คนป่าที่ 3
คนหัวหมี
เสียงร้องโอดโอยของสิ่งมีชีวิตยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ความจริงว่านลุ่ยคิดว่าเจ้านั่นเป็นหมีตัวใหญ่ แต่ว่านางก็คิดผิด เพราะหมีที่ไหนจะใช้กระบองไม้!
ว่านลุ่ยชมดูสิ่งมีชีวิตน่ากลัวไล่หวดผู้คนอยู่ในกรงขัง นางเห็นเจ้าตัวใหญ่ห่อหุ้มไปด้วยหนังหมี หนวดเคราของมันขึ้นเต็มใบหน้า บนศีรษะก็มีหัวหมีประดับไว้เป็นหมวก ตัดแต่งหนังราวกับชุดคลุมยาว เช่นนี่เองนางจึงเข้าใจว่ามันเป็นหมีตอนแรกพบ
ไม่นานหลังจากคนหัวหมีบุก เสียงเฮโลอูก้า อูก้า! ก็ดังตามหลัง นี่กับเหมือนนักเลงหัวไม้ ที่ยกพวกตีกันตามร้านน้ำชาแถวๆบ้านนาง
“อูก้า อูก้า อู อู อู”!!!
ช่างเป็นเวลาที่ยาวนานสำหรับว่านลุ่ย หากแต่ความจริงผ่านไปแค่ครู่เดียว ชนเผ่ากินคนเกือบครึ่งร้อยไม่อาจต้านได้ คนหัวหมีร้ายกาจยิ่งนัก พาพวกที่น้อยกว่าอีกฝ่ายบุกทุบตีไปทั่ว ใครหนีไม่ทันก็ถูกฟาดหวดจนตาย สุดทายเพิงพักและกระท่อมน้อยถูกพี่หมีพังลง ทำลายบ้านช่องขับไล่กลุ่มกินคนออกไปจนหมด เหลือเพียงนางและคนอื่นๆสิบกว่าคนในกรงขัง แล้วเดินจากไปโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจพวกนางเลย
“เดี๋ยวก่อน ช่วยข้าออกไปหน่อย!”
ว่านลุ่ยความจริงก็กลัวคนหัวหมี แต่นางกลัวกรงขังนี่มากกว่า แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจที่นางพูด แต่ก็ยังตะโกนไล่หลังกลุ่มคนที่กำลังจะเดินจากไป
“อูก่า อูก้า อู อู!”
พี่หมีเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด ผู้ติดตามด้านหลังเหมือนจะได้ยินเสียงเรียก แต่ทุกคนไม่กล้าเดินเข้ามาหา ทำเพียงส่งเสียงกุลีกุลู แล้วหันมามองนางที่อยู่ในกรงจากนั้นหันกลับไปมองพี่หมี เป็นเช่นนี้อยู่นานสองนาน
ว่านลุ่ยไม่ทราบพวกนั้นสื่อสารยังไง แต่นี่ไม่ใช่ภาษาพูด หากแต่พอนางหันกลับมาดูกรงขังข้างๆ ทุกคนต่างกุมหัวหวาดกลัว ไม่รู้พวกนี่กลัวอะไรกัน “…”
เสียงสวบสาบของฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ว่านลุ่ยจึงหันหน้าไปตามเสียง แต่แล้วนางต้องตกใจสุดขีด เพราะเครื่องเพศใหญ่โตกำลังแกว่งไกวใกล้เข้ามา
ใช่แล้ว! คนหัวหมีไม่ได้นุ่งกางเกง พอเค้าเดินมาใกล้นางถึงได้สังเกต เมื่อหันหน้าหนีก็ยังเห็นของผู้อื่นอีก พรรคพวกทั้งหมดก็ไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้เช่นกัน!
“ดะ! เดี๋ยว! ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ต้องช่วยข้าออกไปก็ได้!”
ไม่ทันแล้ว! แม้ว่านลุ่ยจะพูดอะไรออกไปอีก พี่หมีก็ไม่ฟังซักนิด เค้าใช่มือแหวกกรงขังนางออก ท่อนไม้ใหญ่เท่าแขนก็หักอย่างง่ายดาย
“อย่านะ!”
ว่านลุ่ยทราบแล้วไฉนเจ้าพวกที่อยู่ในกรงข้างๆถึงหวาดกลัว ตอนนี้พี่หมีกดศีรษะนางลงกับพื้น มือก็กระชากชุดที่ปกปิดของสงวนกลางหว่างขาออก แทบไม่ได้ใช้แรงกางเกงรัดกุมนางก็ขาดเป็นชิ้น เปิดเผยของลับให้พี่หมีได้ชื่นชม
“อย่า! อย่า! อย่า!”
หญิงสาวดิ้นรนสุดชีวิต นางอายุไม่น้อยแล้ว รู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคืออะไร “ใช่แล้ว!” นางกำลังจะถูกขืนใจสินะ กำลังจะถูกคนป่าโสโครกขืนใจอยู่ในกรง
ชั่วพริบตาน้ำตาของว่านลุ่ยไหลริน หากแต่เรื่องราวก็ไม่ได้เป็นเช่นนางคิด เพราะพี่หมีเพียงใช้นิ้วแหวกออกดูเครื่องเพศนางเล็กน้อย จากนั้นก็อุ้มตัวนางขึ้นพาดบ่า พาเดินออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไป “…”
ถ้ำแห่งหนึ่ง
เสียงกระทบกันของหนันเนื้อปลุกว่านลุ่ยให้ตื่นแต่เช้า แรกๆที่ถูกจับมาไว้ในถ้ำนางกลัวมาก แต่หลายวันผ่านไปนางก็ชินเสียแล้ว คนหัวหมีหาได้ข่มขืนตนอย่างที่คิด เค้าหิ้วนางเดินทางสองวันค่อยถึงหุบเขา จากนั้นนำมาทิ้งไว้ในถ้ำที่เป็นเหมือนรังรัก ภายในมีผู้หญิงนอกจากนางอีกหกคนด้วยกัน
“อู! อู! อู!”
