พวกเขาพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่ควรพูดก็พูดหมดแล้ว ตอนนี้พวกเขามีความรู้สึกเหมือนใกล้จะถูกพวกเขามองมาทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงกลับมองไปทางเซียวหลันยวนมือข้างหนึ่งของนางกุมมือเขนแน่น สัมผัสได้ถึงไฟโกรธที่เขาระงับไว้นายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา เตรียมจะปลดหน้ากากของเขาออกตอนนี้ นางอยากให้ท่านปู่กับฟู่จาวเฟยได้เห็นใบหน้าของเซียวหลันยวนแต่เซียวหลันยวนก็เบี่ยงออกเล็กน้อย เลี่ยงมือของนางออกมา"อายวน" นางเรียกเขาเสียงแผ่วเบา"สวมไว้ก่อนเถอะ" เสียงของเซียวหลันยวนฟังแล้วสงบนิ่งเหมือนไม่มีอารมณ์ใดยิ่งไปกว่านั้น ในเวลาเช่นนี้ มือที่จับนางไว้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ราวกับกำลังปล่อยมือจากตัวนางชั่วพริบตานั้น ฟู่จาวหนิงก็พลิกมาจับเขา นิ้วสอดประสานกันและกันกับนิ้วทั้งสิบของเขานางชูมือของทั้งสองคนขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะเซียวหลันยวนตะลึงงัน มองนางเดิมทีคิดจะพูดอะไร แต่ก็หยุดอยู่ที่คอหอยสายตาของผู้เฒ่าฟู่กับฟู่จาวเฟยก็มองไปยังมือที่กุมกันอยู่นั้นฟู่จาวหนิงมองผู้เฒ่าฟู่เสียงของนางดังขึ้นแจ่มชัด เอ่ยขึ้นทีละคำอย่างตั้งใจ"ท่านปู่ ข้ากับอายวนรักกันแล้ว ตัดสินใจว่าจะปกป้องกันไปชั่วชีวิต หลังจากนี้ไม
ใจของเซียวหลันยวนอ่อนลงมาแล้วเขาคือคนที่ฟู่จาวหนิงคิดจะปกป้องไม่มีใครเคยพูดว่าจะปกป้องเขาเขาคิดมาตลอด ว่าต่อให้ร่างกายตนเองแย่ลง ติดพิษ อยู่ได้ไม่ถึงอายุสามสิบ เช่นนั้นก็จะพยายามอยู่ต่อไปทีละวันๆด้านหลังเขายังมีคนเหล่าที่ติดตามเขามาตลอดเหล่านั้นอยู่ แล้วยังมีคนเหล่านี้ของจวนอ๋องเจวี้ยนด้วย ถ้าหากเขาตายไป พวกเขาคงจะลำบากมากพวกของชิงอีหลานหรงเหล่านั้น เดิมทีก็ถูกเขาเก็บมาตอนที่แทบจะเอาตัวไม่รอดยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ล้วนเคารพศรัทธาเขา เชื่อมั่นในความสามารถของเขา เชื่อมั่นว่าติดตามเขาแล้ว จะช่วงชิงฟ้าดิน จะมีวันคืนที่ดีขึ้นมาพวกเขาล้วนเป็นคนที่ทุ่มเทด้วยชีวิตแต่ฟู่จาวหนิงกลับพูดว่า เขาเป็นคนที่นางจะปกป้อง"ท่านปู่ ข้ารู้ว่าท่านกังวลข้า เป็นห่วงข้า แต่ว่าข้าเองก็กังวลอายวนเป็นห่วงอายวนเหมือนกัน เขาเป็นสามีของข้า ไม่ว่าหลังจากนี้เขาต้องเผชิญกับอะไร ข้าก็จะยืนอยู่ข้างกายเขา ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้ากับเขาล้วนไม่ใช่คนที่จะมารังแกกันง่ายๆ"ฟู่จาวหนิงมองผู้เฒ่าฟู่ น้ำเสียงเองก็อ่อนลงมาแล้วเช่นกัน"องค์จักรพรรดิถ้าหากจะไม่เอาเขาไว้ เช่นนั้นข้าก็จะช่วยเขาสู้กับองค์จักรพรรดิ เขาคิดจ
