คนป่าที่ 4
ยอมเป็นเมียพี่หมี
เช้าวันรุ่งขึ้น ยังคงเป็นวันที่อากาศสดใส หากแต่ครั้งนี้เสียงกระทบกันของเนื้อไม่ดังเหมือนทุกครั้ง เพราะมีเพียงเสียงฮึดฮัด และเสียงพั่บพั่บของบั้นท้ายดังขึ้นเบาๆ
“อืมมม อืมมม อืมมม”
บนหนังสัตว์นุ่มที่ปูพื้นซ้อนทับกันหลายชั้น ว่านลุ่ยถูกจัดให้นอนอยู่อันดับสุดท้าย จึงห่างออกจากพี่สาวจอมยั่วถึงสามสี่วา
เสียงครางในลำคอของสตรีปลุกให้ว่านลุ่ยตื่น เมื่อนางงัวเงียขึ้นตามความเคยชิน ยามลุกขึ้นนั่งก็พบว่าผู้อื่นตื่นก่อนตนแล้ว น้องสาวจันทรานั่งมองฟ้า พี่สาวแมวก็กอดเจ้าเหมียวชมดูพี่หมี ที่บัดนี้ทาบทับอยู่บนลำตัวพี่สาวจอมยั่ว บดขยี้เครื่องเพศขาวเนียนของนางเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนกับที่ทำกับน้องสาวอรุณ
ว่านลุ่ยเริ่มชินแล้ว นางลุกขึ้นตั้งใจชมดูการกระทำของทั้งคู่ พี่หมีตั้งอกตั้งใจกระแทกยิ่งนัก มือก็ดันพื้นไว้ไม่ให้ร่างใหญ่โตของตนกดทับ ร่างอวบอัดของพี่สาวจอมยั่วมากเกินไป
“อูวว อูวว อูวว” เสียงร้องของสตรีใต้ร่างดังขึ้นเมื่อพี่หมีกระแทกหนักๆในจังหวะสุดท้าย จากนั้นนางจึงเห็นเค้าดึงแท่งลำให้หลุดออกจากกลีบอวบอูมของพี่สาวจอมยั่วเต็มสองตาตนเอง
“อูก้า อูก้า อู อู อู”!!!
ราวกับว่านลุ่ยเข้าใจภาษา เมื่อพี่หมีหันหน้ามาทางตนแล้วเริ่มส่งเสียงกุลีกุลู นางจึงสายหัวไม่คิดชีวิต แม้จะรู้สึกกระสันรัญจวนแค่ไหน แต่ก็ทำใจยอมรับไม่ได้หากต้องเสียตัวให้กับคนป่าที่หนวดเครารกรุงรัง “…”
หากแต่ พอนางไม่ยอมรับก็ไม่ใช่จะมีคนไม่อยาก น้องสาวจันทราที่นั่งมองฟ้า เมื่อได้ยินเสียงเรียกก็รีบวิ่งลงมาคลานสี่ขา หันบั้นท้ายไปทางพี่หมีด้วยความรวดเร็วอย่างรู้งาน
“ตับๆ ตับๆ ตับๆ”
ครั้งนี้ไม่อ่อนโยนซักนิด พี่หมีพอเข้าไปได้ก็กระชากก้นขาว เค้าตอกอัดจนน้องสาวจันทราหัวสั่นหัวคลอน ส่งเสียงโหยหวนลั่นถ้ำราวกับนางกำลังจะตาย
การละเล่นยามเช้าก็เป็นเช่นนี้เอง เมื่อตะวันขึ้นสูงอีกหน่อยพี่หมีก็ออกจากถ้ำ นางไม่รู้เค้าออกไปไหน แต่เหล่าสตรีที่เหลือก็เริ่มออกไปเช่นกัน หากแต่วันนี้ไม่ได้พาว่านลุ่ยไปด้วย ในถ้ำจึงเหลือเพียงนางกับพี่สาวราตรี
นางรู้ว่าพี่สาวราตีสายตามืดบอด หากไม่นับพี่หมี ยามอยู่กับหญิงสาวคนอื่นๆนางไม่กลัวซักนิด เวลาว่างนางมักจะเดินออกไปแถวหน้าถ้ำ ไม่ไกลนักมีชะง่อนหิน พอไปยืนอยู่ตรงนั้นจะมองเห็นผืนป่าสุดลูกหูลูกตา เป็นความงามแบบที่นางเองไม่ค่อยได้ยลชม
เรื่องหนีขอความช่วยเหลือว่านลุ่ยเลิกคิดไปนานแล้ว สองวันที่เดินทางมายังถ้ำแห่งนี้ นางมีเวลาได้คิด ออกเรือมาเดือนกว่า ลอยคออยู่ในทะเลสิบกว่าวัน ไม่ทราบตนถูกพัดพาขึ้นฝั่งมาถึงแผ่นดินไหน ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกสิบครั้ง ยังไม่แน่ว่าจะกลับดินแดนต้าเว่ยได้ตามเดิม
ว่านลุ่ยฉลาดเฉลียวอยู่แล้ว ตอนอยู่ในทะเลเดิมคิดว่าตนเองคงจะไม่รอด แต่ตอนนี้ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง แม้จะรันทดไปบ้างแต่นางก็จะสู้ นางจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไปตามทิศทางที่ตนต้องการ…
***
ดวงตะวันเริ่มตรงดิ่งอยู่ที่เหนือศีรษะ ว่านลุ่ยยืนอยู่ที่สูงมองลงไปเบื้องล่าง รอบๆถ้ำของพี่หมีเป็นชุมชนกระโจมเล็กๆ ชาวป่าชายหญิงนับรวมๆได้เกือบร้อย มองจากอากัปกิริยาเกรงกลัวยามพี่หมีเดินผ่าน นางก็พอเข้าใจเรื่องราวได้ว่า เค้าคงเป็นผู้นำของชนเผ่าเล็กๆนี้แน่นอน
หลายวันมานี้ว่านลุ่ยไม่ได้ใช้ชีวิตไปเปล่าๆ นางลอบสังเกตคนทั้งหมดไปเรื่อย จนกระทั่งมั่นใจศักดิ์ฐานะยศขั้น ที่แบ่งแยกชนชั้นในชนเผ่าแห่งนี้
ไม่นานไกลลิบสุดลูกตา ว่านลุ่ยเห็นพี่หมีเดินนำหน้าคนกลุ่มหนึ่งมาแต่ไกล ด้านหลังก็มีกวางป่าตัวใหญ่ถูกผู้คนแบกหาม ซักครู่เด็กๆตัวน้อยก็วิ่งกันจนวุ่น ล้อมหน้าล้อมหลังพี่หมี จนกระทั่งมารดามาอุ้มจากไป
