ลวี่กั่วพอได้ยิน สีหน้าก็เรียบลงมา"ผู้ดูแล ฮูหยินข้าไม่ชอบอยู่ในที่ที่มีวัชพืช ความรู้สึกแบบนี้มันวังเวง""อันที่จริงแม่นางลวี่กั่วให้ฮูหยินมองทางนั้นก็ได้ ดอกไม้ทางนั้นใกล้จะบานแล้ว" ผู้ดูแลชี้ไปอีกด้านของเรือน"มองทางนั้น แล้วจะไม่เห็นทางนี้หรือ?"ลวี่กั่วขุ่นเคืองขึ้นมาหญ้าที่พวกเขาพูดกันอยู่ทางด้านซ้ายของเรือน ก่อนหน้านี้เดิมทีก็มีอยู่แล้ว หลังจากฟู่จาวหนิงเข้ามาอยู่ ในเรือนแค่เก็บกวาดคร่าวๆ ไว้เท่านั้น ตอนนั้นนางเห็นว่ามุมนี้มีหญ้าเฝิ่นซิงอยู่ผืนหนึ่ง จึงให้พวกหงจั๋วปล่อยเอาไว้เก็บก้อนหินกรวดมาเรีงล้อมเอาไว้ พอเปลี่ยนเป็นสีชมพู ดูแล้วก็มีเสน่ห์แบบธรรมชาติอยู่ก่อนหน้านี้ฟู่จาวหนิงเคยบอกว่าดูมีบรรยากาศที่ดีอยู่ฮูหยินเฉิงพอเข้ามาพอเหลือบมองวัชพืชผืนนี้ ก็พูดมาคำหนึ่ง ว่าทำไมวัชพืชในเรือนถึงไม่จัดการทิ้งไป?ตอนนั้นเฝิ่นซิงเอ่ยขึ้นมาคำหนึ่ง บอกว่าหญ้านี้พอฤดูใบไม้ร่วงจะเปลี่ยนสี พระชายาเคยชมว่ามีเสน่ห์แบบธรรมชาติอยู่จากนั้นฮูหยินเฉิงจึงพูดขึ้นว่า ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูใบไม้ร่วงนี่นา เพื่อความงามไม่กี่วันนั่น ต้องปล่อยทิ้งไว้ให้ดูรกร้างนานหนึ่งปีเลยหรือ ได้ไม่คุ้มเสีย ถอนทิ้งดี
"ถูกต้อง" ไป๋หู่ตอบ "ถ้าหากฮูหยินเฉิงไม่ชินกับหญ้าผืนนี้จริงๆ เช่นนั้นก็ถอยออกไปอยู่ที่เรือนแขกเถิด ที่นั่นจัดการไว้ดีแล้ว ไม่มีหญ้าวัชพืช"เฝิ่นซิงกับหงจั๋วทั้งสองคนยืนอยู่ที่มุมหนึ่งด้านหลัง ส่งสายตาชื่นชมให้กับไป๋หู่ในที่สุดก็มีคนพูดความในใจของพวกนางออกมาแล้ว!พวกนางไม่เข้าใจ ทำไมต้องเข้ามาอยู่ในเรือนเจียนเจียให้ได้? ถ้าจะพักก็พักไปสิ ทไมต้องมาขุดหญ้าเฝิ่นซิงออกด้วย?เฝิ่นซิงตอนที่ได้ยินฟู่จาวหนิงบอกว่าให้ปล่อยหญ้าเฝิ่นซิงผืนนี้ไว้ยังดีใจมากอยู่เลย เพราะชื่อของนางก็ตั้งมาจากหญ้าเฝิ่นซิงนี่ นางชอบหญ้าเฝิ่นซิงมากตอนนี้ฮูหยินเฉิงคิดจะขุดหญ้าผืนนี้ออกไปให้ได้ เฝิ่นซิงรู้สึกเสียใจยิ่งกว่าใครแต่นางสองคนก็ไม่มีคุณสมบัติจะพูดอะไร"เจ้าเองก็ไม่ใช่องครักษ์ของจวนอ๋อง ทำไมถึงต้องมาสนใจเรื่องที่นี่ด้วย?" ลวี่กั่วย้อนถามไป๋หู่"ข้าติดตามคุณหนูของข้ามา คุณหนูของข้า ตอนนี้คือนายหญิงของจวนอ๋องเจวี้ยน เช่นนั้นข้าเองก็สามารถพูดในฝั่งของจวนอ๋องได้"ไป๋หู่ไม่ไว้หน้าลวี่กั่วเลย "อย่างน้อยถ้าจะพูดเรื่องความใกล้ชิด ข้าก็ยังเป็นคนในจวนมากกว่าเจ้าเสียอีก"ลวี่กั่วถูกคำนี้ของเขากระตุ้นขึ้นมาแล้ว
