ฟู่จาวหนิงครุ่นคิดหินก้อนหนึ่งที่มุมกำแพงเรือนหน้า มีอะไรพิเศษกันแน่? นางไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าหินก้อนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร"ใช่แล้ว เป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง หินก้อนนั้นดูแล้วน่าจะหนักหลายสิบจินอยู่" ชุนเจิ้งเอ่ยขึ้น"ไปดูหน่อย"ฟู่จาวหนิงตรงไปใต้ต้นกุ้ยฮวยเรือนหน้าต้นนั้น ที่นั่นมีร่องรอยอยู่จริงๆ มองออกว่าเดิมทีมีก้อนหินวางอยู่มานับแรมปี ตอนนี้พอย้ายออกไป ที่นั่นจึงเหลือหลุมตื้นๆ หลุมหนึ่งไว้ ส่วนดินตรงฐานก็ยังไม่มีตะไคร่ขึ้นมาใหม่นางกลับไปถามผู้เฒ่าฟู่ผู้เฒ่าฟู่นึกๆ ก็ตบลงที่ต้นขา "หินก้อนนั้นสินะ? นั่นเป็นของที่พ่อแม่ของเจ้าไปเที่ยวที่ไหนสักที่แล้วนำกลับมา"ฟู่จาวหนิงตะลึงไป"ตอนนั้นข้ายังหัวเราะใส่พวกเขาอยู่เลย ว่าออกไปเที่ยวแล้วขนหินกลับมาทำไม? พ่อของเจ้าบอกว่าหินก้อนนี้แม่ของเจ้าชอบมันมาก ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ลำบากอะไร ในบ้านก็ใหญ่โตเสียขนาดนี้ จึงวางเอาไว้ในเรือน ต่อมาหินก้อนนั้นก็วางอยู่ตรงนั้นมาตลอด ไม่มีคนไปสนใจมันอีก"ตอนนี้ฟู่จาวหนิงก็ไม่คิดว่าผู้เฒ่าฟู่สองกับสามจะย้ายหินเล่นไปมาเสียแล้วชุนเจิ้งพูดไว้ไม่ผิด หินก้อนนั้นพวกเขาน่าจะเอาออกไปขายจริงๆหรือจะเป็นหินแร่กันนะ?เดิมทีนา
ฟู่จาวหนิงพาคนขับรถมาออกจากเมืองครั้งนี้ช่วงค่ำก็ไม่แน่ว่าจะกลับมาทัน ตกกลางคืนประตูเมืองจะปิด ดังนั้นฟู่จาวหนิงจึงเตรียมตัวมามากหน่อยตรงไปทางตะวันตกตลอดทางสามลมฤดูใบไม้ร่วงหวีดหวิว พอห่างจากเมืองมาหน่อย ถนนหลวงก็ค่อยๆ ไร้ผู้คน ห่างออกไปได้ยินแต่เสียงล้อรถม้า"คุณหนู ความเร็วของรถม้าข้างหน้าพอพอกับพวกเราเลย หรือว่าพวกเขาเองก็กำลังเร่งเดินทาง?" สืออีขี่ม้าตามอยู่ข้างรถฟู่จาวหนิงเลิกม่าน ได้ยินคำพูดของเขาจึงรู้สึกเกินคาด"เจ้าได้ยินไกลขนาดนั้นเชียวหรือ?""จงเจี้ยนเคยบอกว่าหูของข้าดีมาก"มิน่าจงเจี้ยนจึงส่งให้สืออีติดตามมา อย่างน้อยก็ยังมีจุดที่พิเศษอยู่ จงเจี้ยนอาจจะกังวลว่าที่นอกเมืองจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเสียงของนางอาจจะไม่มีใครได้ยิน ดังนั้นจึงส่งสืออีมากระมัง?ฟู่จาวหนิงดึงความคิดกลับ"นั่นอาจจะเพราะอีกฝ่ายจะตรงไปทางหมู่บ้านทางนั้นนั่นล่ะ"นี่ก็ไม่แปลกอะไรที่นั่นเป็นเถียงนาผืนใหญ่กับหมู่บ้านรวมอยู่ด้วยกัน ถึงแม้จะมีเจ้าบ้านที่แตกต่างกัน แต่ส่วนมากก็ยังรวมอยู่ด้วยกัน ได้ยินว่าเวลามีนาข้าวหรือดอกโหยวไช่ก็จะเรียงพรืดติดกันเป็นผืนใหญ่ ทิวทัศน์ดูงามตาอยู่ดังนั้นในช่วงฤดูกา