ว่านลุ่ยมองเห็นพี่สาวจอมยั่วกับน้องสาวตะวันแล้ว พวกนางเมื่อเห็นพี่หมีก็วิ่งไปรับหน้า จากนั้นเหมือนสื่อสารอะไรกันบางอย่าง ค่อยช่วยกันกับสตรีหลายคนแล่เนื้อกวางนั่น เหล่าบุรุษที่เพิ่งกลับมาบางคนก็อุ้มสตรีข้างตัวไปเสพสมใกล้ๆ โดยไม่อับอายผู้อื่นซักนิด ราวกับการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา
แม้จะอยู่ไกล แต่ว่านลุ่ยก็หน้าแดงมาก นางรู้สึกราวกับมีน้ำไหลออกจากกลางหว่างขา จนต้องยืนบิดไปบิดมาพิงต้นไม้ข้างๆ คิดในใจไฉนร่างกายตอบสนองต่อเรื่องแบบนี้ง่ายดายแท้ “…”
การเปลี่ยนแปลงของว่านลุ่ยเป็นไปอย่างไม่รู้ตัว ไม่ทราบตนเองฉลาดเกินไปจนปรับตัวได้ง่าย หรือถูกความไร้อารยธรรมของคนเหล่านี้หล่อหลอม กับมีแวบหนึ่งที่คิดว่า หากตนถูกพี่หมีขึ้นขี่ต่อหน้าผู้คนจะรู้สึกเช่นไรหนอ ขณะยืนชมคนป่าหลายคนเสพสมกันอยู่ที่ไกลๆ
ครู่หนึ่งว่านลุ่ยต้องเบิกตาโตกว้าง เมื่อน้องสาวตะวันที่กำลังช่วยแล่เนื้อ ถูกพี่หมีที่เพิ่งสื่อสารบางอย่างกับบุรุษชาวป่าข้างๆเสร็จ กระชากเอาตัวนางให้ออกจากข้างกายพี่สาวจอมยั่ว จากนั้นผลักนางลงบนพื้นต่อหน้าผู้คนมากมาย แล้วเริ่มกระแทกบั้นท้ายเข้าออกเครื่องเพศอีกฝ่ายโดยที่ไม่ได้สนใจสายตาผู้คนที่กำลังมองดู
เพราะว่านลุ่ยอยู่ไกลมาก เลยไม่รู้ว่าน้องสาวตะวันเจ็บปวดหรือสุขสม เห็นเพียงนางถูกกระแทกราวกับสุนัขจนศีรษะสั่นคลอน ศอกทั้งสองก็ค่อยต่ำๆลงๆ
น้องสาวตะวันใช้ข้อศอกค้ำยันพื้นดินไว้ หากแต่ว่านลุ่ยเห็นนางค่อยๆฟุบหน้าลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งศีรษะชนพื้นพี่หมีก็ยังไม่หยุดกระแทก ยังคงตั้งหน้าตั้งตาตอกอัดแท่งเนื้อราวกับสากตำข้าว กระทุ้งแรงเสียจนน้องสาวตัวเล็กใช้มือน้อยๆคว้าจับกอหญ้าข้างๆ แสดงสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวด้วยความทรมาน
ภายใต้สายตามากมาย มีทั้งคนที่สนใจและไม่สนใจ พี่หมีเสพสมกับน้องสาวตะวันจนเสร็จสม ก็เป็นเวลาเดียวกัน กับที่พี่สาวจอมยั่วรับส่วนแบ่งจากการแล่เนื้อทั้งสามจึงได้เดินทางตรงมายังถ้ำ โดยที่มีน้องสาวตะวันเดินโขยกเขยกติดตามด้านหลัง ราวกับว่ากลางหว่างขาของนางยังมีแท่งเนื้อเสียบคาไว้ จึงมีท่วงท่าตลกอยู่บ้าง “…”
***
ในถ้ำ
ว่านลุ่ยเห็นพวกเค้าขึ้นเนินมานางก็รีบหลบหน้า น้องสาวจันทราและคนอื่นๆรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อพี่หมีก้าวนำเข้ามาในถ้ำ ทุกคนก็รีบลุกขึ้นไปรุมล้อม มีเพียงตนและพี่สาวราตรีที่ไม่ได้ติดตามไปด้วย ส่วนคนอื่นๆแบ่งกันไปทำหน้าที่อย่างรู้งาน รับเนื้อมาช่วยกันแล่ออกเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นพี่หมีก็เริ่มลงมือกะเทาะหินจุดไฟ...
นี่มิใช่ครั้งแรกที่ว่านลุ่ยเห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้ สีหน้าพี่หมีนิ่งขรึม มองไม่ออกว่าภายใต้หนวดเคราจะดูดีหรือไม่ อาจจะเพราะว่านางทำใจยอมรับชะตากรรม จึงเริ่มพิจารณาหาขอดีฝ่ายตรงข้าม เพื่อนำมาปลอบใจตนเองไม่ให้อดสูกับชีวิตจนเกินไป
ว่านลุ่ยไหนเลยเพ้อฝันสวยหรู นางไม่โง่พอที่จะหนีไปจากที่นี่ เพียงแค่ก้าวพ้นถ้ำแห่งนี้ ก็ไม่มีอะไรปกป้องนางได้แล้ว ขอเพียงเป็นคนป่าดุร้ายตัวเล็กๆ เกรงว่าหากนางพบเจอระหว่างทาง ชีวิตน้อยๆที่ได้รับกลับมาอีกครั้งก็คงต้องจบสิ้นลง “…”
นางยังจำความรู้สึกตอนอยู่ในกรงขังได้ เมื่อคิดว่าตนกำลังจะถูกแล่ราวกับสุกร ว่านลุ่ยถึงได้รู้ว่าความหวาดกลัวที่แท้คืออะไร หากเทียบกับพี่หมีที่นั่งจุดไฟอยู่ในถ้ำตอนนี้ ต่อให้เลือกสิบครั้งนางก็ยินยอมเป็นวัวเป็นม้าให้เค้าทรมานอยู่ใต้ร่าง ดีกว่าถูกจับแล่สดๆเป็นชินๆ แล้วถูกนำมาย่างกินเหมือนเนื้อกวาง...
