คนป่าที่ 1
หนีออกจากบ้าน
ตระกูลหยินแห่งซานตง หากเอ่ยคำนี้ในตลาด ชาวเมืองคงนึกออกเพียงหยินเดียว นั่นคือหยินที่เป็นเจ้าของอู่ต่อเรือ และเป็นตระกูลคหบดีอันดับหนึ่งในภาคตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นสายหลักสายรอง คนแซ่หยินล้วนครอบครองกิจการค้าขายต่างๆหนึ่งในสามของแคว้น
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ท่านไม่ไปมิได้หรือ?”
ภายในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างงดงาม ว่านลุ่ยหาได้สนใจคำถามสาวใช้คนสนิทไม่
นางยังคงก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของเครื่องใช้ อันไหนที่นำไปได้ก็ยัดใส่หีบ หวังจะหลบหนีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปให้ไว
“เจ้าไม่ต้องสนใจข้า หากท่านพ่อกลับมาก็ไม่มีโอกาสรอบสองแล้ว!”
หยินว่านลุ่ยคิดว่าตนวางแผนดีแล้ว นางในตอนนี้อายุสิบเก้า ผัดผ่อนงานแต่งมาถึงสามปี ยามนี้ฝ่ายชายเร่งรัด หากผู้เป็นบิดากลับมาต้องจับนางขายให้คนตระกูลซ่งนั่นแน่ๆ
“คุณหนู แล้วท่านจะให้ข้ารายงานนายท่านว่ายังไงเจ้าคะ หากไม่มีคำว่ากล่าวข้าคงถูกฟาดโบยแล้ว!”
สาวใช้ตัวน้อยหลั่งน้ำตาสะอื้น กระซิก กระซิก
คุณหนูของนางวางแผนจะหนีงานแต่ง อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงบุตรีเจ้าบ้าน หากแต่นางเป็นเพียงบ่าวไพร่ เมื่อนายใหญ่ของบ้านกลับมา ตนคงถูกโบยแล้วขายให้พ่อค้าทาสแน่ๆ
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น บอกแค่ว่าข้าตีเจ้าจนสลบ! มาหันหลังมา ข้าจะทุบท้ายทอยเจ้า!”
ว่านลุ่ยเห็นสาวใช้ยังทำสีหน้างงงวย แต่นางไม่รอช้า จัดการคว้าแขนอีกฝ่ายกระชากหันหลัง จากนั้นหยิบเอาแจกันใบเล็กที่อยู่ใกล้มือ หวดใส่หลังศีรษะหญิงสาวเต็มแรง “เพล้ง! โอ้ย!”
น่าเวทนาสาวใช้ตัวน้อย ไม่ทันได้ตั้งหลักก็ถูกนายสาวทุบตี รู้สึกราวฟ้าหมุนเคว้ง วิงเวียนศีรษะสุดท้ายก็สลบลงด้วยความไม่สมัครใจ “…”
ท่าเทียบเรือสินค้าตระกูลหยิน
หีบไม้ใบใหญ่ถูกบ่าวไพร่ร่างยักษ์ช่วยกันขนย้าย หญิงสาวยืนชี้นิ้วสั่งงานอย่างกระฉับกระเฉง โดยมีผู้ควบคุมเรือยืนหน้าซีดอยู่ด้านข้าง ร่ำร้องภายในใจว่าขอให้ท่านย่าของเค้าเปลี่ยนใจ อย่าได้เดินทางคุมเรือสินค้าด้วยตนเองเลย
“คุณหนูใหญ่ ท่านไปด้วยออกจะไม่เหมาะนะขอรับ ชาวเรือเราถือว่าเป็นลางร้าย!”
ต้นหนเรือที่ยืนอยู่ข้างๆออกปากอ้อนวอนอีกครั้ง นักเดินทางข้ามสมุทรต่างถือสาเรื่องสตรีบนเรือ พวกเค้าต่างเชื่อว่าการมีหญิงสาวร่วมทางไปด้วยจะเกิดอาเพศ นำพาซึ่งหายนะจนทำให้เรืออับปางลง
“ข้าหรือเจ้ากันแน่ที่เป็นนายบ่าว พวกเจ้าแค่ทำตามคำสั่งก็พอ เที่ยวนี้ท่านพ่อบอกว่าสำคัญมาก เลยให้ข้ามาคุมสินค้าด้วยตนเอง เอกสารคำสั่งก็ส่งให้แล้ว หรือพวกเจ้าไม่ได้อ่านกัน”
ผู้บัญชาการเรือที่ยืนอยู่ข้างๆย่อมอ่านแล้ว เค้าเพียงแต่กระชากแขนต้นหนของตน ไม่ให้ต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก เมื่อเป็นคำสั่งนายท่านใหญ่ แม้ไม่เต็มใจแต่พวกเค้าก็คงได้แต่ทำตาม
***
เมืองหนันฝู
“อะไรนะ! เจ้าลองพูดใหม่อีกครั้งซิ!”
“หัวหน้าหวังใช้ผู้น้อยให้มาถามนายท่านว่า จะให้คุณหนูคุมเรือสินค้าเที่ยวนี้จริงๆหรือขอรับ?”
ภายในจุดพักม้าของตระกูลหยิน สองพ่อลูกแทบพ่นน้ำชาออกจากปาก พวกเค้าเพิ่งได้นั่งพักหลังเดินทางมาเหนื่อยๆ ผู้ดูแลกับบอกว่ามีบ่าวคนหนึ่งจากซานตงมารอพบ บอกว่ามีเรื่องสำคัญคิดถามไถ่ผู้เป็นนาย
“เหลวไหล! ข้าไหนเลยเคยสั่งการเช่นนั้น เจ้ารีบกลับไปบอกหวังอี้เหออย่าเพิ่งออกเรือ รอข้ากลับไปจัดการนางตัวดีก่อน!”
ไม่ต้องคิดอ่านมากความ นายท่านหยินก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เค้าสั่งการบุตรชายให้ล่วงหน้ากลับซานตง ยับยั้งไม่ให้นางเด็กเอาแต่ใจหนีงานแต่ง ส่วนตนเมื่อจัดการธุระทางนี้เสร็จจะรีบตามไป
ผู้เป็นพ่อจัดม้าเร็วให้บุตรชายพร้อมกับนักบู้จำนวนหนึ่ง เค้าจะไม่ยอมให้บุตรีเล่นลูกไม้อีกแล้ว
ม้าเร็วสิบกว่าตัวควบไปตามทางน้อยจนฝุ่นตลบ หยินอี้หานแต่เดิมตามใจน้องสาวมาโดยตลอด เค้าเมื่อได้รับคำสั่งบิดาก็เพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น ขณะเดินทางก็ยังหาเรื่องถ่วงเวลาไปเรื่อย หวังให้ผู้น้องออกเดินเรือก่อนตนจะไปถึง ช่วยส่งเสริมความตั้งใจของนางอีกแรง “…”
***
สามวันต่อมา
“ลุงหวัง ท่านไฉนไม่ออกเรือ คิดขัดคำสั่งหรือ!”