ฟู่จาวหนิงไปล้างหน้าให้ใจเย็นลงหน่อย พอกำลังจะเข้าไปห้องหนังสือคุยเรื่องนี้กับเซียวหลันยวน ก็ได้ยินที่นอกเรือนมีคนตะโกนขึ้นมา"อ๋องเจวี้ยน ลวี่กั่วขอเข้าพบ!"เสี่ยวเยว่พอวางกล่องเครื่องหอมนั่นแล้วก็เดินออกมา "คุณหนู นางทำไมถึงวิ่งแจ้นมานี่แล้ว? หรือเพราะไม่ให้พวกเขาขุดหญ้าเฝิ่นซิงนั่นออก เลยคิดจะมาฟ้องท่านอ๋อง?""เฮ้อ แม่นางลวี่กั่ว เจ้าอย่ามาเอะอะโวยวาย ท่านอ๋องกำลังยุ่งอยู่!"ผู้ดูแลตามมาถึง ขวางลวี่กั่วเอาไว้ลวี่กั่วน่าจะรู้ว่าเรือนของเซียวหลันยวนจะบุกเข้าไปดื้อๆ ไม่ได้ พอมาถึงนอกประตู ตนเองก็ยืนนิ่ง ห่างจากประตูเรือนหลายก้าว ไม่กล้าเข้าใกล้นัก"เช่นนั้นผู้ดูและก็ไปส่งข่าวให้หน่อย" ลวี่กั่วเอ่ยขึ้น"แค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องเอะอะไปถึงท่านอ๋องหรอก" ผู้ดูแลน้ำเสียงขรึมลงมาแล้วเขาหงุดหงิดจริงๆ แล้วลวี่กั่วคนนี้ไม่สงบเสงี่ยมเอาเสียเลย จะหาเรื่องให้ได้เลยใช่ไหม?"ทำไมถึงกลายเป็นเอะอะไปได้ ข้าก็แค่มาขอคำชี้แนะท่านอ๋องเอง ว่าพวกเราต้องไปอยู่ในโรงเตี๊ยมถึงจะเหมาะกว่าใช่ไหม นี่มันเอะอะตรงไหนกัน?"ลวี่กั่วร้องเฮอะ "ผู้ดูแลวางใจได้ ข้าจะพูดจาดีดีแน่นอน!""นี่ถื
ไป๋หู่ไม่รู้ว่าเดิมทีลวี่กั่วเป็นคนแบบไหน แต่ว่า..."ข้าไม่คิดแบบนั้น" เขาเอ่ยขึ้นเขาไม่รู้สึกว่าฮูหยินเฉิงเอ็นดูลวี่กั่วจนเสียคน ไม่เช่นนั้น ฮูหยินเฉิงไม่มีทางเอาแต่เงียบอยู่ตลอดแน่หรือก็คือ ลวี่กั่วน่าจะเป็นกระบอกเสียงและหมากเดินที่ฮูหยินเฉิงชุบเลี้ยงขึ้นมากระมังไป๋หู่ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นพวกพวกเสือสิงห์กระทิงแรดในตระกูลเสิ่นมาไม่น้อย เขากลับรู้สึกว่า ถ้าไม่ใช่ว่าแต่ก่อนอ๋องเจวี้ยนลี้ไปอยู่แต่บนยอดเขาโยวชิง ไม่ค่อยได้พบผู้คน ก็อาจเพราะใช้แต่วิธีการที่ตรงไปตรงมา ง่ายๆ หยาบกระด้าง ดังนั้นคนเหล่านี้ที่ติดตามอ๋องเจวี้ยน จึงไม่ค่อยได้เห็นวิธีการเหล่านี้เท่าไรโดยเฉพาะอ๋องเจวี้ยนที่ข้างกายมีหญิงสาวน้อย เขาไม่รู้ว่าอะไรคือการแย่งชิงกันระหว่างหญิงสาวกระมัง?พวกในวังหลังนั่น ถึงอย่างไรตอนนั้นอ๋องเจวี้ยนก็ยังเด็กมา ยังมีความทรงจำไม่ลึกเท่าไรผู้ดูแลตอนนี้มายืนอยู่ตรงหน้าอ๋องเจวี้ยนเซียวหลันยวนเหลือบตาขึ้นมองเขา พู่กันในมือยังไม่หยุด เขียนจดหมายถึงหลานหรงต่อไป"มีอะไร?""ท่านอ๋อง เป็นแบบนี้ขอรับ..." ผู้ดูแลกดเสียงต่อ เล่าเรื่องราวออกมาเซียวหลันยวนพอได้ยินพู่กันก็ชะงักไป"ท่านน้า
เซียวหลันยวนขมวดคิ้ว"ลวี่กั่วกำเริบเสิบสานนัก ให้นางกลับไป ข้าไม่พบ"ในใจผู้ดูแลโล่งขึ้นมาหน่อย"พระชายาทางนั้นน่าจะเห็นด้วย ลวี่กั่วเองก็ไม่น่าอาละวาดแล้ว" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้น "แล้วก็ไปบอกไป๋หู่ด้วย ข้ามองพวกเขาเป็นเหมือนคนของตนเองมาตลอด ไม่มีทางมองเป็นคนอื่นไกลแน่นอน"ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ลวี่กั่วไม่มีสิทธิ์มาแบ่งแยกเรื่องความใกล้ชิดสนิทสนมอะไรแบบนี้"ขอรับ"ผู้ดูแลคารวะ รีบถอยออกจากห้องหนังสือหลังจากออกมาเขาก็ถอนใจโล่ง โชคดีที่ท่านอ๋องยืนอยู่ข้างไป๋หู่ ไม่มีเจตนาตำหนิโทษไป๋หู่ ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้คงจัดการลำบากแล้วแต่ตอนนี้ยังต้องรีบไปบอกพระชายาก่อนผู้ดูแลรีบเดินตรงไปห้องข้าง จึงเห็นว่าห้องข้างปิดสนิทอยู่ เสี่ยวเยว่เฝ้าอยู่ด้านนอก"เสี่ยวเยว่ พระชายาล่ะ?"เสี่ยวเยว่มองๆ ดู "พระชายาตอนนี้ยังไม่สะดวกออกมา มีอะไรหรือ?""เช่นนั้นเสี่ยวเยว่ก็ไปบอกพระชายาหน่อย ข้าจะรอข่าวอยู่ที่นี่" ผู้ดูแลเล่าเรื่องท่านน้าเฉิงออกมา "ดังนั้น ความหมายของท่านอ๋องก็คือ ให้เข้าใจเห็นใจความรู้สึกของท่านน้าเฉิง แล้วหญ้าเฝิ่นซิงเหล่านั้นถอนออกไปก่อนได้ไหมสินะ?"ผู้ดูแลกำชับมาอีกคำ "หลังจากนี้จะปลู
ตอนที่ฮูหยินเฉิงถูกเฝิ่นซิงกับหงจั๋วประคองขนาบซ้ายขวาออกมาจากเรือนเจียนเจีย ยังดูตั้งตัวไม่ทันอยู่นางรู้ว่าลวี่กั่วไปหาอ๋องเจวี้ยนแล้วด้วยความเข้าใจต่ออ๋องเจวี้ยนของนาง เรื่องนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก อ๋องเจวี้ยนทัังรักและเคารพนาง สนิทสนมกับนาง ดังนั้นไม่มีทางขัดความต้องการเล็กน้อยนี้ของนางแน่นอนดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าท้ายสุดหญ้าเฝิ่นซิงนั้นจะถูกถอนทิ้งนางมองหญ้าผืนนั้นแล้วรู้สึกอึดอัด ความทรงจำเจ็บปวดรวดร้าวเหล่านั้นหลั่งทะลักกลับมา ไม่อาจทานทนได้เลยอ๋องเจวี้ยนเองก็รู้เรื่องของสามีนางในตอนนั้น เรื่องนี้ เขาต้องยืนอยู่ข้างนางแน่แต่นางก็คิดไม่ถึงเลย สุดท้ายก็ทำให้นางต้องถูกย้ายออกจากเรือนเจียนเจียจุดนี้เหมือนกับตบฉาดที่หน้านางแต่ครั้งนี้ท่าทีของผู้ดูแลแตกต่างไปอย่างชัดเจน แข็งกร้าว ถ้านางยังพูดอะไรอีกคือได้อาละวาดกันน่าเกลียดแน่ฮูหยินเฉิงเองก็รู้ว่าตนเองไม่เหมาะที่จะพูดอะไร แต่ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจลวี่กั่วยังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ ยังคิดจะดิ้นรน แสดงออกถึงความโกรธ "ฮูหยินของพวกเราอยากอยู่ที่นี่...""ลวี่กั่ว" ฮูหยินเฉิงครั้งนี้จำใจต้องตัดบทนาง "พวกเราฟังที่ผู้ดูแลจัดการเถ
ถึงอย่างไรนางก็บอกแล้วว่าไม่กินเผ็ดเซียวหลันยวนหลังจากจัดการงานเสร็จก็ออกจากห้องหนังสือ เตรียมจะไปหาฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงกลับไม่อยู่ในห้องนอน เสี่ยวเยว่เองก็ไม่อยู่เขารู้สึกแปลกๆ หาคนมาถาม "พระชายาไปไหนแล้ว?""