“สอบสวนเธอ” ร่างสูงชี้ไปที่หญิงสาวก่อนจะนั่งไขว่ห้างเพื่อรอการเริ่มสอบสวน
เบลอนเดอร์เดินเข้าไปที่ร่างบางก่อนจะเริ่มการสอบสวนในทันที ในเมืองของเขาถือสมุดกับปากกาขนนกเพื่อบันทึกการสอบสวน
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” เบลนเดอร์มองไปร่างบางด้วยสายตาราบเรียบและใช้โทนเสียงทุ้มต่ำ
“….” กรีนไม่ได้ตอบอะไรออกไปก่อนจนรู้สึกถึงบางอย่างที่เข้ามากระทบที่ตัว มันคือโคลนที่ผสมน้ำคราบสีดำดูน่าขยะแขยงทำให้กรีนนั้นถึงกับตกใจ
“ให้ความร่วมมือกับพวกเราก่อนที่หลังจากนี้มันจะไม่ใช่โคลน” เบลนเดอร์เอ่ยอีกครั้งด้วยแล้วมองไปที่ตาสวยของร่างบางตรงหน้า
“น้ำ...มากับน้ำ” กรีนเงยหน้ามองทหารที่กำลังถามคำถามเพื่อสอบสวน เขาเหมือนคนที่ไม่ได้ดูร้ายอะไรแต่ดวงตาของเขามันกลับดูเยือกเย็น
“ทำไมเจ้าถึงขึ้นมาจากน้ำ” เบลนเดอร์ค่อย ๆ ถามอย่างช้า ๆ พร้อมสังเกตดวงตาสีน้ำตาลทองเพื่อดูความผิดปกติ
“ฉันจมน้ำ…ฉันกลัว” กรีนตอบด้วยเสียงแผ่วเบาและนึกถึงตอนที่ตัวเองกำลังอยู่ภายใต้น้ำวนที่มีพลังมหาศาลมันทั้งหนาวเหน็บและน่ากลัว ทั้งความมืดมิดที่ตัวเองเกลียดชังทำให้ไม่อยากนึกถึงมันอีก
“ตอบให้ชัดเจนกว่านี้ !” เบลนเดอร์เดินอ้อมไปยังด้านหลังของหญิงสาว ก่อนจะใช้ไม้ท่อนสั้นฟาดลงที่พนักผิงหลังเก้าอี้ของเธออย่างแรงจนเกิดเสียงดัง
“ฮรึก…ก็บอกว่าขึ้นมาจากน้ำไง !! ฉันจมน้ำแล้วมาโผล่ที่นี่ กรี๊ด !!”กรีนตกใจก่อนจะถูกของเหลวสีดำสาดเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว
“อย่าขึ้นเสียงต่อหน้านายท่านมันเสียมารยาท” เบลนเดอร์เดินมายืนที่ด้านหน้าของร่างบางอีกครั้งพร้อมกับเชยคางมนให้สบตา
“พอก่อน” ร่างสูงที่นั่งมองมาสักพักมองหญิงสาวที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว และเมื่อองครักษ์ของตนเริ่มแตะต้องตัวเธอเขากลับอยากหยุดมันไว้แค่นั้นจึงเอ่ยขัด
“ครับท่าน...” เบลนเดอร์ถอยออกมาให้ผู้เป็นนายได้เข้ามาพูดด้วยตัวเอง
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเป็นไส้ศึกที่ถูกส่งมาใช่หรือไม่” บาบารัสถามด้วยเสียงราบเรียบพร้อมกับนั่งยองลงที่ด้านหน้าของหญิงสาวที่ตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน น้ำเสียงที่เอ่ยถามออกไปเป็นน้ำเสียงที่ดูใจเย็นไม่กดดัน
“คือ...ฉันจมน้ำแล้วฉันก็ถูกน้ำวนดูดลงไปรู้สึกตัวอีกทีก็มาโผล่ที่นี่แล้ว…ฉันไม่ได้โกหก” กรีนสบตาเข้ากับร่างสูงก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่ตัวเองนั้นมาที่นี่ได้อย่างไร
“แล้วยังไงต่อ เล่าให้ข้าฟังที” สายตาคมมองร่างบางพร้อมกับสะกดจิตหญิงสาวให้พูดความจริงออกมา
“ฉันจมลงไปในน้ำมันดูดฉันลงไปในความมืด มันหนาว น่ากลัว และมืดมาก...” เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้อีกครั้งร่างกายกลับสั่นสะท้านขึ้นมาทันทีจนอีกคนฝ่ายสัมผัสได้
“ตอนขึ้นมาที่นี่ เจ้าเห็นอะไร” บาบารัสถามอีกคนอย่างช้า ๆ และมองจ้องไปที่นัยน์ตาสวยของหญิงสาวที่กำลังโดนมนตร์สะกด
การที่เธอโผล่เข้ามาที่นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะบ่อน้ำแห่งการเวลานั้นมันต้องผ่านประตูมิติเท่านั้น หรือผู้ที่มีเวทมนตร์ในการข้ามผ่านเวลามาถึงจะโผล่มาที่นี่ได้ เพราะพวกเขาเองก็ใช้ทางนี้ในการเดินทางไปอีกเมืองเช่นกัน
“งู...ฉันเห็นงูตัวใหญ่มาก…มันน่ากลัว” กรีนนึกถึงตอนที่ตัวเองนั้นเจอกับงูตัวใหญ่ยักษ์ภายในป่า มันน่ากลัวมากจนเธอนั้นสลบไปแล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
