คนป่าที่ 5
เมียคนป่าสู้ชีวิต
เสียงสวบสาบข้างๆดังขึ้น ว่านลุ่ยแม้ไม่มองก็ทราบได้ทันที่ว่าพี่หมีขยับตัวมาด้านหลังนางแล้ว หนังสัตว์ผืนน้อยถูกเปิดขึ้น หญิงสาวขนลุกชันทันทีเมื่ออีกฝ่ายหายใจฟุดฟิดอยู่ตรงบั้นท้าย เป่าลมร้อนใส่กลีบท้อนางที่ไวต่อความรู้สึก ราวกับกำลังสำรวจค้นหาอะไรบางอย่าง โดยที่ไม่คิดว่านาง จะอับอายในการกระทำของเค้าแม้แต่หน่อยเดียว
“อู อู อู อูก้า”!!!
จู่ๆเค้าก็เหมือนจะพูดอะไร แต่นางไม่เข้าใจภาษา จึงทำเพียงหลับตาลงก้มหน้า คิดในใจต่อให้เค้าทำทุเรศยิ่งกว่านี้ นางก็คงไม่รู้จะอับอายไปทำไม นี่ไม่ใช่ต้าเว่ย ที่สตรีต้องแต่งตัวเรียบร้อยดีงาม รักนวลสงวนตัว แม้กระทั่งนิ้วเท้ายังไม่สามารถให้ผู้อื่นยลชม
“อูก้า อู อู ก้า อู”!!!
นี่เป็นเสียงพี่สาวจอมยั่วชัดๆ ว่านลุ่ยจำได้ แต่ไฉนดังอยู่ตรงบั้นท้าย เมื่อหญิงสาวลืมตามองลอดหว่างขากลับหลัง ก็เห็นพี่สาวอวบอัดคนงาม กำลังก้มๆเงยๆสำรวจช่องทางสวาทตน จากนั้นเหมือนเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ายินยอม
“หรือพี่หมีเห็นข้าเป็นเด็กที่ยังไม่พร้อมผสมพันธุ์?” ว่านลุ่ยอดคิดในใจมิได้!
คุณหนูใหญ่ราวกับรับรู้ถึงการกระทำของคนด้านหลังทั้งสอง จู่ๆนางก็อดสูยิ่งนัก แม้แต่คนป่าเถื่อนเช่นพี่หมี เค้ายังไม่ต้องการนางอีกหรือ!
“โอ๊ะ! โอ๊ยยย!” แต่การกระทำของพี่หมีตอบนางว่าไม่ใช่ เพราะพอเค้าเริ่มเสือกไสแท่งเนื้อเข้ามา เครื่องเพศว่านลุ่ยก็ราวจะฉีกขาด จนนางต้องร้องโอดโอยขึ้นมาอย่างลืมตัว “ซีด เจ็บจัง แต่ข้าต้องทนให้ได้!”
ว่านลุ่ยหุบปากที่ร่ำร้องลง นางคิดในใจ อย่างไรต้องพลีกายเป็นเมียพี่หมีเต็มตัวให้ได้ เพื่อที่จะได้รับการปกป้องไปตลอด นางก็จำเป็นต้องอดทนรับความอัปยศนี้
เหมือนคนด้านหลังจะรู้ว่าว่านลุ่ยเจ็บมาก มือปริศนาข้างหนึ่งยื่นมานวดติ่งเนื้อเล็กๆให้นาง ช่วยบรรเทาอาการจุกแน่นให้หญิงสาวอย่างช่ำชอง...
“อ๊า อะ อย่าขยี้แบบนี้สิ ข้าเสียว!”
คุณหนูใหญ่หยินถึงขั้นหลุดภาษาของตนเอง ระหว่างที่ถูกพีหมีกระแทกลำเอ็นเข้าออก มือของพี่สาวจอมยั่วก็ไม่อยู่นิ่ง นางนั่งอยู่ข้างๆว่านลุ่ย ขณะที่พี่หมีใช้กำลังบังคับแท่งเนื้อ ก็ช่วยสอดมือใช้นิ้วกดติ่งเล็กๆตรงส่วนที่โหนกนูน หมุนวนรัวเร็วไปมา
ว่านลุ่ยหารู้ไม่ว่าพี่สาวจอมยั่วมีศักดิ์สูงที่สุด ในบรรดาแม่พันธุ์ของพี่หมี นางมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบน้องๆ จึงเคยทำเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง เมื่อถูกนิ้วมือร้ายกาจของนางโจมตี แม้จะเป็นครั้งแรก แต่นางก็สั่นกระตุกเสร็จสมในเวลาไม่นาน “…”
“โอ๊ย! หยุด! หยุด! อู อู อู”!!!
พี่หมีกระแทกไปได้แค่ชั่วครู่ ว่านลุ่ยก็โก่งตัวโก้งโค้งสั่นกระตุกรัวๆ นางเหมือนกับท้องฟ้าถล่ม ในชีวิตไม่เคยรู้สึกดั่งกับตกไปในเหวลึกเช่นนี้ เวิ้งว้างราวกับหาที่สิ้นสุดไม่เจอ...
อาจจะเพราะคุณหนูใหญ่ไม่เคยถูกล่วงเกินแบบนี้มาก่อน เมื่อยามเสียวซ่านนางจึงร้องครางไม่เป็น กับห้อปากส่งเสียง อู อู อู เหมือนสตรีในถ้ำคนอื่นๆ อากัปกิริยาหาได้ต่างจากหญิงสาวชาวป่าแม้แต่น้อย
“ป็อก!” ขณะที่ว่านลุ่ยยังใช้ศอกค้ำยันพื้นแอ่นสะโพกสั่นสะท้าน พี่หมีก็ถอดถอนแท่งเอ็นออก เค้าไม่สนใจนางอีก ปล่อยคุณหนูใหญ่ที่ไม่รู้ตัวซักนิด ว่าตอนนี้ตนเองแสดงท่วงท่าทุเรศแค่ไหน เดินแกว่งไกวแท่งเนื้อออกจากถ้ำ มุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของลำธาร
“อูก้า อูก้า อู อู”!!!