สินค้าแพรพรรณและกระเบื้องเคลือบมากมายถูกขนใส่เรือจนเต็มลำตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว หวังอี้เหอถ่วงเวลาจนสุดความสามารถ ตอนนี้เค้าไม่มีเหตุผลอะไรมาเป็นข้ออ้างอีก ได้แต่ยอมรับชะตากรรมสั่งลูกเรือทั้งหมดเตรียมพร้อม ออกเรือเดินทางมุ่งหน้าสู่อินตู
เรือเดินสมุทรขนสินค้าลำใหญ่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ภายใต้เรือโยงจำนวนสามลำ ไม่นานก็ออกจากท่าเทียบเรือเข้าสู่ร่องน้ำลึก คลองอวิ๋นเหอเชื่อมต่อออกทะเล ว่านลุ่ยเมื่อเห็นโกดังเก็บสินค้าไกลออกเป็นเรื่อยๆ นางต้องนึกชมเชยความเฉลียวฉลาดตนเอง คิดว่าไฉนตนหัวดีปานนี้ ดำเนินแผนการหลบหนีได้อย่างแนบเนียนอีกครั้ง
“เหอ! เหอ! สวรรค์ หากส่งเรามาเกิดเป็นบุรุษ เราสมควรสามารถสร้างชื่อเสียงสะท้านแผ่นดินได้ไม่ยาก!”
หยินว่านลุ่ยยืนอยู่ข้างกาบเรือ นางสวมชุดรัดกุมราวกับโจรสลัดแม่เสือสาว หว่างเอวสะพายดาบหัวตัด ศีรษะก็โพกผ้านักบู้ ไหนเลยมองออกว่าเป็นหญิงหรือชาย
***
นับตั้งแต่รู้ความ นางก็ทราบแล้วว่าตนเองมีคู่หมั้น เพียงแต่เจ้าผู้นั้นไม่ถูกใจนางซักนิด ตอนเจอกันครั้งแรกเค้าก็พยายามแสดงออกว่าเป็นเจ้าของนาง ทั้งยังต้องการให้นางอ่อนน้อม อยู่เหย้าเฝ้าเรือน สั่งสอนนางว่าสตรีไม่สมควรทำการค้า ทั้งยังส่งหนังสือจริยะสตรีมาให้นางอ่านอีกด้วย
ใช้แล้ว เจ้าหมอนั่นเป็นบัณฑิต บิดาต้องการให้นางแต่งออกไปกับตระกูลขุนนาง เค้ามอบเงินทองดูแลตระกูลสามีในอนาคตของนางมากมาย ทั้งยังยกกิจการค้าขายให้บางส่วน ตอนแต่งออกยังจะมอบสินเดิมก้อนโต ซึ่งนางเคยค้านหัวชนฝา แต่ท่านพ่อก็ไม่ยินยอมเปลี่ยนใจ
ว่านลุ่ยไหนเลยยินยอม นางชอบทำการค้า ต่อให้ฟาดนางให้ตายก็ไม่ยอมรับเจ้าบัณฑิตนั่น สุดท้ายจึงวางแผนผัดผ่อนงานแต่งครั้งแล้วครั้งเล่า
คฤหาสน์ตระกูลหยิน
กลางวันแสกๆ ภายในห้องนอนอี้หาน บนเตียงนอนไม้หนันมู่หรูหรา สะใภ้ใหญ่หลั่งเหงื่อโทรมกายอยู่ใต้ร่างสามี นางถ่างสองขาออกจนกว้าง ข้อเท้าถูกฝ่ายชายจับแยกชูขึ้นฟ้าจนสูง เอวสอบก็ออกแรงกระแทกรัวเร็ว ราวกับตายอดตายอยากมาจากที่ใด
“อ๊ะ! อ่า! ท่านพี่ ให้ว่านเอ๋อออกเรือไปเช่นนี้จะดีหรือ หากท่านพ่อรู้ว่าเรามีส่วนร่วม ข้าเกรงว่าพวกเราเองก็จะมีจุดจบไม่ดีซักเท่าไร!”
สองเต้าอวบสั่นไหวตามแรงกระแทก สะใภ้ใหญ่จิกเล็บใส่ผ้าห่มเหนือศีรษะ นางทั้งครางทั้งเสียว แต่ปากก็ยังถามไถ่เรื่องราวสามีไปเรื่อย
หยินอี้หานอดอยากมากจริงๆ เค้าพอกลับมาถึงบ้านก็กระชากตัวภรรยาขึ้นเตียง ระบายอารมณ์ที่อดกลั้นใส่เรือนร่างนางก่อน เรื่องวุ่นวายต่างๆเอาไว้ควบขับสาวงามเสร็จแล้วค่อยว่ากันภายหลัง
“พั่บ พั่บ พั่บ”
“เจ้าไม่บอกข้าไม่บอกใครจะรู้! แต่ตอนนี้เจ้าอ้าปากก่อนเถอะ ข้าจะเสร็จอยู่แล้วเนี๊ย!”
พี่ชายสุดวิเศษของว่านลุ่ยร่อนบั้นท้ายจนขาเตียงสั่นไหว ราวกับคันกั้นน้ำทะลัก ความจริงตนก็รำคาญปากจิ้มลิ้มของภรรยาอยู่แล้ว พอสัญญาณแห่งการพังทลายมาถึงจึงไม่รอช้า ชักแท่งลำออกด้วยความเร็ว โดดขึ้นมาคร่อมใบหน้าหญิงสาวไว้ บีบปากยัดแท่งเนื้อเข้าไปปลดปล่อยในนั้นเสียเลย “…”
“อ็อก! อ็อก!” นางหยินซูซื่อผู้เป็นภรรยาดิ้นทุรนทุราย ลำคออัดแน่นไปด้วยลำเนื้อ สำลักครั้งแล้วครั้งเล่าจนน้ำตาไหล ไม่เข้าใจไฉนสามีรุนแรงกับนางเช่นนี้
“แฮก! แฮก! เจ้าอย่าได้พูดให้เล็ดลอดออกไปว่าเรามีส่วนร่วม เพียงบอกท่านพ่อว่าข้ากลับมาไม่ทันก็พอแล้ว ที่เหลือก็โยนความผิดทั้งหมดให้นางไป หนึ่งปีให้หลังนางกลับมาเดี๋ยวท่านพ่อก็หายโกรธเอง!”