“นางไม่ได้โกหก” ร่างสูงหยุดการสะกดจิตเพียงเท่านั้นพร้อมเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้และมองจ้องไปที่หญิงสาว เพราะในตอนพาเธอมาที่นี่เขามีความรู้สึกบางอย่างเหมือนเคยผูกพันธ์หรือเคยเจอเธอที่ไหนสักแห่งมาก่อน แต่เขากลับจำมันไม่ได้จู่ ๆ ความรู้สึกหงุดหงิดก็ก่อกวนจิตใจเขาอีกครั้ง
“…” กรีนเหมือนรู้สึกว่าสติตัวเองดับวูบไปก่อนจะกลับมามีสติอีกครั้ง ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น เธอเห็นชายที่อ้างว่าเป็นผู้ปกครองเมืองแห่งนี้กำลังนั่งมองเธอด้วยสายตาหงุดหงิด
หญิงสาวคิดในใจว่าชายตรงหน้าเป็นอะไรนักหนาชอบทำหน้าบอกบุญไม่รับตลอดเวลาเหมือนถ้ามีใครขัดใจเขาก็พร้อมที่สวนกลับทันทีและในเวลานี้หญิงสาวเองก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน
ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าเธอเป็นใคร…
ในขณะที่ความเงียบสงบกลับมาอีกครั้ง สายตาของชายหนุ่มที่ยังคงมองร่างบางอยู่ เขาพยายามนึกแล้วนึกอีกว่าเธอนั้นมาได้อย่างไร กับความก่อกวนใจที่ยังอยู่ข้างในมันทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้น ทั้งสองเรื่องกำลังตีอยู่ในสมองของเขา พยายามหาจุดอ่อนของเธอให้เธอได้พูดความจริงออกมาแต่มองอย่างไรเขาก็หาไม่เจอ สถานที่แห่งนั้นคนที่จะเข้ามาได้ต้องมีเวทมนตร์ขั้นสูงเท่านั้นในการใช้เส้นทางนี้ และมีเพียงคนที่มีตระกูลสูงศักดิ์ถึงสามารถผ่านไปได้“เลิกมองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสักทีน่ารำคาญ” ร่างสูงเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิดเมื่อสายตาของเธอนั้นจับจ้องมาที่เขา“คิดว่าฉันอยากมองหรือไง” กรีนพูดจบกับมีปลายมีดกริชแหลมคมจ่อมาที่คอของเธอ“เจ้า !! ให้มันรู้จักที่ต่ำที่สูงบ้าง” เบลนเดอร์เดินเข้ามาพร้อมใช้มีดกริชของตัวเองจ่อไปที่คอของร่างบางเพราะเธอนั้นได้ดูหมิ่นผู้สูงศักดิ์ของเมืองนี้ สายตาเรียวสวยช้อนมองไปที่ทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ ก่อนจะหันกลับมามองชายร่างสูงที่อยู่ตรงข้ามอีกครั้ง ในสมองของเธอตอนนี้มีแต่คำถามเต็มไปหมดว่าที่นี่มันคือที่ไหน คนมากมายที่แต่งตัวประหลาดอยู่ในที่แห่งนี้ กับภาษาที่ไม่คุ้นเคย แถมยังถามเอาความจร
เสียงพูดคุยกันของทั้งสามถูกแอบฟังโดยสาวใช้และนำเรื่องนี้ไปรายงานให้กับผู้เป็นนายที่สั่งให้รายงานทุกการเคลื่อนไหวของคนในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่ว่าจะทำอะไรเกิดอะไรต้องรายงานทุกเรื่อง ใช้เวลาอยู่นานสองขาเรียวที่รีบเดินไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากคฤหาสน์ พร้อมกับเคาะประตูเพื่อเรียกผู้เป็นเจ้าของบ้าน“นายหญิงข้ามีเรื่องมารายงาน” หญิงสาวเคาะเรียกผู้เป็นนาย ก่อนจะมองรอบตัวอย่างระแวดระวังไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับปรากฏหญิงวัยกลางคน มาร์ธาร์ แบล็ค เซอร์เพนท์ ที่มีบาดแผลฉกรรจ์อยู่บนใบหน้า สายตาของเธอนั้นดูดุดันไม่แพ้กับผู้เป็นเจ้าเมืองที่มีศักดิ์เป็นหลานของเธอ แต่หากใบหน้าของเธอนั้นกลับไร้รอยยิ้มก่อนจะรีบเดินนำเข้ามาในบ้าน “ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหม ว่ามาที่นี่อย่าเอิกเกริก” ฝ่ามือเหี่ยวย่นฟาดลงไปบนใบหน้าหยาบกร้านของสาวใช้จนเธอล้มลงไป“นายหญิงข้าขอโทษ ให้อภัยข้าด้วย แต่เรื่องที่ข้าจะมารายงานวันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก” สาวใช้ขอโทษและวิงวอนให้นางอภัย ก่อนจะเริ่มบอกสิ่งที่เจ้านายควรรู้“ถ้าเรื่องที่เจ้าบอกมันไร้สาระ ข้าจะจัดการฝังเจ้าซะ” มาร์ธาร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันและทรงอำนาจ เพื่อข่ม
