เมืองซิลล์เวอร์วิลล์แห่งนี้เป็นเมืองมืดที่ไม่มีแสงแดดตกถึง แต่มันก็ไม่ได้แย่เสมอไปเพราะแสงอาทิตย์จะหวนกลับคืนมาปีละครั้งเท่านั้น และในแต่ละปีนั้นผู้คนในเมืองแห่งนี้จะออกมารับแสงแดดกันอย่าง เปรมปรี พร้อมกับออกไปใช้ชีวิตท่ามกลางแสงแดดกันอย่างสุขสันต์และสนุกสนาน หากแต่แสงสว่างนั้นอยู่ได้แค่เพียงหนึ่งวันพวกเขาถึงรีบใช้ชีวิตกันให้มีความสุขที่สุด
เมืองแห่งนี้เหมือนถูกต้องคำสาปจากเหล่าบรรพบุรุษที่ต้องการแย่งชิงอำนาจกันและมันไม่สามารถแก้ไขคำสาปนั้นได้อีกแล้วเพราะต้นตระกูลของคำสาปนี้ได้สิ้นชีพกันไปหมดแล้ว ไม่มีใครที่สืบทอดอำนาจคือแก้ไขคำสาปได้ มันจะไม่มีวันกลับมาสว่างสดใสได้อีก ทำได้เพียงแค่รอวันเวลาที่ดวงอาทิตย์หวนย้อนกลับคืนมาเพียงเท่านั้น
แต่หากก็มีผู้คนมากมายที่ย้ายออกไปจากเมืองนี้เพราะไม่ได้อยากอยู่ภายใต้ความมืดนี้ไปตลอดชีวิต และคนเป็นเจ้าเมืองอย่างบาบารัสจึงต้องทำทุกวิถีทางให้ผู้คนนั้นอยู่รอดและมีความสุขที่สุด การที่เขาออกลาดตระเวนเมืองทุกครั้งเขามักจะมองหาพื้นที่ที่จะต้องสร้างเมืองให้มีความเจริญมากขึ้น หรือขยายอำนาจออกไปให้ผู้คนได้มีที่อยู่และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ แต่แล้วไม่กี่ร้อยปีก่อนเขาได้พบพื้นที่ที่แสงแดดส่องถึง มีทั้งกลางวันและกลางคืนให้ผู้คนได้สุขสมและใช้ชีวิต เจ้าเมืองอย่างเขาจึงต้องแผ่อาณาเขตของการปกครองออกไปและการที่เขาจะปกครองเมืองนี้ได้นั้นก็ไม่ได้ง่ายเสียทีเดียว
เมื่อมีการร้องขอการขยายอาณาเขตเข้ามาเรื่อย ๆ ว่าอยากได้พื้นที่แบบใดเขาก็จะส่งทหารออกไปตามดูแต่ละพื้นที่ว่ามีสิ่งที่ประชาชนของตนต้องการหรือไม่ และในตอนนี้เขาก็ได้สร้างเมืองขึ้นมาเพิ่มอีก สามเมืองเป็นพื้นที่ที่ทุกคนต้องการและสามารถแยกย้ายกันไปอยู่ได้อย่างสงบสุข
การขยายอาณาเขตของเมืองนั้นไม่ได้มาง่าย ๆ เขาใช้เวลาอยู่หลายพันปีกว่าจะสร้างทั้งเมืองสี่เมืองนี้ขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง และการร่วมใจของเหล่าทหารที่อยู่ภายใต้การปกครองของตนหากไม่มีทหารเหล่านี้เขาเองก็ไม่สามารถขยายอำนาจของตนออกไปได้
“ก็พอรู้มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้ทั้งหมด ฉันอยากเห็นแสงอาทิตย์บ้างจัง” ร่างบางขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาเพราะปรารถนาอยากพบแสงอาทิตย์อีกสักครั้งเพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอนั้นแทบไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์เลยมีแต่แสงของดวงจันทร์ที่สาดส่องไม่ว่าจะตะเกียงที่อยู่ในห้องหรือคบเพลิงที่อยู่ตามทางเดิน