พี่สาวจอมยั่วเหมือนจะพูดอะไรกับนาง แต่ว่านลุ่ยไม่สนใจแล้ว หญิงสาวขดตัวงองุ้ม บั่นท้ายก็สั่นกระตุกเบาลงเรื่อยๆ จากนั่นก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย…
***
หลายวันผ่านไป
“เอ๊ะ!” ไม่ห่างจากชนเผ่าของพี่หมี ว่านลุ่ยขณะเดินเล่นกับน้องสาวตะวัน นางพบว่าตรงเนินเขามีการพังทลายลงเล็กน้อย นางจึงจับจูงมือน้องสาวข้างๆเข้าไปสำรวจ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า ตรงนั้นมีกรวดเล็กๆสีดำบ้างแดงบ้าง พอหยิบจำนวนหนึ่งขึ้นมากะเทาะเอาดินออก จากนั้นโยนกะน้ำหนัก ว่านลุ่ยก็ส่งเสียงดีอกดีใจขึ้นมา
น้องสาวตะวันสีหน้างุนงง ไม่ทราบไฉนพี่สาวแปลกประหลาดดีใจกับก้อนหินก้อนดิน “…”
เพียงแต่หญิงชาวป่าทั้งหมดโง่เขลา หาใช่ว่านลุ่ยไม่ นางเมื่อพบสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัว “ใช่แล้ว! ข้าเฉลียวฉลาดปานนี้ยังต้องกลัวคนป่ากลุ่มหนึ่งอีกหรือ!” แต่คิดได้เพียงครู่เดียวก็สีหน้าหม่นลง ต่อให้นางฉลาดกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อทุกอย่างที่นี่วัดกันด้วยกำลัง ตัดสินชีวิตด้วยการฟาดหวดกระบองออกไปเพียงครั้งเดียว!
ว่านลุ่ยลุกขึ้นจากกองดินที่พังทราย นี่เป็นกรวดเหล็กที่พบได้ทั่วไป เพราะชนเผ่าพี่หมียังใช้หินเป็นเครื่องมือแล่เนื้อ นางจึงเข้าใจไปว่าพวกเค้าคงไม่รู้จักนำเหล็กมาเป็นอาวุธ คราแรกยังคิดว่าตนเองจะซุ่มทำหอกทำดาบแล้วนำมาก่อกบฏ แต่พอคิดๆไปก็อย่าเลยดีกว่า “…”
แต่ขณะจะเดินจากไปว่านลุ่ยก็รู้สึกเสียดาย นางจึงนำใบไม้ขนาดใหญ่ที่หล่นอยู่แถวๆนั้นมาห่อ เก็บกรวดหินจำนวนมากใส่ลงไปในนั้น จนกระทั่งสองมือหนักอึ้ง นางจึงพาน้องสาวตะวันเดินกลับถ้ำตามทางน้อยขามา
***
เสียงปะทุของเปลวไฟลั่นเพี๊ยะพะ หน้าปากถ้ำว่านลุ่ยก่อเตาเผาที่ทำจากดินเหนียว นางไม่ได้ทำใหญ่มาก เพียงทำเล็กๆ และเจาะรูรับอากาศตามที่ได้เคยเรียนรู้มา
นี่เป็นเตาหลอมเหล็กขนาดย่อมๆ ว่านลุ่ยรู้จักสิ่งนี้เพราะกิจการของตระกูล ตอนเด็กนางติดตามบิดาไปทั่ว แม้แต่โรงตีมีดและเครื่องมือใช้สอยก็เคยพบเจอมาหมดแล้ว
พี่หมียังไม่กลับถ้ำ แต่หญิงสาวคนอื่นๆอยู่ครบหมดแล้ว พวกนางมองว่านลุ่ยด้วยความสงสัย ส่งเสียงกุลีกุลู ราวกับจะถามว่าเจ้าบ้าหรือเปล่าเอาหินไปเผาไฟทำไม
จนกระทั่งพลบค่ำ พี่หมีก็กลับมา หน้าเตาไฟมีว่านลุ่ยที่หน้าตามอมแมมนั่งอยู่ นางงงงวยอย่างมากไฉนกรวดหินพวกนี้ถึงไม่ละลาย
เวลาล่วงเลยผ่านไป นางได้ยินเสียงอูก้าอูก้าดังมาจากในถ้ำ ว่านลุ่ยยังคงสอดฟืนเข้าไปเผาหินอย่างมีความหวัง นางหาได้รู้ตัวซักนิด ว่าตอนนี้ผู้อื่นมองตนเป็นหญิงโง่ ที่ตั้งอกตั้งใจเผาหินอยู่นอกถ้ำคนเดียว “…”
“อูก้า อู อู ก้า ก้า อู อู”!!!
“อู อู ก้า กา อู”!!!
“อู อู กา กา อูก้า อูก้า”! ╮( ̄▽ ̄)╭
ความทุ่มเทของว่านลุ่ยกลายเป็นที่ถกเถียงของเหล่าสาวๆในถ้ำ แม้กระทั่งพี่หมียังมองนางด้วยความงุนงง ไม่ใช่ถูกกระแทกแรงจนเปลี่ยนเป็นหญิงบ้าไปแล้วนะ เค้าสมควรอ่อนโยนกับนางกว่านี้แล้วจริงๆ
พี่หมีนั่งมองแม่พันธุ์ของตนด้วยความสงสัย เค้าคิดในใจว่าผู้อื่นก็ไม่ได้โง่เหมือนนาง ต่อให้กลายเป็นบ้าไปซักคนก็หาเป็นไรไม่ อย่างมากก็ให้ตัวเมียอีกห้าคนที่เหลือช่วยดูแลนาง “…”
***
ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปอย่างเรียบง่าย ตื่นเช้าพี่หมีก็จับตัวเมียของตนขึ้นมาเสพสม ว่านลุ่ยเสพติดเรื่องนี้มาก พอได้ลิ้มรสท่อนเอ็นก็ติดใจ ขอให้เค้ากระทำกับนางทุกเช้า ช่วยนางให้หายคันก่อนออกจากถ้ำไป
คุณหนูใหญ่ยอมรับชะตากรรม นางคิดไม่ถึงจริงๆว่าการเสพสมระหว่างชายหญิงจะรู้สึกดีเช่นนี้ แม้ที่ควบขับนางจะเป็นคนป่า แต่ยามสั่นไหวอยู่ใต้ร่างเค้า นางก็เสียวมากเหลือเกิน
ว่านลุ่ยถือว่านี่เป็นรสชาติความสุขเล็กน้อยในชีวิต แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ แต่ก็สมควรใช้ชีวิตให้มีความสุขต่อ หากไม่รู้จักไขว่คว้า แล้วจะมีชีวิตที่เหลืออยู่ไปเพื่ออะไร
อย่างเช่นตอนนี้! ว่านลุ่ยตื่นนอนแต่เช้า นางเห็นพี่หมีช่วยพี่สาวแมวให้หายคันอยู่ จึงได้รอจนเค้ากระทำเสร็จ จากนั้นดึงมือพี่หมีออกจากถ้ำ เดินไปหาต้นไม้ตรงชะง่อนหิน จากนั้นใช้มือค้ำยันลำต้นไว้ โก้งโค้งแอ่นสะโพกให้พี่หมีอย่างรู้งาน
“อู อู อู ซีดดด อู้ววว พี่หมี แรงเกินไปแล้ว!”
