แต่ว่าพอคนมาอยู่ในจวนอ๋องเจวี้ยน หารือเรื่องหน้าอ๋องเจวี้ยน ทำไมรู้สึกเหมือนเป็ฯเรื่องที่อันตรายเสียอย่างนั้นดังนั้น แค่ด้านนอกมองเข้ามา จะพบว่าพวกหมอเหล่านี้ล้วนกำลังกระซิบกระซาบกัน พูดกันเบาๆ ด้วยน้ำเสียงไม่น่าไว้ใจจังหวะที่เซียวหลันยวนเดินเข้ามา เสียงทั้งหมดก็เงียบลงทันทีกระทั่งว่า คนมากมายยังต้องกลั้นหายใจขึ้นมาพวกเขาไม่กล้าจะเงยหน้ามองอ๋องเจวี้ยนยิ่งไปกว่านั้นบรรดาหมอก็ยังเข่าอ่อนจนคุกเข่าลงมา"ข้าเชิญพวกเจ้ามาเพราะมีเรื่องอยากจะขอร้อง" เสียงของเซียวหลันยวนนิ่งขรึม มีความน่าเกรงขามที่ทำให้คนไม่กล้าคัดค้านต่อต้านเหล่าหมอหลวงมองหน้ากันไปมาขอร้อง?อ๋องเจวี้ยนใช้คำว่าขอร้อง ทำให้พวกเขารู้สึกไม่อยากเชื่อ นี่บังคับพวกเขามารวมตัวกัน เพราะมีเรื่องจะขอร้องหรือ?เซียวหลันยวนไม่ให้เวลาพวกเขาได้ขบคิดนาน และไม่รอให้พวกเขาได้ตอบ พูดต่อมาว่า "เรื่องที่เมืองเจ้อจัดหาที่พักให้ผู้ประสบภัยนับหมื่นพวกเจ้าคงจะได้ยินมาบ้างแล้วใช่ไหม?""อ๋องเจวี้ยน เรื่องนี้พวกเราได้ยินมาแล้ว" มีหมอหลวงคนหนึ่งรวมความกล้าเอ่ยขึ้น "ยิ่งไปกว่านั้น ข้าน้อยยังได้ยินอีกว่า พระชายาไปที่เมืองเจ้ออีกด้วย?"คนส
เซียวหลันยวนให้ชิงอีไปเตรียมตัว ครั้งนี้เขาจะนำองครักษ์เงามังกรออกเดินทางนอกจากองครักษ์เงามังกร ยังมีองครักษ์จวนอ๋องเจวี้ยนอีกยี่สิบคน"ไปค่ายคุ้มกันฝั่งตะวันออกทางนั้นส่งคำสั่งด่วนข้าไป ให้เหยียนฟางนำทหารมาห้าร้อยนาย ตรงไปที่เมืองเจ้อให้เร็วที่สุด"เซียวหลันยวนเขียนจดหมายส่งให้องครักษ์ลับนี่เป็นเหตุผลที่องค์จักรพรรดิหวาดกลัวเขา ผู้ควบคุมองครักษ์เงามังกร แล้วยังมีคุณสมบัติสั่งการทหารห้าร้อยนายเพื่อใช้งานได้ด้วยในช่วงเวลาคับขัน ทหารห้าร้อยนายสามารถสร้างเป็นกำลังสำคัญได้"ท่านอ๋อง ท่านจะเคลื่อนกำลังทหารหรือ?!" ชิงอีตกตะลึงเพราะก่อนหน้านี้ไม่ว่าตนเองจะเจอกับอันตรายใหญ่หลวงแค่ไหน มีหลายครั้งที่ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย แต่เซียวหลันยวนก็ไม่เคยเคลื่อนกำลังทหารมาก่อน!เขาเองก็รู้ ว่านี่คือเรื่องที่ทำให้องค์จักรพรรดิหวาดกลัวมาก หากทำเรื่องนี้ออกมาจริง องค์จักรพรรดิก็จะยิ่งขัดใจกับเขามากขึ้นไปอีกแต่ตอนนี้เพื่อพระชายา ท่านอ๋องกลับเคลื่อนกำลังทหารขึ้นเป็นครั้งแรก"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไปที่เมืองเจ้อแล้ว" เซียวหลันยวนน้ำเสียงเคร่งขรึม "อันเหนียนยังบอกว่า มีคนที่มีความคิดไม่ดีปะปนอยู่ในกลุ่ม