ณ ลานประลองที่ทหารหลายนายกำลังฝึกฝนการต่อสู้อย่างขมักเขม่น เสียงดาบที่กระทบกันอย่างบ้าคลั่งพร้อมประกายไฟที่เกิดจากการตกกระทบของปลายดาบ ร่างบางกำลังฝึกการต่อสู้อย่างขันแข็ง หยาดเหงื่อไหลลงใบหน้าสวยอย่างช้า ๆ สายตาดูเหนื่อยล้าจากการหักโหม องครักษ์คนสนิทอย่างเบลนเดอร์ดูการฝึกฝนของหญิงสาวมาตลอดหลายวัน จนเข้าร่วมเดือนร่างกายของเธอที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักทำให้ร่างบางนั้นดูโทรมลงและอ่อนล้า เขาเองนั้นก็อยากให้เธอได้พักผ่อนเสียบ้างแต่ติดที่เจ้าสหายตัวดีที่พ่วงตำแหน่งนายท่านนั้นกำชับเอาไว้ว่าอย่าให้หญิงสาวนั้นทำตัวไร้ประโยชน์ แต่การที่ผ่านการฝึกมาหลายวันนั้นถือว่าเธอเป็นคนที่หัวไวและเก่งพอสมควร เรียนรู้ได้ไวในการฝึกฝน“ได้ข่าวว่าเก่งหรอ” ทหารในหนึ่งเดินเข้ามาเมื่อเห็นว่าร่างบางกำลังฝึกฝนอย่างเคร่งเครียดกรีนที่ได้ยินเสียงเหล่าทหารนั้นเดินมากันหลายนาย และจงใจเหมือนจะหาเรื่องเธอ ทำให้เธอหันกลับไปมองพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย“พูดแค่นี้ทำเป็นหยิ่งไม่พูดด้วยหรือไง” ทหารอีกนายเดินเข้ามาสมทบพร้อมกับผู้ชายญีญวน“.....” ร่างบางไม่ได้ตอบอะไรกลับไปก่อนจะหันกลับไปฝึกฝนต่ออย่างไม่สนใจใยดี“มันจ
ภายในที่แห่งนั้นดูเงียบสงบแต่กลับมีหมอกควันจาง ๆ ให้ได้สัมผัสถึงความเย็น แสงจันทร์กระทบส่งผิวน้ำระยิบระยับดูสวยงาม ตรงเบื้องหน้าเป็นบ่อน้ำขนาดไม่ใหญ่มาก และมีทางขึ้นลงอยู่เบื้องหน้าเมื่อมองทอดออกไปยังกำแพงอีกฝั่งมีสายน้ำเป็นเหมือนน้ำตกไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง และมีเสียงของสายน้ำทำให้รู้สึกสงบร่มเย็นแม้พื้นที่แห่งนี้จะไร้แสงสว่างก็ตาม เธอเดินตรงเข้ามาสังเกตว่าตรงกลางมีโต๊ะกลมคล้ายโต๊ะอาหารพร้อมกับแจกันสีสวยที่ประดับไปด้วยดอกไม้เรืองแสงสีม่วง มันทำให้เธอประหลาดใจว่าเขานั้นพาเธอมาที่นี่ทำไม“นายพาฉันมาที่นี่ทำไม” กรีนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อเขานั้นหยุดเดินอยู่ที่ขอบทางลงของบ่อน้ำแห่งนั้น“อย่าพูดมากตามข้ามา” เสียงหนาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด พร้อมกับกวักข้อมือเรียกเธอให้เดินตามมายืนอยู่ข้าง ๆ ตนร่างที่อ่อนแรงเดินเข้าไปตามคำสั่งอย่างไร้กังขา เมื่อมาอยู่เคียงข้างเขาเธอหันไปมองใบหน้าคมจากด้านข้าง ใบหน้าที่หล่อเหลาเธอไม่เคยได้มองใกล้ขนาดนี้“ลงไป…” สิ่งราบเรียบแต่ทรงพลังสั่งให้เธอนั้นเดินลงไปในบ่อน้ำ เพราะบ่อน้ำแห่งนี้สามารถรักษาบาดแผลของเธอได้และจะทำให้เธอดีขึ้นอย่างรวดเร็ว“นายว่ายังไ
ร่างหนาเดินนำเธอมาจนถึงคฤหาสน์ก่อนจะให้สาวใช้พาเธอนั้นขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับทำแผลที่เหลือเพียงความฟกช้ำให้กับเธอ เขาเดินมายังห้องทำงานของตนเองพลางจะนั่งครุ่นคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ปราสาทพระจันทร์ ภาพที่ปรากฏขึ้นมานั้นมันเหมือนคลายความสงสัยของเขาในคราที่เจอกันครั้งแรก มันเหมือนปลดล็อคความสงสัยที่มีต่อเธอ และการที่เขานั้นเฝ้าดูเธอมาตลอดเวลาร่วมเดือน เธอก็ไม่ได้ทำตัวมีพิรุธหรือทำตัวให้น่าสงสัยแม้แต่น้อย “นายท่านคะ…ข้าแต่งตัวให้นางเรียบร้อยแล้ว” สาวใช้เดินเข้ามาในห้องทำงานก่อนจะรายงานกับผู้เป็นนาย “อือ...