ว่านลุ่ยติดนิสัยสูดปาก อู อู อู จากสตรีทั้งหลาย นางยืนถ่างขาออกกว้าง ให้พี่หมีย่ำยีกลีบท้อเล็กๆ สายตาก็มองพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้น ช่องทางรักก็ลิ้มรสสวาท ให้ความรู้สึกดีแบบบอกไม่ถูก ชื่นชมความงามไปพร้อมๆกับถูกเสพสม หากเป็นต้าเว้ยนางทำเช่นนี้ สมควรถูกจับใส่กรงหมูถ่วงน้ำไปแล้ว!
“ตับๆ ตับๆ ตับๆ”!!!
“อูวว อูวว อูวว”! ที่นี่ไม่มีอะไรให้ต้องอับอาย ยามเสียวนางก็ร้อง จะร้องดังแค่ไหนก็ได้ ท่วงท่าที่ใช้ก็ค่อยๆป่าเถื่อนไปเรื่อยๆ เป็นนางเองสอนให้พี่หมีพลิกแพลง เพราะเค้าทำเป็นอยู่แค่ไม่กี่ท่าเท่านั้น
เหมือนกับตอนนี้ ว่านลุ่ยโดนกระทำจากด้านหลัง นางยืนจนปวดขาแล้ว ตอนนี้อยากถูกอุ้ม จึงผลักพี่หมีออกจากบั้นท้าย หมุนตัวหันหน้าไปหาเค้า ชี้มือไปที่กลีบท้อตน แล้วทำท่าโอบอุ้ม สื่อสารว่านางต้องการท่าทางเช่นนี้ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปกอดพี่หมี จับแท่งเนื้อของเค้าชักขึ้นชักลงรอให้เค้าอุ้มตนเองขึ้นไป
ชายร่างใหญ่รู้ถึงความต้องการตัวเมียตน หลายวันก่อนนางก็เคยให้เค้าทำแบบนี้ ดังนั้นจึงอุ้มนางใช้ขาสองข้างรัดเอวสอบไว้ ไม่ต้องสอดใส่เองก็มีมือน้อยๆเอื้อมลงไปสัมผัสแท่งเนื้อ จากนั้นชักนำเข้าสู่ร่องเล็กของตนเอง
“ซีดดด อู อู อู”!!!
ว่านลุ่ยแหงนหน้าร้อง อู อู อู ยามถูกกระแทกขึ้นลง ฮึมฮำอย่างเต็มฝืน รู้สึกถูกเติมเต็มอย่างถูกอกถูกใจ
กลิ่นลมหายใจและกลิ่นปากพี่หมีไม่เหม็นซักนิด แรกๆนางแปลกใจไม่น้อย ที่เห็นคนป่าเหล่านี้รู้จักใช้ขี้เถ้าและเถาวัลย์ไม้ นำมาขัดฟันทำความสะอาด ดูแลรักษาโพรงปากของตนเองจนสุขภาพดี
ว่านลุ่ยหารู้ไม่ว่า เรื่องฟันคือสิ่งที่คนป่าใส่ใจที่สุด พวกเค้าจะมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ดังนั้นหลายพันปีจึงมีการสืบทอดการดูแลรักษามาเรื่อย ถือเป็นวิถีการดำลงชีวิตที่ทำกันมานานแล้ว
สองแขนหญิงสาวคล้องคอพี่หมี แม้จะถูกอุ้มขึ้นสูง แต่ยามจะมองดวงตาอีกฝ่ายยังต้องแหงนขึ้น ระหว่างที่ถูกจับโยกนางก็ก็สำรวจใบหน้าเค้าไปด้วย สงสัยว่าหากไม่มีหนวดเคราปกคลุม เจ้าของดวงตาใสกระจ่างผู้นี้จะดูดีหรือว่าขี้ริ้วเพียงใด
จู่ๆนางมองไปที่ริมฝีปากใต้หนวด กลีบปากเค้าใหญ่กว่านางมาก ขณะกำลังเสียวไม่ทราบว่านลุ่ยไปเอาความกล้ามาจากไหน กับโน้มใบหน้าเข้าหา ประทับจูบลงไปตรงนั้น ลิ้มรองรสชาติที่นางสงสัยมานาน...
***
คนป่าที่ 6ต่อหน้าคนป่าทั้งเผ่า เตาไฟยังคงปะทุลั่นเพี๊ยะพะ ว่านลุ่ยคืนนี้ก็นั่งเฝ้าก้อนกรวดของนางตามเดิม หากแต่ภายใต้แสงไฟที่สาดส่อง แก้มน้อยๆของนางแดงเรื่อขึ้น เมื่อคิดถึงจุมพิตตอนเช้า ก็ต้องใช้มือปิดหน้าตนเองด้วยความอับอาย ย้อนเวลากลับไปตอนว่านลุ่ยกำลังถูกเสพสม นางไม่รู้จู่ๆนึกอยากอารมณ์ไหน กับจูบลงไปที่ริมฝีปากพี่หมี ตอนนั้นท่าทีเค้าตกใจมาก รีบโยนนางลงจากลำตัวจนก้นกระแทกพื้น ร้องโอดครวญอยู่เป็นเวลานาน “…” คุณหนูใหญ่หารู้ไม่ว่า ชนชาวป่าถือสาสิ่งนี้ เขี้ยวและฟันถือเป็นอาวุธร้าย มีเพียงใช้โจมตีศัตรูเท่านั้นถึงจะให้กระทบถูกผู้อื่น ดังนั้นพี่หมีจึงเข้าใจว่านางกำลังจะเล่นงานเค้า จึงรีบโยนหญิงสาวที่กำลังถูกบดขยี้เครื่องเพศ โดยที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว “อู้ยยย! หากมิใช่พี่สะใภ้ชอบเอาหนังสือลามกเหล่านั้นมาให้ข้าดู มีหรือข้าจะมอบจุมพิตให้เจ้า! ชิ!” ว่านลุ่ยลูบก้นที่เจ็บปวด ทั้งยังนึกด่าทอพี่หมีไปด้วย นางรู้สึกว่าใบหน้าตนเองร้อนผ่าว ยามนึกถึงเรื่องเมื่อเช้า ดังนั้นจึงใช้มือกุมแก้ม อับอายกับการกระทำของตนเอง “เอ๊ะ!
