อันห่าวถลึงตามอง นอนอยู่ตรงนั้นอย่างว่าง่าย มองดูเซี่ยซื่อ จากนั้นก็มองฟู่จาวหนิง นิ้วของนางเกี่ยวนิ้วของฟู่จาวหนิงเอาไว้"จาวหนิง" เสียงของเซี่ยซื่อสั่นเล็กน้อย ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก "อันห่าวนางไม่กลัวเจ้า นางชอบเจ้า"อันห่าวใสซื่อบริสุทธิ์ ความชอบก็ตรงไปตรงมา น้อยมากที่จะมีคนเข้าใกล้นางได้เช่นนี้ตั้งแต่พบกันครั้งแรก และยอมเข้าหาตัวตนเอง ดังนั้นพอเห็นท่าทางของอันห่าว เซี่ยซื่อจึงดีใจมาก"พี่สาวเป็นหมอ สามารถไล่โรคร้ายบนตัวอันห่าวออกไปได้" ฟู่จาวหนิงยิ้มให้หลินอันห่าวดวงตาสุกใสของหลินอันห่าวเต็มไปด้วยความเชื่อใจ นางพยักหน้าฟู่จาวหนิงปักลงไปอีกหลายเข็ม หลินอันห่าวหนังตาค่อยๆ ปิดลง หลับไหลไปแล้ว"จาวหนิง อันห่าวหลับไปแล้วหรือ?" เซี่ยซื่อถามขึ้นเสียงแผ่ว"ถูกต้อง ข้าแทงจุดชีพจรช่วยให้หลับนอนแก่นาง นางต้องพักผ่อนสักครู่ แล้วข้าจะตรวจนางให้อย่างละเอียด" ฟู่จาวหนิงเก็บเข็มลงมา จับชีพจรให้กับหลินอันห่าว แลพบว่าร่างกายของนางไม่เลวนัก แต่มีเลือดลมหลายแห่งไหลเวียนไม่ดีนางยืนขึ้นมา เดินออกประตูไป ตรงไปด้านหน้าคนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ ยกเท้าขึ้นถีบหน้าอกเขาคนรับใช้นั่นถูกนางพัดจนหน้าหงาย
"ท่านอ๋อง บนเขานั่น ซือถูไป๋เคยช่วยชีวิตพระชายาเอาไว้ แล้วยังเอาอกเอาใจพระยาชาอย่างดีอีกด้วย" จงเจี้ยนเอ่ยขึ้น "ซือถูไป๋ ท่านอ๋องรู้จักกระมัง"อ๋องเจวี้ยนเหลือบมองเขาผาดหนึ่งเขาเองก็เคยเห็นซือถูไป๋ครั้งสองครั้ง และเคยได้ยินชื่อเสียงของซือถูไป๋ด้วย ที่คนพูดกันว่าคุณชายประดุจหยกล้ำค่า จันทร์ขาวกระจ่างแสง ก็คือพูดถึงซือถูไป๋คนนี้แต่ว่า ซือถูไป๋ไปรู้จักกับฟู่จาวหนิงตอนไหนกัน"กลับไปบ้านตระกูลฟู่เสีย"อ๋องเจวี้ยนไล่เขาเสียงเย็นจงเจี้ยนติดตามฟู่จาวหนิงไม่กี่วัน ทำไมตอนนี้เปลี่ยนเป็นปากเปราะเสียแล้ว?พอมาถึงบ้านตระกูลฟู่ หลินอันห่าวก็ตื่นขึ้นมาแล้วเซี่ยซื่อพานางออกมานอกประตู บนรถม้าล้วนเตรียมชุดสำรองเอาไว้หนึ่งชุด เสี่ยวเถากับคนใช้ของเซี่ยซื่อพานางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เซี่ยซื่อเดินมาอยู่เบื้องหน้าฟู่จาวหนิง คารวะให้กับนางอีกครั้งหนึ่ง"จาวหนิง ขอบคุณมาก ถ้าไม่ได้เจ้า ครั้งนี้อันห่าวก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี"ดวงตาเซี่ยซื่อแดงก่ำ กระทั่งยังอยู่ในอาการตระหนกไม่มั่นคงฟู่จาวหนิงกลับรู้สึกว่าเซี่ยซื่อคนนี้คารวะตนเองอย่างผิดสังเกต ว่าตามหลักการแล้วนางเป็นผู้อาวุโสกว่านะ"ท่านเอาแต่คา