"คุณหนู?"เฉินซานถามความเห็นฟู่จาวหนิง"หยุดลงดีเสียหน่อยเถอะ"ฟู่จาวหนิงปล่อยม่านรถลงรถม้าหยุดลงมาแล้ว สืออีไม่มีรถม้า ขี่อยู่บนหลังม้าคอยพิจารณาตัวชายคนนี้กับหญิงสาวชายกลางคนเห็นว่าพวกเขาหยุดรถ เผยยิ้ม รีบเดินตรงเข้ามา คารวะมาทางรถม้าก่อน ดูแล้วมารยาทครบถ้วนอยู่"นายท่าน ข้าสกุลเจิ้ง ผู้นำตระกูลข้าเป็นพ่อค้าจากเจียงหนาน หลายวันก่อนเพิ่งมาถึงเมืองหลวง วันนี้เตรียมจะไปยังหมู่บ้านทางเขาตะวันออกเพื่อเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่า ส่วนทางนั้นคือน้าของผู้นำตระกูลข้า และไม่รู้ว่าเพราะหลายวันนี้เร่งเดินทางมากเกินไปหรือเปล่า ตอนนี้พอรถม้าขึ้นถนนภูเขากลับอาเจียนขึ้นมาเสียแล้ว"เขาชี้ไปยังหญิงสาวที่นั่งยองอยู่ข้างทางหญิงสาวคนนั้นประคองรถม้ายืนขึ้น หมุนตัวกลับมาเฉินซานพวกเขาตอนนี้เพิ่งจะพบว่าอีกฝ่ายต่อให้เป็นหญิงสาวมีอายุ แต่ก็ยังเป็นหญิงสาวที่ดูสูงศักดิ์คนหนึ่ง จะพูดว่าเป็นฮูหยินชราที่ร่ำรวยคนหนึ่งก็ได้แต่ฮูหยินชราเช่นนี้ข้างกายกลับไม่มีคนใช้คอยปรนนิบัตินี่ก็ดูแปลกไปหน่อยยิ่งไปกว่านั้นคนบนรถม้าก็ยังเป็นหลานชายของนาง ป้าไม่สบายขนาดนี้แล้ว เขาไม่คิดจะโผล่หน้ามาดูดำดูดีหน่อยหรือ?สืออีเหล
หญิงคนนั้นเองก็ไม่ค่อยอยากจะขึ้นรถม้าด้านหลังนักฟู่จาวหนิงยังได้ยินนางรังเกียจ บอกว่าทำไมไม่ให้นางนั่งรถใหม่คันหน้ากัน รถม้าด้านหลังมันเก่าเกินไป บอกว่าฟู่จาวหนิงกำลังดูถูกคนผู้ดูแลเติ้งพอได้ยินหน้าก็ดำถมึงทึง ขอโทษฟู่จาวหนิงปะหลกๆ"ถึงตอนนั้นนายท่านปล่อยนางลงมาก็พอแล้ว ขอบคุณนายท่านมาก ขอบคุณมากขอบคุณ"ผู้ดูแลเจิ้งพูดจบก็รีบขึ้นรถม้าตนเอง เพียงไม่นาน รถม้าของพวกเขาก็ทะยานไปด้านหน้าพอเห็นรถม้าของพวกเขาพุ่งทะยานลมออกไปราวกับติดปีกอย่างเร็วจี๋ ยิ่งไปกว่านั้นยังดูมั่นคงอย่างมาก สืออีจึงพูดกับฟู่จาวหนิงว่า "คุณหนู ม้าที่ลากรถของพวกเขาเป็นม้าชั้นยอดเลย"หรือก็คือ คนบนรถม้าตัวตนฐานะต้องไม่ธรรมดาเพราะว่าคนมีเงินเห็นได้ทั่วไป แต่ม้าชั้นยอดเช่นนี้ มักจะไม่ใช่แค่มีเงินก็จะซื้อได้ต่อให้ซื้อมา ก็ไม่ใช่ว่าใครจะม้าเช่นนี้มาลากรถเพียงแต่อีกฝ่ายล้วนอยู่แต่บนรถม้าไม่ยอมลงมา และไม่ส่งเสียงอะไรอีกด้วย ไม่รู้ว่าเป็นคนแบบไหนผู้ดูแลเติ้งบอกว่านายท่านสุขภาพไม่ดีเดิมทีจะไปหายา ฟู่จาวหนิงเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องง่ายๆ แล้วยังเป็นถนนเดียวกันด้วย อีกฝ่ายเองก็จะไปหาอาจารย์กั
"บ้านตระกูลฟางคือเรือนที่อยู่ตรงหน้านั้นใช่ไหม?"ได้ยินว่าข้างหน้าไม่ห่างไปนักมีเรือนที่ขนาดใหญ่ที่สุดอยู่แห่งหนึ่งได้ยินว่าเศรษฐีฟางใหญ่โตที่สุดในหมู่บ้านนี้ ที่นาเองก็มีมากที่สุดฟู่จาวหนิงเลิกม่านขึ้นเหลือบมองผาดหนึ่ง อาศัยความทรงจำ นางมองออกแล้ว"ใช่ ที่นั่นนั่นเอง"ฟางซือฉิงได้ยินว่าฟู่จาวหนิงมา ก็รีบกระโจนตัวออกไปจากห้องเหมือนนกน้อยอย่างร่าเริงเศรษฐีฟางมองนางดีใจขนาดนี้ ก็ถอนหายใจออกมา"หลายวันนี้เอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวด ตอนนี้ยิ้มออกมาได้เสียที" เศรษฐีฟางถอนหายใจกับฮูหยิน "ไม่สิ คุณหนูฟู่คนนั้นตอนนี้เป็นพระชายาอ๋องเจวี้ยนไปแล้วนี่ แล้วลูกสาวของบ้านเรายังไปมาหาสู่ต่อได้ด้วยหรือนี่?""ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?" ฮูหยินฟางรูปร่างอวบ ใบหน้ากลมดูมีราศี "ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เห็นว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ใช่พวกไม่ดีอะไร แล้วยังดูเป็นเด็กที่ตรงไปตรงมาอีกด้วย มาเล่นกับซือฉิงของพวกเราแล้วก็ดีออก ตอนนี้ถึงนางจะเป็นพระชายาอ๋องเจวี้ยนไปแล้วแต่ก็คงจะไม่เปลี่ยนไปมากเท่าไร"นางเองก็เดินตามไปด้านนอก "จะว่าไป ตั้งแต่ที่ซือฉิงกลับมาจากเขาเมฆอรุณก็ไม่ใช่เอาแต่ชื่นชมอีกฝ่ายหรอกหรือ? บอกว่านางฉลาดกว่าเดิมเสียอ
ตอนที่เห็นสืออีผู้เฒ่าฟางก็เข้าใจทันที นี่น่าจะเป็นทหารจากจวนอ๋องเจวี้ยนสถานการณ์ของตระกูลฟู่พวกเขารู้อยู่แล้ว มีคนที่ดูองอาจเช่นนี้เสียที่ไหน? ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้บนตัวฟู่จาวหนิงก็ยังอยู่ในชุดเสื้อผ้าใหม่ด้วยฟู่จาวหนิงส่งสายตาให้สืออีผาดหนึ่งสืออีพยักหน้า เดินออกไปสืออีออกไปเดินวนในหมู่บ้านดูก่อน ถ้าหากนางอยู่ที่นี่ไม่ได้ถามอะไร สืออีก็ควรจะสังเกตเห็น"จาวหนิง พวกเราได้ยินเรื่องของเจ้าแล้ว เจ้าคงไม่ถือสาที่พวกเราเรียกชื่อของเจ้าหรอกใช่ไหม?" ฮูหยินฟางดึงฟู่จาวหนิง รู้สึกว่าเด็กคนนี้พอเทียบกับแต่ก่อน ก็รู้สึกเปล่งประกายขึ้นมามากจริงๆคนเองก็ยังเป็นคนเดิม แต่ดูแล้วกลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง"ไม่เป็นไรหรอก ฮูหยินฟางเรียกข้าอย่างนี้ดีกว่าตั้งเยอะ ซือฉิงเป็นเพื่อนรัรกของข้า อย่าได้เห็นเป็นคนอื่นไกลเลย"ฟู่จาวหนิงพอเห็นฮูหยินฟางก็รู้สึกชอบขึ้นมาเพราะว่าท่าทีของฮูหยินฟางเป็นหญิงสาวที่นิสัยดีมากมีน้ำใจและใจอ่อน แล้วยังดูสนิทสนมและดูมีราศีอีกด้วยตอนที่นางมองคนในดวงตาก็มีรอยยิ้มอยู่สามส่วนแล้ว ทำให้คนรู้สึกสนิทชิดเชื้อมาก"เช่นนั้นพวกเราก็ไม่เกรงใจแล้วนะ" ฮูหยินฟางเองก็ชื่นชอบเช
พอได้ยินคำว่าหิน ฟู่จาวหนิงก็รู้แล้วว่าตนเองไม่ได้หาผิดที่ ผู้เฒ่าฟู่รองกับผู้เฒ่าฟู่สามพวกเขาจะต้องมาหาผู้เฒ่ากู้ที่นี่แน่ๆ"ใช่แล้ว เจ้าว่ามายอดเยี่ยมหรือ? เห็นบอกว่าหินเหล่านั้น ด้านในเป็นมรกตอยู่ด้วยนะ""หินแร่มรกตหรือ"ฟู่จาวหนิงเข้าใจทันที นางก่อนหน้านี้ทำไมถึงคิดไม่ถึงนะในเมื่อบอกว่าเป็นหินที่มีมูลค่า มันก็ต้องเป็นหินแร่อยู่แล้วสิหินหยาบมรกต ตอนนี้ในแคว้นเจาคงเริ่มมีคนเดิมพันกันแล้วกระมัง?เช่นนั้นแคว้นเจาเองก็ร้ายกาจมาก!