บอกให้นางขึ้นไปรอข้าที่ดาดฟ้าได้เลย” บาบารัสเอ่ยก่อนจะหยิบเสื้อคลุมตัวโปรดมาถือไว้ในมือ “ค่ะนายท่าน” สาวใช้รับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปอย่างเร่งรีบ เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบทำให้กรีนถึงกลับหันมามองว่าเป็นเสียงของใคร เพราะเธอกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะกระจกที่มีเครื่องประทินโฉมประหลาดตาวางอยู่มากมาย บรรดาสาวใช้กำลังประโคมทุกสิ่งอย่างลงบนใบหน้าสวยของเธอ และในห้องที่เธอพักอาศัยอยู่นั้น ไม่ใช่ห้องเดียวกันกับห้องที่เธอฟื้นขึ้นมาในตอนแรก สาวใช้ท
เมืองซิลล์เวอร์วิลล์แห่งนี้เป็นเมืองมืดที่ไม่มีแสงแดดตกถึง แต่มันก็ไม่ได้แย่เสมอไปเพราะแสงอาทิตย์จะหวนกลับคืนมาปีละครั้งเท่านั้น และในแต่ละปีนั้นผู้คนในเมืองแห่งนี้จะออกมารับแสงแดดกันอย่าง เปรมปรี พร้อมกับออกไปใช้ชีวิตท่ามกลางแสงแดดกันอย่างสุขสันต์และสนุกสนาน หากแต่แสงสว่างนั้นอยู่ได้แค่เพียงหนึ่งวันพวกเขาถึงรีบใช้ชีวิตกันให้มีความสุขที่สุดเมืองแห่งนี้เหมือนถูกต้องคำสาปจากเหล่าบรรพบุรุษที่ต้องการแย่งชิงอำนาจกันและมันไม่สามารถแก้ไขคำสาปนั้นได้อีกแล้วเพราะต้นตระกูลของคำสาปนี้ได้สิ้นชีพกันไปหมดแล้ว ไม่มีใครที่สืบทอดอำนาจคือแก้ไขคำสาปได้ มันจะไม่มีวันกลับมาสว่างสดใสได้อีก ทำได้เพียงแค่รอวันเวลาที่ดวงอาทิตย์หวนย้อนกลับคืนมาเพียงเท่านั้น แต่หากก็มีผู้คนมากมายที่ย้ายออกไปจากเมืองนี้เพราะไม่ได้อยากอยู่ภายใต้ความมืดนี้ไปตลอดชีวิต และคนเป็นเจ้าเมืองอย่างบาบารัสจึงต้องทำทุกวิถีทางให้ผู้คนนั้นอยู่รอดและมีความสุขที่สุด การที่เขาออกลาดตระเวนเมืองทุกครั้งเขามักจะมองหาพื้นที่ที่จะต้องสร้างเมืองให้มีความเจริญมากขึ้น หรือขยายอำนาจออกไปให้ผู้คนได้มีที่อยู่และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ แต่แล้วไม่กี่ร้อยปี
แสงของดวงจันทร์เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีดำสาดส่องลงบนใบหน้าหวานของกรีนที่กำลังหลับใหลอย่างสงบ สายลมเย็นพัดโชยมาเบา ๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกไม้ในสวนลอยมาแตะจมูก ทำให้กรีนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ภาพแรกที่เห็นคือห้องนอนที่ตกแต่งอย่างหรูหรา เตียงนุ่มที่นอนอยู่นั้นอย่างคุ้นเคย เธอลุกขึ้นอย่างช้า ๆ ภาพความฝันในเมื่อคืนทำให้เธอนั้นมีความขุ่นมัวในใจในตอนนี้แต่เธอก็ได้แต่พยายามจะลืมมัน“นายหญิง ตื่นแล้วหรือคะ” เสียงหวานใสของสาวใช้ประจำตัวดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพกรีนพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง สายตาของเธอสอดส่องไปรอบห้องอย่างช้า ๆ ทุกอย่างดูเหมือนจะเตรียมพร้อมไว้ให้เธอเป็นอย่างดี ทั้งชุดนอนที่ถูกพับเรียบร้อยบนเก้าอี้ และน้ำชาอุ่นที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง“วันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ นายหญิง” สาวใช้ถามขึ้นอีกครั้ง“ก็ดีนะ ขอบใจนะที่ดูแลฉัน” กรีนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลสาวใช้ยิ้มกว้างก่อนจะรีบเข้ามาช่วยกรีนแต่งตัว ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่วราวกับเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอหลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว กรีนก็เดินออกจากห้องไปยังห้องอาหาร ซึ่งมีอาหา