เรียนท่านอ๋อง พระชายาไปเรือนข้างดูหญ้าสมุนไพร ให้มาแจ้งกับท่าน"ฟู่จาวหนิงก่อนหน้านี้ปลูกหญ้าสมุนไพรบางส่วนในที่เรือนข้าง ปกติให้หงจั๋วเฝิ่นซิงช่วยดูแล ครั้งนี้ที่กลับจากเมืองเจ้อยังไม่ได้ไปดู บอกเช่นนี้เซียวหลันยวนก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร"อืม รู้แล้ว"จนถึงเวลาอาหารเย็น เซียวหลันยวนมาถึงห้องอาหารก่อนเขาไปจุดเทียนที่เชิงเทียนข้างๆ ด้วยตนเอง ฟู่จาวหนิงเคยบอกไว้ แสงเทียนในอาหารเย็นมันชวนฝันดีแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจ ตอนอาหารค่ำก็จุดแสงเทียนกันหมดนี่ มีอะไรน่าชวนฝัน?แต่ฟู่จาวหนิงในเมื่อพูดเช่นนี้ เขาก็ให้คนวางไว้ข้างโต๊ะอาหารหลายเล่มหน่อย วางไว้บนเชิงเทียนทองเหลืองสิบแปดหัวที่แสนประณีต ทุกครั้งก่อนกินข้าวก็จะจุดแสงเทียนนี้ แสงเทียนวิบวับโยกไหว ตอนที่กินข้าวก็รู้สึกได้บรรยากาศจริงๆเขาเพิ่งจะจุดเทียน ฮูหยินเฉิงก็เข้ามาเซียวหลันยวนสวมหน้ากากขึ้นไปใหม่อีกครั้ง"อายวน"เซ
ตอนที่ฟู่จาวหนิงเข้ามาก็เห็นฮูหยินเฉิงกำลังจะลูบไปทางหน้ากาก...ของเซียวหลันยวนนางข้ามธรณีประตูเข้ามาเห็นฉากนี้ เกือบจะสะดุดเท้าเลยทีเดียวเซียวหลันยวนไม่เคยให้ใครแตะใบหน้าเขามาก่อน ตอนแรกที่นางจะทายาฆ่าเชื้อให้เขา เขายังมีอาการต่อต้านอย่างชัดเจนเลยแต่ตอนนี้เขากลับให้ฮูหยินเฉิงยื่นมือไปจับหรือ?เช่นนั้นดูท่าความรู้สึกระหว่างพวกเขาจะลึกกว่าที่นางจินตนาการไว้เซียวหลันยวนจะให้ฮูหยินเฉิงถอดหน้ากากเขาออกหรือ?ฟู่จาวหนิงก้มหน้าลงมือเท้า พริบตานี้เอง เซียวหลันยวนก็หลบมือของฮูหยินเฉิงออกมาเขากำลังจะพูดอะไร ก็สังเกตเห็นฟู่จาวหนิงเข้ามาแล้ว ลุกขึ้นยืนทันที"หนิงหนิง รีบมานี่สิ หิวแล้วใช่ไหม?" พูดจบก็ให้คนใช้ขึ้นสำรับตอนนี้เองกับข้าวก็ทยอยกันยกขึ้นมาฟู่จาวหนิงเดินเข้าไป เดิมทีนางก็เดินไปที่นั่งตนเองตามความเคยชิน แต่พอเห็นฮูหยินเฉิงนั่งอยู่ตรงนั้น นางก็ไม่ได้อ้อมเข้าไป นั่งลงทางฝั่งนี้โต๊ะทรงกลม ตอนนี้คือเซียวหลันยวนกับฮูหยินเฉิงนั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนนางนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเซียวหลันยวนงงงัน"ทำไมนั่งทางนั้นล่ะ? มานั่งทางนี้สิ ไกลขนาดนี้แล้วข้าจะคีบกับข้าวให้ยังไง?"ฮูหยินเฉิง
ส่วนฟู่จาวหนิงเองก็มองมาทางเขา เพราะเซียวหลันยวนไม่ได้ยื่นมือมาประคองนางในตอนแรก แต่กลับมองนางอย่างงงงันหน่อยๆฟู่จาวหนิงยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ใจก็ดำดิ่งหน่อยๆยังดีที่ตอนนางมองไปอีกครั้ง เซียวหลันยวนก็ยื่นมือมาดึงนางลุกขึ้นแล้ว จากนั้นไข่มุกหมึกในมือนางก็ส่งคืนไปยังเจ้าอาราม"คืนให้ท่าน"พริบตาที่เจ้าอารามยื่นมารับ เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ไข่มุกหมึกลูกนั้นแตกละเอียดกะทันหันคนทั้งหมดล้วนตกตะลึง