นี่คือสมบัติล้ำค่าของทั้งชีวิตเขา เขาจะปกป้องมันให้ดี จะไม่ใช้ลมปากอะไรมารับประกันทั้งนั้นผู้เฒ่าฟู่พอได้ยินคำนี้ของเขาก็ถอนใจโล่งออกมา เพราะคำพูดนี้ก็ฟังออกถึงความคิดต่อตัวฟู่จาวหนิงของเซียวหลันยวนแล้ว"ทุกท่าน อาหารเย็นชืดหมดแล้ว ข้าจะให้คนนำไปอุ่นสักครู่"ผู้ดูแลจงก็เดินเข้ามาอย่างพอเหมาะพอเจาะ สั่งการให้สาวใช้นำกับข้าวยกออกไปอุ่นเซียวหลันยวนลุกขึ้นยืน "หนิงหนิง เจ้าอยู่กินกับท่านปู่และเสี่ยวเฟยเถอะ ข้าจะไปห้องหนังสือเสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงมองเขาครู่หนึ่ง น่าจะเพราะเข้าใจความคิดเขา จึงพยักหน้าให้ "เดี๋ยวจะให้ชิงอีส่งอาหารไปให้ท่าน""ได้" เซียวหลันยวนเองก็ไม่ปฏิเสธพอเขาออกไป ผู้เฒ่าฟู่กับฟู่จาวเฟยดูมึนงงหน่อยๆ ในใจก็ดำดิ่ง"จาวหนิง อ๋องเจวี้ยนยังโกรธอยู่หรือ?"กระทั่งข้าวก็ยังไม่อยากมานั่งกินกับพวกเขาแล้วหรือ?ก็จริง คำพูดเหล่านั้นที่เขาพูดเมื่อครู่มันทำร้ายจิตใจเสียเหลือเกิน"ไม่ใช่ ท่านปู่ สำหรับคนของบ้านตนเอง เขาไม่ใช่คนที่จิตใจคับแคบขนาดนั้น ท่านต้องเชื่อมั่นในตัวอายวนหน่อย เขาจะต้องคิดถึงเรื่องอะไรที่ต้องรีบไปจัดการแน่นๆ ท่านเองก็รู้ว่าสถานการณ์ของพวกเราตอนนี้ไม่ได้ผ
หงจั๋วไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนไปที่ไหน"ท่านอ๋องไม่ได้บอกไว้เจ้าค่ะ แค่ให้ข้าน้อยมาแจ้งกับพระชายา บอกว่าพักผ่อนไวไว อย่าให้ตัวเย็นนัก"พอมาถึงในห้อง เฝิ่นซิงก็ตรงเข้ามารับ ดวงตาเป็นประกาย"พระชายา ท่านรู้ไหมว่าก่อนที่จะออกไปท่านอ๋องให้ข้าน้อยทำอะไร?"ฟู่จาวหนิงหัวเราะ"ทำอะไรหรือ?""ให้ข้าน้อยเอาหม้อร้อนหลายใบใส่ไว้ในผ้าห่ม ท่านอ๋องบอกว่าเช่นนี้พอพระชายาขึ้นบนเตียงก็จะอบอุ่นขึ้นมา"ท่านอ๋องเอาใจใส่สุดๆ ไปเลยฟู่จาวหนิงใจอุ่นวาบขึ้นมาเซียวหลันยวนจำได้ว่านางมีประจำเดือน กลัวว่านางจะหนาวสินะอันที่จริงตอนแรกเขาก็รู้สึกว่า เซียวหลันยวนคนนี้ ขอแค่เขายอมเท่านั้น เขาจะกลายเป็นคนที่เอาใจใส่อย่างละเอียดคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีคนให้เขาได้ใส่ใจนั่นเองตอนนี้เขาเอาใจใส่มาไว้บนตัวนาง นางรู้สึกว่าโชคดีสุดๆ"ข้าเพิ่งจะกินยังไม่อยากนอนน่ะ" ฟู่จาวหนิงเดินมานั่งลงที่แคร่นิ่ม "พวกเจ้าอยู่คุยกับข้าก่อน ลองเล่ามาหน่อยว่าครึ่งปีนี้ในเมืองหลวงกับจวนอ๋องมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง""พระชายาจะถามถึงชิวอวิ๋นพวกนั้นใช่ไหม?" หงจั๋วเอ่ยขึ้นทันที"อื๋อ?"ฟู่จาวหนิงเดิมทียังนึกไม่ถึงเรื่องชิวอวิ๋นด้