“ตับๆ ตับๆ ตับๆ”
หญิงสาวมอมแมมนางหนึ่งร้องครางอย่างเต็มฝืน ผมของอีกฝ่ายถูกคนหัวหมีดึงไว้ เค้าจับให้หญิงผู้นั้นคุกเข่าราวกับสุนัข ตนเองก็ขึ้นขี่อยู่ตรงบั้นท้าย กระแทกแท่งลำใหญ่โตเข้าออกเครื่องเพศอีกฝ่ายอย่างเมามัน
ความจริงว่านลุ่ยตื่นนานแล้ว หากแต่นางแกล้งหลับ แม้สองตาจะหรี่แอบมอง และใบหน้าแดงเพราะความเขินอาย สองขาก็บิดไขว้กันไปมา แต่นางก็ไม่อยากยอมรับว่าตนกำลังมีอารมณ์ “…”
เมื่อก่อนว่านลุ่ยไม่เคยเป็นเช่นนี้ แม้นางจะใสซื่อแต่ก็ฉลาดเฉลียว เรื่องราวฉันบุรุษสตรีก็เคยได้ฟังได้ยินมามาก แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้รับชมอย่างใกล้ชิดด้วยตาตนเอง
นับตั้งแต่นางถูกคนหัวหมีแบกกลับมา เดินทางผ่านป่าเขาไม่มีบ้านคนแม้แต่น้อย พอใกล้ถึงถ้ำก็พบกระโจมไม้หลังเล็ก ที่เป็นชาวป่าชนเผ่าใต้อาณัติของคนหัวหมี พวกนั้นไม่ใส่แม้กระทั่งเสื้อผ้า ไม่ว่าบุรุษสตรีล้วนปิดบังตนด้วยหนังสัตว์เล็กน้อยเท่านั้น
ตอนมาอยู่วันแรกนางกลัวมาก แต่หญิงสาวที่อยู่ในถ้ำอีกหกคนก็เป็นมิตร แม้จะพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่พวกนางก็มักจะแบ่งเนื้อสัตว์มาให้ ทั้งยังทำท่าสนอกสนใจผู้มาใหม่เช่นนาง พากันส่งเสียง อูก้า อูก้า ห้อมล้อมว่านลุ่ยด้วยความยินดี
สตรีในถ้ำหนาตามอมแมมมาก พวกนางผมเผ้าทองแดง มีหนังสัตว์ปกปิดส่วนสงวนเล็กน้อย ยามเดินเหินก็เปิดอ้าออก ไม่อาจปิดบังความอุจาดของตนได้แม้แต่นิด แต่พวกนางก็ไม่อับอาย ยังคงเดินเข้าออกถ้ำเป็นว่าเล่น ทั้งยังยินยอมให้คนหัวหมีเสพสมด้วยทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่ต่อหน้าสายตาบุรุษผู้อื่นที่ย่างก้าวเข้ามา
อย่างเช่นตอนนี้
“อู อู อู อูก้า อูก้า”!!!!
ขณะที่คนหัวหมีกำลังเสพสมกับสตรีใต้ร่างในท่าสุนัข บุรุษร่างใหญ่สี่ห้าคนพลันเดินเข้ามาในถ้ำ พวกเค้ายืนอยู่ห่างเพียงหนึ่งช่วงตัว ส่งเสียงกุลีกุลู ถือหอกไม้อยู่ข้างๆ มองคนทั้งสองเสพสมกันโดยไม่ได้รู้สึกอะไร
ครู่ใหญ่ ชายทั้งหมดเดินจากไป คนหัวหมีก็เร่งจังหวะกระแทกเต็มที่ หญิงใต้ร่างก็ร้องโหยหวนราวจะขาดใจ จากนั้นก็เป็นเสียงคำรามราวสัตว์ป่า ตามมาด้วยเสียงหอบหายใจหนักหน่วงของทั้งสองคน
“อู อู อู”!!!
ชายร่างยักษ์ปล่อยบั้นท้ายหญิงมอมแมมเป็นอิสระนานแล้ว แต่ว่านลุ่ยยังเห็นนางขดตัวสั่นกระตุก ทั้งห้อปากส่งเสียง อู อู อู หอบหายใจ ราวกับว่านางกำลังจะขาดใจตายเสียตรงนั้นเลย “…”
พี่หมีจากไปแล้ว ว่านลุ่ยเมื่อเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นนั่ง นางอยู่มาหลายวันจึงเริ่มปรับตัวได้ ทั้งยังตั้งชื่อเรียกสมาชิกในถ้ำทั้งเจ็ดตามใจตนเองอีกด้วย
ก่อนอื่นนางเริ่มจากคนหัวหมี เค้าเป็นบุรุษสูงใหญ่หนวดเคราครึ้ม ทั้งร่างเพียงห่อหุ้มด้วยหนังหมีเป็นเสื้อคลุม ส่วนหัวไม่ตัดทิ้งกับนำมาเป็นหมวก หากมองจากด้านหลังก็ไม่ต่างอะไรกับหมีตัวโต ดังนั้นนางจึงเรียกเค้าว่าพี่หมี เพื่อให้สมกับชุดคลุมที่เค้าประดิษฐ์ขึ้นมา “…”
คนที่สองเป็นน้องสาวที่ถูกขี่เมื่อครู่ แม้อีกฝ่ายจะสูงกว่านางมาก แต่ดูก็รู้ว่าอายุยังน้อย ว่านลุ่ยเห็นนางชอบถูกควบขับยามเช้า จึงเรียกอีกฝ่ายในใจว่าน้องสาวอรุณ
“…”
ต่อมาเป็นพี่สาวที่สาม อีกฝ่ายเลี้ยงแมวดำตัวโตไว้ด้วย ยามนอนก็มักจะเอาเจ้านั่นมากอด ว่านลุ่ยจึงเรียกหาเป็นพี่สาวแมว
สมาชิกที่สี่ดูมีอายุที่สุด นางรูปร่างอวบอัดเต่งตึง เครื่องเพศงดงามมาก แม้แต่นางที่เป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ยังอับอาย เพราะอีกฝ่ายไม่มีแม้แต่เส้นขนตรงนั้น ทั้งยังอวบอูมราวกับของเด็กสาวแรกแย้ม ว่านลุ่ยจึงเรียกนางว่าพี่สาวจอมยั่วยวน
คนที่ห้าเป็นน้องสาวผู้หนึ่ง ยามค่ำคืนนางมักจะแหงนหน้ามองดวงจันทร์ ว่านลุ่ยจึงตั้งชื่อนางว่าน้องสาวจันทราคู่กับน้องสาวตะวันคนที่หก เพราะรายนั้นหาจุดเด่นอะไรไม่ได้เลย “…”
สุดท้ายเป็นเป็นหญิงงามนางหนึ่ง หากแต่ดวงตานางกับมองไม่เห็น ยามอยู่ในถ้ำพี่สาวน้องสาวที่เหลือต้องช่วยดูแลนาง ว่านลุ่ยจึงตั้งชื่อให้อีกฝ่ายว่าพี่สาวราตรี
หญิงชาวป่าคนนี้พิเศษมาก นางมีผมสีเงินแซมขาว ดวงหน้ามอมแมมแต่กับแฝงไปด้วยความงามแบบเจียงหนาน ราวกับเป็นสตรีจากดินแดนที่นางจากมา
“อูก้า อูก้า อู อู อู” !!!