“เจ้าอยากไปดูใช่ไหม หากข้าออกลาดตระเวน ข้าจะพาเจ้าไปอีกเมือง ที่นั่นมีแสงอาทิตย์ส่องถึงมีทั้งกลางวันและกลางคืน”
“นายพูดจริงใช่ไหม ไม่ได้โกหกนะ” กรีนหันมามองชายหนุ่มด้วยสายตาที่มีความหวัง และมองลึกไปในดวงตาที่ดูทรงอำนาจนั่น หากมอง ดี ๆ ดวงตาคู่นี้ไม่ได้น่ากลัวและมีบางอย่างซ่อนอยู่ภายใน
“ข้าพูดจริงเดี๋ยวข้าจะพาไป ถ้ามีเวลา” ชายหนุ่มสัญญากับคนตรงหน้าก่อนจะหันออกไปมองวิวด้านข้างแทน
ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งพร้อมกับเสียงสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่ส่งเสียงอยู่ในยามค่ำคืน แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาตกกระทบลงใบหน้าสวย ทำให้ชายหนุ่มที่แอบมองอยู่ด้านข้างนั้นเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว หากแต่คนถูกมองนั้นกลับรู้ตัวว่าถูกแอบมองเธอกลับหันไปมองคนด้านข้าง แต่แล้วเขากลับหันหน้าหนีเธอไปทำให้รอยยิ้มน่ารักนั้นผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอพร้อมกับอมยิ้มเล็กน้อย
“ตอนนี้เราญาติดีกันแล้วใช่ไหม นายจะไม่แกล้งฉันแล้วใช่ไหม” กรีนเอ่ยขึ้นพร้อมกับกระชับแขนที่กำลังกอดตัวเองอยู่เพราะอากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ
“อือ...ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าแล้ว” บาบารัสสัมผัสได้ถึงบางอย่างก่อนจะหันไปมองร่างเล็กที่กำลังยืนกอดตนเองอยู่ ตนจึงเดินไปที่เก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล พร้อมกับหยิบเสื้อคลุมตัวโปรดมาคุมให้เธอ
“อ๊ะ...นายทำอะไร...นี่มัน...” หญิงสาวหันไปมองด้วยความตกใจที่อยู่ ๆ ชายหนุ่มกลับนำเสื้อตัวโปรดของตนเองมาสวมใส่ให้
“เงียบไปเถอะ ข้าจะไปทำงานต่อแล้ว เจ้าก็กลับห้องของเจ้าได้แล้ว” ร่างสูงเดินหนีหญิงสาวออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสั่งเหล่าทหารให้ดูแลเธอถ้าหากเธอจะกลับห้องและให้เดินไปส่งเธอ
หญิงสาวมองคนที่เดินจากไปด้วยความงุนงงการกระทำของเขาในวันนี้ทำให้เธอแปลกใจไม่น้อย เพราะตั้งแต่ที่ลานประลองเธอมองเห็นสายตาของเขาที่ดูเกรี้ยวกราดกับทหารนายนั้นพร้อมกับสายตาที่อ่อนลงเมื่อมองมาที่เธอ และเหมือนเขาจะเฝ้ามองเธอตลอดหนึ่งเดือนกับการฝึกที่เขาได้มอบหมายให้เธอไม่ว่าจะการเรียนการปกครองหรือการใช้ชีวิตที่นี่เธอถูกจับตามองทุกฝีก้าว ทำให้ในช่วงแรกเธอถึงกับหวาดระแวงไม่ว่าเธอจะกินจะนอนหรือจะเดินมันทำให้เธอรู้สึกอึดอัด เพราะว่าไม่ว่ามองจะไปทางไหนก็เจอแต่องครักษ์และทหารของเขาเต็มไปหมด