แต่ใครก็ไม่กล้าพูดอะไรในกลุ่มหมอหลวงมีคนที่ประสบการณ์น้อยอยู่คนหนึ่ง หมอหลวงเผียว ปีนี้เพิ่งอายุสามสิบต้นๆเมื่อวานเขาหลับไม่ค่อยดี ถึงอย่างไรก็เตรียมตัวเตรียมของมาทั้งคืน ใครจะรู้ว่าเมืองเจ้อมีสถานการณ์แบบไหน? พวกเขาเองก็กลัวด้วยเหมือนกันนะดังนั้นทุกคนจึงกลับบ้านไปเก็บข้าวของส่วนตัว ใครมีรถม้าก็นั่งรถม้าของตนเองมาหมอหลวงเผียวพอปีนขึ้นรถม้าก็ทนไม่ไหวม่อยหลับไป ผลคือโดนเขย่าจนตื่นขึ้นมากลางทางพอเขาตื่นมาก็เห็นว่าตรงข้ามมีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง ฉับพลันก้ทำเอาเขาตกใจสะดุ้งพรวดจนหัวแทบจะกระแทก"หมอหลวงเผียว ใจเย็นๆ นี่ข้าเอง" คนตรงข้ามยิ้มให้เขาใบหน้ายิ้มเจิดจ้าเหมือนแสงตะวันหยวนอี้คุณชายทูตจากแคว้นหมิ่นที่ช่วงนี้โดดเด่นมากในเมืองหลวงนั่นเองสองวันก่อนพวกเขาเคยเจอกันในงานเลี้ยงในบ้านหมอหลวงเผียวก็มีญาติที่ทำงานอยู่กับขุนนางเกษตร ดังนั้นจึงเคยพบหน้าแต่ว่า แต่ว่าเขาทำไมถึงมาอยู่บนรถม้าตนเองล่ะ?"คุณชายหย่วน ท่าน ท่านทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?"หมอหลวงเผียวรู้สึกเหมือนตนเองยังไม่ตื่นดี เขาเลิกม่านออกดู ก็เห็นว่ารถม้ากำลังเร่งเดินทาง ดูท่าจะไม่ได้หลับจนสับสนไปนี่"มานั่งตากลมหน่อยน
เรื่องราวในที่สุดก็ดำเนินไปในทางที่ฟู่จาวหนิงกังวลเสียแล้วเพราะคนเหล่านี้ต้องการยาแรง คนที่สัมผัสมาพวกนั้นก็ลนลาน ต้องการยามาป้องกันไว้ก่อน แค่สองวันวัตถุดิบยาของพวกเขาก็หายไปราวกับน้ำหลากน่าจะเพราะความลนลานกับร่างกายที่เหนื่อยและหิวก่อนหน้านี้สะสมมาถึงจุดหนึ่ง สองวันนี้จึงมีคนล้มป่วยลงไปไม่น้อยวันนี้กระทั่งยังมีคนป่วยที่มีอาการท้องเสียอย่างรุนแรงอีกหลายคนการจัดแจงที่พักผู้ประสบภัยมีอยู่จุดหนึ่งที่จัดการได้ลำบากและยุ่งยากมาก นั่นคือสถานที่ที่ให้พวกเขาทำธุระส่วนตัวพอคนมากเข้า หลายวันก่อนตอนที่พวกของอันเหนียนออกลาดตระเวนก็พบว่ามีคนไม่น้อย ที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ แค่หามุมเหมาะๆ ได้ก็นั่งยองลงจัดการธุระส่วนตัวต่อมาฟู่จาวหนิงบอกว่า เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี เพราะนี่อาจจะเป็นเส้นทางในการระบาดโรคด้วยถ้าไม่ใช่ฟู่จาวหนิง ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวกับพวกอันเหนียนก็ไม่มีใครคิดถึง ว่าสถานที่ที่คนแออัดกันอยู่มีเรื่องที่ต้องระวังมากขนาดนี้ไม่ใช่แค่รับคนเข้ามา ต้มข้าวต้มประทังชีวิตให้พวกเขาได้ก็เพียงพอเพราะว่าคนป่วยที่ท้องเสียหนักพวกนั้น ผู้ช่วยหมอเองก็รักษาไม่ได้ ฟู่จาวหนิงจึงอกจากห้องข้า