เสียงเรียกของน้องสาวจันทราทำให้ว่านลุ่ยถึงกับสะดุ้ง อีกฝ่ายรีบเดินเข้ามาจับจูงมือหญิงสาว ไม่ทราบว่าต้องการจะพานางไปไหน แต่ว่านลุ่ยยังคงติดตามออกไปอย่างว่าง่าย แม้จะอับอายที่ตนไม่ได้สวมใส่กางเกงชั้นในติดตัว “…”
ริมแม่น้ำเล็กๆสายหนึ่ง นี่เป็นธารน้ำตกที่ไหลลงมาจากภูเขา ความสูงของระดับเพียงแค่เข่าเท่านั้น เมื่อมาถึงก็เห็นสตรีชาวป่าจำนวนมาก กำลังใช้ตะกร้าที่สานจากเถาวัลย์ไม้ ชอนปลาตัวเล็กๆมากมายที่กำลังว่ายไปมา
ว่านลุ่ยเข้าใจเรื่องราวแล้ว นางเห็นพี่สาวจอมยั่วกับน้องสาวตะวันย่ำอยู่ในน้ำ ทั้งสองต่างถือตะกร้าใบเล็ก กวนอยู่ในน้ำเพื่อตักเอาปลา
“อูก้า อูก้า อู อู”!!!
ตะกร้าใบหนึ่งถูกยัดใส่มือว่านลุ่ย นางเข้าใจความหมายที่น้องสาวจันทราบอกแล้ว ดังนั้นจึงเดินลงไปหาพี่สาวจอมยั่ว ช่วยกันตักเอาปลาตัวเล็กๆจำนวนมากขึ้นมา ลืมความทุกข์ของช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดทั้งมวล
จนกระทั่งตะวันคล้อยบ่าย ว่านลุ่ยและเหล่าสาวชาวป่าเล่นกันสนุกสนานมาก เมื่อพี่สาวจอมยั่วส่งสัญญาณให้กลับถ้ำ ว่านลุ่ยก็ขึ้นจากน้ำ เนื้อตัวมอมแมมของพวกนางต่างก็สะอาด แต่ละคนถึงได้แสดงความงามที่ตนมีออกมา
เพียงแต่ระหว่างสลัดผมให้แห้ง พี่สาวจอมยั่วก็นำดินโคลนมาป้ายไปตามใบหน้าและลำตัวนาง คราแรกว่านลุ่ยตกใจมาก แต่เพียงครู่เดียวก็เข้าใจความหมาย จึงปล่อยให้อีกฝ่ายละเลงฝุ่นผงและดินโคลนจนเนื้อตัวนางมอมแมม
น้องสาวตะวันจันทราก็เช่นกัน พวกนางก็ใช้วิธีเช่นนี้ ต่างก็หยิบเศษดินเศษไม้ ปัดป่ายไปตามร่างกายของกันและกัน
หลังจากกลับมาถึงถ้ำ ขณะเดินทางว่านลุ่ยแปลกใจมาก แม้นางและคนอื่นๆจะไม่สวมใส่เสื้อผ้า แต่บุรุษในหมู่บ้านก็ไม่ได้สนใจมองดูพวกนางซักนิด นางเลยคิดในใจว่า การเป็นคนไร้อารยธรรมช่างดีแท้ ต่อให้ท่านไม่ต้องเสียเงินซื้อเครื่องนุ่งห่ม ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ
“…”
***
คนป่าที่ 4ยอมเป็นเมียพี่หมี เช้าวันรุ่งขึ้น ยังคงเป็นวันที่อากาศสดใส หากแต่ครั้งนี้เสียงกระทบกันของเนื้อไม่ดังเหมือนทุกครั้ง เพราะมีเพียงเสียงฮึดฮัด และเสียงพั่บพั่บของบั้นท้ายดังขึ้นเบาๆ “อืมมม อืมมม อืมมม” บนหนังสัตว์นุ่มที่ปูพื้นซ้อนทับกันหลายชั้น ว่านลุ่ยถูกจัดให้นอนอยู่อันดับสุดท้าย จึงห่างออกจากพี่สาวจอมยั่วถึงสามสี่วา เสียงครางในลำคอของสตรีปลุกให้ว่านลุ่ยตื่น เมื่อนางงัวเงียขึ้นตามความเคยชิน ยามลุกขึ้นนั่งก็พบว่าผู้อื่นตื่นก่อนตนแล้ว น้องสาวจันทรานั่งมองฟ้า พี่สาวแมวก็กอดเจ้าเหมียวชมดูพี่หมี ที่บัดนี้ทาบทับอยู่บนลำตัวพี่สาวจอมยั่ว บดขยี้เครื่องเพศขาวเนียนของนางเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนกับที่ทำกับน้องสาวอรุณ ว่านลุ่ยเริ่มชินแล้ว นางลุกขึ้นตั้งใจชมดูการกระทำของทั้งคู่ พี่หมีตั้งอกตั้งใจกระแทกยิ่งนัก มือก็ดันพื้นไว้ไม่ให้ร่างใหญ่โตของตนกดทับ ร่างอวบอัดของพี่สาวจอมยั่วมากเกินไป “อูวว อูวว อูวว” เสียงร้องของสตรีใต้ร่างดังขึ้นเมื่อพี่หมีกระแทกหนักๆในจังหวะสุดท้าย จากนั้นนางจึงเห็นเค้าดึงแ
คนป่าที่ 5เมียคนป่าสู้ชีวิต เสียงสวบสาบข้างๆดังขึ้น ว่านลุ่ยแม้ไม่มองก็ทราบได้ทันที่ว่าพี่หมีขยับตัวมาด้านหลังนางแล้ว หนังสัตว์ผืนน้อยถูกเปิดขึ้น หญิงสาวขนลุกชันทันทีเมื่ออีกฝ่ายหายใจฟุดฟิดอยู่ตรงบั้นท้าย เป่าลมร้อนใส่กลีบท้อนางที่ไวต่อความรู้สึก ราวกับกำลังสำรวจค้นหาอะไรบางอย่าง โดยที่ไม่คิดว่านาง จะอับอายในการกระทำของเค้าแม้แต่หน่อยเดียว “อู อู อู อูก้า”!!! จู่ๆเค้าก็เหมือนจะพูดอะไร แต่นางไม่เข้าใจภาษา จึงทำเพียงหลับตาลงก้มหน้า คิดในใจต่อให้เค้าทำทุเรศยิ่งกว่านี้ นางก็คงไม่รู้จะอับอายไปทำไม นี่ไม่ใช่ต้าเว่ย ที่สตรีต้องแต่งตัวเรียบร้อยดีงาม รักนวลสงวนตัว แม้กระทั่งนิ้วเท้ายังไม่สามารถให้ผู้อื่นยลชม “อูก้า อู อู ก้า อู”!!! นี่เป็นเสียงพี่สาวจอมยั่วชัดๆ ว่านลุ่ยจำได้ แต่ไฉนดังอยู่ตรงบั้นท้าย เมื่อหญิงสาวลืมตามองลอดหว่างขากลับหลัง ก็เห็นพี่สาวอวบอัดคนงาม กำลังก้มๆเงยๆสำรวจช่องทางสวาทตน จากนั้นเหมือนเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ายินยอม “หรือพี่หมีเห็นข้าเป็นเด็กที่ยังไม่พร้อมผสมพันธุ์?” ว่านลุ่ยอดคิดในใจมิได้!