"เจ้าเองก็ไม่ง่ายนักเลย" ผู้เฒ่าฟู่ถอนหายใจ "หลังจากคลอดอันห่าวมาก็ทำร้ายร่างกายจนมีบุตรไม่ได้อีก หลายปีมานี้หลินไห่เซิงก็เอาแต่หลงพวกภรรยาผู้น้อยกับอนุภรรยา เจ้ากับอันห่าวก็ผ่านคืนวันในบ้านตระกูลหลินอย่างลำบากเช่นกัน"ฟู่จาวหนิงเพิ่งรู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วยดูท่าเซี่ยซื่อที่เป็นบ้านหลักตอนนี้จะใช้ชีวิตได้ไม่ค่อยดีในบ้านตระกูลหลินกระมังเซี่ยซื่อดวงตาก็รื้นขึ้นมา"ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว จาวหนิงช่วยชีวิตอันห่าวไว้อีกครั้ง ข้าเองก็เห็นนางเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิต ไหนจะตอนนี้ที่นางเป็นถึงพระชายาอ๋องเจวี้ยนแล้วอีก จะขาดมารยาทไปได้อย่างไร""น้าสะใภ้รองของจาวหนิงมาแล้วหรือ?" ด้านนอกมีเสียงของฮูหยินรองดังลอดเข้ามาฮูหยินรองหลายวันนี้ไม่กล้าเข้ามาอยู่ต่อหน้าฟู่จาวหนิงเลย แต่ตอนนี้กลับเข้ามาแล้วเซี่ยซื่อยืนขึ้นมา ฮูหยินรองยื่นหน้าอยู่ที่ประตูไม่กล้าเข้ามา มองฟู่จาวหนิงด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ "จาวหนิง ข้ามาหาน้าสะใภ้รองของเจ้า เจ้าอย่าถือไม้กวาดมาไล่ตี้ข้านะ มีรุ่นหลังทำกับผู้อาวุโสเช่นนี้อย่างเจ้าเสียที่ไหนกัน"ฟู่จาวหนิงไม่พูดอะไรคนเหล่านี้กำลังวางแผนต่อบ้านตระกูลฟู่ นางยังตรวจสอบออกมาไม่ไ
"เพราะปากของท่านมันเหม็น ไสหัวไป" ฟู่จาวหนิงสายตาเย็นชาลงมาแล้วฮูหยินรองฟู่มองท่าทีนางเช่นนี้ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก หันตัวออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียด ตอนกำลังจะออกไปก็ถลึงตามองใส่หลินอันห่าวอีกทีหลินอันห่าวถูกเซี่ยซื่อปลอบไว้แล้ว มองฟู่จาวหนิงอย่างหวาดๆฟู่จาวหนิงเดินมาข้างหน้านาง กดมือทั้งสองยื่นไปหานาง "มา อันห่าว ข้าจะเลี้ยงลูกกวาดเจ้า แต่ว่า เจ้าต้องลองเดาดูนะว่าลูกกวาดอยู่ในมือข้างไหน?"หลินอันห่าวมองมือฟู่จาวหนิงอย่างอยากรู้อยากเห็น ชี้อย่างระมัดระวังไปที่มือขวา "ในนี้?"เสียงของนางแผ่วเบา"จ่างจางจ๊าง !" ฟู่จาวหนิงยิ้มออกมา แบมือขวาออกเหมือนเปิดจับรางวัล ในมือมีลูกกวาดที่ห่อกระดาษสีสันเอาไว้สองเม็ด "อันห่าวเก่งจังเลย ครั้งเดียวก็ทายถูกแล้ว มา นี่เป็นรางวัลของเจ้า"ลูกกวาดสองเม็ดวางไว้บนมืออันห่าว นางดีใจจนยิ้มออกมาเซี่ยซื่ออเห็นนางกล้าพูดคุยกับฟู่จาวหนิง แล้วยังถูกแหย่จนหัวเราะออกมาอีก น้ำตาแห่งความปีติก็ไหลรินออกมา"พวกเขาล้วนอยากจะเอาอันห่าวไปเป็นกรณีศึกษาอาการป่วยกันหมด จะเอานางไปร่วมพิธีเดิมพันโอสถ" ฟู่จาวหนิงพูดกับเซี่ยซื่อว่า "ท่านปฏิเสธไปคือถูกต้องแล้ว อันห่าวไม่เหม