แต่ว่า พวกเขาเหล่านี้เคยบ่นว่าลำบากมาหลายครั้ง บ่นว่าหิวมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้เคยได้ยินฟู่จาวหนิงบ่นมาก่อนอารมณ์ของนางมั่นคงมาตลอด เขียนตำรับยาแก้ตำรับยาอยู่ตลอดเวลา มีวัตถุดิบยาบางส่วนขาดไป ก็คิดหาวิธีใช้วัตถุดิบยาอื่นมาแทนที่ จัดการแก้ไขตำรับยานี่ไม่ใช่สิ่งที่แก้กันส่งเดชได้ สิ่งนี้จำเป็นต้องมีทฤษฏียาวัตถุดิบยาที่น่าตกตะลึง การจะปรับสูตรยา วัตถุดิบยาอื่นๆ ก็ต้องเข้ากันได้ด้วย เป็นเรื่องที่สิ้นเลปืองสมาธิอย่างมากแล้วก็ สองวันนี้นางยังหาเวลาออกมาฝังเข็มให้คนป่วยอื่นๆ อีกในหัวนางจดจำสภาพโรคกับลักษณะพิเศษของผู้ป่วยแทบทั้งหมดไว้แล้ว แค่พูดออกมาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นคนทั้งหมดที่นี่รู้สึกนับถือนางแทบศิโรราบลงพื้นผู้ประสบภัยสิบกว่าคนอย่างกลุ่มอาเหอเองก็ด้วยหลายวันนี้ ครอบครัวพวกเขาก็ออกมาช่วยเหลือแล้วเด็กน้อยที่ยังเล็กอย่างเสี่ยวยา ก็มีภรรยาของอาเหอคอยช่วยดูแลความเร็วในการฟื้นฟูของเสี่ยวเฟิงเร็วมาก ตอนนี้ก็มาทำสิ่งต่างๆ ที่ตนเองทำได้ในแต่ละวันแล้ว อย่างเช่นมีคนป่วยหนักบางคนต้องการพักที่นี่ เขาก็จะช่วยจด เวลาต้องเปลี่ยนยา เวลาต้องกินยา บางครั้งที่ผู้ช่วยหมอทั้งสามคนกับเสี่ยวเ
ผู้ประสบภัยที่สัมผัสใกล้ชิดหลายคนนั้น ติดโรคกันจริงๆ ด้วยพวกเขาเองก็โชคไม่ดี ตอนนั้นก็นอนกันไม่หลับ เลยมารวมตัวกันพูดคุยสัพเพเหระ ทุกคนได้เล่าเรื่องสนุกๆ กันออกมา รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พวกเขาลืมความเหนื่อยยากวิตกกังวลในปัจจุบันไปได้ชั่วคราวผลคือพอคุยถึงเรื่องสนุก ก็หัวเราะร่ากัน น้ำลายแตกฟองตอนนั้นเสียงก็ดังมาก ดึงดูดคนรอบๆ เข้ามาร่วมวงด้วย คุยสัพเพเหระไปกับพวกเขาคืนนั้นสนุกสนานเฮฮา แต่ตอนนี้ต้องมาอกสั่นขวัญหาย"หมอฟู่เองก็เคยบอกพวกเขาแล้ว ว่าหลายวันนี้ให้พยายามอย่ารวมกลุ่มกันพูดคุย ห่างกันได้มากหน่อยก็ให้ห่าง แล้วทำไมยังมาทำเรื่องแบบนี้กันอีก?"ผู้ช่วยหมอคนหนึ่งโกรธมากหลังจากได้ยินสาเหตุที่คนมากขนาดนี้ติดโรค คนของที่นี่ก็โกรธกันขึ้นมาจริงๆวันที่สองที่ป้าหนิวเข้ามาที่นี่ ฟู่จาวหนิงก็ให้คนออกไปเตือนผู้ประสบภัยแล้ว เรื่องที่ต้องระมัดระวัง แจ้งเตือนพวกเขาไปทั้งหมดแต่ตอนนี้ดูท่า ยังมีคนมากมายที่ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ"ห้องข้างฝั่งตะวันตกทางนั้นยังรับคนได้อีกไหม?"อันเหนียนตามเข้ามา แม้จะเป็นช่วงเดือนสองแล้ว แต่เขาก็ยังมีเหงื่อเต็มหน้าผากวิ่งไปวิ่งมาตลอด ทั้งเร่งท
ณ เมืองหลวง แคว้นเจาบนถนนที่คึกคักหญิงสาวที่สวมชุดงดงามนางหนึ่งกำลังนำทหารหลายคนของนางไปดักขบวนแห่เจ้าสาวขบวนหนึ่งอย่างดุดัน“หลีกไป นี่คือคุณหนูใหญ่จากตระกูลของหมอเทวดาหลี่ หากว่าพวกเจ้าทำให้คุณหนูไม่พอใจระวังจะเดือดร้อน!” ผู้คนที่กำลังเดินอยู่บนถนนต่างพากันรีบหลีกทางให้ในทันที ด้วยกลัวว่าจะถูกลูกหลง เหล่าชาวเมืองมองไปที่ขบวนแห่เจ้าสาวที่ถูกตกแต่งด้วยความรู้สึกเห็นใจ “นี่เจ้าสาวจากตระกูลไหนกันเนี่ย? ไปทำอะไรให้คุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่ขัดใจกัน?”