ฟู่จาวหนิงเองก็อดชมขึ้นมาคำหนึ่งไม่ได้...หญิงงามบานสะพรั่ง ระยิบระยับเจิดจ้าอวิ๋นจูงดงามมาก แต่สิ่งที่ดึงดูดคนยิ่งกว่าใบหน้านางคือผิวของนางถูกต้อง อวิ๋นจูขาวมากขาวจนเหมือนส่องแสงได้อย่างไรอย่างนั้นความขาวบดบังความไม่น่ามองทั้งมวล แล้วนางเองก็สวยอยู่แล้วด้วยฟู่จาวหนิงพอเห็นสาวงามที่ผิวขาวราวหยกคนนี้ก็อดถลึงตาโตไม่ได้ตอนนี้นางจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมหงจั๋วกับเฝิ่นซิงถึงบอกว่าคุณหนูอวิ๋นคนนี้งดงามกว่าคนมากมายในเมืองหลวงยังไม่ต้องพูดเรื่องใบหน้า เอาแค่ความขาวของผิวนางก็ชนะคนอื่นไปส่วนใหญ่แล้วหลังจากอวิ๋ฯจูคารวะให้นาง ก็เห็นนางไม่ตอบกลับ จึงเอ่ยซ้ำขึ้นมาคำหนึ่ง"อวิ๋นจูคารวะพี่หญิงพระชายา"ฟู่จาวหนิงได้ยินคำพูดนาง เพียงแต่สายตายังคงพิจารณาอยู่อันดับแรก คำเรียกอย่างพี่หญิงพระชายาทำเอานางรู้สึกขบขัน"เจ้าชื่ออวิ๋นจูหรือ?""ถูกต้อง สกุลอวิ๋น ชื่อจูคำเดียว" เสียงของอวิ๋นจูอ่อนช้อยมากนางสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน คลุมด้วยผ้าคลุมขนกระต่ายสีขาว บนตัวมีกลิ่นหอมจางๆ ตอนที่เพิ่งเข้าประตูมาด้านนอกก็มีลมพัดเอากลิ่นนี้เข้ามาพอดีกลิ่นหอมนี้พิเศษมาก หอมอ่อนโยนและสง่างาม แตกต่างกับความห
ฟู่จาวหนิงมองไปทางหงจั๋วเฝิ่นซิงอีกครั้งราชวงศ์แคว้นเจาคือสกุลเซียวอ๋องฉยงไม่ใช่เป็นญาติกับองค์จักรพรรดิหรอกหรือ?อวิ๋นจูในเมื่อเป็นลูกสาวของเขา เช่นนั้นทำไมจึงไม่ใช่สกุลเซียว แต่เป็นสกิลอวิ๋น?เฝิ่นซิงกดเสียงต่ำ เข้ามาป้องข้างหูนาง "คุณหนูอวิ๋นใช้นามสกิลตามมารดาเจ้าค่ะ"ดังนั้น อ๋องฉยงจึงสกุลเซียวสินะ"ใช้สกุลอวิ๋นหรือ?"หาได้ยากจริงๆ จะพูดอย่างไรก็ถือว่าเป็นสายเลือดของราชวงศ์นะ แล้วอ๋องฉยงกลับให้ลูกสาวใช้สกุลตามมารดาหรือ?อวิ๋นจูดวงตาแดงรื้นขึ้นมาอีกสามส่วน ดูแล้วน่าสงสารเอามากๆนางกัดริมฝีปากล่าง กำลังเตรียมจะพูดอะไร ฟู่จาวหนิงก็เดินเข้ามาก่อน "ในเมื่อเจ้าเป็นลูกสาวของอ๋องฉยง เช่นนั้นมาพักอยู่ในเรือนอ๋องเจวี้ยนจึงไม่เหมาะสม ข้าจะให้คนส่งเจ้ากลับไปวังราชนิเวศน์ก็แล้วกัน"พูดจบนางก็ร้องเรียกขึ้นมา "สืออี"อวิ๋นจูนั่งไม่ติดแล้ว นางลุกขึ้นยืน ทำท่าเหมือนจะล้ม "น้องหญิงพระชายา...""เฮอะ"สีหน้าฟู่จาวหนิงขรึมลงไปอีก สีหน้ามีแววประชดประชันขึ้นมา"ได้ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่ดึกข้ายังไม่อยากนอน จะให้เวลาเจ้าได้สาธยายเสียหน่อย มาๆๆ เจ้าลองอธิบายกับข้าหน่อยสิ ว่าพี่หญิงน้องหญิ
เซียวหลันยวนกลับมาตอนใกล้จะเช้าหนาวเย็นไปทั้งตัว จึงไม่อยากกลับไปทำให้ฟู่จาวหนิงต้องเย็นไปด้วย ดังนั้นจึงไปยังห้องหนังสือผู้ดูแลนำน้ำแกงมาประทังท้องและไล่ความหนาวให้กับเขา พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้"แค่ไม่กี่คำก็ทำเอาสลบไปเลยหรือ?"