แต่อีกเรื่องที่เธอยังคาใจและสงสัยมาตลอดหลายเดือน ในคืนนั้นที่เธอเห็นบางอย่างในป่ามันคืองูตัวใหญ่ ที่เธอได้สบตากับมัน เธอไม่รู้เลยว่านั่นมันคืออะไร แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอได้เห็นบรรดาทหารบางกลุ่มอยู่ ๆ พวกเขาก็กลายเป็นงูแต่ไม่ได้ตัวใหญ่เท่าที่เธอเห็น เธอเลยคิดเพียงว่านี่มันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่เธอไม่เคยได้พบ และเหมือนกับในหนังที่เธอเคยได้ดู พวกเขาสามารถแปลงกายได้จากคนเป็นสัตว์จากสัตว์เป็นคน ครั้งที่เธอได้เห็นเหล่าทหารนั้นกลายร่างใจของเธอเต้นแรงไม่เป็นส่ำมันเกิดความตื่นเต้นอย่างน่าประหลาดเพราะสิ่งที่ไม่เคยได้พบเจอ
หากเธอได้เจองูยักษ์ตัวนั้นเธอก็คงตกใจจนเป็นลมไปอีกเป็นแน่แล้วงูตัวนั้นเป็นใครกันเธออยากจะรู้แล้วสิ หรือเธอจะต้องกลับไปที่นั่นอีกครั้งเพื่อดูให้แน่ใจหรือจะต้องถามใครเพราะที่นี่มีชายหนุ่มเท่านั้นที่ปกครองเมืองนี้
“นายหญิงจะไปแล้วหรือขอรับ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเธอกำลังจะเดินลงบันไดเพื่อกลับไปที่ห้อง
“เอ่อ...ทำไมเรียกฉันนายหญิงล่ะ ฉันไม่ใช่นายหญิงอะไรทั้งนั้น นี่ฉันกรีนเถอะ”
ด้วยความประหลาดใจกับคำพูดของเหล่าทหารที่เรียกเธอว่านายหญิงเหมือนกับเป็นเจ้าของที่นี่มันทำให้เธอทำตัวไม่ถูกก่อนจะปลีกตัวเดินออกมาเพื่อกลับห้องพัก
“ไม่ได้ครับเดี๋ยวพวกเราจะซวยกันหมด เพราะท่านฮาร์สได้สั่งไว้”
“ใครนะ ท่านฮาร์ส เป็นใครกันหรอ” หญิงสาวถามออกไปด้วยความสงสัยเพราะที่นี่แทบไม่เคยมีใครชื่อนี้เลย
“ก็นายท่านบาบารัส...พวกเราเรียกท่านฮาร์ส” นายทหารได้อธิบายให้กับหญิงสาวฟังพร้อมกับเดินตามหญิงสาวไปที่ห้องเพื่อรักษาความปลอดภัย
“ไม่ต้องเดินตามมาส่งฉันหรอก มีอะไรก็ไปทำเถอะ” ระหว่างเดินกลับมาที่ห้องหญิงสาวบอกให้ทหารออกไปทำหน้าที่ของตัวเองเพราะเธอนั้นไม่ชินกับการที่มีคนเดินตามแบบนี้
เมื่อพ้นสายตาของเราทหารเธอเดินกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับชำระร่างกายอีกครั้งและเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเข้านอน ดวงตาสวยนอนมองเพดานอยู่นานนับนาที ภายในใจยังสับสนวุ่นวายอยู่ว่าจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน ถึงเธอจะอยู่ที่นี่นานมาเป็นเดือนแล้ว ในหัวของเธอก็ยังคิดจะหาทางกลับบ้านอยู่ หรือเธอจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปจนตาย เธอก็ไม่อาจรู้ได้เลย
เปลือกตาสวยปิดลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ หลับไหลไปในยามราตรีถึงแม้ว่าดวงตาจะปิดสนิท แต่สมองกลับคิดเรื่องที่กำลังทำให้ตนเองนั้นว้าวุ่นในตอนนี้คนในครอบครัวนั้นจะคิดถึงหรือเป็นห่วงเธอกันบ้างไหม หากเธอได้พบกับพวกเขา พวกเขาอยากจะบอกอะไรกับเธอไหม
ปัจจุบัน
…..