“เจ้าไม่รู้หรือ? วันนี้เป็นวันแต่งงานของรัชทายาทเซียวกับคุณหนูตระกูลฟู่ คนที่นั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวนั่นก็ต้องเป็นคุณหนูฟู่นั่นแหละ”โครม เกี้ยวเจ้าสาวถูกทหารของตระกูลหลี่ใช้กำลังบังคับให้หยุดลง หลังจากที่เกี้ยวเจ้าสาวเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ก็ได้ยินเสียงตุ๊บดังออกมา คล้ายจะเป็นเสียงของศีรษะที่กระแทกอะไรสักอย่าง“ไปเอาตัวฟู่จาวหนิงมา! แล้วก็ไปถอดชุดเจ้าสาวของนางทิ้งซะ!”คุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่ชี้นิ้วไปยังเกี้ยวเจ้าสาวก่อนจะสั่งออกมาอย่างวางอำนาจ ทันใดนั้นทหารรับใช้ก็วิ่งไปแล้วยื่นมือไปเปิดม่านบังเกี้ยวเจ้าสาวทันทียายเฒ่าผู้ดูแลพิธีที่ยืนอยู่ด้านข้
สมองจาวหนิงผุดภาพร่างกายที่อ่อนแอของผู้เฒ่าฟู่ขึ้นมาฟู่จาวหนิงกับรัชทายาทเซียวเดิมทีมีการหมั้นหมายอยู่ สุขภาพผู้เฒ่าฟู่เองก็ย่ำแย่ลงทุกวัน ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือสามารถเห็นหลานสาวแต่งเข้าจวนตระกูลเซียวได้อย่างราบรื่น ได้มีที่พึ่งพิงในภายภาคหน้า แต่ตระกูลเซียวก็ไม่ยอมเอ่ยเรื่องงานมงคลเสียทีช่วงนี้อาการป่วยของผุ้เฒ่าฟู่ก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว เขาเป็นลมหมดสติอยู่บ่อยครั้ง พอตื่นขึ้นมาก็จะคว้ามือของนางและกังวลเรื่องงานแต่ง ฟู่จาวหนิงก็ร้อนรน ดังนั้นแต่ละวันจึงเอาแต่เซ้าซี้รัชทายาทเซียว หลังถูกปฏิเสธมาหลายครั้ง นางจึงหยิบยกเอาคุณงามความดีที่บิดามารดาของนางเคยช่วยชีวิตองค์รัชทายาทไว้ออกมาให้องค์จักรพรรดิประทานจัดงานแต่งงานให้รัชทายาทเซียวก็ถูกบีบจนต้องจำใจยอมรับการแต่งงานกับฟู่จาวหนิงเซียวเหยียนจิ่งเองก็เป็นบุรุษรูปงามอันดับต้นๆ ในเมืองหลวงจริงๆ คิ้วกระบี่ดวงตาดอกท้อ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเชิด รูปหน้ายอดเยี่ยม ร่างสูงโปร่ง เสื้อคลุมสักหลาดพอดีตัวดูสูงส่ง ขับเน้นร่างของเขาออกมาจนตัวดูเป็นคนแต่นิสัยเป็นสุนัขเสียอย่างนั้นไม่แปลกที่หลี่จื่อเหยาหลงใหลเขามาตลอดพอคิดถึงสถาน
ผู้ประสบภัยที่สัมผัสใกล้ชิดหลายคนนั้น ติดโรคกันจริงๆ ด้วยพวกเขาเองก็โชคไม่ดี ตอนนั้นก็นอนกันไม่หลับ เลยมารวมตัวกันพูดคุยสัพเพเหระ ทุกคนได้เล่าเรื่องสนุกๆ กันออกมา รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พวกเขาลืมความเหนื่อยยากวิตกกังวลในปัจจุบันไปได้ชั่วคราวผลคือพอคุยถึงเรื่องสนุก ก็หัวเราะร่ากัน น้ำลายแตกฟองตอนนั้นเสียงก็ดังมาก ดึงดูดคนรอบๆ เข้ามาร่วมวงด้วย คุยสัพเพเหระไปกับพวกเขาคืนนั้นสนุกสนานเฮฮา แต่ตอนนี้ต้องมาอกสั่นขวัญหาย"หมอฟู่เองก็เคยบอกพวกเขาแล้ว ว่าหลายวันนี้ให้พยายามอย่ารวมกลุ่มกันพูดคุย ห่างกันได้มากหน่อยก็ให้ห่าง แล้วทำไมยังมาทำเรื่องแบบนี้กันอีก?"