เซียวหลันยวนหลังจากได้ยินสีหน้าก็ไม่ค่อยสู้ดีนักชั่วขณะหนึ่ง ผู้ดูแลจงยังไม่ค่อยเข้าใจ ว่าท่านอ๋องโมโหที่พระชายาทำให้อวิ๋นจูโกรธจนเป็นลมหรือว่าเรื่องอะไรเซียวหลันยวนรู้เรื่องที่อวิ๋นจูมาอยู่ในจวนไม่ได้ไวไปกว่าฟู่จาวหนิงหนักตอนที่หงจั๋วกับเฝิ่นซิงพูดถึงเรื่องในจวนกับฟู่จาวหนิงกันสามคนนั้น ผู้ดูแลก็เพิ่งจะบอกเขาเพียงแต่เขาตอนนั้นมีเรื่องที่ต้องออกไปจัดการ จึงไม่ได้สนใจไปชั่วคราวคิดไม่ถึงว่าพอกลับมากลางดึกจะได้ยินเรื่องเช่นนี้"ท่านอ๋อง คุณหนูอวิ๋นหลังจากสลบไปก็ถูกส่งไปที่เรือนแขกแล้ว เพียงไม่นานก็ตื่นขึ้นมา น่าจะไม่ได้เป็นอะไรมาก พระชายาเองก็คงไม่ได้ตั้งใจ นางไม่รู้เรื่องของอ๋องฉยงเลย ดังนั้นพูดจาจึงค่อนข้างตรงไปตรงมา..."ผู้ดูแลจงเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาอย่างระมัดระวังเซียวหลันยวนเหล่มองเขาผาดหนึ่ง "เจ้ากำลังพูดแทนพระชายาหรือ?"นี่คิดจะมาขอขม
"ไปเอาน้ำร้อนมาหน่อย ใส่หยาดหิมะลงไปด้วย ข้าจะเอามาประคบ"หยาดหิมะเป็นยาน้ำที่พวกเขาติดมา ปกติผิวของนางเป็นแผลได้ง่ายมาก จึงต้องประคบร้อนอยู่บ่อยๆ"่เจ้าค่ะ"ซิ่งเอ๋อร์รีบไปเตรียมผ้าขนหนูร้อนๆ หอมๆ ประคบอยู่บนดวงตา อวิ๋นจูจึงถอนใจออกมา "ข้าหิวแล้ว เจ้าไปนำข้าวเช้ามาหน่อย"ซิ่งเอ๋อร์พอได้ยิน ก็กัดริมฝีปากล่างขึ้นมา"คุณหนู เมื่อครู่ข้าไปที่ห้องครัวแล้ว ทางนั้นบอกว่าวันนี้ไม่มีอาหารสำหรับพวกเรา""หมายความว่าอย่างไร?" อวิ๋นจูเอาผ้าขนหนูที่ประคบดวงตาอยู่ลงมาทันที มองซิ่งเอ๋อร์อย่างตกตะลึง"พวกเขาบอกว่า นี่เป็นความเห็นจากอ๋องเจวี้ยน บอกว่าคุณหนูทำผิดเอาไว้ จึงลงโทษไม่ให้กินข้าวหนึ่งวัน ถ้าอยากจะกินก็ออกจากจวนอ๋องเจวี้ยนแล้วไปหากินเอาเอง"พอได้ยินคำนี้ อวิ๋นจูก็งงงันไป"นี่เป็นไปไม่ได้ ท่านพี่อ๋องเจวี้ยนทำไมถึงเป็นคนใจร้ายเช่นนี้? พระชายาไปพูดอะไรให้ร้ายข้ากับเขาหรือเปล่า?"ซิ่งเอ๋อร์ออกแรงพยักหน้า "ข้าว่าต้องใช่แน่ๆ นางจะต้องใส่ร้ายคุณหนู""เมื่อคืนข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย แล้วข้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรนางด้วย แค่คิดว่านางกลับมาแล้ว นางเองก็เป็นนายหญิงของจวนอ๋อง ข้าควรจะเข้าไปคารวะนางเ
และมีเหล่าขุนนางใหญ่แอบคุยกันถึงเรื่องนี้องค์จักรพรรดิโมโหจนล้มป่วยส่วนเหล่าทูตจากแคว้นหมิ่นก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หลังจากหยวนอี้กลับมา ก็บอกกับภายนอกว่าไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม แล้วจึงอยู่แต่ในวังราชนิเวศน์ไม่ออกไปพบใครตอนนี้ยังออกไปลำบากแต่ความเป็นจริงคือเนื่องจากองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นบาดเจ็บ จำเป็นต้องหลบเพื่อพักฟื้นก่อนองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็แต่งตัวเป็นสาวใช้วังซ่อนอยู่ในวังราชนิเวศน์ระหว่างทางจากเมืองเจ้อกลับเมืองหลวง นางเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด เฉินเซียวตายไปแล้ว