คนป่าที่ 6ต่อหน้าคนป่าทั้งเผ่า เตาไฟยังคงปะทุลั่นเพี๊ยะพะ ว่านลุ่ยคืนนี้ก็นั่งเฝ้าก้อนกรวดของนางตามเดิม หากแต่ภายใต้แสงไฟที่สาดส่อง แก้มน้อยๆของนางแดงเรื่อขึ้น เมื่อคิดถึงจุมพิตตอนเช้า ก็ต้องใช้มือปิดหน้าตนเองด้วยความอับอาย ย้อนเวลากลับไปตอนว่านลุ่ยกำลังถูกเสพสม นางไม่รู้จู่ๆนึกอยากอารมณ์ไหน กับจูบลงไปที่ริมฝีปากพี่หมี ตอนนั้นท่าทีเค้าตกใจมาก รีบโยนนางลงจากลำตัวจนก้นกระแทกพื้น ร้องโอดครวญอยู่เป็นเวลานาน “…” คุณหนูใหญ่หารู้ไม่ว่า ชนชาวป่าถือสาสิ่งนี้ เขี้ยวและฟันถือเป็นอาวุธร้าย มีเพียงใช้โจมตีศัตรูเท่านั้นถึงจะให้กระทบถูกผู้อื่น ดังนั้นพี่หมีจึงเข้าใจว่านางกำลังจะเล่นงานเค้า จึงรีบโยนหญิงสาวที่กำลังถูกบดขยี้เครื่องเพศ โดยที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว “อู้ยยย! หากมิใช่พี่สะใภ้ชอบเอาหนังสือลามกเหล่านั้นมาให้ข้าดู มีหรือข้าจะมอบจุมพิตให้เจ้า! ชิ!” ว่านลุ่ยลูบก้นที่เจ็บปวด ทั้งยังนึกด่าทอพี่หมีไปด้วย นางรู้สึกว่าใบหน้าตนเองร้อนผ่าว ยามนึกถึงเรื่องเมื่อเช้า ดังนั้นจึงใช้มือกุมแก้ม อับอายกับการกระทำของตนเอง “เอ๊ะ!
คนป่าที่ 7เสียงระคายหู บนทางน้อยเนินเขา พี่หมีแบกหินเดินนำหน้า น้องสาวตะวันและจันทราช่วยกันหอบหิ้วเนื้อแดงสด ส่วนพี่สาวจอมยั่วในมือโอบอุ้มผืนหนัง โดยมีว่านลุ่ยเดินโขยกเขยกปิดท้าย ราวกับว่าในรูสวาทนางถูกแท่งเอ็นปักคา “...” “ซีดดด...วันนั้นข้าไม่น่าไปหัวเราะเยาะนางเลย!” น้องสาวตะวันก็เดินตลกเช่นนี้ วันนั้นที่ชะง่อนหินว่านลุ่ยรู้สึกขบขันยิ่งนัก ยามนี้โดนเข้าเสียเองจึงรู้สึกว่า ไม่สมควรไปหัวเราะผู้อื่นเลยจริงๆ! วันเวลายังคงผ่านไปเรื่อยๆ ว่านลุ่ยตัวประหลาดในสายตาผู้อื่น นางยังคงนั่งเฝ้าเตาไฟ ทุกครั้งที่มองไปยังแผ่นหินแผ่นนั้นก็จะหน้าแดง นึกถึงวันที่ตนถูกพี่หมีเสพสมตนต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน หากเป็นที่ต้าเว่ยนางคงอับอายจนผูกคอตายไปแล้ว “อูก้า อูก้า อู อู”!!! พี่สาวแมวอุ้มเจ้าดำมานั่งข้างๆว่านลุ่ย นางส่งเสียงกุลีกุลู จากนั้นเอาเนื้อก้อนหนึ่งที่ย่างเสร็จแล้วส่งให้นาง แล้วเดินหายกลับเข้าถ้ำไป คุณหนูใหญ่ไม่ทราบ ไฉนทุกวันนางไม่ต้องย่างเนื้อเอง หลายวันมานี้พี่สาวน้องสาวดีกับตนมาก แทบจะหาอาหารมาป้อนเข้าปาก เหลือก
คนป่าที่ 8ตัวเมียบ้าของหัวหน้าเผ่า วันรุ่งขึ้น ว่านลุ่ยตื่นนอนแล้วก็รู้สึกกระฉับกระเฉงยิ่งนัก ต่างกับพี่หมีและพี่สาวจอมยั่ว ทั้งสองนอนหมดสภาพขึ้นอืด นางจึงใช้โอกาสนี้ฝนมีดตนเองจนคมเงา จากนั้นจึงชวนน้องสาวตะวันจันทราออกจากถ้ำ จับจูงมือกันไปที่ลำธารเพื่อหาปลา สองสาวสงสัยยิ่งนัก มีดที่พี่สาวสติไม่ดีถืออยู่แตกต่างจากของพวกตนมาก ว่านลุ่ยเห็นว่าทั้งสองสงสัยก็ไม่หวง ยื่นส่งให้ทั้งคู่พิจารณาดู มีดปังตอเล็กๆเท่าฝ่ามือ ว่านลุ่ยพันด้ามด้วยเถาวัลย์ไม้ พอเห็นน้องสาวตะวันจะนำมาปะทะกับมีดหิน นางก็รีบร้องเสียงหลงห้ามไว้ แต่ไม่ทันแล้ว มีทั้งคู่ฟันใส่กันดัง เพร้ง! คุณหนูใหญ่จึงรีบแย่งจากมืออีกฝ่าย ด้วยใบหน้าเหมือนจะอยากหลั่งน้ำตา “อู กา อูก้า อู อู”!!! นางไม่เข้าใจที่น้องสาวตะวันพูด แต่เดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดี เพราะปังตอสุดที่รักยามนี้บิ่นแล้ว แต่มีหินของนางสาวตะวันกับไม่เป็นอะไร สามสาวเล่นอยู่ที่ลำธารตั้งแต่เช้า จนเที่ยงก็ขึ้นจากน้ำพร้อมปลาตัวเล็กๆจำนวนมาก “อูก้า อูก้า อู อู”!!! ขณะจะกลับ