ผู้ช่วยหมอคนหนึ่งโกรธมากหลังจากได้ยินสาเหตุที่คนมากขนาดนี้ติดโรค คนของที่นี่ก็โกรธกันขึ้นมาจริงๆวันที่สองที่ป้าหนิวเข้ามาที่นี่ ฟู่จาวหนิงก็ให้คนออกไปเตือนผู้ประสบภัยแล้ว เรื่องที่ต้องระมัดระวัง แจ้งเตือนพวกเขาไปทั้งหมดแต่ตอนนี้ดูท่า ยังมีคนมากมายที่ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ"ห้องข้างฝั่งตะวันตกทางนั้นยังรับคนได้อีกไหม?"อันเหนียนตามเข้ามา แม้จะเป็นช่วงเดือนสองแล้ว แต่เขาก็ยังมีเหงื่อเต็มหน้าผากวิ่งไปวิ่งมาตลอด ทั้งเร่งท
แต่ว่า พวกเขาเหล่านี้เคยบ่นว่าลำบากมาหลายครั้ง บ่นว่าหิวมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้เคยได้ยินฟู่จาวหนิงบ่นมาก่อนอารมณ์ของนางมั่นคงมาตลอด เขียนตำรับยาแก้ตำรับยาอยู่ตลอดเวลา มีวัตถุดิบยาบางส่วนขาดไป ก็คิดหาวิธีใช้วัตถุดิบยาอื่นมาแทนที่ จัดการแก้ไขตำรับยานี่ไม่ใช่สิ่งที่แก้กันส่งเดชได้ สิ่งนี้จำเป็นต้องมีทฤษฏียาวัตถุดิบยาที่น่าตกตะลึง การจะปรับสูตรยา วัตถุดิบยาอื่นๆ ก็ต้องเข้ากันได้ด้วย เป็นเรื่องที่สิ้นเลปืองสมาธิอย่างมากแล้วก็ สองวันนี้นางยังหาเวลาออกมาฝังเข็มให้คนป่วยอื่นๆ อีกในหัวนางจดจำสภาพโรคกับลักษณะพิเศษของผู้ป่วยแทบทั้งหมดไว้แล้ว แค่พูดออกมาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นคนทั้งหมดที่นี่รู้สึกนับถือนางแทบศิโรราบลงพื้นผู้ประสบภัยสิบกว่าคนอย่างกลุ่มอาเหอเองก็ด้วยหลายวันนี้ ครอบครัวพวกเขาก็ออกมาช่วยเหลือแล้วเด็กน้อยที่ยังเล็กอย่างเสี่ยวยา ก็มีภรรยาของอาเหอคอยช่วยดูแลความเร็วในการฟื้นฟูของเสี่ยวเฟิงเร็วมาก ตอนนี้ก็มาทำสิ่งต่างๆ ที่ตนเองทำได้ในแต่ละวันแล้ว อย่างเช่นมีคนป่วยหนักบางคนต้องการพักที่นี่ เขาก็จะช่วยจด เวลาต้องเปลี่ยนยา เวลาต้องกินยา บางครั้งที่ผู้ช่วยหมอทั้งสามคนกับเสี่ยวเ
เรื่องราวในที่สุดก็ดำเนินไปในทางที่ฟู่จาวหนิงกังวลเสียแล้วเพราะคนเหล่านี้ต้องการยาแรง คนที่สัมผัสมาพวกนั้นก็ลนลาน ต้องการยามาป้องกันไว้ก่อน แค่สองวันวัตถุดิบยาของพวกเขาก็หายไปราวกับน้ำหลากน่าจะเพราะความลนลานกับร่างกายที่เหนื่อยและหิวก่อนหน้านี้สะสมมาถึงจุดหนึ่ง สองวันนี้จึงมีคนล้มป่วยลงไปไม่น้อยวันนี้กระทั่งยังมีคนป่วยที่มีอาการท้องเสียอย่างรุนแรงอีกหลายคนการจัดแจงที่พักผู้ประสบภัยมีอยู่จุดหนึ่งที่จัดการได้ลำบากและยุ่งยากมาก นั่นคือสถานที่ที่ให้พวกเขาทำธุระส่วนตัวพอคนมากเข้า