องครักษ์ของนางก็ตาย เหลือแค่นางคนเดียว ตอนนี้จึงจำใจต้องพึ่งพาหยวนอี้ไปก่อนไม่ใช่แค่หยวนอี้ที่บาดเจ็บ นางเองก็บาดเจ็บด้วยก่อนหน้านี้ป่วยไปรอบหนึ่ง บวกกับการบาดเจ็บครั้งนี้ องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นผอมลงไปมากเมืองเจ้อเองก็สงบไปอีกหลายวันครึ่งเดือนต่อมา ฟู่จาวหนิงในที่สุดก็ควบคุมโรคระบาดเอาไว้ได้ทั้งหมด เมืองเจ้อยกเลิกการปิดเมืองคนทั้งเมืองล้วนดีใจกันอย่างบ้าคลั่งวันที่ฟู่จาวหนิงจะออกจากเมืองเจ้อ ประชาชนทั้งเมืองก็มาล้อมส่งที่ถนนอยู่ในเมืองเจ้อนานขนาดนี้ ฟู่จาวหนิงก็รู้สึกผูกพันกับเมืองเจ้อขึ้นมาแล้ว แต่
โจวติ้งเจินถูกผลักออกไปจากเมืองเจ้อมาได้ครึ่งทางเขาก็ได้สติขึ้นมา พอรู้ว่าตนเองต้องถอนกำลังแบบนี้ ก็โมโหจนแทบจะเป็นลมไปอีกรอบแต่เขาก็ถ่ายหนักจนตัวโยน ตอนนี้แค่แรงจะด่าก็ยังไม่มีเพราะในป่าในเขา เขากระทั่งไม่มีกระดาษแล้ว ดังนั้นจึงต้องใช้ใบไม้กับกิ่งไม้มาจัดการ ตอนนี้รูทวารเองก็เต็มไปด้วยแผล ขยับทีก็เจ็บเหลือแสน"กลับ กลับไป..."รองขุนพลเห็นสภาพแบบนี้ของเขา ก็เอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจว่า "ท่านขุนพล ครั้งนี้พวกเราช่างมันเถอะ อ๋องเจวี้ยนกับพระชายาอ๋องเจวี้ยนร่วมมือกัน วิธีการก็ชั้นต่ำมาก ไม่รู้ว่ายาพวกนั้นของพวกเขาจัดการมาอย่างไร ถ้าพวกเรายังไปอีก ไม่รู้ว่าต้องติดยากันอีกกี่รอบนะ"ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทางนั้นก็ไม่มีอะไรกินกันแล้ว เดิมทีคิดว่าวันสองวันก็น่าจะจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ใครจะคิดว่าอ๋องเจวี้ยนจะไร้เหตุผล ถึงกับใช้วิธีการแบบนี้แล้ววรยุทธ์ของอ๋องเจวี้ยนก็ห่างชั้นกับพวกเขา ตราบใดที่ไม่ต้องปะทะกับท่านขุนพล เขาก็แฝงเข้ามาในกลุ่มพวกเขาได้ ถ้าหากเข้ามาก็ไม่มีใครขวางอยู่หรอกพวกเขาถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อ ยังไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร ต่อให้ไม่ตายชีวิตก็น่าจะหายไปซักครึ่งอยู่"ท่านขุน
โจวติ้งเจินไม่อยากจะออกไปไกลหน่อยเสียที่ไหน?แต่เขาทำไม่ไหวน่ะสิ!ท้องเสียครั้งนี้ ลากยาวไปถึงสามวัน!คืนวันที่สอง พวกทหารที่เรี่ยวแรงหายไปก็ฟื้นกลับมาพอควรแล้ว โจวติ้งเจินกลับล้มลงไปแทนเขาถ่ายออกมาจนทั้งเนื้อตัวซีดไปหมด ไม่มีแรงจะพูดจาเลยทีเดียวตอนที่เขาเตรียมจะรองขุนพลเตรียมเข้าไปตีเมือง รองขุนพลก็เริ่มท้องเสียบ้างแล้ววันที่สาม เขาออกคำสั่งอย่างอ่อนแรงให้ทหารเข้าไปโจมตีเมือง ให้รองขุนพลน้อยหลายคนนำทหารออกไป เหล่าทหารก็ไม่มีแรงกันขึ้นมาอีก!ทหารกว่าครึ่งล้มลงไปนอนระเนระนาดอีกครั้ง ลุกกันไม่ขึ้นแผนการโจมตีเมืองถูกบีบให้หยุดชะงักอีกครั้งโจวติ้งเจินโมโหจนเกือบจะเส้นเลือดในสมองแตกเขาตอนนี้ยังมองไม่ออกที่ไหนว่าเป็นฝีมือเซียวหลันยวน?