“อูก้า อูก้า อู อู”!!! เสียงกุรีกุลูเป็นสัญญาณเรียก ว่านลุ่ยแสร้งเป็นเข้าใจเดินตรงไปหาอย่างว่าง่าย “…”
เปลวไฟหน้าถ้ำทำให้ภายในสว่างไสวไปด้วย พี่หมีพอย่างเนื้อชิ้นแรกเสร็จ ก็ถือไม้ที่เสียบเนื้อกวางเข้าไปในถ้ำ บนเตียงนอนหยาบๆนั่งไว้ด้วยหญิงตาบอด เป็นพี่สาวราตรีที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ เค้ายื่นส่งเนื้อให้นางจนถึงมือ จากนั้นตนเองค่อยเดินกลับออกมา
หากไม่นับความป่าเถื่อนและหื่นกาม ในโลกของนางเรียกการกระทำเช่นนี้ว่าสุภาพชน หลายวันมานี้นางสังเกตว่าเค้าดูแลพวกตนดีมาก นอกจากการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ เค้าก็ไม่เคยแสดงความดุร้ายหรือทุบตีพวกนางเลย “นี่สินะ หัวหน้าครอบครัว!” ว่านลุ่ยคิดในใจ ถ้ำแห่งนี้คงเป็นรังรักของเค้า และนางก็คงถูกนับเป็นตัวเมียตัวหนึ่งของเค้าแล้วด้วยเช่นกัน…
***
“ตับๆ ตับๆ ตับๆ”
เสียงกระทบจากด้านในทำให้ว่านลุ่ยเกิดอาการคันไม่น้อย เมื่อครู่พี่หมีเอาน้ำและเนื้อเข้าไปให้พี่สาวราตรีเพิ่ม แต่ไม่ทราบไฉนเค้าจึงจับหญิงสาวตาบอดคลานสี่ขา ทำการเสพสมกับนางจนเกิดเสียงดัง
ว่านลุ่ยยามนี้ไม่ขี้อายเหมือนตอนมาใหม่ นางกล้าชมมองทั้งสองโดยตาไม่กะพริบ มองแท่งเนื้อหายเข้าไปในช่องแคบพี่สาวตรงหน้า ยามลำเอ็นใหญ่โตกระชากออกมาแต่ละครั้ง พู่เนื้อแดงๆของนางก็ปลิ้นตามหัวหยักออกมา
“อู อู อู”!!! พี่สาวราตรีก็ไม่ต่างจากหญิงสาวคนอื่นๆ นางแนบใบหน้าลงบนหนังสัตว์อ่อนนุ่ม ห้อปากส่งเสียงร้องราวกับจุกเสียดทรมาน
นอกจากน้องสาวจันทราและนาง ผู้อื่นหาได้มีใครสนใจคนทั้งสองไม่ แต่ละคนต่างก็นั่งย่างเนื้อ กัดกินกวางป่าที่หามาได้อย่างเอร็ดอร่อย หาได้หันไปมองพี่หมีที่กำลังเสพสมกับพี่สาวราตรีอย่างเมามัน
“อูก้า อูก้า อู อู อู”!!!!
เสียงเรียกจากด้านข้างทำให้ว่านลุ่ยละสายตาจากพี่หมี นางพอหันมา ก็พบว่าน้องสาวจันทราทำท่าบ้าใบ้ คล้ายส่งสัญญาณให้นางเข้าไปก่อน หญิงสาวส่ายหน้าสุดชีวิตแต่แล้วจู่ๆก็นึกอดสู คิดในใจว่าหากไม่ยอมพลีกายอาจไม่ได้รับการปกป้อง เกิดพี่หมีเปลี่ยนมาเป็นคนใจร้ายกับนาง โลกนี้ก็ไม่มีที่ให้นางใช้ชีวิตได้อีกต่อไปแล้ว
ภายในจิตใจว่านลุ่ยปั่นป่วน นั่งนิ่งราวกับวิญญาณออกจากร่าง มีหมอกชั้นหนึ่งปกคลุมม่านตาจางๆ
เสียงคำรามกึกก้องต่อจากเสียงตอกอัดชุดสุดท้าย พี่หมีหอบหายใจอยู่บนแผ่นหลังหญิงตาบอด ฝ่ายนั้นก็ราวกับสิ้นสติไปแล้ว ฟุบหมอบไปกับพื้น ไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงจะขยับตัวดันพี่หมีออกไป
ว่านลุ่ยสลัดความอดสูทิ้ง นางค่อยๆเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่ พี่หมีเหมือนจะรู้สึกตัวแล้วว่ามีคนเดินมา จึงหันมองด้วยความสงสัย ทั้งที่ยังทาบทับอยู่บนร่างเล็ก แสดงสีหน้าแปลกใจเมื่อพบว่าผู้มาเป็นใคร
คุณหนูใหญ่ตระกูลหยินเนื้อตัวมอมแมม นางมีแค่เพียงหนังสัตว์ผืนเล็กปิดกลางหว่างขา ด้านบนเป็นเอี๊ยมขาดวิ่นผืนน้อย เพราะชุดรัดกุมของนางฉีกขาดไปหมดแล้ว จึงทำได้เพียงหาอะไรมาปิดเท่าที่ทำได้ แต่ก็ไม่ช่วยให้ส่วนสงวนของนางรอดพ้นสายตาผู้คน
พี่หมีมองนางด้วยความสงสัย เค้าคงแปลกใจว่าสตรีมาใหม่ยินยอมให้ขึ้นขี่แล้วหรือ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิด เพราะว่านลุ่ยเมื่อเดินมาถึงก็คุกเข่าลงข้างๆ จากนั้นหมอบลงด้วยท่วงท่าที่นางพบเห็นมาในหลายวัน “…”
เมื่อแนบหน้าลงกับพื้น ความมืดก็ปกคลุมแม้ไม่หลับตา ว่านลุ่ยรู้สึกสมเพชตนเองยิ่งนัก ที่สองเดือนก่อนยังเป็นคุณหนูใหญ่ผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์ ว่าจะไม่ให้บุรุษหน้าไหนมาความคุมตนได้ และจะเลือกทางเดินชีวิตด้วยความคิดของตัวเอง...
***
คนป่าที่ 5เมียคนป่าสู้ชีวิต เสียงสวบสาบข้างๆดังขึ้น ว่านลุ่ยแม้ไม่มองก็ทราบได้ทันที่ว่าพี่หมีขยับตัวมาด้านหลังนางแล้ว หนังสัตว์ผืนน้อยถูกเปิดขึ้น หญิงสาวขนลุกชันทันทีเมื่ออีกฝ่ายหายใจฟุดฟิดอยู่ตรงบั้นท้าย เป่าลมร้อนใส่กลีบท้อนางที่ไวต่อความรู้สึก ราวกับกำลังสำรวจค้นหาอะไรบางอย่าง โดยที่ไม่คิดว่านาง จะอับอายในการกระทำของเค้าแม้แต่หน่อยเดียว “อู อู อู อูก้า”!!! จู่ๆเค้าก็เหมือนจะพูดอะไร แต่นางไม่เข้าใจภาษา จึงทำเพียงหลับตาลงก้มหน้า คิดในใจต่อให้เค้าทำทุเรศยิ่งกว่านี้ นางก็คงไม่รู้จะอับอายไปทำไม นี่ไม่ใช่ต้าเว่ย ที่สตรีต้องแต่งตัวเรียบร้อยดีงาม รักนวลสงวนตัว แม้กระทั่งนิ้วเท้ายังไม่สามารถให้ผู้อื่นยลชม “อูก้า อู อู ก้า อู”!!! นี่เป็นเสียงพี่สาวจอมยั่วชัดๆ ว่านลุ่ยจำได้ แต่ไฉนดังอยู่ตรงบั้นท้าย เมื่อหญิงสาวลืมตามองลอดหว่างขากลับหลัง ก็เห็นพี่สาวอวบอัดคนงาม กำลังก้มๆเงยๆสำรวจช่องทางสวาทตน จากนั้นเหมือนเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ายินยอม “หรือพี่หมีเห็นข้าเป็นเด็กที่ยังไม่พร้อมผสมพันธุ์?” ว่านลุ่ยอดคิดในใจมิได้!