คนป่าที่ 9กังหันผันน้ำ เสียงก็อกๆแก็งๆดังอยู่บริเวณชายป่า แม้กระทั่งพี่สาวจอมยั่วและน้องสาวตะวันจันทราก็ตามมาช่วย เป็นพี่หมีสั่งให้พวกนางตามมา เค้าบอกกับตัวเมียทั้งหมดว่า ต่อให้นางตัวเล็กทำอะไรปัญญาอ่อน ก็ให้พวกนางทำเป็นเพื่อน สุดท้ายทั้งชนเผ่าถึงได้ทราบว่า โรคเสียสติสามารถติดต่อกันได้ ยามนี้ตัวเมียหัวหน้าเผ่ากลายเป็นบ้าไปหมดแล้ว “…” “อูก้า อูก้า อู อู ก้าอู” !!! สาวๆในชนเผ่ายามปกติก็จะลงน้ำจับปลา มีบ้างที่ออกไปหาผักป่า แต่พวกนางไม่ได้ปรุงเป็นอาหาร เพียงใช้เป็นของกินเล่น เคี้ยวสดๆยามว่างก็เท่านั้นเอง ต่างกับตอนนี้ พวกนางรวมกลุ่มสิบกว่าคนแอบมองกลุ่มว่านลุ่ย ต่างก็ส่งเสียงกุลีกุลูอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้ กลัวจะติดโรคบ้าจากนาง คุณหนูใหญ่รู้สึกโชคดีไม่น้อย กอไผ่ป่าไม่ได้อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน หลายวันมานี้จึงช่วยกันตัดแล้วแบกหามกลับไปถ้ำ จำนวนก็จวนจะครบตามที่ต้องการ เพื่อไปทำกังหันวิดน้ำ ช่วยแบ่งเบาภาระในการทำอาหารของตน ว่านลุ่ยหลังจากแสดงฝีมือ นางค่อยได้คิดว่าตนเองทำเรื่องพลาด ยามนี้ทุกคนไม่ยอมกินเนื้อ
คนป่าที่ 10เมียคนป่านักก่อสร้าง หลังจากวันนั้น พี่หมีก็เรียกร้องไม่มีที่สิ้นสุด นางต้องรองรับอารมณ์ทั้งบนและล่าง พี่สาวน้องสาวคนอื่นก็ไม่ช่วยเหลือ มีเพียงปากของนางเท่านั้นใช้ปรนนิบัติพี่หมี จนทุกคนในชนเผ่าเข้าใจไปว่า นี่เป็นการมอบพลังให้หมอผี ที่ผู้นำของตนถ่ายทอดให้ตัวเมียเค้า ช่วยให้นางมีอำนาจมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นตอนนี้ แม้บุรุษหลายคนจะเดินเข้ามาในถ้ำ ว่านลุ่ยยังคงต้องคุกเข่าใช้ปาก ผงกหัวขึ้นลงตามแรงมือของพี่หมีด้วยความจำยอม... หลายสิบวันต่อมา เสียงป๋องๆแป๋งๆดังเป็นระยะ คุณหนูใหญ่ยามนี้ยึดถือคนป่าทั้งหมดเป็นชนเผ่าของนาง ดังนั้นจึงต้องช่วยหาทางปกป้อง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีก เพราะแม้พี่หมีจะร้ายกาจมาก แต่เค้าก็เสียประชากรไปเกือบสิบคน ถูกคนป่าเผ่าศัตรูที่บุกเข้ามายามค่ำคืนสังหาร พืชผักของว่านลุ่ยเริ่มงอกแล้ว ตอนนี้วัฒนธรรมการกินในถ้ำเปลี่ยนไป ยามบุรุษในชนเผ่าล่าสัตว์ป่ามาได้ หัวหน้าเผ่ามักจะเอาแต่ส่วนที่ถูกทิ้ง กับกลายเป็นว่าลูกสมุนทั้งชายหญิง ได้รับส่วนแบ่งมากกว่าเดิม ยินดีจนแทบหลั่งน้ำตา เพราะมีหัวหน้าที่ไม่เอาเปรี
คนป่าที่ 11โล่เหล็กของพี่หมี พี่หมีได้โล่มาก็มิได้นำมาใช้ทันที เค้าข่มเหงรังแกนางตัวเล็กอยู่ครึ่งวัน ช่วงบ่ายก็ไม่ได้ไปไหน เพียงเดินเล่นตรวจตราในชนเผ่า แล้วกลับเข้าถ้ำช่วงเย็นในเวลาที่คุ่นเคย ชายหนุ่มพึงพอใจกับโล้ไม้มาก เจ้าแผ่นดำๆที่ยึดติดไว้แข็งยิ่งกว่าหิน เค้าจับดูก็รู้ได้ทันทีว่ามันทำมาจากสิ่งเดียวกับมีดประหลาด ลองใช้กระบองหินทุบตีหินก็แตก ใช้หอกไม้แทงหอกก็หัก แม้จะหนักไปหน่อย แต่เค้าก็ชอบมันมากเลยจริงๆ นี่ก็ไม่แปลก ว่านลุ่ยต่อแผ่นไม้เข้าด้วยกันแล้วตัดเป็นวงกลม นางทำตามแบบของชนเผ่าที่ใช้ แต่ยังนำแผ่นเหล็กอย่างหนาหลายสิบแผ่น ยึดสลับเป็นเกล็ดปลา ตอกอัดให้แน่นด้วยหมุด แม้ไม่แข็งแกร่งเท่าโล่เหล็กทั้งอันแบบที่ทหารต้าเว่ยใช้ แต่นั่นก็เป็นเหล็กทั้งหมดที่ว่านลุ่ยมีในตอนนี้! เพราะต้องทำงานไม้ ว่านลุ่ยจึงไม่มีเวลาหลอมเหล็ก เหล่าพี่สาวน้องสาวก็ไม่รู้จักวิธีควบคุมไฟ ดังนั้นจึงไม่สามารถช่วยนางได้ ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ที่นางคนเดียว เหมือนกับตอนนี้ ว่านลุ่ยต้องสอนเด็กสาวผู้มาใหม่ทั้งสอง นางแสดงท่วงท่าบ้าใบ้จนมือเท้าด้านชา แต่