เขาไม่น่าพบขนาดนั้นเลยหรือ ยกมาพูดไม่ได้เลยหรือ?"ท่านอ๋อง ไปไหม?" ชิงอีถามขึ้นพระชายาเดินไปจนไม่เห็นเงาแล้วเซียวหลันยวนร้องเชอะขึ้นมา เดินตามไปพอถึงในเรือนฟู่จาวหนิง ฟู่จาวหนิงก็สั่งให้เสี่ยวเถาไปชงชา ส่วนตนเองก็ไปล้างไม้ล้างมือหลังจากเซียวหลันยวนเข้ามาในห้องนางก็สนใจอยู่แต่กับเรื่องของตนเอง จึงโมโหขึ้นมา"ข้ายังคิดว่าอย่างน้อยเจ้าก็ควรจะอธิบายอะไรบ้าง""ท่านก็น่าจะเข้าใจดีไม่ใช่หรือ ท่านปู่ข้าไม่เชื่อใจท่าน รู้สึกที่ท่านมาแต่งงานกับข้ามีลับลมคมนัย ไม่ได้มาด้วยเจตนาดี ดังนั้นถ้าข้าบอกเขาไปว่าท่านเป็นคนหาป้ายตราสีม่วงนี้มาให้ เขาจะต้องคิดมากเป็นแน่" ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้นเรื่องนี้ตัวเขาเองก็รู้อยู่เต็มอก"ดังนั้นเจ้าจึงพูดโกหกหรือ?""ท่านมาทำอะไร?" ฟู่จาวหนิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเซียวหลันยวนเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามาทำอะไรเพราะจงเจี้ยนบอกว่านางโมโหอยู่ ดังนั้นเขาเลยมาดูหรือ?นางโมโหแล้วเกี่ยวอะไรกับเขากัน?"เจ้าให้จงเจี้ยนมาบอกข้า บอกว่าจะให้ข้าทำเรื่องที่สอง มันคืออะไร?""ท่านรีบขนาดนี้เชียว?" ฟู่จาวหนิงมองเขาอย่างประหลาดใจ อยากรีบช่วยนางทำเรื่องที่สองขนาดนี้เลยหรือ?
อุทยานท่าโม่ เป็นอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งใต้ชื่อของโรงหมอเมตตาอยู่ในสถานที่ที่รวมตัวของครอบครัวร่ำรวยในเมืองหลวงเพราะว่าที่นี่จะจัดพิธีเดิมพันโอสถแล้ว ดังนั้นถนนเส้นหนึ่งด้านนอกอุทยานท่าโม่จึงมีร้านรวงมากมาย และยังมีเด็กน้อยหิ้วตะกร้าออกมาเดินเร่ขายของหวานผลหมากรากไม้อีกด้วย คึกคักอย่างมากด้านนอกอุทยานมีลานเรียบๆ ที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง เวลานี้มีรถม้ามาจอดอยู่เต็มไปหมดคนขับรถเหล่านั้นไม่เข้าไปในอุทยาน ตอนที่กำลังเฝ้ารถม้าก็ยังสามารถไปเดินตามแผงร้านซื้อของได้ และยังมีบางส่วนก็ยังจับกลุ่มกันคุยโม้ คึกคักกันใหญ่ด้านนอกอุทยานท่าโม่มีโต๊ะยาวตัวหนึ่งวางไว้ มีชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวคอยตรวจเก็บป้ายเข้าประตูอยู่ว่ากันว่า ขอแค่ให้เงินพวกเขาสักส่วนหนึ่ง ก็ยังสามารถเอาของกินเล่นเข้าไปขายได้ด้วยฟู่จาวหนิงวันนี้พาเสี่ยวเถามาด้วย นางไม่รู้ว่าที่นี่เป็นอย่างไร เผื่อต้องมีคนมาเป็นม้าเร็วอะไรแบบนี้ เสี่ยวเถาถือว่าได้ใช้งานอยู่แต่ว่า จงเจี้ยนไม่วางใจ จึงติดตามมาด้วยป้ายเข้าประตูหนึ่งชิ้นสามารถพาผู้ติดตามเข้าไปได้สองคน จึงพาพวกเขาทั้งสองเข้าไปได้พอดีฟู่จาวหนิงหยิบป้ายตราส่งให้กับชายหนุ่
คำพูดนี้เหมือนแทงเข้าไปในใจซุนหลานอินเลยทีเดียวนางแม้จะออกเรือนกับตระกูลซ่ง ตระกูลซ่งมีท่านหญิงอยู่สองคน ท่านหยิงอวิ๋นเหยากับท่านหญิงหยวนหลิน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นหลานสาวขององค์หญิงใหญ่อีกด้วย แต่มีแต่นางที่ไม่มีตัวตนฐานะอะไรเลยไม่ใช่องค์หญิง ไม่ใช่ท่านหญิง ไม่ใช่พระชายา คุณชายใหญ่ซ่งก็ยังพยายามศึกษาอยู่ในสำนักบัณฑิตจะเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ในปีหน้าอยู่"นี่คือฮูหยินคุณชายใหญ่ตระกูลซ่ง องค์หญิงใหญ่คือน้าของฮูหยินน้อยของพวกเรา ตัวตนฐานะสูงส่งกว่าพวกเจ้ามากนัก!"