คนป่าที่ 6ต่อหน้าคนป่าทั้งเผ่า เตาไฟยังคงปะทุลั่นเพี๊ยะพะ ว่านลุ่ยคืนนี้ก็นั่งเฝ้าก้อนกรวดของนางตามเดิม หากแต่ภายใต้แสงไฟที่สาดส่อง แก้มน้อยๆของนางแดงเรื่อขึ้น เมื่อคิดถึงจุมพิตตอนเช้า ก็ต้องใช้มือปิดหน้าตนเองด้วยความอับอาย ย้อนเวลากลับไปตอนว่านลุ่ยกำลังถูกเสพสม นางไม่รู้จู่ๆนึกอยากอารมณ์ไหน กับจูบลงไปที่ริมฝีปากพี่หมี ตอนนั้นท่าทีเค้าตกใจมาก รีบโยนนางลงจากลำตัวจนก้นกระแทกพื้น ร้องโอดครวญอยู่เป็นเวลานาน “…” คุณหนูใหญ่หารู้ไม่ว่า ชนชาวป่าถือสาสิ่งนี้ เขี้ยวและฟันถือเป็นอาวุธร้าย มีเพียงใช้โจมตีศัตรูเท่านั้นถึงจะให้กระทบถูกผู้อื่น ดังนั้นพี่หมีจึงเข้าใจว่านางกำลังจะเล่นงานเค้า จึงรีบโยนหญิงสาวที่กำลังถูกบดขยี้เครื่องเพศ โดยที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว “อู้ยยย! หากมิใช่พี่สะใภ้ชอบเอาหนังสือลามกเหล่านั้นมาให้ข้าดู มีหรือข้าจะมอบจุมพิตให้เจ้า! ชิ!” ว่านลุ่ยลูบก้นที่เจ็บปวด ทั้งยังนึกด่าทอพี่หมีไปด้วย นางรู้สึกว่าใบหน้าตนเองร้อนผ่าว ยามนึกถึงเรื่องเมื่อเช้า ดังนั้นจึงใช้มือกุมแก้ม อับอายกับการกระทำของตนเอง “เอ๊ะ!
คนป่าที่ 7เสียงระคายหู บนทางน้อยเนินเขา พี่หมีแบกหินเดินนำหน้า น้องสาวตะวันและจันทราช่วยกันหอบหิ้วเนื้อแดงสด ส่วนพี่สาวจอมยั่วในมือโอบอุ้มผืนหนัง โดยมีว่านลุ่ยเดินโขยกเขยกปิดท้าย ราวกับว่าในรูสวาทนางถูกแท่งเอ็นปักคา “...” “ซีดดด...วันนั้นข้าไม่น่าไปหัวเราะเยาะนางเลย!” น้องสาวตะวันก็เดินตลกเช่นนี้ วันนั้นที่ชะง่อนหินว่านลุ่ยรู้สึกขบขันยิ่งนัก ยามนี้โดนเข้าเสียเองจึงรู้สึกว่า ไม่สมควรไปหัวเราะผู้อื่นเลยจริงๆ! วันเวลายังคงผ่านไปเรื่อยๆ ว่านลุ่ยตัวประหลาดในสายตาผู้อื่น นางยังคงนั่งเฝ้าเตาไฟ ทุกครั้งที่มองไปยังแผ่นหินแผ่นนั้นก็จะหน้าแดง นึกถึงวันที่ตนถูกพี่หมีเสพสมตนต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน หากเป็นที่ต้าเว่ยนางคงอับอายจนผูกคอตายไปแล้ว “อูก้า อูก้า อู อู”!!! พี่สาวแมวอุ้มเจ้าดำมานั่งข้างๆว่านลุ่ย นางส่งเสียงกุลีกุลู จากนั้นเอาเนื้อก้อนหนึ่งที่ย่างเสร็จแล้วส่งให้นาง แล้วเดินหายกลับเข้าถ้ำไป คุณหนูใหญ่ไม่ทราบ ไฉนทุกวันนางไม่ต้องย่างเนื้อเอง หลายวันมานี้พี่สาวน้องสาวดีกับตนมาก แทบจะหาอาหารมาป้อนเข้าปาก เหลือก
คนป่าที่ 8ตัวเมียบ้าของหัวหน้าเผ่า วันรุ่งขึ้น ว่านลุ่ยตื่นนอนแล้วก็รู้สึกกระฉับกระเฉงยิ่งนัก ต่างกับพี่หมีและพี่สาวจอมยั่ว ทั้งสองนอนหมดสภาพขึ้นอืด นางจึงใช้โอกาสนี้ฝนมีดตนเองจนคมเงา จากนั้นจึงชวนน้องสาวตะวันจันทราออกจากถ้ำ จับจูงมือกันไปที่ลำธารเพื่อหาปลา สองสาวสงสัยยิ่งนัก มีดที่พี่สาวสติไม่ดีถืออยู่แตกต่างจากของพวกตนมาก ว่านลุ่ยเห็นว่าทั้งสองสงสัยก็ไม่หวง ยื่นส่งให้ทั้งคู่พิจารณาดู มีดปังตอเล็กๆเท่าฝ่ามือ ว่านลุ่ยพันด้ามด้วยเถาวัลย์ไม้ พอเห็นน้องสาวตะวันจะนำมาปะทะกับมีดหิน นางก็รีบร้องเสียงหลงห้ามไว้ แต่ไม่ทันแล้ว มีทั้งคู่ฟันใส่กันดัง เพร้ง! คุณหนูใหญ่จึงรีบแย่งจากมืออีกฝ่าย ด้วยใบหน้าเหมือนจะอยากหลั่งน้ำตา “อู กา อูก้า อู อู”!!! นางไม่เข้าใจที่น้องสาวตะวันพูด แต่เดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดี เพราะปังตอสุดที่รักยามนี้บิ่นแล้ว แต่มีหินของนางสาวตะวันกับไม่เป็นอะไร สามสาวเล่นอยู่ที่ลำธารตั้งแต่เช้า จนเที่ยงก็ขึ้นจากน้ำพร้อมปลาตัวเล็กๆจำนวนมาก “อูก้า อูก้า อู อู”!!! ขณะจะกลับ