คนป่าที่ 7เสียงระคายหู บนทางน้อยเนินเขา พี่หมีแบกหินเดินนำหน้า น้องสาวตะวันและจันทราช่วยกันหอบหิ้วเนื้อแดงสด ส่วนพี่สาวจอมยั่วในมือโอบอุ้มผืนหนัง โดยมีว่านลุ่ยเดินโขยกเขยกปิดท้าย ราวกับว่าในรูสวาทนางถูกแท่งเอ็นปักคา “...” “ซีดดด...วันนั้นข้าไม่น่าไปหัวเราะเยาะนางเลย!” น้องสาวตะวันก็เดินตลกเช่นนี้ วันนั้นที่ชะง่อนหินว่านลุ่ยรู้สึกขบขันยิ่งนัก ยามนี้โดนเข้าเสียเองจึงรู้สึกว่า ไม่สมควรไปหัวเราะผู้อื่นเลยจริงๆ! วันเวลายังคงผ่านไปเรื่อยๆ ว่านลุ่ยตัวประหลาดในสายตาผู้อื่น นางยังคงนั่งเฝ้าเตาไฟ ทุกครั้งที่มองไปยังแผ่นหินแผ่นนั้นก็จะหน้าแดง นึกถึงวันที่ตนถูกพี่หมีเสพสมตนต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน หากเป็นที่ต้าเว่ยนางคงอับอายจนผูกคอตายไปแล้ว “อูก้า อูก้า อู อู”!!! พี่สาวแมวอุ้มเจ้าดำมานั่งข้างๆว่านลุ่ย นางส่งเสียงกุลีกุลู จากนั้นเอาเนื้อก้อนหนึ่งที่ย่างเสร็จแล้วส่งให้นาง แล้วเดินหายกลับเข้าถ้ำไป คุณหนูใหญ่ไม่ทราบ ไฉนทุกวันนางไม่ต้องย่างเนื้อเอง หลายวันมานี้พี่สาวน้องสาวดีกับตนมาก แทบจะหาอาหารมาป้อนเข้าปาก เหลือก
คนป่าที่ 8ตัวเมียบ้าของหัวหน้าเผ่า วันรุ่งขึ้น ว่านลุ่ยตื่นนอนแล้วก็รู้สึกกระฉับกระเฉงยิ่งนัก ต่างกับพี่หมีและพี่สาวจอมยั่ว ทั้งสองนอนหมดสภาพขึ้นอืด นางจึงใช้โอกาสนี้ฝนมีดตนเองจนคมเงา จากนั้นจึงชวนน้องสาวตะวันจันทราออกจากถ้ำ จับจูงมือกันไปที่ลำธารเพื่อหาปลา สองสาวสงสัยยิ่งนัก มีดที่พี่สาวสติไม่ดีถืออยู่แตกต่างจากของพวกตนมาก ว่านลุ่ยเห็นว่าทั้งสองสงสัยก็ไม่หวง ยื่นส่งให้ทั้งคู่พิจารณาดู มีดปังตอเล็กๆเท่าฝ่ามือ ว่านลุ่ยพันด้ามด้วยเถาวัลย์ไม้ พอเห็นน้องสาวตะวันจะนำมาปะทะกับมีดหิน นางก็รีบร้องเสียงหลงห้ามไว้ แต่ไม่ทันแล้ว มีทั้งคู่ฟันใส่กันดัง เพร้ง! คุณหนูใหญ่จึงรีบแย่งจากมืออีกฝ่าย ด้วยใบหน้าเหมือนจะอยากหลั่งน้ำตา “อู กา อูก้า อู อู”!!! นางไม่เข้าใจที่น้องสาวตะวันพูด แต่เดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดี เพราะปังตอสุดที่รักยามนี้บิ่นแล้ว แต่มีหินของนางสาวตะวันกับไม่เป็นอะไร สามสาวเล่นอยู่ที่ลำธารตั้งแต่เช้า จนเที่ยงก็ขึ้นจากน้ำพร้อมปลาตัวเล็กๆจำนวนมาก “อูก้า อูก้า อู อู”!!! ขณะจะกลับ
คนป่าที่ 9กังหันผันน้ำ เสียงก็อกๆแก็งๆดังอยู่บริเวณชายป่า แม้กระทั่งพี่สาวจอมยั่วและน้องสาวตะวันจันทราก็ตามมาช่วย เป็นพี่หมีสั่งให้พวกนางตามมา เค้าบอกกับตัวเมียทั้งหมดว่า ต่อให้นางตัวเล็กทำอะไรปัญญาอ่อน ก็ให้พวกนางทำเป็นเพื่อน สุดท้ายทั้งชนเผ่าถึงได้ทราบว่า โรคเสียสติสามารถติดต่อกันได้ ยามนี้ตัวเมียหัวหน้าเผ่ากลายเป็นบ้าไปหมดแล้ว “…” “อูก้า อูก้า อู อู ก้าอู” !!! สาวๆในชนเผ่ายามปกติก็จะลงน้ำจับปลา มีบ้างที่ออกไปหาผักป่า แต่พวกนางไม่ได้ปรุงเป็นอาหาร เพียงใช้เป็นของกินเล่น เคี้ยวสดๆยามว่างก็เท่านั้นเอง ต่างกับตอนนี้ พวกนางรวมกลุ่มสิบกว่าคนแอบมองกลุ่มว่านลุ่ย ต่างก็ส่งเสียงกุลีกุลูอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้ กลัวจะติดโรคบ้าจากนาง คุณหนูใหญ่รู้สึกโชคดีไม่น้อย กอไผ่ป่าไม่ได้อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน หลายวันมานี้จึงช่วยกันตัดแล้วแบกหามกลับไปถ้ำ จำนวนก็จวนจะครบตามที่ต้องการ เพื่อไปทำกังหันวิดน้ำ ช่วยแบ่งเบาภาระในการทำอาหารของตน ว่านลุ่ยหลังจากแสดงฝีมือ นางค่อยได้คิดว่าตนเองทำเรื่องพลาด ยามนี้ทุกคนไม่ยอมกินเนื้อ