ซุนหลานอินหน้าเปลี่ยนสี สาวใช้ข้างกายของนางรีบแจงตัวตนฐานะของนางออกมาทันที"องค์หญิงใหญ่คือน้าของนาง แล้วแม่ของนางก็เป็นองค์หญิงด้วยไหม?"ฟู่จาวหนิงคำนี้หันไปถามจงเจี้ยนนางรู้สึกแปลกจริงๆ ทำไมต้องแนะนำเช่นนี้ด้วย? บอกมาเลยว่านางเป็นลูกสาวขององค์หญิงอะไรมาก็พอแล้วนี่?จงเจี้ยนกระแอมทีหนึ่งถ้าไม่รู้ว่าฟู่จาวหนิงไม่รู้จักซุนหลานอินจริงๆ เขาคงคิดว่านางจงใจไปแล้วจงใจเหยียบจิตใจของซุนหลานอิน"มารดาของนางเพื่อจะออกเรือนกับตระกูลซุน ตอนนั้นจึงยอมสละตำแหน่งองค์หญิง ครั้งนั้นไท่ซ่างหวงโกรธมาก และยอมรับไป""ดังนั้น นางจึงท
ซ่งหยวนหลินเดิมทีอยากจะพูดตัวตนฐานะของฟู่จาวหนิงออกมาแล้ว แต่พอเห็นว่าวันนี้นางแต่งตัวธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นอ๋องเจวี้ยนเองก็ไม่ได้มาด้วยกัน ลูกตาจึงกลอกกลับ เข้าไปคล้องแขนของซุนหลานอิน "ข้าไม่รู้จักหรอก"นางถ้าบอกว่าไม่รู้จักฟู่จาวหนิงก็ถือว่าพูดได้อยู่อ๋องเจวี้ยนกับฟู่จาวหนิงแต่งงานกันวันนั้น ฟู่จาวหนิงก็คลุมหัวเอาไว้ตลอด นางไม่เห็นหน้าตาของนางเลยขอแค่นางไม่พูด ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นนางแอบไปที่เขาจันทร์ลับฟ้ามา?"นังสารเลวคนนี้ก็ไม่รู้ว่าใครปล่อยเข้ามา พิธีเดิมพันโอสถในอุทยานท่าโม่ครั้งนี้ ธรณีประตูคงจะต่ำเกินไปแล้ว หมาแมวอะไรก็ปล่อยเข้ามาหมด""ฮูหยิน ท่านอย่าไปยุ่งกับคนเช่นนี้เลย" ซ่งหยวนหลินเห็นว่าที่นี่มีคนมากมาย รู้สึกว่าไม่ใช่โอกาสลงมือที่ดีนัก "พวกเรารีบไปที่สวนหลักกันเถอะ ได้ยินว่าทางนั้นมีคนนำดอกไม้ประหลาดช่อหนึ่งออกมาด้วย รีบไปดูกัน""จริงหรือ?"ซุนหลานอินเองก็สนใจขึ้นมา ถลึงตามองฟู่จาวหนิง "เห็นแก่หน้าเจ้าแล้วกัน จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนชั้นต่ำแบบนี้""ใช่ ฮูหยิน ไปกันๆ ส่วนพวกนี้คือเหล่าผองเพื่อนจากสำนักบัณฑิตชิงหวาของพวกเรา ข้าพาพวกเขามาดู""สำนักบัณฑิตชิงหวา ต้อ
และมีเหล่าขุนนางใหญ่แอบคุยกันถึงเรื่องนี้องค์จักรพรรดิโมโหจนล้มป่วยส่วนเหล่าทูตจากแคว้นหมิ่นก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หลังจากหยวนอี้กลับมา ก็บอกกับภายนอกว่าไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม แล้วจึงอยู่แต่ในวังราชนิเวศน์ไม่ออกไปพบใครตอนนี้ยังออกไปลำบากแต่ความเป็นจริงคือเนื่องจากองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นบาดเจ็บ จำเป็นต้องหลบเพื่อพักฟื้นก่อนองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็แต่งตัวเป็นสาวใช้วังซ่อนอยู่ในวังราชนิเวศน์ระหว่างทางจากเมืองเจ้อกลับเมืองหลวง นางเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด เฉินเซียวตายไปแล้ว องครักษ์ของนางก็ตาย เหลือแค่นางคนเดียว ตอนนี้จึงจำใจต้องพึ่งพาหยวนอี้ไปก่อนไม่ใช่แค่หยวนอี้ที่บาดเจ็บ นางเองก็บาดเจ็บด้วยก่อนหน้านี้ป่วยไปรอบหนึ่ง บวกกับการบาดเจ็บครั้งนี้ องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นผอมลงไปมากเมืองเจ้อเองก็สงบไปอีกหลายวันครึ่งเดือนต่อมา ฟู่จาวหนิงในที่สุดก็ควบคุมโรคระบาดเอาไว้ได้ทั้งหมด เมืองเจ้อยกเลิกการปิดเมืองคนทั้งเมืองล้วนดีใจกันอย่างบ้าคลั่งวันที่ฟู่จาวหนิงจะออกจากเมืองเจ้อ ประชาชนทั้งเมืองก็มาล้อมส่งที่ถนนอยู่ในเมืองเจ้อนานขนาดนี้ ฟู่จาวหนิงก็รู้สึกผูกพันกับเมืองเจ้อขึ้นมาแล้ว แต่
โจวติ้งเจินถูกผลักออกไปจากเมืองเจ้อมาได้ครึ่งทางเขาก็ได้สติขึ้นมา พอรู้ว่าตนเองต้องถอนกำลังแบบนี้ ก็โมโหจนแทบจะเป็นลมไปอีกรอบแต่เขาก็ถ่ายหนักจนตัวโยน ตอนนี้แค่แรงจะด่าก็ยังไม่มีเพราะในป่าในเขา เขากระทั่งไม่มีกระดาษแล้ว ดังนั้นจึงต้องใช้ใบไม้กับกิ่งไม้มาจัดการ ตอนนี้รูทวารเองก็เต็มไปด้วยแผล ขยับทีก็เจ็บเหลือแสน"กลับ กลับไป..."รองขุนพลเห็นสภาพแบบนี้ของเขา ก็เอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจว่า "ท่านขุนพล ครั้งนี้พวกเราช่างมันเถอะ อ๋องเจวี้ยนกับพระชายาอ๋องเจวี้ยนร่วมมือกัน วิธีการก็ชั้นต่ำมาก ไม่รู้ว่ายาพวกนั้นของพวกเขาจัดการมาอย่างไร ถ้าพวกเรายังไปอีก ไม่รู้ว่าต้องติดยากันอีกกี่รอบนะ"ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทางนั้นก็ไม่มีอะไรกินกันแล้ว เดิมทีคิดว่าวันสองวันก็น่าจะจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ใครจะคิดว่าอ๋องเจวี้ยนจะไร้เหตุผล ถึงกับใช้วิธีการแบบนี้แล้ววรยุทธ์ของอ๋องเจวี้ยนก็ห่างชั้นกับพวกเขา ตราบใดที่ไม่ต้องปะทะกับท่านขุนพล เขาก็แฝงเข้ามาในกลุ่มพวกเขาได้ ถ้าหากเข้ามาก็ไม่มีใครขวางอยู่หรอกพวกเขาถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อ ยังไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร ต่อให้ไม่ตายชีวิตก็น่าจะหายไปซักครึ่งอยู่"ท่านขุน
โจวติ้งเจินไม่อยากจะออกไปไกลหน่อยเสียที่ไหน?แต่เขาทำไม่ไหวน่ะสิ!ท้องเสียครั้งนี้ ลากยาวไปถึงสามวัน!คืนวันที่สอง พวกทหารที่เรี่ยวแรงหายไปก็ฟื้นกลับมาพอควรแล้ว โจวติ้งเจินกลับล้มลงไปแทนเขาถ่ายออกมาจนทั้งเนื้อตัวซีดไปหมด ไม่มีแรงจะพูดจาเลยทีเดียวตอนที่เขาเตรียมจะรองขุนพลเตรียมเข้าไปตีเมือง รองขุนพลก็เริ่มท้องเสียบ้างแล้ววันที่สาม เขาออกคำสั่งอย่างอ่อนแรงให้ทหารเข้าไปโจมตีเมือง ให้รองขุนพลน้อยหลายคนนำทหารออกไป เหล่าทหารก็ไม่มีแรงกันขึ้นมาอีก!ทหารกว่าครึ่งล้มลงไปนอนระเนระนาดอีกครั้ง ลุกกันไม่ขึ้นแผนการโจมตีเมืองถูกบีบให้หยุดชะงักอีกครั้งโจวติ้งเจินโมโหจนเกือบจะเส้นเลือดในสมองแตกเขาตอนนี้ยังมองไม่ออกที่ไหนว่าเป็นฝีมือเซียวหลันยวน?