คนป่าที่ 9กังหันผันน้ำ เสียงก็อกๆแก็งๆดังอยู่บริเวณชายป่า แม้กระทั่งพี่สาวจอมยั่วและน้องสาวตะวันจันทราก็ตามมาช่วย เป็นพี่หมีสั่งให้พวกนางตามมา เค้าบอกกับตัวเมียทั้งหมดว่า ต่อให้นางตัวเล็กทำอะไรปัญญาอ่อน ก็ให้พวกนางทำเป็นเพื่อน สุดท้ายทั้งชนเผ่าถึงได้ทราบว่า โรคเสียสติสามารถติดต่อกันได้ ยามนี้ตัวเมียหัวหน้าเผ่ากลายเป็นบ้าไปหมดแล้ว “…” “อูก้า อูก้า อู อู ก้าอู” !!! สาวๆในชนเผ่ายามปกติก็จะลงน้ำจับปลา มีบ้างที่ออกไปหาผักป่า แต่พวกนางไม่ได้ปรุงเป็นอาหาร เพียงใช้เป็นของกินเล่น เคี้ยวสดๆยามว่างก็เท่านั้นเอง ต่างกับตอนนี้ พวกนางรวมกลุ่มสิบกว่าคนแอบมองกลุ่มว่านลุ่ย ต่างก็ส่งเสียงกุลีกุลูอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้ กลัวจะติดโรคบ้าจากนาง คุณหนูใหญ่รู้สึกโชคดีไม่น้อย กอไผ่ป่าไม่ได้อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน หลายวันมานี้จึงช่วยกันตัดแล้วแบกหามกลับไปถ้ำ จำนวนก็จวนจะครบตามที่ต้องการ เพื่อไปทำกังหันวิดน้ำ ช่วยแบ่งเบาภาระในการทำอาหารของตน ว่านลุ่ยหลังจากแสดงฝีมือ นางค่อยได้คิดว่าตนเองทำเรื่องพลาด ยามนี้ทุกคนไม่ยอมกินเนื้อ
คนป่าที่ 10เมียคนป่านักก่อสร้าง หลังจากวันนั้น พี่หมีก็เรียกร้องไม่มีที่สิ้นสุด นางต้องรองรับอารมณ์ทั้งบนและล่าง พี่สาวน้องสาวคนอื่นก็ไม่ช่วยเหลือ มีเพียงปากของนางเท่านั้นใช้ปรนนิบัติพี่หมี จนทุกคนในชนเผ่าเข้าใจไปว่า นี่เป็นการมอบพลังให้หมอผี ที่ผู้นำของตนถ่ายทอดให้ตัวเมียเค้า ช่วยให้นางมีอำนาจมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นตอนนี้ แม้บุรุษหลายคนจะเดินเข้ามาในถ้ำ ว่านลุ่ยยังคงต้องคุกเข่าใช้ปาก ผงกหัวขึ้นลงตามแรงมือของพี่หมีด้วยความจำยอม... หลายสิบวันต่อมา เสียงป๋องๆแป๋งๆดังเป็นระยะ คุณหนูใหญ่ยามนี้ยึดถือคนป่าทั้งหมดเป็นชนเผ่าของนาง ดังนั้นจึงต้องช่วยหาทางปกป้อง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีก เพราะแม้พี่หมีจะร้ายกาจมาก แต่เค้าก็เสียประชากรไปเกือบสิบคน ถูกคนป่าเผ่าศัตรูที่บุกเข้ามายามค่ำคืนสังหาร พืชผักของว่านลุ่ยเริ่มงอกแล้ว ตอนนี้วัฒนธรรมการกินในถ้ำเปลี่ยนไป ยามบุรุษในชนเผ่าล่าสัตว์ป่ามาได้ หัวหน้าเผ่ามักจะเอาแต่ส่วนที่ถูกทิ้ง กับกลายเป็นว่าลูกสมุนทั้งชายหญิง ได้รับส่วนแบ่งมากกว่าเดิม ยินดีจนแทบหลั่งน้ำตา เพราะมีหัวหน้าที่ไม่เอาเปรี
คนป่าที่ 11โล่เหล็กของพี่หมี พี่หมีได้โล่มาก็มิได้นำมาใช้ทันที เค้าข่มเหงรังแกนางตัวเล็กอยู่ครึ่งวัน ช่วงบ่ายก็ไม่ได้ไปไหน เพียงเดินเล่นตรวจตราในชนเผ่า แล้วกลับเข้าถ้ำช่วงเย็นในเวลาที่คุ่นเคย ชายหนุ่มพึงพอใจกับโล้ไม้มาก เจ้าแผ่นดำๆที่ยึดติดไว้แข็งยิ่งกว่าหิน เค้าจับดูก็รู้ได้ทันทีว่ามันทำมาจากสิ่งเดียวกับมีดประหลาด ลองใช้กระบองหินทุบตีหินก็แตก ใช้หอกไม้แทงหอกก็หัก แม้จะหนักไปหน่อย แต่เค้าก็ชอบมันมากเลยจริงๆ นี่ก็ไม่แปลก ว่านลุ่ยต่อแผ่นไม้เข้าด้วยกันแล้วตัดเป็นวงกลม นางทำตามแบบของชนเผ่าที่ใช้ แต่ยังนำแผ่นเหล็กอย่างหนาหลายสิบแผ่น ยึดสลับเป็นเกล็ดปลา ตอกอัดให้แน่นด้วยหมุด แม้ไม่แข็งแกร่งเท่าโล่เหล็กทั้งอันแบบที่ทหารต้าเว่ยใช้ แต่นั่นก็เป็นเหล็กทั้งหมดที่ว่านลุ่ยมีในตอนนี้! เพราะต้องทำงานไม้ ว่านลุ่ยจึงไม่มีเวลาหลอมเหล็ก เหล่าพี่สาวน้องสาวก็ไม่รู้จักวิธีควบคุมไฟ ดังนั้นจึงไม่สามารถช่วยนางได้ ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ที่นางคนเดียว เหมือนกับตอนนี้ ว่านลุ่ยต้องสอนเด็กสาวผู้มาใหม่ทั้งสอง นางแสดงท่วงท่าบ้าใบ้จนมือเท้าด้านชา แต่