ในสายตาแมงมุมหิน นางนอนอยู่ที่พื้น มิทราบเกินเรื่องราวใดขึ้น เพียงไม่กี่อึดใจ พวกศัตรูก็ล้มลงเจ็ดแปดคน จึงอาศัยจึงหวะปลดเครื่องพันธนาการที่ขา คว้ามีดหินจากศพคนที่ตายข้างๆ จากนั้นคลานคืบคลานศอกมุ่งไปทางชายสูงใหญ่ผู้หนึ่ง ที่กำลังหลบซ่อนอยู่ข้างตอไม้ หันหลังให้กับตนเอง พี่หมีอยู่บนที่สูง เค้าย่อมเห็นการกระทำของเด็กหญิง ในใจก็นึกชื่นชมในความกล้า แต่ตอนนี้คนป่าที่เหลืออยู่หกคนซ่อนตัวดีมาก ไม่ยอมโผล่ออกมาให้ยิงอีกเลย “…”*** “อูก้า!อูก้า!อูก้า!” จู่ๆเกิดเสียงคำรามบนเนินสูงดังลั่น ก็เป็นจังกวะเดียวกับเด็กน้อยเชือดคอหอยพอดี! พี่หมีช่วยเหลือเด็กสาวอีกครั้ง แม้นางจะกล้าแต่ว่าโง่มาก การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากฆ่าตัวตาย หากเค้าไม่ดึงความสนใจคนที่เหลือไว้ นางคงถูกเจ้าพวกนั้นสังหารไปแล้ว จริงอย่างที่คิด ทั้งห้าหารู้ไม่ว่าสหายผู้หนึ่งถูกเหยื่อของตนย่องไปเชือดคอจากด้านหลัง แม้จะมีเสียงดิ้นรนสุดท้ายก่อนขาดใจ แต่พวกเค้าก็มิได้ยินเสียง เพราะมัวแต่เพ่งมองไปตามเสียง ชมมองหมีดำยืนตีอกชกหัวอยู่บนขอนไม้ ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งอยู่คนเดียว “กา
คนป่าที่ 26เผ่ากินคน สถานที่ตั้งกระโจมกลายเป็นทุ่งหญ้าขึ้นสูง พี่หมีแม้มิได้ผูกพันแต่ก็รู้สึกใจหาย ถึงไม่สืบต่อเค้าก็ทราบได้ทันที่ว่าเกิดสิ่งใด นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ชนเผ่าที่เคยรุ่งเรืองสมัยก่อนก็มักเป็นเช่นนี้เอง ชายหนุ่มเดินเข้าไปสำรวจร่องรอย โครงกระดูกจำนวนมากกระจัดกระจายไปทั่ว เศษเนื้อเน่าเปื่อยไปหมดแล้ว บางโครงก็ชิ้นส่วนไม่ครบ ถูกสัตว์ป่าคาบไปกินตามที่ต่างๆ ห่างไปไม่ไกลพี่หมีพบตุ้มหินสองลูก ผูกโยงเข้าด้วยกันกับเถาวัลย์ไม้ รัดพันเข้ากับขาทั้งสองของซากกระดูกโครงหนึ่ง เมื่อเห็นอาวุธพันธนาการ พี่หมีก็ทราบได้ทันที่ว่าชนเผ่าใดเป็นผู้บุกโจมตี นี่เป็นพวกป่าเถื่อนแดนเหนือ! กลุ่มที่ชื่นชอบการกินเนื้อมนุษย์ พวกมันมักจะกระจัดกระจายกันอยู่ตามที่ต่างๆ คอยซุ่มโจมตีชนเผ่าเล็กๆ ทั้งยังเชี่ยวชาญการขี่ม้า เลี้ยงสุนัขป่าตัวโตร้ายกาจอีกด้วย เพราะพื้นที่แถบนี้เป็นขุนเขามากมาย ต่างจากแดนเหนือที่เป็นทุ่งหญ้าพื้นเรียบ ชนเผ่าละแวกใกล้เคียงจึงไม่นิยมขี่ม้า ต่างกับพวกกินคนแดนเหนือ ที่ใช้ชีวิตบนหลังม้าเป็นปกติ เล
ไม่ไกลจากลำธาร หัวหน้าเผ่าคุโมโม่มาทันเห็นนักรบทั้งสี่ถูกสอยร่วง เค้าร่ำร้องตะโกนสุดเสียงด้วยความแค้น จังหวะนั้นไม่มีผู้ใดกลัวตายซักนิด คนป่ากว่าครึ่งร้อยที่ตามมาก็มุ่งตรงกระโดดข้างแม่น้ำตามเค้าไป คนแล้วคนเล่า ทั้งหมดข้ามได้อย่างปลอดภัย พี่หมีเห็นศัตรูมามากก็เผ่นแนบไปก่อนแล้ว คนหัวเสือยามนี้พบว่าหนึ่งในผู้ตายที่นอนอยู่บนโขดหิน เป็นบุตรชายตนเองก็ยิ่งแค้น ก้มลงไปกอดศพเด็กหนุ่มร่ำไห้ สาบานว่าต่อให้แลกด้วยชีวิต เค้าก็ต้องสังหารเจ้าหมีดำให้ได้ด้วยมือตนเอง การไล่ล่ายังคงดำเนินต่อไป นักรบคุโมโม่เกือบสองร้อย แบ่งกันอ้อมไปดักตามเส้นทางต่างๆ พี่เสือกลืนความแค้นลงท้อง นำกำลังสามสิบคนไล่ตามรอยเท้า พี่หมีก็ไม่ยอมให้ตามทันง่ายๆ ระหว่างทางเค้าพบรังต่อรังแตนก็ใช้กิ่งไม้ขว้างปาไปทั่ว ยั่วยุให้สัตว์มีพิษเหล่านี้บินว่อน เพื่อสร้างความลำบากให้ผู้ที่ติดตามมาด้านหลัง จะได้ไม่ตามตนเองได้ง่ายเกินไป จนกระทั่งมืดค่ำ ต่อให้เชี่ยวชาญการแกะรอยแค่ไหน เมื่อไร้แสงอาทิตย์ พี่หมีก็สลัดหลุดจากศัตรู หากแต่ชายหนุ่มยังคงมุ่งขึ้นเหนือเป็นเส้นตรง เพราะคาดว่าฝ่ายตรงข้างคงวางกำลังโอบล