คนป่าที่ 10เมียคนป่านักก่อสร้าง หลังจากวันนั้น พี่หมีก็เรียกร้องไม่มีที่สิ้นสุด นางต้องรองรับอารมณ์ทั้งบนและล่าง พี่สาวน้องสาวคนอื่นก็ไม่ช่วยเหลือ มีเพียงปากของนางเท่านั้นใช้ปรนนิบัติพี่หมี จนทุกคนในชนเผ่าเข้าใจไปว่า นี่เป็นการมอบพลังให้หมอผี ที่ผู้นำของตนถ่ายทอดให้ตัวเมียเค้า ช่วยให้นางมีอำนาจมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นตอนนี้ แม้บุรุษหลายคนจะเดินเข้ามาในถ้ำ ว่านลุ่ยยังคงต้องคุกเข่าใช้ปาก ผงกหัวขึ้นลงตามแรงมือของพี่หมีด้วยความจำยอม... หลายสิบวันต่อมา เสียงป๋องๆแป๋งๆดังเป็นระยะ คุณหนูใหญ่ยามนี้ยึดถือคนป่าทั้งหมดเป็นชนเผ่าของนาง ดังนั้นจึงต้องช่วยหาทางปกป้อง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีก เพราะแม้พี่หมีจะร้ายกาจมาก แต่เค้าก็เสียประชากรไปเกือบสิบคน ถูกคนป่าเผ่าศัตรูที่บุกเข้ามายามค่ำคืนสังหาร พืชผักของว่านลุ่ยเริ่มงอกแล้ว ตอนนี้วัฒนธรรมการกินในถ้ำเปลี่ยนไป ยามบุรุษในชนเผ่าล่าสัตว์ป่ามาได้ หัวหน้าเผ่ามักจะเอาแต่ส่วนที่ถูกทิ้ง กับกลายเป็นว่าลูกสมุนทั้งชายหญิง ได้รับส่วนแบ่งมากกว่าเดิม ยินดีจนแทบหลั่งน้ำตา เพราะมีหัวหน้าที่ไม่เอาเปรี
คนป่าที่ 11โล่เหล็กของพี่หมี พี่หมีได้โล่มาก็มิได้นำมาใช้ทันที เค้าข่มเหงรังแกนางตัวเล็กอยู่ครึ่งวัน ช่วงบ่ายก็ไม่ได้ไปไหน เพียงเดินเล่นตรวจตราในชนเผ่า แล้วกลับเข้าถ้ำช่วงเย็นในเวลาที่คุ่นเคย ชายหนุ่มพึงพอใจกับโล้ไม้มาก เจ้าแผ่นดำๆที่ยึดติดไว้แข็งยิ่งกว่าหิน เค้าจับดูก็รู้ได้ทันทีว่ามันทำมาจากสิ่งเดียวกับมีดประหลาด ลองใช้กระบองหินทุบตีหินก็แตก ใช้หอกไม้แทงหอกก็หัก แม้จะหนักไปหน่อย แต่เค้าก็ชอบมันมากเลยจริงๆ นี่ก็ไม่แปลก ว่านลุ่ยต่อแผ่นไม้เข้าด้วยกันแล้วตัดเป็นวงกลม นางทำตามแบบของชนเผ่าที่ใช้ แต่ยังนำแผ่นเหล็กอย่างหนาหลายสิบแผ่น ยึดสลับเป็นเกล็ดปลา ตอกอัดให้แน่นด้วยหมุด แม้ไม่แข็งแกร่งเท่าโล่เหล็กทั้งอันแบบที่ทหารต้าเว่ยใช้ แต่นั่นก็เป็นเหล็กทั้งหมดที่ว่านลุ่ยมีในตอนนี้! เพราะต้องทำงานไม้ ว่านลุ่ยจึงไม่มีเวลาหลอมเหล็ก เหล่าพี่สาวน้องสาวก็ไม่รู้จักวิธีควบคุมไฟ ดังนั้นจึงไม่สามารถช่วยนางได้ ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ที่นางคนเดียว เหมือนกับตอนนี้ ว่านลุ่ยต้องสอนเด็กสาวผู้มาใหม่ทั้งสอง นางแสดงท่วงท่าบ้าใบ้จนมือเท้าด้านชา แต่
คนป่าที่ 12พี่หมีถูกพิษ พี่หมีคิดไม่ถึงว่าเจ้าพวกนี้ถึงขั้นกล้าบุกมายังใจกลางถิ่นตน เค้าเมื่อทราบว่าถูกซุ่มก็คิดว่าผิดท่า แต่ยังกัดฟันถ่วงเวลาให้เด็กๆหลบหนี พิษจากกบภูเขารุนแรงยิ่งนัก แต่ชายหนุ่มมีร่างกายแข็งแกร่ง ฟาดศีรษะศัตรูแหลกไปสิบกว่าคนโดยไม่ล้มลง ชายหนุ่มร่างยักษ์ต่อสู้จนแทบหมดแรง แต่ไม่นานลูกสมุนกลุ่มที่อยู่ใกล้ๆก็มาถึง พวกเค้าช่วยพี่หมีต่อสู้ตะลุมบอนจนหัวหน้าเผ่าคุโมโม่ล่าถอยไป... คนหัวเสือวิ่งฝ่าใบไม้เถาวัลย์ไปเรื่อย เค้าเป็นหัวหน้าเผ่าคุโมโม่ ตอนนี้แม้สังหารเจ้าหมีดำไม่สำเร็จ แต่ไม่นานมันก็ต้องตายแน่นอน ดังนั้นจึงรีบวิ่งพาลิ่วล้อที่เหลือกลับชนเผ่า เพื่อกลับไปนำกำลังคนมาบุกโจมตีหมู่บ้านเพิ่ม! ในความคิด แม้การบุกมาครั้งนี้จะเสียคนไปมาก แต่เค้าก็คิดว่าคุ้มค่ายิ่งนัก หัวหน้าเผ่าอูก้าที่เป็นศัตรูกันมาช้านาน ยามนี้ถูกพิษกบภูเขา ไม่เกินคืนนี้มันต้องตายอย่างแน่นอน…*** จริงดังคาด พี่หมีกลับถึงหมู่บ้านก็อ่อนแรงแทบสลบ แต่เค้ายังกัดฟันเรียกทุกคนออกมาสั่งเสีย บอกว่าตนเองคงไม่รอดแล้ว ว่านลุ่ยเห็นพี่หมีบ