บาบารัสและกรีนรีบวิ่งไปยังต้นเสียง พวกเขาพบกับหญิงสาวคนหนึ่งกำลังต่อสู้กับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ บาบารัสไม่รอช้า เขาใช้พลังวิเศษของเขาโจมตีสัตว์ร้ายจนมันต้องล่าถอยไป หญิงสาวหันมาขอบคุณ บาบารัส และกรีน ก่อนจะแนะนำตัวว่าเธอชื่อเอลฟ์ และเธอเป็นทายาทของผู้วิเศษที่พวกเขากำลังหา บาบารัสและกรีนต่างดีใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาได้พบกับผู้วิเศษแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็มีความหวังที่จะพากรีนกลับไปยังโลกมนุษย์ได้เสียที เมื่อทุกอย่างเป็นตามที่หวัง ทุกคนต่างพากันเดินทางกลับพร้อมพาตัวผู้วิเศษคนนี้เดินทางกลับที่เมืองด้วย ระหว่างทางกรีนเองก็เล่าเรื่องราวของตนเองให้กับนางฟัง นางถึงกับตกใจเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นมาหลายพันปีแล้ว และการที่จะหาทางกลับไปนั้นมันก็ยากมากเสียจริง ๆ เพราะการเดินทางกลับข้ามเวลานั้นต้องมีผู้ที่เข้าขั้นบรรลุวิชาเวทมนตร์ระดับอาจารย์ถึงจะสามารถทำได้ หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็ออกเดินทางสำรวจอาณาจักร บาบารัสพากรีนไปยังสถานที่ ต่าง ๆ มากมาย ทั้งป่าลึก ทะเลสาบ และเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ กรีนได้เรียนรู้วิชาการปกครองจากบาบารัสอย่างใกล้ชิด เธอสามารถพูดค
ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ใบหญ้าเขียวขจีไหวเอนตามลมที่พัดผ่าน เสียงนกร้องเพลงอยู่ไกล ๆ และแสงแดดที่ส่องกระทบพื้นดินให้เกิดประกายอ่อน ๆ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุขในวันหยุดที่สมบูรณ์แบบ บาบารัสและกรีนพาลูก ๆ ออกมาเที่ยวในธรรมชาติที่งดงาม และวันนี้ก็เป็นวันที่ทั้งครอบครัวได้มาพักผ่อนในทุ่งหญ้ากว้างที่มีต้นไม้ใหญ่และดอกไม้หลากสีบาบารัสยิ้มอย่างมีความสุขขณะเล่นกับลูก ๆ ของเขา ลูกสาวคนโต บริสตัน วัย 4 ขวบ กำลังวิ่งไล่จับลูกบอลที่เขากลิ้งไปมาในสนาม เธอมีท่าทางฉลาดแฉลบและคล่องแคล่ว ทำให้บาบารัสรู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวมาก ส่วนกราเซีย ลูกสาวแฝดของเธอที่มีอายุเท่ากันกำลังวิ่งตามพี่สาวไป และในขณะเดียวกันลูกชายคนเล็ก บรากัส ที่มีอายุแค่ 3 ขวบก็วิ่งไป ๆ มา ๆ ไม่หยุด เขามักจะล้มตัวลงไปบ่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาหยุดยิ้ม“เร็ว ๆ หน่อย ! บรากัส !” บาบารัสตะโกนด้วยเสียงแหบ ๆ ขณะที่เขาวิ่งตามลูกชายที่ขำ ๆ กระโดดไปชนต้นไม้ จนเสียงดัง “โครม !” บรากัสล้มลงไปกองกับพื้น“โอ๊ะ ! บรากัส !” กรีนที่นั่งอยู่ห่าง ๆ ก็รีบลุกขึ้นมามอง แต่เมื่อเห็นลูกชายหัวเราะอย่างมีความสุขและไม่เป็
ในเมือง Sunthawarm ที่เต็มไปด้วยความสวยงามและความอบอุ่น แสงแดดที่ทอแสงอ่อน ๆ ปล่อยแสงทองสว่างไสวลงมาบนพื้นดินอันเขียวขจี ใบไม้ไหวเอนในลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านมา ทุกสิ่งดูเหมือนจะเปล่งประกายขึ้นด้วยความสุขและความมหัศจรรย์ การแต่งงานระหว่างบาบารัส มีเสน่ห์และความกล้าหาญกับกรีนผู้มีความใจดีและแข็งแกร่ง ทั้งสองเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบ และวันนี้พวกเขาจะได้ประกาศความรักและผูกพันไปตลอดกาลในพิธีแต่งงานที่แสนพิเศษครั้งนี้เมือง Sunthawarm เป็นสถานที่ที่ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นเมืองที่มีพลังมหัศจรรย์อันล้ำค่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า แสงแดดที่สัมผัสกับท้องฟ้าจะเปล่งประกายราวกับมีการเวทมนตร์แฝงอยู่ในนั้น พิธีการทั้งหมดจัดขึ้นในลานกว้างกลางเมือง ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านสาขากว้างขวาง ดอกไม้สีทองอร่ามกระจายทั่วทุกมุม ลมอ่อน ๆ พัดผ่านลอยกลิ่นหอมจากดอกไม้หลากหลายชนิด ขนาบข้างไปกับเสียงร้องของนกที่บินอยู่เหนือท้องฟ้าและเสียงของแม่น้ำใสสะอาดที่ไหลผ่านตามธรรมชาติทุก ๆ คนที่มาร่วมงานในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียง สัตว์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในป่า แพะมังกรปีกสีน้ำเงิน หรือม