แต่เขาก็คิดไม่ออกว่าอีกฝ่ายวางยามาได้อย่างไร! ยาพวกนั้นทำไมถึงไม่มีสีมีกลิ่นเลย"ต้องเป็นฟู่จาวหนิงแน่ๆ ต้องเป็นยาที่นางทำขึ้นมา..."สุดท้ายโจวติ้งเจินคิดออกถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้เขาก็ถ่ายออกมาจนตัวโหวง ลุกไม่ขึ้นที่นี่ไม่มีอะไรที่กินได้แล้ว ต่อให้ล่าสัตว์มา ตอนนี้เขาก็กลืนไม่ลงถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป โจวติ้งเจินรู้สึกว่าตัวเองต้องตายแน่รองขุนพ
อันเหนียนรู้สึกว่า สามีภรรยาอย่างพวกเขาทั้งสองคนถ้าอยู่ด้วยกันนานอีกหน่อย อาจจะมีอะไรใหม่ๆ ออกมาอีกก็ได้ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นคู่สวรรค์สร้าง ใครก็แทรกกลางเข้าไปไม่ได้เซียวหลันยวนเดินเข้ามา เห็นอันเหนียนกำลังคุยอยู่กับฟู่จาวหนิงเขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงเดินเข้ามา ยืนอยู่ข้างๆ ฟู่จาวหนิง แต่มองไปทางอันเหนียน"คุยอะไรกัน?"คุยกันสนุกเชียวนะ? เหมือนจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าอันเหนียนด้วยฟู่จาวหนิงเองก็สีหน้ามีชีวิตชีวาเหมือนกันเอาอีกแล้ว อันเหนียนก่นด่าในใจ เจอเข้ากับสายตาของเซียวหลันยวน "กำลังคุยกับพระชายา ว่าพวกท่านตอนนี้นิสัยคล้ายคลึงกันเรื่อยๆ แล้ว""อย่างนั้นหรือ? พวกเราเป็นสามีภรรยา จะคล้ายกันมันก็เรื่องปกตินี่" เซียวหลันยวนบีบแขนฟู่จาวหนิง"มือทำไมเย็นนักล่ะ?" ฟู่จาวหนิงโดนความเย็นของมือเขาดึงความสนใจไปทันที นางพลิกกลับมากุมมือเซียวหลันยวน มืออีกข้างก็ปลดหน้ากากของเขาลงมาพอปลดหน้ากากถึงจะเห็นสีหน้าของเขาดูแล้วยังดีอยู่"ฝนตกลงมาครู่หนึ่ง แล้วนอกเมืองก็อากาศเย็นมาก" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้น ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด "หนิงหนิงให้ข้ากอดหน่อย เดี๋ยวก็อุ่นขึ้นแล้ว"แค่กๆอันเหนียน
ยาครั้งนี้ มีประสิทธิภาพมากจริงๆพอถึงตอนฟ้าสาง มีคนป่วยหนักแต่เดิมหลายคน มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเดิมทีที่ป่วยจนไม่รู้สึกตัวแล้ว วันนี้ตอนเช้าก็สามารถประคองตัวลุกขึ้นนั่งมากินข้าวต้มได้นี่ทำให้คนทั้งหมดดีใจกันมากมีผลลัพธ์เช่นนี้ ผู้บริหารท้องถิ่นโหยวรู้สึกว่าตนเองวันนี้เดินเชิดหน้ายืดหลังตรงได้เสียทีนี่อธิบายได้ว่ามีความหวังแล้วจริงๆ! ไม่สิ พูดว่าเป็นความหวังไม่ได้แล้ว มันมีผลลัพธ์ที่ดีแล้วต่างหากตอนที่ฟู่จาวหนิงวุ่นอยู่ทั้งคืน เซียวหลันยวนเองก็ออกไปทั้งคืนไม่ได้กลับมาตอนที่ฟู่จาวหนิงได้พัก ได้กินข้าวเช้า จึงเพิ่งนึกได้ว่าเซียวหลันยวนไม่รู้หายไปไหนนางถามสืออี สืออีก็ดูจะตื่นเต้นขึ้นมารางๆ"ท่านอ๋องออกเมืองไปแล้วขอรับ"ออกเมือง?