มองไปทางเศษหินที่รวงลงมานั่นพวกเขาล้วนถือไข่มุกหมึกกันมาแล้ว เดิมทีก็ยังดีดีอยู่ ไม่มีรอยร้าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวลูกปัดหยกก็ตันและแข็งแกร่ง หล่นลงพื้นก็ไม่แน่ว่าจะแตกด้วยซ้ำแต่ตอนนี้จู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วเจ้าอารามโค้งตัวลงเก็บชิ้นส่วนหยกขึ้นมา หยิบขึ้นมามองๆ"ไข่มุกหมึกทำนายดารา ข้าเองก็เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวด้วย"อยู่กับเขามาหลายสิบปี ใช้มาก็ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้จู่ๆ ก็แตกเสียแล้วเซียวหลันยวนยื่นมือตัวเองออกมา "ข้าไม่ได้ออกแรงนะ""แล้วก็ไม่เหมือนบีบจนแตกด้วย"เจ้าอารามพูดพลางมองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงหรุบตาลง เศษหินบนพื้นเหล่านั้น "หรือพวกท่านสงสัยว่าข้าทำ
เจ้าอารามสูดลมหายใจลึก"ผลลัพธ์นี้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่มันชี้นำไป ทำให้อายวนเดินไปยังทางเลือกที่จะพาสู่ความพินาศ"พอได้ยินคำพูดเขา ฟู่จาวหนิงก็หน้าเปลี่ยนสีแต่นางกลับโมโหขึ้นมา"เฮอะ"ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ได้แต่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางก็ยังไม่สนใจได้ เพราะนางไม่ใส่ใจ และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวนางแต่เรื่องดันไปอยู่บนตัวเซียวหลันยวน นางก็ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะได้รัรบผลกระทบไหม ตัวนางเป็นคนที่ผ่านการข้ามภพมา แต่เขาไม่ใช่"อายวน" นางยื่นมือไปประคองเซียวหลันยวนเขาจับมือนางลุกขึ้นยืน มองดุนาง ยื่นมือลูบใบหน้านาง สีหน้าดูซับซ้อน"เจ้าลองดู"ฟู่จาวหนิงใจดำดิ่งหน่อยๆเพราะเขารู้สึกแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยานี้คือถูกส่งผลกระทบเข้าแล้วเมื่อครู่เขายังบอกนางอยู่เลยว่าถ้าไม่อยากคะเนทำนายก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เขากลับบอกว่าให้ลองดูเสียแล้วจิตใจต่อต้านกับความอยากเอาชนะของฟุ่จาวหนิงถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว"ได้"นางขานรับ และไม่ลังเลอีก นั่งลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามผืนนั้น"ไข่มุกหมึก"เซียวหลันยวนส่งไข่มุกหมึก