คนป่าที่ 13ชนเผ่าถูกโจมตี กระโจมไม้ห้าสิบกว่าหลังถูกรื้อถอน พี่หมีสั่งให้นำทั้งหมดมากองกันไว้ตามจุดต่างๆ ถ้ำของว่านลุ่ยก็ถูกใช้เป็นที่อพยพ เด็กสตรีและคนชราถูกพามาหลบซ่อนด้านใน พร้อมทั้งนำเนื้อตากแห้งจำนวนมาก ขนมากักตุนเอาไว้เป็นเสบียง คุณหนูใหญ่เห็นระบบสั่งการของพี่หมีถึงกับต้องลอบชูนิ้วให้ บนชะง่อนหิน นางทอดสายตามองลงไปด้านล่าง พี่หมีถึงกับใช้กระโจมของทุกคนมาเป็นขวากหนามขวางมิให้ฝ่ายตรงข้ามขึ้นเนินมาได้ง่ายๆ ว่านลุ่ยมาจากแดนอารยะย่อมมองชัยภูมิออก ถ้ำของนางตั้งอยู่บนโนนสูง ซ้ายขวาเป็นผาสูงชัน หากปีนขึ้นมามิใช่จะทำไม่ได้ แต่รับรองว่าไม่ง่ายดายอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าพี่หมีก็ดูออก เค้าถอยร่นนักรบในเผ่ามาเฝ้าทางขึ้นไว้ จากนั้นสุ่มกระโจมไม้เป็นกองๆสูงใหญ่ พร้อมที่จะจุดไฟเผายามข้าศึกบุกจู่โจม ขณะที่ทุกคนหลบเข้าถ้ำ ว่านลุ่ยกับใช้เวลายืนชมบุรุษของตนอยู่ตรงชะง่อนหิน จากจุดที่นางอยู่ถึงบริเวณด้านล่างระยะทางราวๆร้อยกว่าวา ดังนั้นสายตาจึงมองได้ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้ใด หญิงสาวคาดการทั้งหมดได้แล้ว นางไม่รอช้าที่จะวิ่ง
ในสายตาแมงมุมหิน นางนอนอยู่ที่พื้น มิทราบเกินเรื่องราวใดขึ้น เพียงไม่กี่อึดใจ พวกศัตรูก็ล้มลงเจ็ดแปดคน จึงอาศัยจึงหวะปลดเครื่องพันธนาการที่ขา คว้ามีดหินจากศพคนที่ตายข้างๆ จากนั้นคลานคืบคลานศอกมุ่งไปทางชายสูงใหญ่ผู้หนึ่ง ที่กำลังหลบซ่อนอยู่ข้างตอไม้ หันหลังให้กับตนเอง พี่หมีอยู่บนที่สูง เค้าย่อมเห็นการกระทำของเด็กหญิง ในใจก็นึกชื่นชมในความกล้า แต่ตอนนี้คนป่าที่เหลืออยู่หกคนซ่อนตัวดีมาก ไม่ยอมโผล่ออกมาให้ยิงอีกเลย “…”*** “อูก้า!อูก้า!อูก้า!” จู่ๆเกิดเสียงคำรามบนเนินสูงดังลั่น ก็เป็นจังกวะเดียวกับเด็กน้อยเชือดคอหอยพอดี! พี่หมีช่วยเหลือเด็กสาวอีกครั้ง แม้นางจะกล้าแต่ว่าโง่มาก การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากฆ่าตัวตาย หากเค้าไม่ดึงความสนใจคนที่เหลือไว้ นางคงถูกเจ้าพวกนั้นสังหารไปแล้ว จริงอย่างที่คิด ทั้งห้าหารู้ไม่ว่าสหายผู้หนึ่งถูกเหยื่อของตนย่องไปเชือดคอจากด้านหลัง แม้จะมีเสียงดิ้นรนสุดท้ายก่อนขาดใจ แต่พวกเค้าก็มิได้ยินเสียง เพราะมัวแต่เพ่งมองไปตามเสียง ชมมองหมีดำยืนตีอกชกหัวอยู่บนขอนไม้ ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งอยู่คนเดียว “กา
คนป่าที่ 26เผ่ากินคน สถานที่ตั้งกระโจมกลายเป็นทุ่งหญ้าขึ้นสูง พี่หมีแม้มิได้ผูกพันแต่ก็รู้สึกใจหาย ถึงไม่สืบต่อเค้าก็ทราบได้ทันที่ว่าเกิดสิ่งใด นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ชนเผ่าที่เคยรุ่งเรืองสมัยก่อนก็มักเป็นเช่นนี้เอง ชายหนุ่มเดินเข้าไปสำรวจร่องรอย โครงกระดูกจำนวนมากกระจัดกระจายไปทั่ว เศษเนื้อเน่าเปื่อยไปหมดแล้ว บางโครงก็ชิ้นส่วนไม่ครบ ถูกสัตว์ป่าคาบไปกินตามที่ต่างๆ ห่างไปไม่ไกลพี่หมีพบตุ้มหินสองลูก ผูกโยงเข้าด้วยกันกับเถาวัลย์ไม้ รัดพันเข้ากับขาทั้งสองของซากกระดูกโครงหนึ่ง เมื่อเห็นอาวุธพันธนาการ พี่หมีก็ทราบได้ทันที่ว่าชนเผ่าใดเป็นผู้บุกโจมตี นี่เป็นพวกป่าเถื่อนแดนเหนือ! กลุ่มที่ชื่นชอบการกินเนื้อมนุษย์ พวกมันมักจะกระจัดกระจายกันอยู่ตามที่ต่างๆ คอยซุ่มโจมตีชนเผ่าเล็กๆ ทั้งยังเชี่ยวชาญการขี่ม้า เลี้ยงสุนัขป่าตัวโตร้ายกาจอีกด้วย เพราะพื้นที่แถบนี้เป็นขุนเขามากมาย ต่างจากแดนเหนือที่เป็นทุ่งหญ้าพื้นเรียบ ชนเผ่าละแวกใกล้เคียงจึงไม่นิยมขี่ม้า ต่างกับพวกกินคนแดนเหนือ ที่ใช้ชีวิตบนหลังม้าเป็นปกติ เล
ไม่ไกลจากลำธาร หัวหน้าเผ่าคุโมโม่มาทันเห็นนักรบทั้งสี่ถูกสอยร่วง เค้าร่ำร้องตะโกนสุดเสียงด้วยความแค้น จังหวะนั้นไม่มีผู้ใดกลัวตายซักนิด คนป่ากว่าครึ่งร้อยที่ตามมาก็มุ่งตรงกระโดดข้างแม่น้ำตามเค้าไป คนแล้วคนเล่า ทั้งหมดข้ามได้อย่างปลอดภัย พี่หมีเห็นศัตรูมามากก็เผ่นแนบไปก่อนแล้ว คนหัวเสือยามนี้พบว่าหนึ่งในผู้ตายที่นอนอยู่บนโขดหิน เป็นบุตรชายตนเองก็ยิ่งแค้น ก้มลงไปกอดศพเด็กหนุ่มร่ำไห้ สาบานว่าต่อให้แลกด้วยชีวิต เค้าก็ต้องสังหารเจ้าหมีดำให้ได้ด้วยมือตนเอง การไล่ล่ายังคงดำเนินต่อไป นักรบคุโมโม่เกือบสองร้อย แบ่งกันอ้อมไปดักตามเส้นทางต่างๆ พี่เสือกลืนความแค้นลงท้อง นำกำลังสามสิบคนไล่ตามรอยเท้า พี่หมีก็ไม่ยอมให้ตามทันง่ายๆ ระหว่างทางเค้าพบรังต่อรังแตนก็ใช้กิ่งไม้ขว้างปาไปทั่ว ยั่วยุให้สัตว์มีพิษเหล่านี้บินว่อน เพื่อสร้างความลำบากให้ผู้ที่ติดตามมาด้านหลัง จะได้ไม่ตามตนเองได้ง่ายเกินไป จนกระทั่งมืดค่ำ ต่อให้เชี่ยวชาญการแกะรอยแค่ไหน เมื่อไร้แสงอาทิตย์ พี่หมีก็สลัดหลุดจากศัตรู หากแต่ชายหนุ่มยังคงมุ่งขึ้นเหนือเป็นเส้นตรง เพราะคาดว่าฝ่ายตรงข้างคงวางกำลังโอบล