หลายวันก่อนตอนที่พวกของอันเหนียนออกลาดตระเวนก็พบว่ามีคนไม่น้อย ที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ แค่หามุมเหมาะๆ ได้ก็นั่งยองลงจัดการธุระส่วนตัวต่อมาฟู่จาวหนิงบอกว่า เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี เพราะนี่อาจจะเป็นเส้นทางในการระบาดโรคด้วยถ้าไม่ใช่ฟู่จาวหนิง ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวกับพวกอันเหนียนก็ไม่มีใครคิดถึง ว่าสถานที่ที่คนแออัดกันอยู่มีเรื่องที่ต้องระวังมากขนาดนี้ไม่ใช่แค่รับคนเข้ามา ต้มข้าวต้มประทังชีวิตให้พวกเขาได้ก็เพียงพอเพราะว่าคนป่วยที่ท้องเสียหนักพวกนั้น ผู้ช่วยหมอเองก็รักษาไม่ได้ ฟู่จาวหนิงจึงอกจากห้องข้า
แต่ใครก็ไม่กล้าพูดอะไรในกลุ่มหมอหลวงมีคนที่ประสบการณ์น้อยอยู่คนหนึ่ง หมอหลวงเผียว ปีนี้เพิ่งอายุสามสิบต้นๆเมื่อวานเขาหลับไม่ค่อยดี ถึงอย่างไรก็เตรียมตัวเตรียมของมาทั้งคืน ใครจะรู้ว่าเมืองเจ้อมีสถานการณ์แบบไหน? พวกเขาเองก็กลัวด้วยเหมือนกันนะดังนั้นทุกคนจึงกลับบ้านไปเก็บข้าวของส่วนตัว ใครมีรถม้าก็นั่งรถม้าของตนเองมาหมอหลวงเผียวพอปีนขึ้นรถม้าก็ทนไม่ไหวม่อยหลับไป ผลคือโดนเขย่าจนตื่นขึ้นมากลางทางพอเขาตื่นมาก็เห็นว่าตรงข้ามมีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง ฉับพลันก้ทำเอาเขาตกใจสะดุ้งพรวดจนหัวแทบจะกระแทก"หมอหลวงเผียว ใจเย็นๆ นี่ข้าเอง" คนตรงข้ามยิ้มให้เขาใบหน้ายิ้มเจิดจ้าเหมือนแสงตะวันหยวนอี้คุณชายทูตจากแคว้นหมิ่นที่ช่วงนี้โดดเด่นมากในเมืองหลวงนั่นเองสองวันก่อนพวกเขาเคยเจอกันในงานเลี้ยงในบ้านหมอหลวงเผียวก็มีญาติที่ทำงานอยู่กับขุนนางเกษตร ดังนั้นจึงเคยพบหน้าแต่ว่า แต่ว่าเขาทำไมถึงมาอยู่บนรถม้าตนเองล่ะ?"คุณชายหย่วน ท่าน ท่านทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?"หมอหลวงเผียวรู้สึกเหมือนตนเองยังไม่ตื่นดี เขาเลิกม่านออกดู ก็เห็นว่ารถม้ากำลังเร่งเดินทาง ดูท่าจะไม่ได้หลับจนสับสนไปนี่"มานั่งตากลมหน่อยน
เซียวหลันยวนให้ชิงอีไปเตรียมตัว ครั้งนี้เขาจะนำองครักษ์เงามังกรออกเดินทางนอกจากองครักษ์เงามังกร ยังมีองครักษ์จวนอ๋องเจวี้ยนอีกยี่สิบคน"ไปค่ายคุ้มกันฝั่งตะวันออกทางนั้นส่งคำสั่งด่วนข้าไป ให้เหยียนฟางนำทหารมาห้าร้อยนาย ตรงไปที่เมืองเจ้อให้เร็วที่สุด"เซียวหลันยวนเขียนจดหมายส่งให้องครักษ์ลับนี่เป็นเหตุผลที่องค์จักรพรรดิหวาดกลัวเขา ผู้ควบคุมองครักษ์เงามังกร แล้วยังมีคุณสมบัติสั่งการทหารห้าร้อยนายเพื่อใช้งานได้ด้วยในช่วงเวลาคับขัน ทหารห้าร้อยนายสามารถสร้างเป็นกำลังสำคัญได้"ท่านอ๋อง ท่านจะเคลื่อนกำลังทหารหรือ?!" ชิงอีตกตะลึงเพราะก่อนหน้านี้ไม่ว่าตนเองจะเจอกับอันตรายใหญ่หลวงแค่ไหน มีหลายครั้งที่ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย แต่เซียวหลันยวนก็ไม่เคยเคลื่อนกำลังทหารมาก่อน!