คนป่าที่ 25ถูกซุ่มโจมตี ตะวันคล้อยบ่าย หากแต่ใบไม้หนาทึบบดบังแสงแดดยิ่ง คนป่าบนเนินห้าเสือเพียงรอให้ศัตรูโผล่ออกมา พวกเค้าก็จะระดมยิงเกาทัณฑ์ใส่จากทุกทิศทาง ต่อให้หัวหน้าเผ่าอูก้าร้ายกาจแค่ไหน สภาพต้องไม่ต่างจากตัวเม่นแน่นอน แต่สิ่งที่ทุกคนมิทันคาดคิดพลันเกิดขึ้น ขณะที่ทั้งหมดยังไม่เห็นศัตรูเผยตัวออกจากที่ซ่อน ลูกเกาทัณฑ์อีกฝ่ายกับพุ่งเข้าใส่ฝั่งตนก่อนแล้ว! เสียงฉึกเมื่อหัวศรปักจมลงเนื้อไม้ นักรบคุโมโม่ที่ซุ่มอยู่ข้างๆถึงกับสะดุ้ง เค้าไม่ทราบเจ้านี่ถูกยิงมาจากตรงไหน แต่เสียงสวบสาบของฝีเท้าใกล้ๆ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าคนหัวหมีกำลังหลบหนี พริบตาเดียวเสียงเป่าเขาสัตว์ดังลั่น จากนั้นเป็นเสียงเฮโลของคนป่าไล่กวดตามไป ในเสี้ยวอึดใจ พี่หมียิงเกาทัณฑ์มั่วๆออกไปสองลูก ดอกหนึ่งปักเข้ากับต้นไม้ อีกดอกปักใส่คอหอยนักรบคุโมโม่ผู้หนึ่งพอดี…*** ด้วยจำนวนคนที่แตกต่าง คนหัวเสือแค้นใจนัก เค้าไล่ตามเสียงแหวกกิ่งไม้เบื้องหน้า ด้านหลังยังมีสมุนหลายสิบคนวิ่งติดตามมา เมื่อครู่เห็นนักรบของตนผู้หนึ่งล่วงจากต้นไม้กับตา เจ้าหมีสร้า
ชายชราแม้สูงวัยแต่แข็งแรงยิ่ง สิบกว่าปีก่อนตอนเข้าร่วมกับพี่หมี เค้าช่วยเหลือหัวหน้าเผ่าไม่น้อย ทำหน้าที่แฝงตัวสืบขาวสารพัด แต่ละครั้งมิเคยถูกจับได้ สมกับชื่อหมอกดำของตนที่บิดาตั้งให้โดยแท้ ลงใต้เป็นหน่วยของเจ้าเม่นหิน ชายผู้นี้จัดอยู่ในอันดับสี่ของนักรบในชนเผ่า เค้าเชี่ยวชาญการซัดเข็มหนามยิ่ง ระยะเจ็ดแปดวาขว้างปาไม่มีพลาด ทั้งยังเป็นบุตรชายของหมอกดำเอง เม่นหินได้รับคำสั่งก็พานักรบรุ่นใหม่ห้าคนลงใต้ทันที เค้าได้รับมอบหมายให้สืบข่าวเผ่าอากู หนึ่งในคนที่ติดตามยังเป็นบุตรชายหัวหน้าเผ่า ไก่หินผู้เป็นน้องชายไข่หินอีกด้วย “ใช่แล้ว” ควรรู้เอาไว้ว่า ชนชาวป่ามักจะตั้งชื่อบุตรประหลาดเช่นนี้ ส่วนมากมักจะเรียกต่อท้ายว่าหิน แม้แต่ กวางหิน หรือนกหินงูหินก็มี “…”*** ไม่นานหลังจากสามหน่วยแยกทาง พี่หมีไม่รู้ตัวซักนิด ทันทีที่ตนเหยียบเข้าเขตคุโมโม่ สายสอดแนมของศัตรูก็ตรวจพบแล้ว! ปกติมิค่อยมีชนเผ่าใดวางกำลังชายแดน พี่หมีจึงชะล่าใจ กับเป็นพี่เสือที่คิดเตลิดในตอนนั้น ตื่นตัวอยู่ก่อน นำคนเผ้าสังเกตการณ์ตามจุดต่างๆมาหลายเดือนแล้ว ยามนี้ร
คนป่าที่ 24ต้มเกลือ ท่อนซุงถูกขูดจนกลายเป็นเรือเล็ก ว่านลุ่ยนำหัวท้ายวางบนก้อนหินใหญ่ ตรงกลางเจาะรูไม่ใหญ่มาก ต่อท่อให้น้ำไหล เมื่อนำเดินเค็มใส่เข้าเรือไม้จนเต็ม เหยียบอัดให้แน่น จากนั้นตักน้ำจากลำธารมาหมักไว้ รอจนหยดลงเต็มถังไม้ นำมาต้นไม่นานก็ได้เกลือแล้ว ความยากลำบากผ่านพ้นไป ว่านลุ่ยสอนอยู่นานจนน้องสาวทั้งสองจำได้ นางถึงขั้นลงทุนสร้างกระท่อมน้อยเป็นเพิงพักให้คนทั้งคู่ วันทั้งวันจะได้มิต้องไปไหน ทำหน้าที่ต้มเกลือให้กับตนก็พอ ที่ต้าเว่ย การค้าเกลือถือเป็นสิ่งที่ทำกำไลมากที่สุด หากไม่มีใบอนุญาตควบคุมจากราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปมิสามารถขนส่งค้าขายได้ ดังนั้นว่านลุ่ยจึงเห็นว่าเจ้าสิ่งนี้สำคัญยิ่ง หน้าที่นี้จึงตกเป็นของน้องสาวทั้งสองที่ตนไว้ใจ ผ่านไปอีกหลายวัน ท้องของว่านลุ่ยโตมาก นางคิดว่าลูกในท้องคงจะเกิดในหน้าหนาว ดังนั้นจึงรีบทำสิ่งสำคัญหลายอย่าง เพื่อให้ทันก่อนที่หิมะจะตกมา อย่างเช่นวันนี้ ว่านลุ่ยยืนคุมคนงานสองคนขุดหน้าดิน พอเห็นดินเหนียวที่ต้องการนางก็ร้องบอกว่าพอแล้ว แสดงท่วงท่าบ้าใบ้ว่าข้าต้องการสิ่งนี้ ให้ขุดข