ถ้าหากเป็นหินหยาบมรกตจริง จะขายออกไปได้ราคาไหนก็คงไม่ต้องแปลกใจแล้ว เช่นนั้นนางก็ยิ่งยอมให้ผู้เฒ่าสองผู้เฒ่าสามเอาหินที่เป็นของตระกูลฟู่ก้อนนั้นขายออกไปไม่ได้แล้ว"ใช่ๆๆ เป็นหินแร่ ผู้เฒ่ากู้บอกว่าเขาทางนั้นมีสิ่งของเอาไว้ตัดหิน ไปหาช่างที่เก่งกาจสร้างขึ้นมา ตอนขนเข้ามาก็จ่ายเงินไปไม่น้อย แล้วถ้าหินแร่ของพวกเขาตัดออกมาแล้วมีมรกตอยู่จริง เช่นนั้นก็คุ้มค่าเงินอยู่"เศรษฐีฟางพูด จากนั้นก็วิ่งไปอุ้มหินก้อนหนึ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น หินก้อนนี้มองแล้วน้ำหน้าประมาณห้าหกชั่ง ผิวเรียบลื่นสวยงามดี ประกายมันเงา"ผู้เฒ่ากู้ยังบอกว่า เขาทางนั้นก็สะสมก้อนหินด้วย บ้า
ผู้เฒ่าฟู่รองกับผู้เฒ่าฟู่สามกำลังมองไปยังชายกลางคนในเรือนอย่างตึงเครียยดผู้ชายที่ดูรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดหรูหรา บนมือมีแหวนมรกตเขียวหมึกวงใหญ่วงหนึ่งคนนี้ก็คือผู้เฒ่ากู้ผู้เฒ่ากู้มายังเมืองหลวงอันที่จริงก็ไม่ได้กระโตกกระตากมากนักจากที่เขาพูด คนที่เล่นพวกหินมรกต ก็ต้องเป็นพวกคนมีเงิน คนจนอย่าได้ข้องเกี่ยวเข้ามาเลยดังนั้นเขาจึงส่งเทียบเชิญไปให้กับคนมีเงินและคนที่คู่ควรบางส่วนในเมืองหลวง ประกาศออกไปเป็นวงเล็กๆคนเหล่านี้จึงบอกต่อกับคนที่ตนเองรู้จักอีกบางส่วนเรื่องเช่นนี้มาถึงผู้เฒ่าฟู่รองและผู้เฒ่าฟู่สามได้ จึงเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเหนือกว่าขึ้นมาพวกเขารู้สึกว่าตนเองนั้นร้ายกาจมา สามารถได้รับข่าวสารเช่นนี้ก่อน ได้รับโอกาสการทำเงิน"น้องสาม เจ้าว่าหินก้อนนี้เป็นหินแร่มรกตจริงไหม?"พอเห็นผู้อาวุโสกู้ยังตรวจสอบหินก้อนนั้นอย่างละเอียดอยู่ ซ้ำยังผ่านไปนานแล้วด้วย ผู้เฒ่าฟู่รองจึงรู้สึกใจตุ้มต่อมขึ้นมา"ทำไมถึงต้องดูนานขนาดนี้?"แต่ว่าตัวเขาเองระหว่างทางที่มาก็จ้องมองหินก้อนนั้นอยู่นานแล้ว ก็ยังมองไม่ออกว่ามันมีความพิเศษอะไร กระทั่งยังรู้สึกว่าน่าเกลียดไปหน่อยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่
ถัดจากนี้สำหรับพวกหลานหรงก็ถือเป็นการท้าทายที่มากกว่าแล้วจากที่ท่านอ๋องคาดการณื ตงฉิงจะต้องมีกลไกลและการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติแน่นอน น่าจะมีวิะีการที่ทำให้ตงฉิงได้กลับมาเห็นตะวันได้อีกครั้ง ที่ไม่ใช่การขุดทีละนิดๆ ของกำลังคนพวกของหลานหรงต้องหาวิะีให้พบ บางทีอาจจะเป็นกลไก?"ที่นี่ในเมื่อเป็นเมืองเก่าที่ตระกูลของราชครูตงฉิงอยู่ ก็น่าจะมีโอกาส นายท่านเคยพูดไว้ ตระกูลของราชครูตงฉิงมีพลังกำลังทรัพย์ที่ไม่อาจประเมินได้อยู่ เมืองชิงเย่เป็นรากฐานของพวกเขา ไม่มีทางปล่อยให้เมืองนี้ต้องล่มสลายไปแบบนี้แน่"หลานหรงหยิบจดหมายที่เซียวหลันยวนเขียนไว้ออกมา ด้านบนยังวาดรูปของเครื่องพยากรณ์ไว้ บางทีคงต้องหาจุดที่สามารถใช้เครื่องพยากรณ์นี้จดหมาย เพียงไม่นานก็ถูกส่งไปหาเซียวหลันยวนอย่างรวดเร็วฟู่จาวหนิงกับเซียวหลันยวนกำลังสาละวนอยู่ในภูเขาช่วงเช้า และได้รับอะไรมาไม่น้อยนางเจอโสมม่วงร้อยปีต้นหนึ่ง!เดิมทีสิ่งนี้ก็ถือเป็นของที่สุดยอดมากแล้ว ผลลัพธ์คือยังพบวัตถุดิบยาที่ผู้อาวุโสจี้เคยบอกกับนางแต่พันธมิตรโอสถไม่เคยพบมาก่อนอีกหลายชนิดด้วยวัตถุดิบยาพวกนั้น ว่ากันว่าในพันธมิตรโอสถมีแขกลึกลับ