เซียวหลันยวนออกจากเมือง แล้วทำไมสืออีถึงดูตื่นเต้น?"หรือจะออกไปหาโจวติ้งเจิน?" ฟู่จาวหนิงตกตะลึงถึงแม้ทหารส่วนใหญ่จะโดนพิษที่ทำให้เสียกำลังในการต่อสู้ไป แต่ก็มีส่วนน้อยที่ไม่ได้โดนพิษ หรืออาจจะมีคนที่โดนพิษไปน้อยมาก นั่นก็ยังสู้ได้อยู่นะองครักษ์ของเซียวหลันยวนส่วนใหญ่ยังอยู่ที่นี่ เพราะเมื่อคืนตอนที่นางวิ่งไปดูแลคนป่วยตรงนั้นตรงนี้ ย
แต่ว่านางเองก็เห็นว่าฝนเองก็ตกอย่างที่ฟู่จิ้นเชินคำนวณไว้จริงๆตอนนี้พอเห็นสีหน้าของฟู่จิ้นเชินกับอันเหนียน ก็รู้ว่าน่าจะเรียบร้อยดี"ให้ใต้เท้าอันเล่าเถอะ เขาเล่านิทานเก่งกว่าข้า" เซียวหลันยวนไม่ค่อยชินที่ต้องพูดอะไรยาวๆ สถานการณ์แบบนี้ให้อันเหนียนพูดดีที่สุดอันเหนียนเองก็ดูจนใจ นี่มองเขาเป็นพวกนักเล่านิทานหรือไรกัน?ปกติเขากับพูดกับพระชายามากหน่อย อ๋องเจวี้ยนก็จะหึงหวงขึ้นมา แล้วมาใช้เขาแบบนี้ ไม่หึงแล้วเรอะ?ถึงแม้จะไม่ค่อยพอใจ แต่ตอนที่สายตาคาดหวังของฟู่จาวหนิงหันมา อันเหนียนก็เล่าฉากเมื่อครู่ออกมาอย่างมีชีวิตชีวาฟู่จาวหนิงหลังจากฟังก็อดขำขึ้นมาไม่ได้"ดูท่าขุนพลโจวคืนนี้คงจะน่าเวทนาเอาเรื่อง ฤทธิ์ของผงยานั่น ก็ทำให้พวกเขากระทั่งแรงจะตั้งค่ายก็ยังไม่มีจริงๆ นั่นล่ะ"ยิ่งไปกว่นั้นพวกเขายังไม่มีแรงจะเดินไปไหนไกลได้ด้วยถ้าหากฝนตกทั้งคืน เช่นนั้นพวกเขาก็อาจจะต้องตากฝนกันทั้งคืนและคืนนี้ โจวติ้งเจินก็ซมซานจนต้องด่าพ่อล่อแม่ออกมาเลยทีเดียวแต่ว่าคนมากมายแค่แรงจะด่าก็ยังไม่มียังดีที่ฝนห่านี้ไม่ได้มีฟ้าผ่า พวกเขาถอยลงไปตีนเขากันอย่างยากลำบาก ที่นั่นมีต้นกล้วยอยู่ผืนใหญ่ แล
เหล่าทหารถ้าให้บอกว่าตัวเองไม่สบายตรงไหน แล้วยังไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือปวดท้องปวดบิดปวดหัวหรืออยากถ่ายอะไรทำนองนั้นเลยพวกเขาแค่รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงอย่างเดียวเท่านั้น!"แม่งเอ๊ยจู่ๆ ก็มาอ่อนแรงเป็นผู้หญิงได้ยังไงกัน!" มีคนอดก่นด่าตัวเองขึ้นมาไม่ได้ คิดจะยกมือขึ้นทุบตัวเองก็ยังไม่มีแรงเลยตอนนี้จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่าอะไรคืออ่อนแอดั่งหลิวต้องลม ปวกเปียกจนดูแลตัวเองไม่ได้มีคนลงไปนอนบนพื้นขนาดแค่จะปีนขึ้นมาก็ยังไม่มีแรง"ลุกขึ้นมา!""บอกให้พวกเจ้าลุกขึ้นมา ไม่ได้ยินรึ? อย่าบีบให้ข้าต้องซัดพวกเจ้านะ!"โจวติ้งเจินโมโหจนมึนงง ตะโกนขึ้นดังลั่น กระโจนลงมาจากม้า สาวเท้าเดินเข้าไปข้างตัวทหารที่อยู่ใกล้เขาที่สุด ยกเท้าขึ้นเตะคนที่นอนอยู่บนพื้น"ลุกขึ้นมาได้ยินไหม? พวกเจ้าดูซิพวกเหมือนตัวอะไรกันไปแล้ว?"มาตีเมืองกันแท้ๆ แต่ตอนนี้ดันมานอนบนพื้น! มานอนกันจนทำให้คนบนหอเมืองหัวเราะเยาะ! ดูแล้วยังเป็นเขาด้วยที่กลายเป็นเรื่องตลก!"พวกเจ้าสภาพแบบนี้ ขุนพลอย่างข้าก็เหมือนเข้ามาเป็นตัวตลกให้เขาดูแล้ว!"เข้ามาเป็นตัวตลกให้เซียวหลันยวน!และตอนนี้ บนหอเมืองก็มีเสียงของเซียวหลันยวนลอดเข้ามา"ข