ในหลายวันถัดมา ภายในห้องนอนของบาบารัสที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบและอบอุ่น ทั้งสองคนกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งหลังจากเวลานานที่ห่างหายไป ความรู้สึกหลากหลายที่เคยปะปนกันในใจของบาบารัส ตอนนี้ได้ถูกละลายไปแล้วด้วยอ้อมกอดและสายตาของกรีนที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย ที่แม้กระทั่งบาบารัสยังไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าความอบอุ่นแบบนี้จะเข้ามาทำให้เขารู้สึกอ่อนลงจนแทบจะไม่สามารถต้านทานได้เขาค่อย ๆ ทอดตัวลงบนเตียงที่ถูกจัดวางอย่างสวยงามด้วยผ้าห่มหนานุ่ม มีแสงจันทร์ที่ทอดส่งลงมาอ่อน ๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ห้องนอนดูสงบและน่าหลงใหลยิ่งขึ้น ทุกครั้งที่บาบารัสหันไปมองกรีน ความรู้สึกที่ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความรักจะกลับมาโหมกระหน่ำในหัวใจของเขา กรีนยังคงความงามที่ทำให้หัวใจของเขากระตุกทุกครั้งที่เห็น เธอมีดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนดวงดาวในยามค่ำคืน ผมยาวสีดำที่สยายไปบนหมอนกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเธอปลุกความรู้สึกอบอุ่นในตัวเขาให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งหลายครั้งที่บาบารัสนั่งอยู่ข้าง ๆ กรีน ขณะที่เธอกำลังอ่านหนังสือหรือนั่งทำอะไรบางอย่าง บาบารัสมักจะมองเธอด้วยความเงียบงัน การมองเธอในทุก ๆ การเคลื่อนไหวท
บรรยากาศในห้องสมุดใหญ่ของปราสาทหลากหลายสีสันยังคงเงียบสงัดเหมือนเคย สองมือของบาบารัสจับแน่นกับตำรามหาวิทยาลัยเก่าแก่เล่มหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่ยอมละสายตาจากหน้าเรียบ ๆ ของมัน แม้จะเป็นตำราที่เต็มไปด้วยตัวอักษรที่ทับซ้อนจนยากจะเข้าใจ ความมุ่งมั่นและความหลงใหลในเป้าหมายของเขายังคงท่วมท้น มันไม่ใช่แค่การค้นหาความรู้ทางเวทมนตร์ แต่เป็นการค้นหาทางสู่คนที่เขารัก และเขาคิดว่าไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เขาก็จะทำเพื่อเธอให้ได้ตั้งแต่วันนั้นที่เขาได้รู้ว่าเธอได้จากไปที่โลกมนุษย์ เขาแทบจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เขาหมกมุ่นกับการฝึกฝนเวทมนตร์ที่เขาเชื่อว่าจะพาเขากลับไปหากรีนได้ ไม่ว่าโลกนี้จะให้ราคาต่ำกับความพยายามของเขามากแค่ไหน เขาก็จะไม่ยอมแพ้ เพราะเขาเชื่อมั่นว่ามีบางอย่างในเวทมนตร์ที่จะทำให้เขาได้กลับไปหาคนที่เขารักหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลย แม้กระทั่งในยามค่ำคืนที่ปราสาทเงียบสงัด เขาก็ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ยกแก้วสุราเข้าปากเพื่อทำให้ความมึนเมาสามารถกลบเสียงในหัวที่กระซิบถึงชื่อของเธอได้บ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ ความคิดถึงของกรีนยังคงกัดกร่อนในจิตใจของเขาอยู่เสมอ