คนป่าที่ 12พี่หมีถูกพิษ พี่หมีคิดไม่ถึงว่าเจ้าพวกนี้ถึงขั้นกล้าบุกมายังใจกลางถิ่นตน เค้าเมื่อทราบว่าถูกซุ่มก็คิดว่าผิดท่า แต่ยังกัดฟันถ่วงเวลาให้เด็กๆหลบหนี พิษจากกบภูเขารุนแรงยิ่งนัก แต่ชายหนุ่มมีร่างกายแข็งแกร่ง ฟาดศีรษะศัตรูแหลกไปสิบกว่าคนโดยไม่ล้มลง ชายหนุ่มร่างยักษ์ต่อสู้จนแทบหมดแรง แต่ไม่นานลูกสมุนกลุ่มที่อยู่ใกล้ๆก็มาถึง พวกเค้าช่วยพี่หมีต่อสู้ตะลุมบอนจนหัวหน้าเผ่าคุโมโม่ล่าถอยไป... คนหัวเสือวิ่งฝ่าใบไม้เถาวัลย์ไปเรื่อย เค้าเป็นหัวหน้าเผ่าคุโมโม่ ตอนนี้แม้สังหารเจ้าหมีดำไม่สำเร็จ แต่ไม่นานมันก็ต้องตายแน่นอน ดังนั้นจึงรีบวิ่งพาลิ่วล้อที่เหลือกลับชนเผ่า เพื่อกลับไปนำกำลังคนมาบุกโจมตีหมู่บ้านเพิ่ม! ในความคิด แม้การบุกมาครั้งนี้จะเสียคนไปมาก แต่เค้าก็คิดว่าคุ้มค่ายิ่งนัก หัวหน้าเผ่าอูก้าที่เป็นศัตรูกันมาช้านาน ยามนี้ถูกพิษกบภูเขา ไม่เกินคืนนี้มันต้องตายอย่างแน่นอน…*** จริงดังคาด พี่หมีกลับถึงหมู่บ้านก็อ่อนแรงแทบสลบ แต่เค้ายังกัดฟันเรียกทุกคนออกมาสั่งเสีย บอกว่าตนเองคงไม่รอดแล้ว ว่านลุ่ยเห็นพี่หมีบ
ในสายตาแมงมุมหิน นางนอนอยู่ที่พื้น มิทราบเกินเรื่องราวใดขึ้น เพียงไม่กี่อึดใจ พวกศัตรูก็ล้มลงเจ็ดแปดคน จึงอาศัยจึงหวะปลดเครื่องพันธนาการที่ขา คว้ามีดหินจากศพคนที่ตายข้างๆ จากนั้นคลานคืบคลานศอกมุ่งไปทางชายสูงใหญ่ผู้หนึ่ง ที่กำลังหลบซ่อนอยู่ข้างตอไม้ หันหลังให้กับตนเอง พี่หมีอยู่บนที่สูง เค้าย่อมเห็นการกระทำของเด็กหญิง ในใจก็นึกชื่นชมในความกล้า แต่ตอนนี้คนป่าที่เหลืออยู่หกคนซ่อนตัวดีมาก ไม่ยอมโผล่ออกมาให้ยิงอีกเลย “…”*** “อูก้า!อูก้า!อูก้า!” จู่ๆเกิดเสียงคำรามบนเนินสูงดังลั่น ก็เป็นจังกวะเดียวกับเด็กน้อยเชือดคอหอยพอดี! พี่หมีช่วยเหลือเด็กสาวอีกครั้ง แม้นางจะกล้าแต่ว่าโง่มาก การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากฆ่าตัวตาย หากเค้าไม่ดึงความสนใจคนที่เหลือไว้ นางคงถูกเจ้าพวกนั้นสังหารไปแล้ว จริงอย่างที่คิด ทั้งห้าหารู้ไม่ว่าสหายผู้หนึ่งถูกเหยื่อของตนย่องไปเชือดคอจากด้านหลัง แม้จะมีเสียงดิ้นรนสุดท้ายก่อนขาดใจ แต่พวกเค้าก็มิได้ยินเสียง เพราะมัวแต่เพ่งมองไปตามเสียง ชมมองหมีดำยืนตีอกชกหัวอยู่บนขอนไม้ ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งอยู่คนเดียว “กา
คนป่าที่ 26เผ่ากินคน สถานที่ตั้งกระโจมกลายเป็นทุ่งหญ้าขึ้นสูง พี่หมีแม้มิได้ผูกพันแต่ก็รู้สึกใจหาย ถึงไม่สืบต่อเค้าก็ทราบได้ทันที่ว่าเกิดสิ่งใด นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ชนเผ่าที่เคยรุ่งเรืองสมัยก่อนก็มักเป็นเช่นนี้เอง ชายหนุ่มเดินเข้าไปสำรวจร่องรอย โครงกระดูกจำนวนมากกระจัดกระจายไปทั่ว เศษเนื้อเน่าเปื่อยไปหมดแล้ว บางโครงก็ชิ้นส่วนไม่ครบ ถูกสัตว์ป่าคาบไปกินตามที่ต่างๆ ห่างไปไม่ไกลพี่หมีพบตุ้มหินสองลูก ผูกโยงเข้าด้วยกันกับเถาวัลย์ไม้ รัดพันเข้ากับขาทั้งสองของซากกระดูกโครงหนึ่ง เมื่อเห็นอาวุธพันธนาการ พี่หมีก็ทราบได้ทันที่ว่าชนเผ่าใดเป็นผู้บุกโจมตี นี่เป็นพวกป่าเถื่อนแดนเหนือ! กลุ่มที่ชื่นชอบการกินเนื้อมนุษย์ พวกมันมักจะกระจัดกระจายกันอยู่ตามที่ต่างๆ คอยซุ่มโจมตีชนเผ่าเล็กๆ ทั้งยังเชี่ยวชาญการขี่ม้า เลี้ยงสุนัขป่าตัวโตร้ายกาจอีกด้วย เพราะพื้นที่แถบนี้เป็นขุนเขามากมาย ต่างจากแดนเหนือที่เป็นทุ่งหญ้าพื้นเรียบ ชนเผ่าละแวกใกล้เคียงจึงไม่นิยมขี่ม้า ต่างกับพวกกินคนแดนเหนือ ที่ใช้ชีวิตบนหลังม้าเป็นปกติ เล
ไม่ไกลจากลำธาร หัวหน้าเผ่าคุโมโม่มาทันเห็นนักรบทั้งสี่ถูกสอยร่วง เค้าร่ำร้องตะโกนสุดเสียงด้วยความแค้น จังหวะนั้นไม่มีผู้ใดกลัวตายซักนิด คนป่ากว่าครึ่งร้อยที่ตามมาก็มุ่งตรงกระโดดข้างแม่น้ำตามเค้าไป คนแล้วคนเล่า ทั้งหมดข้ามได้อย่างปลอดภัย พี่หมีเห็นศัตรูมามากก็เผ่นแนบไปก่อนแล้ว คนหัวเสือยามนี้พบว่าหนึ่งในผู้ตายที่นอนอยู่บนโขดหิน เป็นบุตรชายตนเองก็ยิ่งแค้น ก้มลงไปกอดศพเด็กหนุ่มร่ำไห้ สาบานว่าต่อให้แลกด้วยชีวิต เค้าก็ต้องสังหารเจ้าหมีดำให้ได้ด้วยมือตนเอง การไล่ล่ายังคงดำเนินต่อไป นักรบคุโมโม่เกือบสองร้อย แบ่งกันอ้อมไปดักตามเส้นทางต่างๆ พี่เสือกลืนความแค้นลงท้อง นำกำลังสามสิบคนไล่ตามรอยเท้า พี่หมีก็ไม่ยอมให้ตามทันง่ายๆ ระหว่างทางเค้าพบรังต่อรังแตนก็ใช้กิ่งไม้ขว้างปาไปทั่ว ยั่วยุให้สัตว์มีพิษเหล่านี้บินว่อน เพื่อสร้างความลำบากให้ผู้ที่ติดตามมาด้านหลัง จะได้ไม่ตามตนเองได้ง่ายเกินไป จนกระทั่งมืดค่ำ ต่อให้เชี่ยวชาญการแกะรอยแค่ไหน เมื่อไร้แสงอาทิตย์ พี่หมีก็สลัดหลุดจากศัตรู หากแต่ชายหนุ่มยังคงมุ่งขึ้นเหนือเป็นเส้นตรง เพราะคาดว่าฝ่ายตรงข้างคงวางกำลังโอบล