เสียงหอบหายใจหนักหน่วงของคนทั้งสองดังยิ่งนัก หยินอี้หานมองสภาพอเนจอนาถของภรรยาก็รู้สึกสะใจอยู่บ้าง ยามนึกถึงตอนแย่งชิงตัวนางมาจากคู่หมั้น ยิ่งทำให้ทุกครั้งที่ได้รังแกนางบนเตียง ตนต้องรู้สึกฮึกเหิมมากกว่าเดิม
***
หลายวันต่อมา
ผ่านพ้นน่านน้ำทะเลต้าเว่ย หยินว่ายลุ่ยราวกับได้รับอิสระอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางออกเรือไปทำการค้า แต่เป็นครั้งแรกที่ข้ามสมุทรไปยังแดนอินตู
“คุณหนูใหญ่ ท่านเข้ามาด้านในเถอะขอรับ ลมทะเลจะทำให้ผิวกายท่านเสียหายได้!”
เสียงเรียกจากลูกเรือชราผู้หนึ่ง คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนงานของบิดานาง ตอนเด็กว่านลุ่ยมักติดสอยห้อยตามท่านพ่อไปทั่ว ดังนั้นจึงรู้จักมักคุ้นกับคนทั้งหมด ยิ่งตอนที่มีอายุได้สิบสาม นางก็เริ่มขอท่านพ่อทำการค้า ไม่ว่าจะเป็นแพรไหมเครื่องเทศปรุงรส ล้วนเป็นนางเองที่มักจะออกหน้าไปคัดสรรเอาบนเรือ
ว่านลุ่ยเริ่มติดต่อค้าขายตั้งแต่เด็ก ภายใต้เงินทุนสองหมื่นตำลึง เพียงปีเดียวนางทำให้เพิ่มเป็นห้าหมื่น อีกสองปีต่อมาจึงได้กำไลสิบเท่า นำเงินสองแสนตำลึงกลับไปคืนบิดาตนเอง
ทั้งมารดาและพี่ชายนางยินดีอย่างมาก แต่ผู้เป็นพ่อไม่แสดงสีหน้าซักนิด เค้าเหมือนไม่พอใจที่นางมีหัวค้าขาย พออายุสิบหกก็ถูกสั่งห้าม ยึดเอาร้านค้าสิบกว่าร้านของนางคืนไป
ปีนั้นนางร่ำไห้สุดเสียง เพียงแต่ไม่ได้ร้องให้กับเงินทองที่เสีย เป็นมารดาของนางจากไปกะทันหัน โดยที่แต่ละคนในบ้านไม่ทันได้ตั้งตัว
สายลมทะเลตีใส่ใบหน้าหยินว่านลุ่ย หากแต่เส้นผมของนางไม่กระดิกซักนิด เพราะที่ศีรษะมีผ้าโพกผมพันเอาไว้ คิดอ่านวางแผนคาดการล่วงหน้า ว่าหากถึงอินตูแล้วจะทำเช่นไรถึงจะหาสามีที่ตนต้องตากลับมาด้วยได้ “…”
***
คนป่าที่ 2ลอยคอในทะเล เรือเดินสมุทรลำใหญ่มุ่งสู่ตะวันออก จากนั้นลงใต้ไปเรื่อย อ้อมผ่านเกาะน้อยใหญ่มากมาย แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเรือลำนี้ เพราะดินแดนที่หยินว่านลุ่ยต้องการไปคืออินตูนั่นเอง นับตั้งแต่ราชสำนักต้าเว่ยมีคำสั่งเปิดประเทศเมื่อแปดสิบกว่าปีก่อน พ่อค้าได้รับอนุญาตให้ทำการค้าทางทะเลได้ จึงทำให้เกิดสมาคมการค้า โดยตระกูลของนางเป็นเจ้าแรกๆที่ตกลงกับราชสำนัก จ่ายเงินเข้าคลังหลวงหนึ่งส่วน เพื่อเดินทางได้ถูกต้องตามกฎหมาย หนึ่งส่วนที่ว่าคือราคาสินค้าบนเรือ ไม่ว่าขาไปหรือกลับ ทำกำไลน้อยหรือมาก ขาดทุนหรือไม่ราชสำนักไม่สน เจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีจะตีราคาเรือทุกลำ ผู้เป็นเจ้าของต้องจ่ายเงินก่อนถึงจะนำเรือออกหรือเข้าฝั่งได้ แต่ละปีเงินตรงส่วนนี้นำมาจุนเจือท้องพระคลังหลวงได้ไม่น้อย มากกว่าภาษีที่เก็บได้จากภาคตะวันตกทั้งหมดเสียอีก ว่านลุ่ยมีหัวด้านการค้าแต่เล็ก นางได้เงินก้อนแรกจากบิดาก็นำมาซื้อแพรพับเนื้อหยาบทั้งหมด ฝากไปกับเรือสินค้าท่านลุง ขอให้เค้านำไปแลกกับเครื่องเทศในราคาหนึ่งพับต่อน้ำหนักสิบชั่ง เมื่อเรือท่านลุงกลับในฤดูหนาวปีถัด
คนป่าที่ 3คนหัวหมี เสียงร้องโอดโอยของสิ่งมีชีวิตยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ความจริงว่านลุ่ยคิดว่าเจ้านั่นเป็นหมีตัวใหญ่ แต่ว่านางก็คิดผิด เพราะหมีที่ไหนจะใช้กระบองไม้! ว่านลุ่ยชมดูสิ่งมีชีวิตน่ากลัวไล่หวดผู้คนอยู่ในกรงขัง นางเห็นเจ้าตัวใหญ่ห่อหุ้มไปด้วยหนังหมี หนวดเคราของมันขึ้นเต็มใบหน้า บนศีรษะก็มีหัวหมีประดับไว้เป็นหมวก ตัดแต่งหนังราวกับชุดคลุมยาว เช่นนี่เองนางจึงเข้าใจว่ามันเป็นหมีตอนแรกพบ ไม่นานหลังจากคนหัวหมีบุก เสียงเฮโลอูก้า อูก้า! ก็ดังตามหลัง นี่กับเหมือนนักเลงหัวไม้ ที่ยกพวกตีกันตามร้านน้ำชาแถวๆบ้านนาง “อูก้า อูก้า อู อู อู”!!! ช่างเป็นเวลาที่ยาวนานสำหรับว่านลุ่ย หากแต่ความจริงผ่านไปแค่ครู่เดียว ชนเผ่ากินคนเกือบครึ่งร้อยไม่อาจต้านได้ คนหัวหมีร้ายกาจยิ่งนัก พาพวกที่น้อยกว่าอีกฝ่ายบุกทุบตีไปทั่ว ใครหนีไม่ทันก็ถูกฟาดหวดจนตาย สุดทายเพิงพักและกระท่อมน้อยถูกพี่หมีพังลง ทำลายบ้านช่องขับไล่กลุ่มกินคนออกไปจนหมด เหลือเพียงนางและคนอื่นๆสิบกว่าคนในกรงขัง แล้วเดินจากไปโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจพวกนางเลย “เดี๋