เขาเองก็รู้ ว่านี่คือเรื่องที่ทำให้องค์จักรพรรดิหวาดกลัวมาก หากทำเรื่องนี้ออกมาจริง องค์จักรพรรดิก็จะยิ่งขัดใจกับเขามากขึ้นไปอีกแต่ตอนนี้เพื่อพระชายา ท่านอ๋องกลับเคลื่อนกำลังทหารขึ้นเป็นครั้งแรก"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไปที่เมืองเจ้อแล้ว" เซียวหลันยวนน้ำเสียงเคร่งขรึม "อันเหนียนยังบอกว่า มีคนที่มีความคิดไม่ดีปะปนอยู่ในกลุ่ม
แต่ว่าพอคนมาอยู่ในจวนอ๋องเจวี้ยน หารือเรื่องหน้าอ๋องเจวี้ยน ทำไมรู้สึกเหมือนเป็ฯเรื่องที่อันตรายเสียอย่างนั้นดังนั้น แค่ด้านนอกมองเข้ามา จะพบว่าพวกหมอเหล่านี้ล้วนกำลังกระซิบกระซาบกัน พูดกันเบาๆ ด้วยน้ำเสียงไม่น่าไว้ใจจังหวะที่เซียวหลันยวนเดินเข้ามา เสียงทั้งหมดก็เงียบลงทันทีกระทั่งว่า คนมากมายยังต้องกลั้นหายใจขึ้นมาพวกเขาไม่กล้าจะเงยหน้ามองอ๋องเจวี้ยนยิ่งไปกว่านั้นบรรดาหมอก็ยังเข่าอ่อนจนคุกเข่าลงมา"ข้าเชิญพวกเจ้ามาเพราะมีเรื่องอยากจะขอร้อง" เสียงของเซียวหลันยวนนิ่งขรึม มีความน่าเกรงขามที่ทำให้คนไม่กล้าคัดค้านต่อต้านเหล่าหมอหลวงมองหน้ากันไปมาขอร้อง?อ๋องเจวี้ยนใช้คำว่าขอร้อง ทำให้พวกเขารู้สึกไม่อยากเชื่อ นี่บังคับพวกเขามารวมตัวกัน เพราะมีเรื่องจะขอร้องหรือ?เซียวหลันยวนไม่ให้เวลาพวกเขาได้ขบคิดนาน และไม่รอให้พวกเขาได้ตอบ พูดต่อมาว่า "เรื่องที่เมืองเจ้อจัดหาที่พักให้ผู้ประสบภัยนับหมื่นพวกเจ้าคงจะได้ยินมาบ้างแล้วใช่ไหม?""อ๋องเจวี้ยน เรื่องนี้พวกเราได้ยินมาแล้ว" มีหมอหลวงคนหนึ่งรวมความกล้าเอ่ยขึ้น "ยิ่งไปกว่านั้น ข้าน้อยยังได้ยินอีกว่า พระชายาไปที่เมืองเจ้ออีกด้วย?"คนส
เซียวหลันยวนเหลือบมองสาวงามที่ยังนั่งนวดขาจักรพรรดิอยู่ข้างเตียง ในใจก็รู้สึกถากถางขึ้นอย่างแรงกล้า"ฝ่าบาททรงสำราญเสียเหลือเกิน ยังจำเรื่องผู้ประสบภัยนับหมื่นที่เมืองเจ้อได้ไหม? คิดถึงเรื่องที่บ้านพวกเขาถูกทำลายไปบ้างไหม?""เจ้าบังอาจนัก!" องค์จักรพรรดิโมโหกราดเกรี้ยวเซียวหลันยวนก็รู้สึกว่าพูดกับเขามากไปก็เปลืองน้ำลายเปล่าไม่มีคนเชื่อ อันที่จริงเขาก็ยังหวังไว้มากกว่าใครๆ ว่าจักรพรรดิจะคุ้มครองแผ่นดินแคว้นเจาได้ พยายามปกครองแคว้นอย่างเต็มที่ เป็นจักรพรรดิที่ดีใครก็คิดกันว่าเขาตั้งใจจะมาชิงบัลลังก์"ออกราชโองการ ให้หมอหลวงทั้งหมดไปรวมตัวที่จวนอ๋องเจวี้ยนเพื่อหารือเรื่องการไปรักษาคนป่วยที่เมืองเจ้อที" เซียวหลันยวนพูดออกมาตรงๆองค์จักรพรรดิถลึงตาไม่อยากเชื่อ "นี่เจ้ากำลังสั่งข้าหรือ?"นี่ถึงกับออกคำสั่งเขาเลยหรือ?"นอกจากท่านอยากให้ผู้ประสบภัยจากเมืองเจ้อทะลักมาที่เมืองหลวง" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา"โหยวเหวินจางถ้ากล้าให้ผู้ประสบภัยมาที่เมืองหลวง ข้าจะตัดหัวเขาทิ้งเสีย! เขาเป็นผู้บริหารท้องถิ่นที่เมืองเจ้อภาษาอะไรกัน" องค์จักรพรรดิโกรธขึ้นมา"ท่านไม่ให้เงินบรรเทาภัยเ