แต่เขาก็คิดไม่ออกว่าอีกฝ่ายวางยามาได้อย่างไร! ยาพวกนั้นทำไมถึงไม่มีสีมีกลิ่นเลย"ต้องเป็นฟู่จาวหนิงแน่ๆ ต้องเป็นยาที่นางทำขึ้นมา..."สุดท้ายโจวติ้งเจินคิดออกถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้เขาก็ถ่ายออกมาจนตัวโหวง ลุกไม่ขึ้นที่นี่ไม่มีอะไรที่กินได้แล้ว ต่อให้ล่าสัตว์มา ตอนนี้เขาก็กลืนไม่ลงถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป โจวติ้งเจินรู้สึกว่าตัวเองต้องตายแน่รองขุนพ
อันเหนียนรู้สึกว่า สามีภรรยาอย่างพวกเขาทั้งสองคนถ้าอยู่ด้วยกันนานอีกหน่อย อาจจะมีอะไรใหม่ๆ ออกมาอีกก็ได้ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นคู่สวรรค์สร้าง ใครก็แทรกกลางเข้าไปไม่ได้เซียวหลันยวนเดินเข้ามา เห็นอันเหนียนกำลังคุยอยู่กับฟู่จาวหนิงเขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงเดินเข้ามา ยืนอยู่ข้างๆ ฟู่จาวหนิง แต่มองไปทางอันเหนียน"คุยอะไรกัน?"คุยกันสนุกเชียวนะ? เหมือนจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าอันเหนียนด้วยฟู่จาวหนิงเองก็สีหน้ามีชีวิตชีวาเหมือนกันเอาอีกแล้ว อันเหนียนก่นด่าในใจ เจอเข้ากับสายตาของเซียวหลันยวน "กำลังคุยกับพระชายา ว่าพวกท่านตอนนี้นิสัยคล้ายคลึงกันเรื่อยๆ แล้ว""อย่างนั้นหรือ? พวกเราเป็นสามีภรรยา จะคล้ายกันมันก็เรื่องปกตินี่" เซียวหลันยวนบีบแขนฟู่จาวหนิง"มือทำไมเย็นนักล่ะ?" ฟู่จาวหนิงโดนความเย็นของมือเขาดึงความสนใจไปทันที นางพลิกกลับมากุมมือเซียวหลันยวน มืออีกข้างก็ปลดหน้ากากของเขาลงมาพอปลดหน้ากากถึงจะเห็นสีหน้าของเขาดูแล้วยังดีอยู่"ฝนตกลงมาครู่หนึ่ง แล้วนอกเมืองก็อากาศเย็นมาก" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้น ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด "หนิงหนิงให้ข้ากอดหน่อย เดี๋ยวก็อุ่นขึ้นแล้ว"แค่กๆอันเหนียน
ยาครั้งนี้ มีประสิทธิภาพมากจริงๆพอถึงตอนฟ้าสาง มีคนป่วยหนักแต่เดิมหลายคน มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเดิมทีที่ป่วยจนไม่รู้สึกตัวแล้ว วันนี้ตอนเช้าก็สามารถประคองตัวลุกขึ้นนั่งมากินข้าวต้มได้นี่ทำให้คนทั้งหมดดีใจกันมากมีผลลัพธ์เช่นนี้ ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวรู้สึกว่าตนเองวันนี้เดินเชิดหน้ายืดหลังตรงได้เสียทีนี่อธิบายได้ว่ามีความหวังแล้วจริงๆ! ไม่สิ พูดว่าเป็นความหวังไม่ได้แล้ว มันมีผลลัพธ์ที่ดีแล้วต่างหากตอนที่ฟู่จาวหนิงวุ่นอยู่ทั้งคืน เซียวหลันยวนเองก็ออกไปทั้งคืนไม่ได้กลับมาตอนที่ฟู่จาวหนิงได้พัก ได้กินข้าวเช้า จึงเพิ่งนึกได้ว่าเซียวหลันยวนไม่รู้หายไปไหนนางถามสืออี สืออีก็ดูจะตื่นเต้นขึ้นมารางๆ"ท่านอ๋องออกเมืองไปแล้วขอรับ"ออกเมือง?