จนกระทั่งค่ำ คนป่าเกือบสิบนั่งล้อมวงรอบกองไฟว่านลุ่ยพร่ำสอนพวกเค้าจนปากเปียกปากแฉะ ให้ทุกคนจดจำชนิดได้ โดยเฉพาะเนี่ยวเกอ แม้แต่เป็นตัวที่ตายแล้วมีแต่เปลือกก็ต้องเอา! กลางดึก หลังจากกินหอยเผา ว่านลุ่นพลันปวดฉี่ยิ่งนัก หญิงสาวเห็นพวกพี่หมีไม่หลับไม่นอน นางจึงลุกเดินลงไปยังทะเล นั่งยองย่อฉี่ลงน้ำเสียเลย แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้น! จู่ๆนางรู้สึกยุบยับอยู่ที่ขา พอลองเอามือไปแตะๆดูก็พบว่านุ่มๆดีดดิ้นไปมา นางตกใจสุดขีดจนร้องเสียงหลง รีบวิ่งขึ้นจากน้ำร่ำร้องเป็นภาษาต้าเว่ยว่ากลัวแล้วกลัวแล้ว เอามันออกไปเอามันออกไป! พี่หมีมองดูตัวเมียเกลือกกลิ้งบนพื้นทราย เค้าไม่รู้ไฉนนางบ้าขึ้นมาอีก เพราะว่าตรงที่นางอยู่มืดมาก จึงไม่เห็นเจ้าตัวที่เกาะอยู่ตรงขาภรรยาตนเอง “ตายแล้ว ข้าจะตายแล้ว”!!! ว่านลุ่ยดิ้นไปมาด้วยความตกใจ! แต่พี่หมีไม่รอช้า เค้าพุ่งเข้าไปอุ้มหญิงสาว จากนั้นจึงพบตัวยุบยังตรงขา ใช้กำลังเพียงเล็กน้อยก็ดึงออกมาได้อย่างง่ายดาย*** เสียงเปลวไฟลั่นเพี๊ยะพะ เป็นอีกครั้งที่ว่านลุ่ยจ้องมองศัตรูของตนด้วยความเค
คนป่าที่ 23สำรวจทะเล บนทางรกร้างภายในป่าเขา ว่านลุ่ยยืนโก้งโค้งเกาะเปลือกไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พี่หมีใช้เท้าเขี่ยขาทั้งสองของนางออกให้แยกกว้าง จัดท่าจัดทางตามที่ต้องการ แล้วจึงเริ่มซอยสะโพกเข้าออกช้าๆ แล้วค่อยเร็วขึ้น เร็วขึ้น... “โอ้ย!จะเสร็จซักทีได้รึยัง ข้าปวดขา!” ว่านลุ่ยด่าทอคนด้านหลังด้วยภาษาต้าเว่ย นางอยากจะถีบเค้าให้กระเด็นตกเขานัก ตนท้องโตขนาดนี้ยังจะทำอีก ไม่เห็นใจกันบ้างเลย! พี่หมีเหมือนจะรู้ว่าตัวเมียของตนไม่พอใจ เค้ารัดเอวนางไว้แน่น เสยสะโพกเข้าออกสุดชีวิต จากนั้นตอกอัดเน้นๆเชื่องช้าอีกเจ็ดแปดครั้ง ปากก็ร้องครวญคราง อู อู อู “ป็อก!” เสียงบางอย่างเคลื่อนหลุดออก ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าตามเรียวขาหญิงสาว จะเปรอะเปื้อนเลอะเทอะเพียงใด นานสองนาน ว่านลุ่ยใช้น้ำจากกระบอกไม้ไผ่ที่นำมาทำความสะอาดกลีบท้อ นางไม่อยากขัดใจสามีมาก เมื่อเค้าต้องการนางก็จัดให้ จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินทางต่อ เพราะตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว ตะวันคล้อยบ่าย ว่านลุ่ยและพี่หมีเดินมาถึงยอดเขา จากถ้ำของนางมานี่ใช้เวลาเพียงครึ่งวั
บนชะง่อนหิน ใกล้ๆกับสระเล็กๆที่ว่านลุ่ยขุดขึ้นเพื่อรองรับน้ำจากกังหัน ต้นอ้อยที่นางปล้นชิงมาถูกหั่นเป็นท่อนๆ ฝังกลบไว้ตามคันดิน เมื่อมีเจ้าสิ่งนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำผึ้งอีก รอให้พวกมันโตซักหน่อยค่อยขยายพันธุ์เพิ่ม จะได้เอามาคั้นน้ำเคี่ยวเป็นน้ำตาล เกือบสองปีที่ผ่านมานางได้พืชพันธุ์จำนวนมาก มีทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก แต่อาชีพของนางเมื่อก่อนเป็นแม่ค้า ทั้งยังขายเครื่องเทศนำเข้า นางย่อมรู้จักคัดแยกสิ่งที่กินได้และไม่ได้ เรื่องพวกนี้ถือเป็นพื้นฐานของเฒ่าแก่เนี้ย ไม่เช่นนั้นนางจะเปิดเหลาอาหารได้เป็นสิบร้านหรือ บนกำแพง พี่หมีเนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลน แม้แต่เจ้าลาน้อยก็ถูกจับมาลากเกวียนไม้ บรรทุกก้อนหินที่เริ่มขนไกลขึ้นเรื่อยๆ เพราะแถวๆหมู่บ้านถูกนำมาใช้ก่อสร้างหมดแล้ว ว่านลุ่ยมองสามีชาวป่าของตนอยู่ที่ห่างไกล นางรู้สึกผิดนิดๆ เมื่อก่อนชายหนุ่มเพียงแค่ตื่นนอนแล้วเข้าป่าล่าสัตว์ ใช้ชีวิตอิสระเรียบง่าย แตกต่างจากทุกวันนี้ ต้องรับผิดชอบหลายหน้าที่ กับกลายเป็นว่าเหนื่อยกว่าเมื่อก่อนอีก “…” หญิงสาวมองบุรุษชาวป่าเดินเข้าๆออกๆหมู่บ้าน ทุ