“ก็ตามที่ข้าคุยกับเจ้าไว้ว่าเจ้าต้องกลับบ้านแบบที่ไม่ได้กลับจริง ๆ ข้าจะพาเจ้าไปอยู่ที่หนึ่งก่อน เหมือนเจ้าได้หายตัวไปจากพวกเราจริง ๆ” รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเมื่อได้เวลาเล่นสนุกกับบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น“จะพาฉันไปไหน” กรีนมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความกลัวเพราะถึงเธอจะดูน่ารักแต่ก็เจ้าแผนการณ์ไม่ใช่น้อย“เชื่อใจข้าเถอะแค่ไปอยู่ที่นั่นเดี๋ยวเดียวก็กลับ” มิสไวท์ลุกขึ้นพร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินออกจากห้องหมากรุกและสั่งเหล่าทหารให้พากันเตรียมตัวออกเดินทางส่งนางเอกกลับโลกมนุษย์โดยที่ยังไม่บอกบาบารัสทุกอย่างเตรียมการณ์อย่างรวดเร็วและทุกอย่างถูกปกปิดไว้ไม่ให้ผู้ปกครองเมืองอย่างบาบารัสให้ได้รู้เพราะตอนนี้มิสไวท์ได้ให้ทหารคอยจับตาดูบาบารัสไว้ เมื่อถึงเวลาที่ได้กำหนดกันไว้ค่อยปล่อยข่าวไปถึงหูสหายของตน“เจ้าพร้อมแล้วใช่ไหม ถ้าพร้อมแล้วก็ขึ้นรถม้าคันนั้นไปได้เลย” มิสไวท์เอ่ยพร้อมพาตัวหญิงสาวมายังรถม้าที่จะออกเดินทาง และมันไม่ได้ไปไกลจากที่นี่มากนักคิดเสียว่าให้หญิงสาวได้ออกมาพักผ่อนจิตใจ“อื้ม...ข้าฝากด้วยนะ” กรีนเดินขึ้นรถม้าที่ไม่เป็นที่สะดุดตาพร้อมเดินทางออกจากคฤหาสน์ไปทางด้านหลังโดยมีทห
กรีนตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ร่างเปลือยเปล่าขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะสัมผัสได้ถึงแขนแกร่งที่ยังคงโอบรัดเธอไว้ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เธอไม่น่าให้มันเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ หากใจอ่อนแผนที่ได้วางไว้คงได้พังลงแน่ ๆ ความเหนียวหนึบตามตัวทำให้เธอนั้นขยับตัวได้อย่างยากลำบาก ก่อนจะคว้าผ้ามาคลุมตัวไว้เพื่อไปชำระร่างกาย เสียงน้ำที่ตกกระทบทำให้อสรพิษหนุ่มตื่นขึ้น ใบหน้าคมหันมองคนข้างกายแต่กลับไม่พบกายหนาย่างกายไปตามเสียงของน้ำด้วยสภาพเปลือยเปล่า เขามองเห็นกรีนที่กำลังอาบน้ำอยู่ หากแบบนี้อาจจะเรียกว่าถ้ำมองหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ แต่เขาไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือคนรักของเธอคงไม่เป็นอะไร“เจ้า…” บาบารัสเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล“นาย !!” กรีนร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบคว้าผ้ามาห่อตัวเอาไว้“เจ้าจะอายอะไรข้าอีก เห็นกันมานักต่อนักแล้ว” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นแขนแกร่งไปสัมผัสที่หญิงสาวเสียงของชายหนุ่มดูหยอกล้อเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าทางกลัวเขาเห็นของรัก ในเมื่อเห็นมากันทุกซอกทุกมุมแล้วจะไปกลัวอะไร แปลกคนยิ่งนัก “ออกไป...” กรีนเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบเช่นกัน พร้อมกับเห็นสีหน้าที่ทำเขานิ่งอึ้งไป“ไม่...ข้าไม่ไป” อสรพิษหนุ
ร่างกำยำกอดรัดเอวบางแนบชิดตัว สายตาดุดันที่ยากจะกักเก็บความรู้สึกเอาไว้ สิ่งที่เขาได้ยินสิ่งที่เขาได้เห็นว่าพวกบ้านั่นมันพูดถึงคนที่ตนรักว่าอย่างไร เพียงนึกถึงตอนที่อยู่ในบาร์นั่นเขาก็แบบอยากจะลุกอัดหน้าพวกนั้นให้แหลกคามือ เขามองจ้องไปยังร่างบางอยู่ภายใต้การควบคุมของตนในตอนนี้ เธอมองเขาด้วยสายตาสั่นระริก “ข้าไม่ชอบ...”