มีคนตกใจมีคนร้องโหยหวนมีคนมีคนที่กระโดดโลดเต้นและมีคนที่จะกระโดดก็ยังกระโดดไม่ขึ้น หลังจากล้มลงบนพื้นก็ถูกคนข้างๆ ล้มทับกันเข้ามาอีกชั่วขณะหนึ่ง ท่วงท่าที่องอาจน่าเกรงขามแต่เดิมของทหาร ก็ดูสับสนโกลาหลเหมือนสุนัขเหมือนไก่ขึ้นมาแม้เอาทหารมากมายไปเทียบกับสุนัขกับไก่จะไม่ค่อยเหมาะสม แต่สภาพเช่นนี้ก็ค่อนข้างใกล้เคียงกัน เพราะเดิมทีเหล่าทหารก็เตรียมพร้อมจะโจมตี จัดกระบวนกันเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ ก็หมดเรี่ยวแรงกัน จึงควบคุมไว้ไม่อยู่โจวติ้งเจินพอเห็นสถานการณ์ก็ยิ่งโกรธยิ่งร้อนรนชั่วขณะหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ยิ่งไปกว่านั้นฤทธิ์ยาของคนเหล่านี้ก็ไม่เหมือนกันด้วย มีพวกที่อยู่ใกล้หน่อยสูดกันเข้าไปก่อน มีบางส่วนสูดเข้าไปช้าหน่อย บางคนก็สูดเข้าไปมาก บางคนก็สูดเข้าไปน้อยแล้วยังต้องดูกำลังภายในคุณสมบัติร่างกายของแต่ละคนด้วยอย่างโจวติ้งเจิน วรยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งที่สุด กำลังภายในลึกล้ำ ดังนั้นเขาตอนนี้ยังไม่รู้สึกไม่สบายเท่าไรนักและเพราะเขาที่อยู่ตรงนี้ ตัวเขาไม่สังเกตเห็นความผิดปกติในร่างกาย จึงยิ่งไม่เข้าใจว่าเหล่าทหารเกิดอะไรกันขึ้น"วันนี้กินอะไรกันเข้าไป? โดนพิษอะไรเข้าหร
ฟู่จาวหนิงมั่นใจอย่างมากต่อยาที่ตนเองสกัดขอแค่องครักษ์เหล่านั้นสามารถสาดยาออกไปตามทิศทางลมได้ อย่างน้อยก็ต้องทำลายพลังต่อสู้ของทหารได้ครึ่งหนึ่งยิ่งไปกว่านั้นประสิทธิภาพของยานี้ก็อยู่ได้ถึงเกือบหนึ่งวันเต็มจึงจะอ่อนกำลัง เวลาหนึ่งวัน เพียงพอจะให้โจวติ้งเจินลนลานจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ทหารจำนวนมากขนาดนี้ล้อมเมืองอยู่ อยู่ดีดีก็ไม่มีเรี่ยวแรง แค่ไปหาสาเหตุก็แทบแย่แล้วโจวติ้งเจินตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเห็นว่าหนึ่งชั่วยามที่กำหนดให้กับโหยวจางเหวิน อีกฝ่ายกลับไม่ยอมเปิดประตูเมืองส่งคนป่วยออกมา ก็รู้ว่าโหยวจางเหวินต้องคิดจะปกป้องคนป่วยเหล่านั้นแน่นอน"โง่เขลาเสียจริง โหยวจางเหวินคิดว่าตัวเองเป็ฯคนใจบุญมากนักหรือไรกัน? เขาคิดว่าตัวเองจะปกป้องคนมากขนาดนี้ในเมืองเจ้อได้เรอะ? ยังคิดว่าอ๋องเจวี้ยนกับพระชายาอ๋องเจวี้ยนจะมาคอยหนุนเขาได้หรือไรกัน?"โจวติ้งเจินกัดฟัน เรียกรองขุนพลออกมา "เตรียมโจมตีด้วยไฟ แล้วก็เตรียมบุกประตูเมือง"พวกเขาเดิมทียังมีแผนสำรองแบบนี้ไว้ด้วยต่อให้ไม่คิดจะโจมตีเข้าเมืองจริงๆ แต่ก็ยังจะทำท่าทีแบบนั้น ใช้ไม้ซุงทลายประตูโจมตีเข้ามาที่ประตูเมือง ทำให้เกิ