เซียวหลันยวนออกจากเมือง แล้วทำไมสืออีถึงดูตื่นเต้น?"หรือจะออกไปหาโจวติ้งเจิน?" ฟู่จาวหนิงตกตะลึงถึงแม้ทหารส่วนใหญ่จะโดนพิษที่ทำให้เสียกำลังในการต่อสู้ไป แต่ก็มีส่วนน้อยที่ไม่ได้โดนพิษ หรืออาจจะมีคนที่โดนพิษไปน้อยมาก นั่นก็ยังสู้ได้อยู่นะองครักษ์ของเซียวหลันยวนส่วนใหญ่ยังอยู่ที่นี่ เพราะเมื่อคืนตอนที่นางวิ่งไปดูแลคนป่วยตรงนั้นตรงนี้ ย
แต่ว่านางเองก็เห็นว่าฝนเองก็ตกอย่างที่ฟู่จิ้นเชินคำนวณไว้จริงๆตอนนี้พอเห็นสีหน้าของฟู่จิ้นเชินกับอันเหนียน ก็รู้ว่าน่าจะเรียบร้อยดี"ให้ใต้เท้าอันเล่าเถอะ เขาเล่านิทานเก่งกว่าข้า" เซียวหลันยวนไม่ค่อยชินที่ต้องพูดอะไรยาวๆ สถานการณ์แบบนี้ให้อันเหนียนพูดดีที่สุดอันเหนียนเองก็ดูจนใจ นี่มองเขาเป็นพวกนักเล่านิทานหรือไรกัน?ปกติเขากับพูดกับพระชายามากหน่อย อ๋องเจวี้ยนก็จะหึงหวงขึ้นมา แล้วมาใช้เขาแบบนี้ ไม่หึงแล้วเรอะ?ถึงแม้จะไม่ค่อยพอใจ แต่ตอนที่สายตาคาดหวังของฟู่จาวหนิงหันมา อันเหนียนก็เล่าฉากเมื่อครู่ออกมาอย่างมีชีวิตชีวาฟู่จาวหนิงหลังจากฟังก็อดขำขึ้นมาไม่ได้"ดูท่าขุนพลโจวคืนนี้คงจะน่าเวทนาเอาเรื่อง ฤทธิ์ของผงยานั่น ก็ทำให้พวกเขากระทั่งแรงจะตั้งค่ายก็ยังไม่มีจริงๆ นั่นล่ะ"ยิ่งไปกว่นั้นพวกเขายังไม่มีแรงจะเดินไปไหนไกลได้ด้วยถ้าหากฝนตกทั้งคืน เช่นนั้นพวกเขาก็อาจจะต้องตากฝนกันทั้งคืนและคืนนี้ โจวติ้งเจินก็ซมซานจนต้องด่าพ่อล่อแม่ออกมาเลยทีเดียวแต่ว่าคนมากมายแค่แรงจะด่าก็ยังไม่มียังดีที่ฝนห่านี้ไม่ได้มีฟ้าผ่า พวกเขาถอยลงไปตีนเขากันอย่างยากลำบาก ที่นั่นมีต้นกล้วยอยู่ผืนใหญ่ แล
เหล่าทหารถ้าให้บอกว่าตัวเองไม่สบายตรงไหน แล้วยังไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือปวดท้องปวดบิดปวดหัวหรืออยากถ่ายอะไรทำนองนั้นเลยพวกเขาแค่รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงอย่างเดียวเท่านั้น!"แม่งเอ๊ยจู่ๆ ก็มาอ่อนแรงเป็นผู้หญิงได้ยังไงกัน!" มีคนอดก่นด่าตัวเองขึ้นมาไม่ได้ คิดจะยกมือขึ้นทุบตัวเองก็ยังไม่มีแรงเลยตอนนี้จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่าอะไรคืออ่อนแอดั่งหลิวต้องลม ปวกเปียกจนดูแลตัวเองไม่ได้มีคนลงไปนอนบนพื้นขนาดแค่จะปีนขึ้นมาก็ยังไม่มีแรง"ลุกขึ้นมา!""บอกให้พวกเจ้าลุกขึ้นมา ไม่ได้ยินรึ? อย่าบีบให้ข้าต้องซัดพวกเจ้านะ!"โจวติ้งเจินโมโหจนมึนงง ตะโกนขึ้นดังลั่น กระโจนลงมาจากม้า สาวเท้าเดินเข้าไปข้างตัวทหารที่อยู่ใกล้เขาที่สุด ยกเท้าขึ้นเตะคนที่นอนอยู่บนพื้น"ลุกขึ้นมาได้ยินไหม? พวกเจ้าดูซิพวกเหมือนตัวอะไรกันไปแล้ว?"มาตีเมืองกันแท้ๆ แต่ตอนนี้ดันมานอนบนพื้น! มานอนกันจนทำให้คนบนหอเมืองหัวเราะเยาะ! ดูแล้วยังเป็นเขาด้วยที่กลายเป็นเรื่องตลก!"พวกเจ้าสภาพแบบนี้ ขุนพลอย่างข้าก็เหมือนเข้ามาเป็นตัวตลกให้เขาดูแล้ว!"เข้ามาเป็นตัวตลกให้เซียวหลันยวน!และตอนนี้ บนหอเมืองก็มีเสียงของเซียวหลันยวนลอดเข้ามา"ข