คนป่าที่ 4ยอมเป็นเมียพี่หมี เช้าวันรุ่งขึ้น ยังคงเป็นวันที่อากาศสดใส หากแต่ครั้งนี้เสียงกระทบกันของเนื้อไม่ดังเหมือนทุกครั้ง เพราะมีเพียงเสียงฮึดฮัด และเสียงพั่บพั่บของบั้นท้ายดังขึ้นเบาๆ “อืมมม อืมมม อืมมม” บนหนังสัตว์นุ่มที่ปูพื้นซ้อนทับกันหลายชั้น ว่านลุ่ยถูกจัดให้นอนอยู่อันดับสุดท้าย จึงห่างออกจากพี่สาวจอมยั่วถึงสามสี่วา เสียงครางในลำคอของสตรีปลุกให้ว่านลุ่ยตื่น เมื่อนางงัวเงียขึ้นตามความเคยชิน ยามลุกขึ้นนั่งก็พบว่าผู้อื่นตื่นก่อนตนแล้ว น้องสาวจันทรานั่งมองฟ้า พี่สาวแมวก็กอดเจ้าเหมียวชมดูพี่หมี ที่บัดนี้ทาบทับอยู่บนลำตัวพี่สาวจอมยั่ว บดขยี้เครื่องเพศขาวเนียนของนางเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนกับที่ทำกับน้องสาวอรุณ ว่านลุ่ยเริ่มชินแล้ว นางลุกขึ้นตั้งใจชมดูการกระทำของทั้งคู่ พี่หมีตั้งอกตั้งใจกระแทกยิ่งนัก มือก็ดันพื้นไว้ไม่ให้ร่างใหญ่โตของตนกดทับ ร่างอวบอัดของพี่สาวจอมยั่วมากเกินไป “อูวว อูวว อูวว” เสียงร้องของสตรีใต้ร่างดังขึ้นเมื่อพี่หมีกระแทกหนักๆในจังหวะสุดท้าย จากนั้นนางจึงเห็นเค้าดึงแ
คนป่าที่ 5เมียคนป่าสู้ชีวิต เสียงสวบสาบข้างๆดังขึ้น ว่านลุ่ยแม้ไม่มองก็ทราบได้ทันที่ว่าพี่หมีขยับตัวมาด้านหลังนางแล้ว หนังสัตว์ผืนน้อยถูกเปิดขึ้น หญิงสาวขนลุกชันทันทีเมื่ออีกฝ่ายหายใจฟุดฟิดอยู่ตรงบั้นท้าย เป่าลมร้อนใส่กลีบท้อนางที่ไวต่อความรู้สึก ราวกับกำลังสำรวจค้นหาอะไรบางอย่าง โดยที่ไม่คิดว่านาง จะอับอายในการกระทำของเค้าแม้แต่หน่อยเดียว “อู อู อู อูก้า”!!! จู่ๆเค้าก็เหมือนจะพูดอะไร แต่นางไม่เข้าใจภาษา จึงทำเพียงหลับตาลงก้มหน้า คิดในใจต่อให้เค้าทำทุเรศยิ่งกว่านี้ นางก็คงไม่รู้จะอับอายไปทำไม นี่ไม่ใช่ต้าเว่ย ที่สตรีต้องแต่งตัวเรียบร้อยดีงาม รักนวลสงวนตัว แม้กระทั่งนิ้วเท้ายังไม่สามารถให้ผู้อื่นยลชม “อูก้า อู อู ก้า อู”!!! นี่เป็นเสียงพี่สาวจอมยั่วชัดๆ ว่านลุ่ยจำได้ แต่ไฉนดังอยู่ตรงบั้นท้าย เมื่อหญิงสาวลืมตามองลอดหว่างขากลับหลัง ก็เห็นพี่สาวอวบอัดคนงาม กำลังก้มๆเงยๆสำรวจช่องทางสวาทตน จากนั้นเหมือนเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ายินยอม “หรือพี่หมีเห็นข้าเป็นเด็กที่ยังไม่พร้อมผสมพันธุ์?” ว่านลุ่ยอดคิดในใจมิได้!
คนป่าที่ 6ต่อหน้าคนป่าทั้งเผ่า เตาไฟยังคงปะทุลั่นเพี๊ยะพะ ว่านลุ่ยคืนนี้ก็นั่งเฝ้าก้อนกรวดของนางตามเดิม หากแต่ภายใต้แสงไฟที่สาดส่อง แก้มน้อยๆของนางแดงเรื่อขึ้น เมื่อคิดถึงจุมพิตตอนเช้า ก็ต้องใช้มือปิดหน้าตนเองด้วยความอับอาย ย้อนเวลากลับไปตอนว่านลุ่ยกำลังถูกเสพสม นางไม่รู้จู่ๆนึกอยากอารมณ์ไหน กับจูบลงไปที่ริมฝีปากพี่หมี ตอนนั้นท่าทีเค้าตกใจมาก รีบโยนนางลงจากลำตัวจนก้นกระแทกพื้น ร้องโอดครวญอยู่เป็นเวลานาน “…” คุณหนูใหญ่หารู้ไม่ว่า ชนชาวป่าถือสาสิ่งนี้ เขี้ยวและฟันถือเป็นอาวุธร้าย มีเพียงใช้โจมตีศัตรูเท่านั้นถึงจะให้กระทบถูกผู้อื่น ดังนั้นพี่หมีจึงเข้าใจว่านางกำลังจะเล่นงานเค้า จึงรีบโยนหญิงสาวที่กำลังถูกบดขยี้เครื่องเพศ โดยที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว “อู้ยยย! หากมิใช่พี่สะใภ้ชอบเอาหนังสือลามกเหล่านั้นมาให้ข้าดู มีหรือข้าจะมอบจุมพิตให้เจ้า! ชิ!” ว่านลุ่ยลูบก้นที่เจ็บปวด ทั้งยังนึกด่าทอพี่หมีไปด้วย นางรู้สึกว่าใบหน้าตนเองร้อนผ่าว ยามนึกถึงเรื่องเมื่อเช้า ดังนั้นจึงใช้มือกุมแก้ม อับอายกับการกระทำของตนเอง “เอ๊ะ!