เสียงหายใจหอบที่ปนไปด้วยความรู้สึกที่อัดอั้น เขาพยายามอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองแต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้มันไม่สามารถควบคุมได้อีกแล้ว สายตาไล่มองไปตามเรือนร่างอรชร เสื้อผ้าที่สวมใส่มันดูบางเบาถึงแม้ด้านในจะเป็นผ้าหนาทึบแสงก็ตาม สันจมูกคมดอมดไปตามกรอบหน้าสวยไล่คลอเคลียคอระหงอย่างช้า ๆ จนได้ยินเสียงหัวใจของหญิงสาวที่กำลังเต้นโครมครามเหมือนกลองรัว “อ๊ะ…บาบารัสอย่านะ” กรีนร้องออกมาพร้อมกับหดคอหนีด้วยความรวดเร็ว“อย่าขัดใจข้า” บาบารัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เอาแต่ใจที่สุด…คนใจร้าย” กรีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจพร้อมกับดันอกแกร่งที่ยังคงอยู่เหนือร่างของเธอ“ใจร้ายเหรอ เจ้านั่นแหละที่ใจร้ายกับข้า” “ฉันเนี่ยนะ...”กรีนเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ บาบารัสยังคงไม่รู้ความผิดของตัวเอง ทั้
หญิงสาวร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเธอได้ยินเสียงใครบางคนเข้ามาในห้องของเธอ ร่างบางจึงหันกลับไปมองแต่ไม่คิดว่าคนที่เข้ามานั้นจะเป็นบาบารัสที่เข้ามาประชิดตัวเธออย่างรวดเร็วจนเธอนั้นตั้งตัวไม่ทัน จนเกือบเซล้มลงไป“ตกใจอะไรขนาดนั้น” อสรพิษหนุ่มมองเข้าไปในดวงตาจองเธอที่ดูสั่นไหวกลิ่นเครื่องหอมที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งตัวหญิงสาว ทำให้บาบารัสถึงกับขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง แขนแกร่งคว้าตัวเธอเข้ามาแนบชิดกายหนาของตนเอง พร้อมกับสูดดมความหอมจากตัวเธอ ยิ่งดมแล้วยิ่งหงุดหงิด ริมฝีปากหนาซุกไซ้ไปตามคอระหงก่อนจะขบกัดจนเป็นรอยแดงเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงร่างเล็กที่กำลังสั่นเทาด้วยความกลัว“เจ้าเป็นอะไร” บาบารัสเอ่ยเมื่อถอนริมฝีปากของตนเองออกจากคอของเธอ“นายทำอะไร...ทำแบบนี้ทำไม” กรีนฉวยโอกาสถดตัวหนีเพื่อรักษาระยะห่างจากชายหนุ่ม“ชุดนี่มันอะไร แล้วกลิ่นเครื่องหอมนี่อีก จะออกไปไหนกัน” ชายหนุ่มถามเสียงเข้มและไม่ได้ตอบคำถามของเธอ ตอนนี้เขารู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก ไม่อยากให้เธอออกไปไหนในเวลาแบบนี้ แถมชุดที่เธอใส่นั้นมันดูเย้ายวนสายตาชายอื่นเป็นอย่างมาก หากเป็นเขาเองก็แทบไม่อยากละส
เมื่อกรีนทำตามแผนของมิสไวท์ใจของเธอก็ได้แต่ภาวนาให้เขานั้นสนใจเธอบ้าง แต่เขากลับเดินหนีออกไปโดยไม่พูดอะไร จากสีหน้าของเขาเหมือนจะโกรธและไม่พอใจเป็นอย่างมาก มือของเขาที่กำแน่นเธออยากจะเข้าไปจับมือของเขาเพื่อปลอบโยน แต่ก็ได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ก่อน “เจ้าได้บอกกับบาบารัสไปแล้วใช่หรือไม่” มิสไวท์เดินเข้ามาถามเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินออกไป“ฉันบอกเขาไปแล้ว…เขาดู…” กรีนพูดด้วยเสียงแผ่วเบา“ตอนนี้เจ้าไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้วหลังจากนี้ทำตามที่ข้าบอกก็พอ” หญิงสาวมองกรีนด้วยสายตามุ่งมั่นในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ การเดินทางกลับของกรีนจะเกิดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า และได้ถูกบอกต่อกันไปทั่วคฤหาสน์ บรรดาสาวใช้ต่างพากันเศร้าสร้อย เพราะไม่ได้อยากให้หญิงสาวนั้นกลับไป เพราะเธอทั้งใจดี และเป็นกันเองต่างจากคนที่อยู่ที่นี่ เมื่อเวลาผ่านไปอีกวัน นัยน์ตาสีสวยมองตนเองที่อยู่ในกระจก ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มเติมสี ตอนนี้มันถูกตกแต่งอย่างสวยงามราวกับรูปวาด ริมฝีปากเรียวคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยกับสิ่งที่ตัวเองได้เห็น ฝ่ามือสวยสัมผัสไปที่ใบหน้าของตนเองอย่างช้าเพื่อชื่นชมความแปลกตาในวันนี้ “เจ้าสวยมากเลยนะกรีน ทำไม