมืองหลวงที่คึกคักมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ ความรู้สึกมันแตกต่างกันมากเกินไปแล้วยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครมาอยู่คุยกับเขา เ
ถึงตอนนั้นถ้ามีใครไม่เจียมตัว เขาจะลงมือเอง ไม่มีเกรงใจ"ขอแค่ศิษย์น้องหญิงออกไปตรวจได้ วัตถุดิบยาทุกอย่างบนเขาชิงถง ศิษย์น้องเลือกขุดได้ตามสะดวกทุกเวลาเลย ขอแค่ศิษย์น้องหญิงต้องการ ส่งจดหมายหาข้าได้ ข้าจะจัดการส่งคนออกไปหาไปขุดวัตถุดิบยามาให้"ถังอู๋เจวี้ยนหยิบป้ายตราชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก ยื่นส่งมาตรงหน้าฟู่จาวหนิง"ป้ายตรานี้เจ้าเก็บเอาไว้ เห็นป้ายตรานี้ก็เหมือนเจอข้า หลังจากนี้ถ้าเจอคนเขาชิงถงข้างนอก เจ้าก็หยิบป้ายตรานี้มาสั่งพวกเขาทำงานได้เลย"ถังอู๋เจวี้ยนก็จริงใจพอเหมือนกันเขาเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร พูดออกมาตรงๆว่านางกับลุงของเขามีความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์กัน ดังนั้นคนตระกูลถังจึงถือว่านางเป็นพวกเดียวกัน"ถ้าไปถึงเขาชิงถง เหล่าผู้อาวุโสก็คงจะมอบของขวัญต้อนรับเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าเก็บไว้ก็พอแล้ว อย่างเกรงใจกับพวกเขาเด็ดขาด" ถังอู๋เจวี้ยนบอกกับฟู่จาวหนิงผู้อาวุโสพวกนั้นของเขาชิงถง ของดีดีในมือมีอยู่ไม่น้อย แต่ละคนรวยล้นฟ้ากันทั้งนั้นเขาออกมาครั้งนี้ ก็เอาคำกำชับของพวกเขามาด้วย ผู้อาวุโสเหล่านั้นให้เขาคอยสังเกตนิสัยของฟู่จาวหนิงเดิมทีถังอู๋เจวี้ยนรู้สึกว่าตนเองอาจจะไม่ชอบฟู่
ฟู่จาวหนิงนิ่งงันไปครู่หนึ่งนางพบว่า คนเหล่านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับนางอยู่บ้างไม่มากก็น้อยน่าจะเพราะแบบนี้ นางถึงได้มาถึงที่นี่?"ขอถามหน่อยนะ น้องชายท่านตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว?" ความสนใจของนางยังคงอยู่บนตัวคนไข้"ยี่สิบพอดี" ถังอู๋เจวี้ยนชะงักไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยต่อว่า "ส่วนข้ายี่สิบสี่""ไม่ได้ถามเจ้า" เซียวหลันยวนตอบเขามาคำถังอู๋เจวี้ยนหัวเรา แต่รอยยิ้มนี้ดูขมขื่นหน่อยๆ"ถ้าหากพวกเจ้าเห็นน้องชายข้า จะต้องมองไม่ออกแน่ เขาเด็กกว่าข้าสี่ปี แต่ภายนอกดูแล้วเหมือนโตกว่าข้าสิบปีเลย ถ้าโรคนี้ไม่ได้รับการยับยั้งบรรเทาลง เขาคงจะแก่อย่างรวดเร็วต่อไปแน่"และเท่ากับเขาเดินเข้าหาความตายไวขึ้นคำนี้เขาทนพูดออกมาไม่ได้ แต่ฟู่จาวหนิงรู้ตอนนี้นางกำลังคิด เพื่อนออนไลน์ถังอู๋เจวี้ยนในอดีตจู่ๆ ก็หายตัวไปไม่ออนไลน์ จะเป็นเพราะแก่ชราลงอย่างรวดเร็วจนถึงบั้นปลายชีวิตหรือเปล่านะ?โรคแก่ชราอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนนางก็เคยเข้าใจมาบ้าง และเคยมีการค้นคว้าไว้บ้าง แต่ถังอู๋เจวี้ยนสุดท้ายก็อยู่ไม่ถึงฟู่จาวหนิงตอนนั้นเองก็ขาดวัตถุดิบยาอยู่ไม่น้อยนางเตรียมใช้การผสานกันของจีนและตะวันตก แต่ในตัวยาของจีน มีวัต