คนป่าที่ 7เสียงระคายหู บนทางน้อยเนินเขา พี่หมีแบกหินเดินนำหน้า น้องสาวตะวันและจันทราช่วยกันหอบหิ้วเนื้อแดงสด ส่วนพี่สาวจอมยั่วในมือโอบอุ้มผืนหนัง โดยมีว่านลุ่ยเดินโขยกเขยกปิดท้าย ราวกับว่าในรูสวาทนางถูกแท่งเอ็นปักคา “...” “ซีดดด...วันนั้นข้าไม่น่าไปหัวเราะเยาะนางเลย!” น้องสาวตะวันก็เดินตลกเช่นนี้ วันนั้นที่ชะง่อนหินว่านลุ่ยรู้สึกขบขันยิ่งนัก ยามนี้โดนเข้าเสียเองจึงรู้สึกว่า ไม่สมควรไปหัวเราะผู้อื่นเลยจริงๆ! วันเวลายังคงผ่านไปเรื่อยๆ ว่านลุ่ยตัวประหลาดในสายตาผู้อื่น นางยังคงนั่งเฝ้าเตาไฟ ทุกครั้งที่มองไปยังแผ่นหินแผ่นนั้นก็จะหน้าแดง นึกถึงวันที่ตนถูกพี่หมีเสพสมตนต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน หากเป็นที่ต้าเว่ยนางคงอับอายจนผูกคอตายไปแล้ว “อูก้า อูก้า อู อู”!!! พี่สาวแมวอุ้มเจ้าดำมานั่งข้างๆว่านลุ่ย นางส่งเสียงกุลีกุลู จากนั้นเอาเนื้อก้อนหนึ่งที่ย่างเสร็จแล้วส่งให้นาง แล้วเดินหายกลับเข้าถ้ำไป คุณหนูใหญ่ไม่ทราบ ไฉนทุกวันนางไม่ต้องย่างเนื้อเอง หลายวันมานี้พี่สาวน้องสาวดีกับตนมาก แทบจะหาอาหารมาป้อนเข้าปาก เหลือก
คนป่าที่ 8ตัวเมียบ้าของหัวหน้าเผ่า วันรุ่งขึ้น ว่านลุ่ยตื่นนอนแล้วก็รู้สึกกระฉับกระเฉงยิ่งนัก ต่างกับพี่หมีและพี่สาวจอมยั่ว ทั้งสองนอนหมดสภาพขึ้นอืด นางจึงใช้โอกาสนี้ฝนมีดตนเองจนคมเงา จากนั้นจึงชวนน้องสาวตะวันจันทราออกจากถ้ำ จับจูงมือกันไปที่ลำธารเพื่อหาปลา สองสาวสงสัยยิ่งนัก มีดที่พี่สาวสติไม่ดีถืออยู่แตกต่างจากของพวกตนมาก ว่านลุ่ยเห็นว่าทั้งสองสงสัยก็ไม่หวง ยื่นส่งให้ทั้งคู่พิจารณาดู มีดปังตอเล็กๆเท่าฝ่ามือ ว่านลุ่ยพันด้ามด้วยเถาวัลย์ไม้ พอเห็นน้องสาวตะวันจะนำมาปะทะกับมีดหิน นางก็รีบร้องเสียงหลงห้ามไว้ แต่ไม่ทันแล้ว มีทั้งคู่ฟันใส่กันดัง เพร้ง! คุณหนูใหญ่จึงรีบแย่งจากมืออีกฝ่าย ด้วยใบหน้าเหมือนจะอยากหลั่งน้ำตา “อู กา อูก้า อู อู”!!! นางไม่เข้าใจที่น้องสาวตะวันพูด แต่เดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดี เพราะปังตอสุดที่รักยามนี้บิ่นแล้ว แต่มีหินของนางสาวตะวันกับไม่เป็นอะไร สามสาวเล่นอยู่ที่ลำธารตั้งแต่เช้า จนเที่ยงก็ขึ้นจากน้ำพร้อมปลาตัวเล็กๆจำนวนมาก “อูก้า อูก้า อู อู”!!! ขณะจะกลับ
คนป่าที่ 9กังหันผันน้ำ เสียงก็อกๆแก็งๆดังอยู่บริเวณชายป่า แม้กระทั่งพี่สาวจอมยั่วและน้องสาวตะวันจันทราก็ตามมาช่วย เป็นพี่หมีสั่งให้พวกนางตามมา เค้าบอกกับตัวเมียทั้งหมดว่า ต่อให้นางตัวเล็กทำอะไรปัญญาอ่อน ก็ให้พวกนางทำเป็นเพื่อน สุดท้ายทั้งชนเผ่าถึงได้ทราบว่า โรคเสียสติสามารถติดต่อกันได้ ยามนี้ตัวเมียหัวหน้าเผ่ากลายเป็นบ้าไปหมดแล้ว “…” “อูก้า อูก้า อู อู ก้าอู” !!! สาวๆในชนเผ่ายามปกติก็จะลงน้ำจับปลา มีบ้างที่ออกไปหาผักป่า แต่พวกนางไม่ได้ปรุงเป็นอาหาร เพียงใช้เป็นของกินเล่น เคี้ยวสดๆยามว่างก็เท่านั้นเอง ต่างกับตอนนี้ พวกนางรวมกลุ่มสิบกว่าคนแอบมองกลุ่มว่านลุ่ย ต่างก็ส่งเสียงกุลีกุลูอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้ กลัวจะติดโรคบ้าจากนาง คุณหนูใหญ่รู้สึกโชคดีไม่น้อย กอไผ่ป่าไม่ได้อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน หลายวันมานี้จึงช่วยกันตัดแล้วแบกหามกลับไปถ้ำ จำนวนก็จวนจะครบตามที่ต้องการ เพื่อไปทำกังหันวิดน้ำ ช่วยแบ่งเบาภาระในการทำอาหารของตน ว่านลุ่ยหลังจากแสดงฝีมือ นางค่อยได้คิดว่าตนเองทำเรื่องพลาด ยามนี้ทุกคนไม่ยอมกินเนื้อ