คนป่าที่ 25ถูกซุ่มโจมตี ตะวันคล้อยบ่าย หากแต่ใบไม้หนาทึบบดบังแสงแดดยิ่ง คนป่าบนเนินห้าเสือเพียงรอให้ศัตรูโผล่ออกมา พวกเค้าก็จะระดมยิงเกาทัณฑ์ใส่จากทุกทิศทาง ต่อให้หัวหน้าเผ่าอูก้าร้ายกาจแค่ไหน สภาพต้องไม่ต่างจากตัวเม่นแน่นอน แต่สิ่งที่ทุกคนมิทันคาดคิดพลันเกิดขึ้น ขณะที่ทั้งหมดยังไม่เห็นศัตรูเผยตัวออกจากที่ซ่อน ลูกเกาทัณฑ์อีกฝ่ายกับพุ่งเข้าใส่ฝั่งตนก่อนแล้ว! เสียงฉึกเมื่อหัวศรปักจมลงเนื้อไม้ นักรบคุโมโม่ที่ซุ่มอยู่ข้างๆถึงกับสะดุ้ง เค้าไม่ทราบเจ้านี่ถูกยิงมาจากตรงไหน แต่เสียงสวบสาบของฝีเท้าใกล้ๆ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าคนหัวหมีกำลังหลบหนี พริบตาเดียวเสียงเป่าเขาสัตว์ดังลั่น จากนั้นเป็นเสียงเฮโลของคนป่าไล่กวดตามไป ในเสี้ยวอึดใจ พี่หมียิงเกาทัณฑ์มั่วๆออกไปสองลูก ดอกหนึ่งปักเข้ากับต้นไม้ อีกดอกปักใส่คอหอยนักรบคุโมโม่ผู้หนึ่งพอดี…*** ด้วยจำนวนคนที่แตกต่าง คนหัวเสือแค้นใจนัก เค้าไล่ตามเสียงแหวกกิ่งไม้เบื้องหน้า ด้านหลังยังมีสมุนหลายสิบคนวิ่งติดตามมา เมื่อครู่เห็นนักรบของตนผู้หนึ่งล่วงจากต้นไม้กับตา เจ้าหมีสร้า
ชายชราแม้สูงวัยแต่แข็งแรงยิ่ง สิบกว่าปีก่อนตอนเข้าร่วมกับพี่หมี เค้าช่วยเหลือหัวหน้าเผ่าไม่น้อย ทำหน้าที่แฝงตัวสืบขาวสารพัด แต่ละครั้งมิเคยถูกจับได้ สมกับชื่อหมอกดำของตนที่บิดาตั้งให้โดยแท้ ลงใต้เป็นหน่วยของเจ้าเม่นหิน ชายผู้นี้จัดอยู่ในอันดับสี่ของนักรบในชนเผ่า เค้าเชี่ยวชาญการซัดเข็มหนามยิ่ง ระยะเจ็ดแปดวาขว้างปาไม่มีพลาด ทั้งยังเป็นบุตรชายของหมอกดำเอง เม่นหินได้รับคำสั่งก็พานักรบรุ่นใหม่ห้าคนลงใต้ทันที เค้าได้รับมอบหมายให้สืบข่าวเผ่าอากู หนึ่งในคนที่ติดตามยังเป็นบุตรชายหัวหน้าเผ่า ไก่หินผู้เป็นน้องชายไข่หินอีกด้วย “ใช่แล้ว” ควรรู้เอาไว้ว่า ชนชาวป่ามักจะตั้งชื่อบุตรประหลาดเช่นนี้ ส่วนมากมักจะเรียกต่อท้ายว่าหิน แม้แต่ กวางหิน หรือนกหินงูหินก็มี “…”*** ไม่นานหลังจากสามหน่วยแยกทาง พี่หมีไม่รู้ตัวซักนิด ทันทีที่ตนเหยียบเข้าเขตคุโมโม่ สายสอดแนมของศัตรูก็ตรวจพบแล้ว! ปกติมิค่อยมีชนเผ่าใดวางกำลังชายแดน พี่หมีจึงชะล่าใจ กับเป็นพี่เสือที่คิดเตลิดในตอนนั้น ตื่นตัวอยู่ก่อน นำคนเผ้าสังเกตการณ์ตามจุดต่างๆมาหลายเดือนแล้ว ยามนี้ร
คนป่าที่ 24ต้มเกลือ ท่อนซุงถูกขูดจนกลายเป็นเรือเล็ก ว่านลุ่ยนำหัวท้ายวางบนก้อนหินใหญ่ ตรงกลางเจาะรูไม่ใหญ่มาก ต่อท่อให้น้ำไหล เมื่อนำเดินเค็มใส่เข้าเรือไม้จนเต็ม เหยียบอัดให้แน่น จากนั้นตักน้ำจากลำธารมาหมักไว้ รอจนหยดลงเต็มถังไม้ นำมาต้นไม่นานก็ได้เกลือแล้ว ความยากลำบากผ่านพ้นไป ว่านลุ่ยสอนอยู่นานจนน้องสาวทั้งสองจำได้ นางถึงขั้นลงทุนสร้างกระท่อมน้อยเป็นเพิงพักให้คนทั้งคู่ วันทั้งวันจะได้มิต้องไปไหน ทำหน้าที่ต้มเกลือให้กับตนก็พอ ที่ต้าเว่ย การค้าเกลือถือเป็นสิ่งที่ทำกำไลมากที่สุด หากไม่มีใบอนุญาตควบคุมจากราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปมิสามารถขนส่งค้าขายได้ ดังนั้นว่านลุ่ยจึงเห็นว่าเจ้าสิ่งนี้สำคัญยิ่ง หน้าที่นี้จึงตกเป็นของน้องสาวทั้งสองที่ตนไว้ใจ ผ่านไปอีกหลายวัน ท้องของว่านลุ่ยโตมาก นางคิดว่าลูกในท้องคงจะเกิดในหน้าหนาว ดังนั้นจึงรีบทำสิ่งสำคัญหลายอย่าง เพื่อให้ทันก่อนที่หิมะจะตกมา อย่างเช่นวันนี้ ว่านลุ่ยยืนคุมคนงานสองคนขุดหน้าดิน พอเห็นดินเหนียวที่ต้องการนางก็ร้องบอกว่าพอแล้ว แสดงท่วงท่าบ้าใบ้ว่าข้าต้องการสิ่งนี้ ให้ขุดข