เขาไม่อยากให้นางต้องฝืนตัวทำอะไรเพื่อตัวเขา"ข้ายินยอมทดสอบดู ไม่เป็นไร" ฟู่จาวหนิงบอกเขาเซียวหลันยวนชะงักไป "เช่นนั้นข้าก่อนแล้วกัน เจ้าลองดูผลลัพธ์ของข้าก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจ"ตอนนี้เขาเองก็ยอมที่จะคะเนทำนายด้วย เพราะคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าอารามพูดเมื่อครู่สามปีก่อนตอนที่เขาจะกลับเมืองหลวง ก็มีการวัดคะเนดาราไว้จริงๆ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาควรจะออกจากยอดเขาโยวชิงเวลานั้น และไปถึงเมืองหลวงในวันนั้นเขาเจอกับจาวหนิงถอนหมั้นกลางถนนในวันนั้น แต่งงานกับนางในวันนั้น ตอนนี้พอมาคิดก็ดูจะเป็นคู่รักวาสนาที่ฟ้าประทานมาจริงๆเพื่อความแม่นยำครั้งนี้ เขาเองก็ไม่กังขากับการวัดคะเนดาราเซียวหลันยวนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามชิ้น ยื่นมือไปทางเจ้าอาราม "ไข่มุกหมึก""เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องขจัดสิ่งรบกวนออก อย่าต่อต้านการชี้นำ" เจ้าอารามส่งไข่มุกหมึกให้เขา จากนั้นจึงจุดธูปขึ้นเซียวหลันยวนหลับตา สองมือกุมไข่มุกหมึกตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างสมบูรณ์ ฟู่จาวหนิงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสัญชาตญาณ เหมือนจะพบว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมเซียวหลันยวน
เจ้าอารามถอนใจอย่างจนใจอีกครั้ง ร้องเรียกพวกเขาไว้"กลับมาก่อน ทำไมพูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะไปแล้วล่ะ? เดี๋ยวนี้อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้เชียว? ข้าก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามองเสี่ยวฟู่แบบนี้เสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็ยืนนิ่ง นางดึงเซียวหลันยวนไว้ตอนนี้นางเองก็น่าจะมองการวัดคะเนดาราของเจ้าอารามเป็นเหมือนเกมลึกลับเกมนึง เมื่อครู่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเจ้าอารามทำให้นางจับทางไม่ถูกเหมือนกัน คนผู้นี้ต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาสำหรับเซียวหลันยวนแน่นอนสำหรับฮูหยินเฉิง เซียวหลันยวนบทจะไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับได้ จะหมดความผูกพันนั่นก็หมดไป แต่สำหรับเจ้าอารามนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคงไม่พานางเดินทางนับพันลี้มายอดเขาโยวชิงแค่เพราะคำๆ เดียวของเจ้าอารามหรอกนางเองก็อยากรู้มาก สาเหตุอะไรที่ต้องให้พวกเขามาทำนายชะตาอะไรนี่ เจ้าอารามคิดจะทำอะไรกันแน่นอกเหนือจากนี้ ตัวนางเองก็ยังอยากรู้ ว่าการที่นางมายังแคว้นเจานี่ เป็นเพราะมีพลังลึกลับอะไรหรือเปล่าถ้าไม่ทำให้ชัดเจน หลังจากนี้นางคงจะตั้งรับไม่ไหวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถึ
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้