ในสายตาแมงมุมหิน นางนอนอยู่ที่พื้น มิทราบเกินเรื่องราวใดขึ้น เพียงไม่กี่อึดใจ พวกศัตรูก็ล้มลงเจ็ดแปดคน จึงอาศัยจึงหวะปลดเครื่องพันธนาการที่ขา คว้ามีดหินจากศพคนที่ตายข้างๆ จากนั้นคลานคืบคลานศอกมุ่งไปทางชายสูงใหญ่ผู้หนึ่ง ที่กำลังหลบซ่อนอยู่ข้างตอไม้ หันหลังให้กับตนเอง พี่หมีอยู่บนที่สูง เค้าย่อมเห็นการกระทำของเด็กหญิง ในใจก็นึกชื่นชมในความกล้า แต่ตอนนี้คนป่าที่เหลืออยู่หกคนซ่อนตัวดีมาก ไม่ยอมโผล่ออกมาให้ยิงอีกเลย “…”*** “อูก้า!อูก้า!อูก้า!” จู่ๆเกิดเสียงคำรามบนเนินสูงดังลั่น ก็เป็นจังกวะเดียวกับเด็กน้อยเชือดคอหอยพอดี! พี่หมีช่วยเหลือเด็กสาวอีกครั้ง แม้นางจะกล้าแต่ว่าโง่มาก การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากฆ่าตัวตาย หากเค้าไม่ดึงความสนใจคนที่เหลือไว้ นางคงถูกเจ้าพวกนั้นสังหารไปแล้ว จริงอย่างที่คิด ทั้งห้าหารู้ไม่ว่าสหายผู้หนึ่งถูกเหยื่อของตนย่องไปเชือดคอจากด้านหลัง แม้จะมีเสียงดิ้นรนสุดท้ายก่อนขาดใจ แต่พวกเค้าก็มิได้ยินเสียง เพราะมัวแต่เพ่งมองไปตามเสียง ชมมองหมีดำยืนตีอกชกหัวอยู่บนขอนไม้ ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งอยู่คนเดียว “กา
คนป่าที่ 26เผ่ากินคน สถานที่ตั้งกระโจมกลายเป็นทุ่งหญ้าขึ้นสูง พี่หมีแม้มิได้ผูกพันแต่ก็รู้สึกใจหาย ถึงไม่สืบต่อเค้าก็ทราบได้ทันที่ว่าเกิดสิ่งใด นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ชนเผ่าที่เคยรุ่งเรืองสมัยก่อนก็มักเป็นเช่นนี้เอง ชายหนุ่มเดินเข้าไปสำรวจร่องรอย โครงกระดูกจำนวนมากกระจัดกระจายไปทั่ว เศษเนื้อเน่าเปื่อยไปหมดแล้ว บางโครงก็ชิ้นส่วนไม่ครบ ถูกสัตว์ป่าคาบไปกินตามที่ต่างๆ ห่างไปไม่ไกลพี่หมีพบตุ้มหินสองลูก ผูกโยงเข้าด้วยกันกับเถาวัลย์ไม้ รัดพันเข้ากับขาทั้งสองของซากกระดูกโครงหนึ่ง เมื่อเห็นอาวุธพันธนาการ พี่หมีก็ทราบได้ทันที่ว่าชนเผ่าใดเป็นผู้บุกโจมตี นี่เป็นพวกป่าเถื่อนแดนเหนือ! กลุ่มที่ชื่นชอบการกินเนื้อมนุษย์ พวกมันมักจะกระจัดกระจายกันอยู่ตามที่ต่างๆ คอยซุ่มโจมตีชนเผ่าเล็กๆ ทั้งยังเชี่ยวชาญการขี่ม้า เลี้ยงสุนัขป่าตัวโตร้ายกาจอีกด้วย เพราะพื้นที่แถบนี้เป็นขุนเขามากมาย ต่างจากแดนเหนือที่เป็นทุ่งหญ้าพื้นเรียบ ชนเผ่าละแวกใกล้เคียงจึงไม่นิยมขี่ม้า ต่างกับพวกกินคนแดนเหนือ ที่ใช้ชีวิตบนหลังม้าเป็นปกติ เล
ไม่ไกลจากลำธาร หัวหน้าเผ่าคุโมโม่มาทันเห็นนักรบทั้งสี่ถูกสอยร่วง เค้าร่ำร้องตะโกนสุดเสียงด้วยความแค้น จังหวะนั้นไม่มีผู้ใดกลัวตายซักนิด คนป่ากว่าครึ่งร้อยที่ตามมาก็มุ่งตรงกระโดดข้างแม่น้ำตามเค้าไป คนแล้วคนเล่า ทั้งหมดข้ามได้อย่างปลอดภัย พี่หมีเห็นศัตรูมามากก็เผ่นแนบไปก่อนแล้ว คนหัวเสือยามนี้พบว่าหนึ่งในผู้ตายที่นอนอยู่บนโขดหิน เป็นบุตรชายตนเองก็ยิ่งแค้น ก้มลงไปกอดศพเด็กหนุ่มร่ำไห้ สาบานว่าต่อให้แลกด้วยชีวิต เค้าก็ต้องสังหารเจ้าหมีดำให้ได้ด้วยมือตนเอง การไล่ล่ายังคงดำเนินต่อไป นักรบคุโมโม่เกือบสองร้อย แบ่งกันอ้อมไปดักตามเส้นทางต่างๆ พี่เสือกลืนความแค้นลงท้อง นำกำลังสามสิบคนไล่ตามรอยเท้า พี่หมีก็ไม่ยอมให้ตามทันง่ายๆ ระหว่างทางเค้าพบรังต่อรังแตนก็ใช้กิ่งไม้ขว้างปาไปทั่ว ยั่วยุให้สัตว์มีพิษเหล่านี้บินว่อน เพื่อสร้างความลำบากให้ผู้ที่ติดตามมาด้านหลัง จะได้ไม่ตามตนเองได้ง่ายเกินไป จนกระทั่งมืดค่ำ ต่อให้เชี่ยวชาญการแกะรอยแค่ไหน เมื่อไร้แสงอาทิตย์ พี่หมีก็สลัดหลุดจากศัตรู หากแต่ชายหนุ่มยังคงมุ่งขึ้นเหนือเป็นเส้นตรง เพราะคาดว่าฝ่ายตรงข้างคงวางกำลังโอบล