นายท่านบอกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเร่งด่วน หลังจากหาหยกดาราพบให้รีบส่งออกไปก่อน"ขอรับ"หลานหรงลองสังเกตุทะเลสาบนี้อีกหน่อย วักน้ำขึ้นมาชิม น้ำสะอาดหวาดชื่น น้ำดีที่หาได้ยาก!ที่นี่จะใช่ตำแหน่งที่เมืองหลวงตงฉิงอยู่จริงไหม?"พักกันดีแล้วใช่ไหม? เข้ามาตักน้ำ"หลานหรงเรียกคนเข้ามาทันทีทุกคนเห็นต้นกำเนิดน้ำแบบนี้ก็ดีอกดีใจ เมื่อวานตอนค่ำน้ำถูกดื่มไปจนหมดแล้ว ตอนนี้พวกเขากระหายกันจะแย่"ก่อไฟต้มน้ำ"เดิมทีตามความเคยชินก่อนหน้านี้ของพวกเขา จะไปที่ไหนก็ล้วนกินน้ำดิบไปตรงๆ แบบนี้สะดวกดี ไม่ได้พิถีพิถันมาก แต่ฟู่จาวหนิงบอกพวกเขาไว้ น้ำจะอย่างไรก็ต้องต้มก่อนถึงจะดี ด้านในอาจจะมีไข่แมลงหรือเชื้อโรคอะไรอยู่ดังนั้นพวกเขาตอนนี้จึงเชื่อฟัง ถ้ามีเวลาและเงื่อนไขเพียงพอ พวกเขาก็จะต้มน้ำให้เดือดก่อนดื่มครั้งนี้พอเห็นน้ำสกปรกขยะแขยงมามากมาย พวกเขาจึงทำตามกฏนี้อย่างเคร่งครัดตอนที่พวกเขาต้มน้ำ หลานหรงเดินไปบนทางเดินเล็กๆ ในทะเลสาบเส้นนั้น ตรงไปทางดงดอกไม้ผืนนั้นเดินอยู่กลางทะเลสาบ สองด้านล้วนเป็นน้ำใสสะอาด สะท้อนภาพฟ้าเมฆคราม ทิวทัศน์งดงามดูกว้างใหญ่ถ้าตงฉิงในอดีตยังดีอยู่ ไม่รู้ว่าจะงดงามขนา
หลานหรงพากลุ่มค้นหามานานมากแล้วก่อนหน้านี้พวกเขาเจอเมืองเล็กเมืองหนึ่งถูกดินปกคลุมไป ถนนหนทางบ้านเรือนล้วนถูกกลบฝังไปแล้ว แต่ฝนตกมาห่าใหญ่ หลังจากดินภูเขาถูกชะล้างไป ก็มีหลังคาเรือนเล็กๆ บางส่วนโผล่พ้นพื้นดินขึ้นมาดังนั้นหลานหรงจึงยืนยันว่าตงฉิงตอนนั้นถูกกลับฝังไปแล้วจริงๆพวกเขาเจอกับทางเดินเส้นหนึ่ง หลังจากเข้ามาก็พบว่ายิ่งเดินก็ยิ่งยาว และไม่รู้ว่าตรงไปที่ไหนด้วยแต่สองด้านของทางเดินก็ปรากฏศาลาหรือบ้านเป็นระยะๆ อธิบายได้ว่าแต่ก่อนนี่เป็นถนนที่อยู่บนพื้นดิน ส่วนถนนของเมืองเล็กจะตรงไปที่ไหน นอจากเมืองใหญ๋แล้วก็อาจจะเป็นวังหลวงดังนั้นตอนนั้นหลานหรงจึงออกคำสั่งให้เดินตรงไป จนหาทางออกพบคิดไม่ถึงว่าเดินมาสิบกว่าวัน ยังดีที่ด้านในยังมีบ่อน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ยังขุดน้ำขึ้นมาได้ ไม่เช่นนั้นคงอันตรายไปแล้วแน่นอน พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลยหลังจากผ่านไปสิบวันในที่สุดพวกเขาก็ออกมาแล้ว แล้วจึงเห็นสถานที่นี้เข้า"พี่ใหญ่ ที่นั่นคงไม่ได้ฝังเมืองไว้อีกแห่งหรอกกระมัง?" ลูกน้องเดินเข้ามา ยื่นถุงใส่น้ำให้เขา ด้านในเหลือแค่อึกเดียวแล้ว ก่อนหน้านี้หลานหรงไม่ได้ดื่มเลย ให้พวกเขาไปจนหมด ตอนนี้