คนป่าที่ 25ถูกซุ่มโจมตี ตะวันคล้อยบ่าย หากแต่ใบไม้หนาทึบบดบังแสงแดดยิ่ง คนป่าบนเนินห้าเสือเพียงรอให้ศัตรูโผล่ออกมา พวกเค้าก็จะระดมยิงเกาทัณฑ์ใส่จากทุกทิศทาง ต่อให้หัวหน้าเผ่าอูก้าร้ายกาจแค่ไหน สภาพต้องไม่ต่างจากตัวเม่นแน่นอน แต่สิ่งที่ทุกคนมิทันคาดคิดพลันเกิดขึ้น ขณะที่ทั้งหมดยังไม่เห็นศัตรูเผยตัวออกจากที่ซ่อน ลูกเกาทัณฑ์อีกฝ่ายกับพุ่งเข้าใส่ฝั่งตนก่อนแล้ว! เสียงฉึกเมื่อหัวศรปักจมลงเนื้อไม้ นักรบคุโมโม่ที่ซุ่มอยู่ข้างๆถึงกับสะดุ้ง เค้าไม่ทราบเจ้านี่ถูกยิงมาจากตรงไหน แต่เสียงสวบสาบของฝีเท้าใกล้ๆ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าคนหัวหมีกำลังหลบหนี พริบตาเดียวเสียงเป่าเขาสัตว์ดังลั่น จากนั้นเป็นเสียงเฮโลของคนป่าไล่กวดตามไป ในเสี้ยวอึดใจ พี่หมียิงเกาทัณฑ์มั่วๆออกไปสองลูก ดอกหนึ่งปักเข้ากับต้นไม้ อีกดอกปักใส่คอหอยนักรบคุโมโม่ผู้หนึ่งพอดี…*** ด้วยจำนวนคนที่แตกต่าง คนหัวเสือแค้นใจนัก เค้าไล่ตามเสียงแหวกกิ่งไม้เบื้องหน้า ด้านหลังยังมีสมุนหลายสิบคนวิ่งติดตามมา เมื่อครู่เห็นนักรบของตนผู้หนึ่งล่วงจากต้นไม้กับตา เจ้าหมีสร้า
ชายชราแม้สูงวัยแต่แข็งแรงยิ่ง สิบกว่าปีก่อนตอนเข้าร่วมกับพี่หมี เค้าช่วยเหลือหัวหน้าเผ่าไม่น้อย ทำหน้าที่แฝงตัวสืบขาวสารพัด แต่ละครั้งมิเคยถูกจับได้ สมกับชื่อหมอกดำของตนที่บิดาตั้งให้โดยแท้ ลงใต้เป็นหน่วยของเจ้าเม่นหิน ชายผู้นี้จัดอยู่ในอันดับสี่ของนักรบในชนเผ่า เค้าเชี่ยวชาญการซัดเข็มหนามยิ่ง ระยะเจ็ดแปดวาขว้างปาไม่มีพลาด ทั้งยังเป็นบุตรชายของหมอกดำเอง เม่นหินได้รับคำสั่งก็พานักรบรุ่นใหม่ห้าคนลงใต้ทันที เค้าได้รับมอบหมายให้สืบข่าวเผ่าอากู หนึ่งในคนที่ติดตามยังเป็นบุตรชายหัวหน้าเผ่า ไก่หินผู้เป็นน้องชายไข่หินอีกด้วย “ใช่แล้ว” ควรรู้เอาไว้ว่า ชนชาวป่ามักจะตั้งชื่อบุตรประหลาดเช่นนี้ ส่วนมากมักจะเรียกต่อท้ายว่าหิน แม้แต่ กวางหิน หรือนกหินงูหินก็มี “…”*** ไม่นานหลังจากสามหน่วยแยกทาง พี่หมีไม่รู้ตัวซักนิด ทันทีที่ตนเหยียบเข้าเขตคุโมโม่ สายสอดแนมของศัตรูก็ตรวจพบแล้ว! ปกติมิค่อยมีชนเผ่าใดวางกำลังชายแดน พี่หมีจึงชะล่าใจ กับเป็นพี่เสือที่คิดเตลิดในตอนนั้น ตื่นตัวอยู่ก่อน นำคนเผ้าสังเกตการณ์ตามจุดต่างๆมาหลายเดือนแล้ว ยามนี้ร
คนป่าที่ 24ต้มเกลือ ท่อนซุงถูกขูดจนกลายเป็นเรือเล็ก ว่านลุ่ยนำหัวท้ายวางบนก้อนหินใหญ่ ตรงกลางเจาะรูไม่ใหญ่มาก ต่อท่อให้น้ำไหล เมื่อนำเดินเค็มใส่เข้าเรือไม้จนเต็ม เหยียบอัดให้แน่น จากนั้นตักน้ำจากลำธารมาหมักไว้ รอจนหยดลงเต็มถังไม้ นำมาต้นไม่นานก็ได้เกลือแล้ว ความยากลำบากผ่านพ้นไป ว่านลุ่ยสอนอยู่นานจนน้องสาวทั้งสองจำได้ นางถึงขั้นลงทุนสร้างกระท่อมน้อยเป็นเพิงพักให้คนทั้งคู่ วันทั้งวันจะได้มิต้องไปไหน ทำหน้าที่ต้มเกลือให้กับตนก็พอ ที่ต้าเว่ย การค้าเกลือถือเป็นสิ่งที่ทำกำไลมากที่สุด หากไม่มีใบอนุญาตควบคุมจากราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปมิสามารถขนส่งค้าขายได้ ดังนั้นว่านลุ่ยจึงเห็นว่าเจ้าสิ่งนี้สำคัญยิ่ง หน้าที่นี้จึงตกเป็นของน้องสาวทั้งสองที่ตนไว้ใจ ผ่านไปอีกหลายวัน ท้องของว่านลุ่ยโตมาก นางคิดว่าลูกในท้องคงจะเกิดในหน้าหนาว ดังนั้นจึงรีบทำสิ่งสำคัญหลายอย่าง เพื่อให้ทันก่อนที่หิมะจะตกมา อย่างเช่นวันนี้ ว่านลุ่ยยืนคุมคนงานสองคนขุดหน้าดิน พอเห็นดินเหนียวที่ต้องการนางก็ร้องบอกว่าพอแล้ว แสดงท่วงท่าบ้าใบ้ว่าข้าต้องการสิ่งนี้ ให้ขุดข