คนป่าที่ 25ถูกซุ่มโจมตี ตะวันคล้อยบ่าย หากแต่ใบไม้หนาทึบบดบังแสงแดดยิ่ง คนป่าบนเนินห้าเสือเพียงรอให้ศัตรูโผล่ออกมา พวกเค้าก็จะระดมยิงเกาทัณฑ์ใส่จากทุกทิศทาง ต่อให้หัวหน้าเผ่าอูก้าร้ายกาจแค่ไหน สภาพต้องไม่ต่างจากตัวเม่นแน่นอน แต่สิ่งที่ทุกคนมิทันคาดคิดพลันเกิดขึ้น ขณะที่ทั้งหมดยังไม่เห็นศัตรูเผยตัวออกจากที่ซ่อน ลูกเกาทัณฑ์อีกฝ่ายกับพุ่งเข้าใส่ฝั่งตนก่อนแล้ว! เสียงฉึกเมื่อหัวศรปักจมลงเนื้อไม้ นักรบคุโมโม่ที่ซุ่มอยู่ข้างๆถึงกับสะดุ้ง เค้าไม่ทราบเจ้านี่ถูกยิงมาจากตรงไหน แต่เสียงสวบสาบของฝีเท้าใกล้ๆ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าคนหัวหมีกำลังหลบหนี พริบตาเดียวเสียงเป่าเขาสัตว์ดังลั่น จากนั้นเป็นเสียงเฮโลของคนป่าไล่กวดตามไป ในเสี้ยวอึดใจ พี่หมียิงเกาทัณฑ์มั่วๆออกไปสองลูก ดอกหนึ่งปักเข้ากับต้นไม้ อีกดอกปักใส่คอหอยนักรบคุโมโม่ผู้หนึ่งพอดี…*** ด้วยจำนวนคนที่แตกต่าง คนหัวเสือแค้นใจนัก เค้าไล่ตามเสียงแหวกกิ่งไม้เบื้องหน้า ด้านหลังยังมีสมุนหลายสิบคนวิ่งติดตามมา เมื่อครู่เห็นนักรบของตนผู้หนึ่งล่วงจากต้นไม้กับตา เจ้าหมีสร้า
ชายชราแม้สูงวัยแต่แข็งแรงยิ่ง สิบกว่าปีก่อนตอนเข้าร่วมกับพี่หมี เค้าช่วยเหลือหัวหน้าเผ่าไม่น้อย ทำหน้าที่แฝงตัวสืบขาวสารพัด แต่ละครั้งมิเคยถูกจับได้ สมกับชื่อหมอกดำของตนที่บิดาตั้งให้โดยแท้ ลงใต้เป็นหน่วยของเจ้าเม่นหิน ชายผู้นี้จัดอยู่ในอันดับสี่ของนักรบในชนเผ่า เค้าเชี่ยวชาญการซัดเข็มหนามยิ่ง ระยะเจ็ดแปดวาขว้างปาไม่มีพลาด ทั้งยังเป็นบุตรชายของหมอกดำเอง เม่นหินได้รับคำสั่งก็พานักรบรุ่นใหม่ห้าคนลงใต้ทันที เค้าได้รับมอบหมายให้สืบข่าวเผ่าอากู หนึ่งในคนที่ติดตามยังเป็นบุตรชายหัวหน้าเผ่า ไก่หินผู้เป็นน้องชายไข่หินอีกด้วย “ใช่แล้ว” ควรรู้เอาไว้ว่า ชนชาวป่ามักจะตั้งชื่อบุตรประหลาดเช่นนี้ ส่วนมากมักจะเรียกต่อท้ายว่าหิน แม้แต่ กวางหิน หรือนกหินงูหินก็มี “…”*** ไม่นานหลังจากสามหน่วยแยกทาง พี่หมีไม่รู้ตัวซักนิด ทันทีที่ตนเหยียบเข้าเขตคุโมโม่ สายสอดแนมของศัตรูก็ตรวจพบแล้ว! ปกติมิค่อยมีชนเผ่าใดวางกำลังชายแดน พี่หมีจึงชะล่าใจ กับเป็นพี่เสือที่คิดเตลิดในตอนนั้น ตื่นตัวอยู่ก่อน นำคนเผ้าสังเกตการณ์ตามจุดต่างๆมาหลายเดือนแล้ว ยามนี้ร
คนป่าที่ 24ต้มเกลือ ท่อนซุงถูกขูดจนกลายเป็นเรือเล็ก ว่านลุ่ยนำหัวท้ายวางบนก้อนหินใหญ่ ตรงกลางเจาะรูไม่ใหญ่มาก ต่อท่อให้น้ำไหล เมื่อนำเดินเค็มใส่เข้าเรือไม้จนเต็ม เหยียบอัดให้แน่น จากนั้นตักน้ำจากลำธารมาหมักไว้ รอจนหยดลงเต็มถังไม้ นำมาต้นไม่นานก็ได้เกลือแล้ว ความยากลำบากผ่านพ้นไป ว่านลุ่ยสอนอยู่นานจนน้องสาวทั้งสองจำได้ นางถึงขั้นลงทุนสร้างกระท่อมน้อยเป็นเพิงพักให้คนทั้งคู่ วันทั้งวันจะได้มิต้องไปไหน ทำหน้าที่ต้มเกลือให้กับตนก็พอ ที่ต้าเว่ย การค้าเกลือถือเป็นสิ่งที่ทำกำไลมากที่สุด หากไม่มีใบอนุญาตควบคุมจากราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปมิสามารถขนส่งค้าขายได้ ดังนั้นว่านลุ่ยจึงเห็นว่าเจ้าสิ่งนี้สำคัญยิ่ง หน้าที่นี้จึงตกเป็นของน้องสาวทั้งสองที่ตนไว้ใจ ผ่านไปอีกหลายวัน ท้องของว่านลุ่ยโตมาก นางคิดว่าลูกในท้องคงจะเกิดในหน้าหนาว ดังนั้นจึงรีบทำสิ่งสำคัญหลายอย่าง เพื่อให้ทันก่อนที่หิมะจะตกมา อย่างเช่นวันนี้ ว่านลุ่ยยืนคุมคนงานสองคนขุดหน้าดิน พอเห็นดินเหนียวที่ต้องการนางก็ร้องบอกว่าพอแล้ว แสดงท่วงท่าบ้าใบ้ว่าข้าต้องการสิ่งนี้ ให้ขุดข