เขากุมมือนางแน่น เอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า "ซษงจื่อหยิบตำราเก่าม้วนหนึ่งเข้ามา ด้านบนเขียนเรื่องตระกูลถังเขาชิงถงไว้""แล้วยังไงหรือ?"นี่มันเกี่ยวอะไรกับนางล่ะ?"หนิงหนิงรู้ไหมว่าเขาชิงถงมีชื่อเสียงในการผลิตอะไร?""อะไรหรือ?""วัตถุดิบยาน่ะ" เซียวหลันยวนเอ่ยเสียงแผ่วเบาฟู่จาวหนิงเลิกคิ้วไม่ใช่สิ แม้ว่านางจะเป็นหมอ แม้ว่าจะขาดแคลนวัตถุดิบยามาก แม้จะคิดหาวัตถุดิบยาล้ำค่าอยู่ตลอด แต่ก็ไม่จำเป็นขนาดต้องยอมนับญาติเพื่อวัตถุดิบยานี่?"เซียวหลันยวนท่านรู้ไหมว่าอะไรคือความมั่งคั่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงจิตใจ?" นางใช้ศอกกระทุ้งเขาไปทีนึงถังอู๋เจวี้ยนฟังพวกเขาแอบกระซิบกระซาบกัน ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างจนใจ"ข้าว่านะ พวกท่านต้องมากระซิบกระซาบต่อหน้าข้าแบบนี้ด้วยรึ? มีอะไรบอกมาตรงๆ ก็พอแล้ว แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ช่วงนี้ปู่ข้าเพิ่งจะพบว่า สมัยหนุ่มๆ เขาเคยท่องยุทธภพไปกับผู้อาวุดสจี้กับผู้อาวุโสอีกคนหนึ่ง ดังนั้นจึงนับว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน""อ๋า?"จุดนี้ฟู่จาวหนิงกลับไม่รู้เรื่องเลย!"ผู้อาวุโสจี้ตอนนี้ไม่ใช่อาจารย์ของท่านหรือ?" ถังอู๋เจวี้ยนหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา ยื่นส่งไปตรงหน้าฟู่จาวหนิง "น
ไปแท่นชมดาวช่วงจื่อ(23.00-01.00น.)หรือ?ฟู่จาวหนิงมองไปทางเซียวหลันยวน "แท่นชมดาวเป็นสถานที่แบบไหน?""แท่นชมดาวต้องเดินขึ้นไปจากตำหนักถวายเครื่องหอม อีกด้านหนึ่ง ที่นั่นมีศาลาอยู่ ด้านนอกศาลามีลานอยู่แห่งหนึ่ง เวลาที่อากาศดีจะมองเห็นดาวระยิบระยับ เหมือนยื่นมือไปเด็ดมาได้เลย"เซียวหลันยวนเลิกคิ้วเล็กน้อย "แต่ว่าแท่นชมดาวเคยมีศิษย์คนหนึ่งตกลงไป หลังจากนั้นจึงปิดตายไว้ ไม่มีคนเข้าไปนานแล้ว"สถานที่อันตรายหรือ? ทำไมถึงมีคนตกลงไปได้?"แล้วเจ้าอารามให้พวกเราไปที่นั่นทำไมกัน?"เซียวหลันยวนมองซางจื่อซางจื่อส่ายหัว "เจ้าอารามไม่ได้บอกอะไร แต่ว่า เหมือนน่าจะไปชมดาวกระมัง"แท่นชมดาวถ้าไม่ไปชมดาวแล้วจะไปทำอะไรได้?แต่พวกเขาดูชวนฝันขนาดนั้นเลยหรือ? แล้วยังนัดไปดูดาวช่วงจื่ออีกฟู่จาวหนิงถามซางจื่อ "นอกจากเราสองคน ยังเรียกใครไปอีกไหม?""เจ้าอารามให้องค์หญิงใหญ่ไปด้วย"โอ๋? ฟู่จาวหนิงอดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ "แยกกันไม่ได้เลยว่างั้น?"สวรรค์ให้อภัยนางด้วย เดิมทีนางไม่ใช่คนใจแคบช่างสอดรู้สอดเห็นขนาดนี้ ใครให้เจ้าอารามสร้างภวังค์เฮงซวยให้นาง แล้วไปสร้างภวังค์ที่เซียวหลันยวนกับองค์หญิงใหญ่เป็นสา