จนกระทั่งค่ำ คนป่าเกือบสิบนั่งล้อมวงรอบกองไฟว่านลุ่ยพร่ำสอนพวกเค้าจนปากเปียกปากแฉะ ให้ทุกคนจดจำชนิดได้ โดยเฉพาะเนี่ยวเกอ แม้แต่เป็นตัวที่ตายแล้วมีแต่เปลือกก็ต้องเอา! กลางดึก หลังจากกินหอยเผา ว่านลุ่นพลันปวดฉี่ยิ่งนัก หญิงสาวเห็นพวกพี่หมีไม่หลับไม่นอน นางจึงลุกเดินลงไปยังทะเล นั่งยองย่อฉี่ลงน้ำเสียเลย แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้น! จู่ๆนางรู้สึกยุบยับอยู่ที่ขา พอลองเอามือไปแตะๆดูก็พบว่านุ่มๆดีดดิ้นไปมา นางตกใจสุดขีดจนร้องเสียงหลง รีบวิ่งขึ้นจากน้ำร่ำร้องเป็นภาษาต้าเว่ยว่ากลัวแล้วกลัวแล้ว เอามันออกไปเอามันออกไป! พี่หมีมองดูตัวเมียเกลือกกลิ้งบนพื้นทราย เค้าไม่รู้ไฉนนางบ้าขึ้นมาอีก เพราะว่าตรงที่นางอยู่มืดมาก จึงไม่เห็นเจ้าตัวที่เกาะอยู่ตรงขาภรรยาตนเอง “ตายแล้ว ข้าจะตายแล้ว”!!! ว่านลุ่ยดิ้นไปมาด้วยความตกใจ! แต่พี่หมีไม่รอช้า เค้าพุ่งเข้าไปอุ้มหญิงสาว จากนั้นจึงพบตัวยุบยังตรงขา ใช้กำลังเพียงเล็กน้อยก็ดึงออกมาได้อย่างง่ายดาย*** เสียงเปลวไฟลั่นเพี๊ยะพะ เป็นอีกครั้งที่ว่านลุ่ยจ้องมองศัตรูของตนด้วยความเค
คนป่าที่ 23สำรวจทะเล บนทางรกร้างภายในป่าเขา ว่านลุ่ยยืนโก้งโค้งเกาะเปลือกไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พี่หมีใช้เท้าเขี่ยขาทั้งสองของนางออกให้แยกกว้าง จัดท่าจัดทางตามที่ต้องการ แล้วจึงเริ่มซอยสะโพกเข้าออกช้าๆ แล้วค่อยเร็วขึ้น เร็วขึ้น... “โอ้ย!จะเสร็จซักทีได้รึยัง ข้าปวดขา!” ว่านลุ่ยด่าทอคนด้านหลังด้วยภาษาต้าเว่ย นางอยากจะถีบเค้าให้กระเด็นตกเขานัก ตนท้องโตขนาดนี้ยังจะทำอีก ไม่เห็นใจกันบ้างเลย! พี่หมีเหมือนจะรู้ว่าตัวเมียของตนไม่พอใจ เค้ารัดเอวนางไว้แน่น เสยสะโพกเข้าออกสุดชีวิต จากนั้นตอกอัดเน้นๆเชื่องช้าอีกเจ็ดแปดครั้ง ปากก็ร้องครวญคราง อู อู อู “ป็อก!” เสียงบางอย่างเคลื่อนหลุดออก ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าตามเรียวขาหญิงสาว จะเปรอะเปื้อนเลอะเทอะเพียงใด นานสองนาน ว่านลุ่ยใช้น้ำจากกระบอกไม้ไผ่ที่นำมาทำความสะอาดกลีบท้อ นางไม่อยากขัดใจสามีมาก เมื่อเค้าต้องการนางก็จัดให้ จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินทางต่อ เพราะตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว ตะวันคล้อยบ่าย ว่านลุ่ยและพี่หมีเดินมาถึงยอดเขา จากถ้ำของนางมานี่ใช้เวลาเพียงครึ่งวั
บนชะง่อนหิน ใกล้ๆกับสระเล็กๆที่ว่านลุ่ยขุดขึ้นเพื่อรองรับน้ำจากกังหัน ต้นอ้อยที่นางปล้นชิงมาถูกหั่นเป็นท่อนๆ ฝังกลบไว้ตามคันดิน เมื่อมีเจ้าสิ่งนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำผึ้งอีก รอให้พวกมันโตซักหน่อยค่อยขยายพันธุ์เพิ่ม จะได้เอามาคั้นน้ำเคี่ยวเป็นน้ำตาล เกือบสองปีที่ผ่านมานางได้พืชพันธุ์จำนวนมาก มีทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก แต่อาชีพของนางเมื่อก่อนเป็นแม่ค้า ทั้งยังขายเครื่องเทศนำเข้า นางย่อมรู้จักคัดแยกสิ่งที่กินได้และไม่ได้ เรื่องพวกนี้ถือเป็นพื้นฐานของเฒ่าแก่เนี้ย ไม่เช่นนั้นนางจะเปิดเหลาอาหารได้เป็นสิบร้านหรือ บนกำแพง พี่หมีเนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลน แม้แต่เจ้าลาน้อยก็ถูกจับมาลากเกวียนไม้ บรรทุกก้อนหินที่เริ่มขนไกลขึ้นเรื่อยๆ เพราะแถวๆหมู่บ้านถูกนำมาใช้ก่อสร้างหมดแล้ว ว่านลุ่ยมองสามีชาวป่าของตนอยู่ที่ห่างไกล นางรู้สึกผิดนิดๆ เมื่อก่อนชายหนุ่มเพียงแค่ตื่นนอนแล้วเข้าป่าล่าสัตว์ ใช้ชีวิตอิสระเรียบง่าย แตกต่างจากทุกวันนี้ ต้องรับผิดชอบหลายหน้าที่ กับกลายเป็นว่าเหนื่อยกว่าเมื่อก่อนอีก “…” หญิงสาวมองบุรุษชาวป่าเดินเข้าๆออกๆหมู่บ้าน ทุ