จนกระทั่งค่ำ คนป่าเกือบสิบนั่งล้อมวงรอบกองไฟว่านลุ่ยพร่ำสอนพวกเค้าจนปากเปียกปากแฉะ ให้ทุกคนจดจำชนิดได้ โดยเฉพาะเนี่ยวเกอ แม้แต่เป็นตัวที่ตายแล้วมีแต่เปลือกก็ต้องเอา! กลางดึก หลังจากกินหอยเผา ว่านลุ่นพลันปวดฉี่ยิ่งนัก หญิงสาวเห็นพวกพี่หมีไม่หลับไม่นอน นางจึงลุกเดินลงไปยังทะเล นั่งยองย่อฉี่ลงน้ำเสียเลย แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้น! จู่ๆนางรู้สึกยุบยับอยู่ที่ขา พอลองเอามือไปแตะๆดูก็พบว่านุ่มๆดีดดิ้นไปมา นางตกใจสุดขีดจนร้องเสียงหลง รีบวิ่งขึ้นจากน้ำร่ำร้องเป็นภาษาต้าเว่ยว่ากลัวแล้วกลัวแล้ว เอามันออกไปเอามันออกไป! พี่หมีมองดูตัวเมียเกลือกกลิ้งบนพื้นทราย เค้าไม่รู้ไฉนนางบ้าขึ้นมาอีก เพราะว่าตรงที่นางอยู่มืดมาก จึงไม่เห็นเจ้าตัวที่เกาะอยู่ตรงขาภรรยาตนเอง “ตายแล้ว ข้าจะตายแล้ว”!!! ว่านลุ่ยดิ้นไปมาด้วยความตกใจ! แต่พี่หมีไม่รอช้า เค้าพุ่งเข้าไปอุ้มหญิงสาว จากนั้นจึงพบตัวยุบยังตรงขา ใช้กำลังเพียงเล็กน้อยก็ดึงออกมาได้อย่างง่ายดาย*** เสียงเปลวไฟลั่นเพี๊ยะพะ เป็นอีกครั้งที่ว่านลุ่ยจ้องมองศัตรูของตนด้วยความเค
คนป่าที่ 23สำรวจทะเล บนทางรกร้างภายในป่าเขา ว่านลุ่ยยืนโก้งโค้งเกาะเปลือกไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พี่หมีใช้เท้าเขี่ยขาทั้งสองของนางออกให้แยกกว้าง จัดท่าจัดทางตามที่ต้องการ แล้วจึงเริ่มซอยสะโพกเข้าออกช้าๆ แล้วค่อยเร็วขึ้น เร็วขึ้น... “โอ้ย!จะเสร็จซักทีได้รึยัง ข้าปวดขา!” ว่านลุ่ยด่าทอคนด้านหลังด้วยภาษาต้าเว่ย นางอยากจะถีบเค้าให้กระเด็นตกเขานัก ตนท้องโตขนาดนี้ยังจะทำอีก ไม่เห็นใจกันบ้างเลย! พี่หมีเหมือนจะรู้ว่าตัวเมียของตนไม่พอใจ เค้ารัดเอวนางไว้แน่น เสยสะโพกเข้าออกสุดชีวิต จากนั้นตอกอัดเน้นๆเชื่องช้าอีกเจ็ดแปดครั้ง ปากก็ร้องครวญคราง อู อู อู “ป็อก!” เสียงบางอย่างเคลื่อนหลุดออก ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าตามเรียวขาหญิงสาว จะเปรอะเปื้อนเลอะเทอะเพียงใด นานสองนาน ว่านลุ่ยใช้น้ำจากกระบอกไม้ไผ่ที่นำมาทำความสะอาดกลีบท้อ นางไม่อยากขัดใจสามีมาก เมื่อเค้าต้องการนางก็จัดให้ จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินทางต่อ เพราะตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว ตะวันคล้อยบ่าย ว่านลุ่ยและพี่หมีเดินมาถึงยอดเขา จากถ้ำของนางมานี่ใช้เวลาเพียงครึ่งวั
บนชะง่อนหิน ใกล้ๆกับสระเล็กๆที่ว่านลุ่ยขุดขึ้นเพื่อรองรับน้ำจากกังหัน ต้นอ้อยที่นางปล้นชิงมาถูกหั่นเป็นท่อนๆ ฝังกลบไว้ตามคันดิน เมื่อมีเจ้าสิ่งนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำผึ้งอีก รอให้พวกมันโตซักหน่อยค่อยขยายพันธุ์เพิ่ม จะได้เอามาคั้นน้ำเคี่ยวเป็นน้ำตาล เกือบสองปีที่ผ่านมานางได้พืชพันธุ์จำนวนมาก มีทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก แต่อาชีพของนางเมื่อก่อนเป็นแม่ค้า ทั้งยังขายเครื่องเทศนำเข้า นางย่อมรู้จักคัดแยกสิ่งที่กินได้และไม่ได้ เรื่องพวกนี้ถือเป็นพื้นฐานของเฒ่าแก่เนี้ย ไม่เช่นนั้นนางจะเปิดเหลาอาหารได้เป็นสิบร้านหรือ บนกำแพง พี่หมีเนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลน แม้แต่เจ้าลาน้อยก็ถูกจับมาลากเกวียนไม้ บรรทุกก้อนหินที่เริ่มขนไกลขึ้นเรื่อยๆ เพราะแถวๆหมู่บ้านถูกนำมาใช้ก่อสร้างหมดแล้ว ว่านลุ่ยมองสามีชาวป่าของตนอยู่ที่ห่างไกล นางรู้สึกผิดนิดๆ เมื่อก่อนชายหนุ่มเพียงแค่ตื่นนอนแล้วเข้าป่าล่าสัตว์ ใช้ชีวิตอิสระเรียบง่าย แตกต่างจากทุกวันนี้ ต้องรับผิดชอบหลายหน้าที่ กับกลายเป็นว่าเหนื่อยกว่าเมื่อก่อนอีก “…” หญิงสาวมองบุรุษชาวป่าเดินเข้าๆออกๆหมู่บ้าน ทุ