จนกระทั่งค่ำ คนป่าเกือบสิบนั่งล้อมวงรอบกองไฟว่านลุ่ยพร่ำสอนพวกเค้าจนปากเปียกปากแฉะ ให้ทุกคนจดจำชนิดได้ โดยเฉพาะเนี่ยวเกอ แม้แต่เป็นตัวที่ตายแล้วมีแต่เปลือกก็ต้องเอา! กลางดึก หลังจากกินหอยเผา ว่านลุ่นพลันปวดฉี่ยิ่งนัก หญิงสาวเห็นพวกพี่หมีไม่หลับไม่นอน นางจึงลุกเดินลงไปยังทะเล นั่งยองย่อฉี่ลงน้ำเสียเลย แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้น! จู่ๆนางรู้สึกยุบยับอยู่ที่ขา พอลองเอามือไปแตะๆดูก็พบว่านุ่มๆดีดดิ้นไปมา นางตกใจสุดขีดจนร้องเสียงหลง รีบวิ่งขึ้นจากน้ำร่ำร้องเป็นภาษาต้าเว่ยว่ากลัวแล้วกลัวแล้ว เอามันออกไปเอามันออกไป! พี่หมีมองดูตัวเมียเกลือกกลิ้งบนพื้นทราย เค้าไม่รู้ไฉนนางบ้าขึ้นมาอีก เพราะว่าตรงที่นางอยู่มืดมาก จึงไม่เห็นเจ้าตัวที่เกาะอยู่ตรงขาภรรยาตนเอง “ตายแล้ว ข้าจะตายแล้ว”!!! ว่านลุ่ยดิ้นไปมาด้วยความตกใจ! แต่พี่หมีไม่รอช้า เค้าพุ่งเข้าไปอุ้มหญิงสาว จากนั้นจึงพบตัวยุบยังตรงขา ใช้กำลังเพียงเล็กน้อยก็ดึงออกมาได้อย่างง่ายดาย*** เสียงเปลวไฟลั่นเพี๊ยะพะ เป็นอีกครั้งที่ว่านลุ่ยจ้องมองศัตรูของตนด้วยความเค
คนป่าที่ 23สำรวจทะเล บนทางรกร้างภายในป่าเขา ว่านลุ่ยยืนโก้งโค้งเกาะเปลือกไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พี่หมีใช้เท้าเขี่ยขาทั้งสองของนางออกให้แยกกว้าง จัดท่าจัดทางตามที่ต้องการ แล้วจึงเริ่มซอยสะโพกเข้าออกช้าๆ แล้วค่อยเร็วขึ้น เร็วขึ้น... “โอ้ย!จะเสร็จซักทีได้รึยัง ข้าปวดขา!” ว่านลุ่ยด่าทอคนด้านหลังด้วยภาษาต้าเว่ย นางอยากจะถีบเค้าให้กระเด็นตกเขานัก ตนท้องโตขนาดนี้ยังจะทำอีก ไม่เห็นใจกันบ้างเลย! พี่หมีเหมือนจะรู้ว่าตัวเมียของตนไม่พอใจ เค้ารัดเอวนางไว้แน่น เสยสะโพกเข้าออกสุดชีวิต จากนั้นตอกอัดเน้นๆเชื่องช้าอีกเจ็ดแปดครั้ง ปากก็ร้องครวญคราง อู อู อู “ป็อก!” เสียงบางอย่างเคลื่อนหลุดออก ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าตามเรียวขาหญิงสาว จะเปรอะเปื้อนเลอะเทอะเพียงใด นานสองนาน ว่านลุ่ยใช้น้ำจากกระบอกไม้ไผ่ที่นำมาทำความสะอาดกลีบท้อ นางไม่อยากขัดใจสามีมาก เมื่อเค้าต้องการนางก็จัดให้ จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินทางต่อ เพราะตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว ตะวันคล้อยบ่าย ว่านลุ่ยและพี่หมีเดินมาถึงยอดเขา จากถ้ำของนางมานี่ใช้เวลาเพียงครึ่งวั
บนชะง่อนหิน ใกล้ๆกับสระเล็กๆที่ว่านลุ่ยขุดขึ้นเพื่อรองรับน้ำจากกังหัน ต้นอ้อยที่นางปล้นชิงมาถูกหั่นเป็นท่อนๆ ฝังกลบไว้ตามคันดิน เมื่อมีเจ้าสิ่งนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำผึ้งอีก รอให้พวกมันโตซักหน่อยค่อยขยายพันธุ์เพิ่ม จะได้เอามาคั้นน้ำเคี่ยวเป็นน้ำตาล เกือบสองปีที่ผ่านมานางได้พืชพันธุ์จำนวนมาก มีทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก แต่อาชีพของนางเมื่อก่อนเป็นแม่ค้า ทั้งยังขายเครื่องเทศนำเข้า นางย่อมรู้จักคัดแยกสิ่งที่กินได้และไม่ได้ เรื่องพวกนี้ถือเป็นพื้นฐานของเฒ่าแก่เนี้ย ไม่เช่นนั้นนางจะเปิดเหลาอาหารได้เป็นสิบร้านหรือ บนกำแพง พี่หมีเนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลน แม้แต่เจ้าลาน้อยก็ถูกจับมาลากเกวียนไม้ บรรทุกก้อนหินที่เริ่มขนไกลขึ้นเรื่อยๆ เพราะแถวๆหมู่บ้านถูกนำมาใช้ก่อสร้างหมดแล้ว ว่านลุ่ยมองสามีชาวป่าของตนอยู่ที่ห่างไกล นางรู้สึกผิดนิดๆ เมื่อก่อนชายหนุ่มเพียงแค่ตื่นนอนแล้วเข้าป่าล่าสัตว์ ใช้ชีวิตอิสระเรียบง่าย แตกต่างจากทุกวันนี้ ต้องรับผิดชอบหลายหน้าที่ กับกลายเป็นว่าเหนื่อยกว่าเมื่อก่อนอีก “…” หญิงสาวมองบุรุษชาวป่าเดินเข้าๆออกๆหมู่บ้าน ทุ