"เรียนพระชายา ชามนี้เป็นของท่านอ๋อง พ่อครัวทำอาหารให้ท่านอ๋องจนชินแล้ว ทำตามรสชาติที่ท่านอ๋องชอบ"คนที่เข้ามายกชามหมี่น้ำใสไปไว้ตรงหน้าเซียวหลันยวน ส่วนอีกชามวางไว้ตรงหน้าฟู่จาวหนิง"ชามนี้คุณชายถังเป็นคนทำ คุณชายถังบอกว่านี่เป็นหมี่ที่คนเขาชิงถงชื่นชอบ ลุงของเขาก็ชอบมาก ดังนั้นจึงลงมือทำชามนี้ให้พระชายาเป็นพิเศษ เชิญพระชายาชิม""ถังอู๋เจวี้ยนเป็นคนทำหรือ?"ฟู่จาวหนิงมองเซียวหลันยวนด้วยสัญชาตญาณ แล้วก็เห็นเขาหน้าขรึมลงจริงๆ"กลัวว่าเขาจะวางยาพิษไหม?" ฟู่จาวหนิงพูดติดตลก"พระชายาวางใจ คุณชายถังตอนที่ปรุงในห้องครัวพวกเราคอยดูอยู่ตลอด ใช้แต่วัตถุดิบในห้องครัวเท่านั้น ไม่มีปัญหาแน่นอน" คนที่นำเข้ามาเอ่ยขึ้นเซียวหลันยวนแม้จะรู้สึกจี๊ดในใจที่ถังอู๋เจวี้ยนประจบนางขนาดนี้ แต่จุดนี้ก็ยังต้องยอมรับ: "ถ้าเขากล้ามาวางยาพิษเจ้าที่นี่จริงก็แสดงว่าไม่กลัวตาย"เขากวาดล้างเขาชิงถงทิ้งทั้งหมดได้ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าอารามยอดเขาโยวชิงก็อยู่ที่นี่ด้วย ไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่ฟู่จาวหนิงพอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็หยิบตะเกียบขึ้น "สู้ท่านลองชิมไหม? แล้วชามนั้นท่านให้ข้ากิน"นางรู้ว่าถ้าตนเองก
ฟู่จาวหนิงเห็นปฏิกิริยาของเซียวหลันยวน รู้สึกไม่เข้าใจอยู่หน่อยๆ"ทำไมหรือ? เจ้าอารามฝึกบำเพ็ญ แต่งงานไม่ได้หรือ?"ก่อนหน้านี้นางเหมือนได้ยินว่าอารามนี้ของเจ้าอาราม ไม่ใช่อารามเต๋าที่ไว้สำหรับฝึกบำเพ็ญเต๋า แล้วก็ไม่เคยได้ยินด้วยว่าจะแต่งงานไม่ได้ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาของเจ้าอารามยังน่าหลงใหลขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีหญิงสาวมาชอบแต่จากคำพูดของเซียวหลันยวนก่อนหน้านี้ บนยอดเขาโยวชิงนี้ไม่มีนายหญิงอยู่จริงๆ ไม่มีผู้อาวุโสหญิงที่ติดตามเจ้าอารามแล้วเลี้ยงดูเขามาจนโต"ได้ยินว่า ตอนเจ้าอารามยังหนุ่มมีคู่หมั้นอยู่" เซียวหลันยวนนึกๆ จำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ "แต่ต่อมาไม่รู้ทำไมจึงไม่ได้แต่งงาน เรื่องนี้ข้าได้ยินมาโดยบังเอิญสมัยยังเด็กน่ะ""แล้วคู่หมั้นของเขาล่ะ?""ไม่รู้สิ ต่อมาข้าก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย และยิ่งไม่เคยถามด้วย"เซียวหลันยวนก่อนหน้านี้ไม่ใช่พวกชอบแส่เรื่องชาวบ้าน นิสัยเองก็ค่อนข้างเย็นชา เขารู้สึกว่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเองก็จะไม่ถามไม่ไถ่ให้มันมากความ"ก่อนหน้านี้ข้ากับเจ้าอารามไม่ค่อยคุยเร่องส่วนตัวกันนัก เคารพเขา แต่ก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันมาก แขาแค่เอ็นดูข้า ไม่ได้สนิท