มีคนตกใจมีคนร้องโหยหวนมีคนมีคนที่กระโดดโลดเต้นและมีคนที่จะกระโดดก็ยังกระโดดไม่ขึ้น หลังจากล้มลงบนพื้นก็ถูกคนข้างๆ ล้มทับกันเข้ามาอีกชั่วขณะหนึ่ง ท่วงท่าที่องอาจน่าเกรงขามแต่เดิมของทหาร ก็ดูสับสนโกลาหลเหมือนสุนัขเหมือนไก่ขึ้นมาแม้เอาทหารมากมายไปเทียบกับสุนัขกับไก่จะไม่ค่อยเหมาะสม แต่สภาพเช่นนี้ก็ค่อนข้างใกล้เคียงกัน เพราะเดิมทีเหล่าทหารก็เตรียมพร้อมจะโจมตี จัดกระบวนกันเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ ก็หมดเรี่ยวแรงกัน จึงควบคุมไว้ไม่อยู่โจวติ้งเจินพอเห็นสถานการณ์ก็ยิ่งโกรธยิ่งร้อนรนชั่วขณะหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ยิ่งไปกว่านั้นฤทธิ์ยาของคนเหล่านี้ก็ไม่เหมือนกันด้วย มีพวกที่อยู่ใกล้หน่อยสูดกันเข้าไปก่อน มีบางส่วนสูดเข้าไปช้าหน่อย บางคนก็สูดเข้าไปมาก บางคนก็สูดเข้าไปน้อยแล้วยังต้องดูกำลังภายในคุณสมบัติร่างกายของแต่ละคนด้วยอย่างโจวติ้งเจิน วรยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งที่สุด กำลังภายในลึกล้ำ ดังนั้นเขาตอนนี้ยังไม่รู้สึกไม่สบายเท่าไรนักและเพราะเขาที่อยู่ตรงนี้ ตัวเขาไม่สังเกตเห็นความผิดปกติในร่างกาย จึงยิ่งไม่เข้าใจว่าเหล่าทหารเกิดอะไรกันขึ้น"วันนี้กินอะไรกันเข้าไป? โดนพิษอะไรเข้าหร
ฟู่จาวหนิงมั่นใจอย่างมากต่อยาที่ตนเองสกัดขอแค่องครักษ์เหล่านั้นสามารถสาดยาออกไปตามทิศทางลมได้ อย่างน้อยก็ต้องทำลายพลังต่อสู้ของทหารได้ครึ่งหนึ่งยิ่งไปกว่านั้นประสิทธิภาพของยานี้ก็อยู่ได้ถึงเกือบหนึ่งวันเต็มจึงจะอ่อนกำลัง เวลาหนึ่งวัน เพียงพอจะให้โจวติ้งเจินลนลานจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ทหารจำนวนมากขนาดนี้ล้อมเมืองอยู่ อยู่ดีดีก็ไม่มีเรี่ยวแรง แค่ไปหาสาเหตุก็แทบแย่แล้วโจวติ้งเจินตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเห็นว่าหนึ่งชั่วยามที่กำหนดให้กับโหยวจางเหวิน อีกฝ่ายกลับไม่ยอมเปิดประตูเมืองส่งคนป่วยออกมา ก็รู้ว่าโหยวจางเหวินต้องคิดจะปกป้องคนป่วยเหล่านั้นแน่นอน"โง่เขลาเสียจริง โหยวจางเหวินคิดว่าตัวเองเป็ฯคนใจบุญมากนักหรือไรกัน? เขาคิดว่าตัวเองจะปกป้องคนมากขนาดนี้ในเมืองเจ้อได้เรอะ? ยังคิดว่าอ๋องเจวี้ยนกับพระชายาอ๋องเจวี้ยนจะมาคอยหนุนเขาได้หรือไรกัน?"โจวติ้งเจินกัดฟัน เรียกรองขุนพลออกมา "เตรียมโจมตีด้วยไฟ แล้วก็เตรียมบุกประตูเมือง"พวกเขาเดิมทียังมีแผนสำรองแบบนี้ไว้ด้วยต่อให้ไม่คิดจะโจมตีเข้าเมืองจริงๆ แต่ก็ยังจะทำท่าทีแบบนั้น ใช้ไม้ซุงทลายประตูโจมตีเข้ามาที่ประตูเมือง ทำให้เกิ