ตอนที่ได้รับจดหมาย ในใจเซียวหลันยวนมีความรู้สึกไม่ค่อยดีหลั่งทะลักเข้ามาเขารู้สึกแต่ว่า ฟู่จาวหนิงบางทีอาจจะไม่ได้กลับมาตามเวลาครั้งนี้ จดหมายสี่ฉบับติดต่อกัน ทำเอาเขาถึงกับเวียนหัวจดหมายสี่ฉบับนี้ไม่มีฉบับไหนเป็นของฟู่จาวหนิงเขียนเลย สองฉบับเป็นของสืออี และอีกหนึ่งคือฟู่จิ้นเชิน และยังมีที่อันเหนียนเขียนอีกฉบับเขายังไม่ทันได้เห็นเนื้อหาแค่มองลายมือ พอไม่มีจดหมายของฟู่จาวหนิง ก็ทำให้เขาใจดิ่งวูบแล้วระงับใจที่ไม่สงบของตนเองลง หลังจากอ่านจดหมายทั้งสี่ฉบับจบ เซียวหลันยวนก็ตบลงบนโต๊ะดูแล้วไม่ได้ออกแรงเท่าไรนักแต่ตอนที่นางลุกขึ้นยืน หลังจากรีบเดินออกไป โต๊ะตัวนั้นจู่ๆ ก็หักลงจากตรงกลางดังโครม ของที่อยู่ด้านบนกระจัดกระจายเต็มพื้นเสียงนี้ทำให้ชิงอีตกใจสะดุ้งโหยง"ท่านอ๋อง?"เซียวหลันยวนมาถึงนอกเรือน เรียกคนเข้ามา"ไปเรียกหมอทั้งหมดในเมืองหลวงมา!""ท่านอ๋อง หมอทั้งหมดรึ?""หมอทั้งหมด!" เซียวหลันยวนพูดไปด้วยพลางเดินไปด้านนอกประตูใหญ่ "เตรียมม้า""ท่านอ๋องจะไปไหน?" ชิงอีเกือบจะตามเขาไม่ทัน รู้ว่าท่านอ๋องเพิ่งอ่านจดหมายที่ส่งมาจากเมืองเจ้อ ชิงอีเองก็รู้สึกลนลานทำให้ท่านอ๋อ
ดังนั้น ต่อให้พวกเขาจะไม่พูด องครักษ์จวนอ๋องเจวี้ยนพวกนั้นจะต้องรายงานแน่นอน"สุขภาพอ๋องเจวี้ยนตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คงไม่สะดวกมาเมืองเจ้อหรอกกระมัง?""สุขภาพดีขึ้นมากแล้ว"อันเหนียนคดถึงวิทยายุทธ์ชั้นยอดบนตัวเซียวหลันยวน ยังคิดไม่ออกจริงๆ ว่าร่างกายแบบนั้นพูดว่าไม่ไหวได้ไหมหลังจากฟู่จิ้นเชินส่งจดหมายออกไป ก็ไปช่วยต่งฮ่วนจือจัดระเบียบวัตถุดิบยาแล้วต่งฮ่วนจือครั้งนี้ส่งวัตถุดิบยาเข้ามา เดิมทีก็เตรียมจะอยู่หลายวันหน่อย เพื่อจะไ้ดช่วยฟู่จาวหนิงด้วย ถึงอย่างไรคนที่จะจัดการวัตถุดิบยาได้ข้างกายนางก็ไม่มีใครผู้อาวุโสจี้ยังบอกกับเขาว่า ถ้าไม่ช่วย เขาก็จะมาเองแล้วต่งฮ่วนจือกล้าให้คนแก่อย่างท่านอาจารย์ต้องมาตกระกำลำบากได้ที่ไหน?จะว่าไป เขาเองก็อยากจะใช้การกระทำขอโทษกับศิษย์น้องหญิงด้วยเหมือนกันเขาอยู่ช่วยเหลือได้พอดี อย่างน้อยเรื่องการจัดยาเขาก็ทำได้ แล้วยังนำผู้ช่วยหมอเหล่านี้ได้อีกหลังจากฟู่จิ้นเชินให้คนนำจดหมายที่เขียนส่งให้เซียวหลันยวนส่งออกไปก็เอาแต่วุ่นดูแลคนป่วยอันเหนียนกับผู้บริหารท้องถิ่นโหยวเข้ามารออยู่พักหนึ่งถึงได้มีเวลาหยุดพักผ่อนอันเหนียนมอ