นิ้วของเจ้าอารามเคาะเบาๆ บนโต๊ะ มืออีกข้างก็ลูบเบาๆ วาดผ่านบนเตาถ่านข้างๆ พริบตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองไม่เห็น ก็มีผงฝุ่นลอดจากระหว่างนิ้วของเขาปลิวเข้าไปในไฟของเตา แล้วเผาไหม้เป็นกลิ่นหอมจางๆ ออกมาอย่างรวดเร็วองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ทันได้รู้สึกเลยนางกำลังมองเจ้าอารามอย่างตกตะลึง"เจ้าอารามกำลังล้อข้าเล่นใช่ไหม? ข้าจำได้ชัดเจนแท้ๆ แล้วจะเป็นภวังค์ได้อย่างไรกัน?"ชายคนนั้นที่นางกอด ความรู้สึกที่ริมฝีปากชุ่มชื้นอ่อนนุ่มตอนที่จูบ ใจที่เต้นระรัว มันแจ่มชัดอย่างมาก แล้วจะเป็นภวังค์ได้อย่างไรกัน?"องค์หญิงใหญ่ เจ้ามองข้านะ"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองดวงตาเขาข้างหูยังได้ยินจังหวะเคาะโต๊ะเบาๆ ของเขามองดวงตาที่ดูเหมือนมีความเมตตาต่อสรรพชีวิตของเจ้าอาราม นางก็ตะลึงงันไป"ไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น เป็นแค่ภวังค์ อีกไม่นานเจ้าก็จะลืมเรื่องทั้งหมด ถ้ามีคนพูดเรื่องนี้อีก เจ้าก็แค่บอกว่าตนเองพูดเล่นไปก็พอ ไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้น"เสียงของเจ้าอารามค่อยๆ ไหลเข้ามาในหู แฝงไว้ด้วยการปลอบโยนที่แข็งแกร่งสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเริ่มเลือนรางไปบ้าง"เป็นแค่ภวังค์หรือ?""ใช่แล้ว""ไม่เกิดอะไรขึ้น
องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเงยหน้าขึ้นมองเขาช้าๆเจ้าอารามกำลังล้างถ้วยชา ไม่มองนาง"ใช่แล้ว""ตอนองค์หญิงใหญ่ยังเล็ก ข้าเคยทำนายว่าเจ้าจะมีเคราะห์ภัย ขอแค่ผ่านเคราะห์ภัยนั้นได้ แล้วมาอยู่ด้วยกันกับอ๋องเจวี้ยน ชะตาของเจ้าก็จะดีขึ้น โชคดีตลอดไปสงบสุขจนแก่เฒ่า"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นได้ยินคำพูดเขาในที่สุดก็ได้สติกลับมา"เคราะห์อะไรหรือ?""ตอนนี้ดูแล้ว เคราะห์นั้นน่าจะอยู่บนตัวฝ่าบาทต้าชื่อ และองค์หญิงใหญ่ก็เป็นแม่นางที่ฉลาด ตัดสินใจเด็ดขาด หนีออกมาจากวังหลวงต้าชื่อ วังจักรพรรดิต้าชื่อกลับไปไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเข้าประตูวังไปก็เหมือนจมลงสู่ก้นทะเล คำนี้นำมาพูดกับองค์หญิงใหญ่แล้ว ถือว่าถูกต้องอย่างมาก"เจ้าอารามล้างชาไปรอบหนึ่ง ชงชามาสองถ้วย ยกขึ้นมาให้นาง "ดื่มชาเถอะ ชาของอายวน"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเมื่อครู่ร้องไห้ไปยกใหญ่ ตอนนี้คอเองก็แหบพร่าไปหมดแล้ว กระหายมากด้วย พอสูดๆ จมูก นางจึงยกถ้วยช้านั่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น"ดื่มทีละนิด ระวังลวกปาก" เจ้าอารามเตือนนางทันที"โอ้"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นอยู่ต่อหน้าเขาก็ดูว่าง่ายขึ้นมาก ถอนหายใจแล้วหันมาจิบเบาๆในที่สุดก็ได้ดื่มชานี้แล้ว ทำไมนางถึงไม่ดีใ