ความวุ่นวายและพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ ฟ้าฝนที่ไม่เป็นใจทำให้เจ้าหน้าที่นั้นทำงานได้อย่างยากลำบาก เสียงผู้คนและเสียงไซเรนของรถกู้ชีพดังไปทั่วพื้นที่ของแคมป์ รวมไปถึงเหล่านักข่าวที่เดินทางกันมาอย่างล้นหลาม เจ้าหน้าที่มากมายกำลังวิ่งกันอย่างโกลาหลพร้อมกับเตนท์กู้ภัยที่กำลังเตรียมอุปกรณ์พร้อมสำหรับการเดินทางออกค้นหาผู้สูญหาย
“เนื่องจากตอนนี้สภาพอากาศที่รุนแรงทำให้ไม่สามารถออกค้นหาได้ เราจะเริ่มการค้นหาในวันพรุ่งนี้ เวลา หกนาฬิกา เตรียมร่างกายให้พร้อม”
“ทีมเอเดินทางไปยังจุดแยกด้านขวา เพื่อสำรวจพื้นที่ ส่วนทีมบีเดินไปยังทางด้านซ้าย พร้อมกับดูแผนที่ฉบับนี้ เดินไปตามทางจะมีทะเลสาบ หากเจอให้ยิงพลุส่งสัญญาณทันที น้อง ๆ หายไปได้ไม่นานอาจจะยังไปได้ไม่ไกล”
“เตรียมอุปกรณ์ให้ดี ที่นี่พื้นที่กว้างขวาง และทำตามแผนอย่างเคร่งครัดหากมีเหตุการณ์ไม่ปลอดภัยให้แจ้งทีมทันที”
เสียงเจ้าหน้าที่เอ่ยขึ้นกับทีมกู้ภัยและอาสาสมัครที่กำลังวางแผนในการออกตามหาเหล่านักศึกษาที่ได้หายตัวไป เจ้าหน้าที่และทหารหลายนายกำลังรอคำสั่งเพื่อเตรียมออกค้นหา นักข่าวจากหลายสำนักเตรียมตัวรอฟังคำแถลงจากเจ้าที่ในการวางแผนการค้นหา ทุกอย่างถูกจัดแจงให้เป็นสัดส่วนกันความวุ่นวายและไร้ระเบียบ เพราะการหายตัวไปนั้นเป็นถึงกลุ่มของลูกสาวเลขาอธิบดีกรมศิลป์ ทำให้หลาย ๆ ฝ่ายนั้นต้องเร่งทำหน้าที่ของตัวเองออกมาให้ดี
“ท่านครับ…ตอนนี้ทีมกำลังวางแผนออกค้นหาและจะเริ่มการค้นหาในเวลา หกโมงเช้าของวันพรุ่งนี้ครับ เนื่องจากตอนนี้…สภาพอากาศไม่เป็นใจ” เจ้าหน้าที่รายงานผู้เป็นนายและผู้ปกครองของเหล่านักศึกษาที่หายตัวไป
“เริ่มการค้นหาพรุ่งนี้ใช่ไหม งั้นขอตัวกลับก่อน” เสียงคนที่เป็นถึงเลขาอธิบดีเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น เมื่อเจ้าหน้าที่นั้นเดินมาแจ้งว่าจะเริ่มค้นหาในวันพรุ่งนี้ และลุกขึ้นเดินออกจาห้องไปท่ามกลางความงุนงงของเจ้าหน้าที่
“จะเริ่มหาพรุ่งนี้ใช่ไหมคะ เดี๋ยวฉันจะอยู่ที่นี่รอค่ะ” คนเป็นแม่เอ่ยขึ้นเมื่อผู้เป็นสามีนั้นเดินออกจากห้องรับรองไปพร้อมกับลูกชาย
“ครับคุณผู้หญิง เดี๋ยวทางเราจะจัดหาของที่จำเป็นมาให้ ส่วนญาติคนอื่น ๆ อยากได้อะไรแจ้งให้ผมทราบได้เลยนะครับ เดี๋ยวอีกสักครู่ผมจะเดินมา” เจ้าหน้าที่เอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปหาบรรดาญาติ ๆ ของเด็กที่กำลังออกตามหาก่อนจะเดินกลับออกไปยังห้องวางแผนงานที่อยู่ไม่ไกล
“พ่อ…พ่อจะไม่รอฟังข่าวน้องเหรอ เดี๋ยวนักข่าวก็ได้แห่มากันตรงนี้พ่อจะรีบไปไหน” ผู้เป็นพี่ชายรีบเรียกคนเป็นพ่อเมื่อท่านนั้นเดินออกจากห้องมาเมื่อรู้ว่าทีมยังไม่เริ่มค้นหา
“อย่ามาขัดฉัน แกก็เหมือนกันหัดทำตัวให้มันดี ๆ หน่อย ไม่ใช่จะหาเรื่องหนีไปเหมือนน้องแกให้คนเขาตามหากันให้วุ่นแบบนี้ น่ารำคาญสิ้นดี” คนเป็นพ่อเอ่ยขึ้นอย่าหงุดหงิดหลังจากที่ทะเลาะกับลูกสาวของตัวเองเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเขากลับได้รับข่าวว่าลูกสาวของเขานั้นหายไปในป่า สงสัยว่ามันอาจจะทำตัวเหิมเกริมและประชดประชันแล้วหาเรื่องหนีไป
“พ่อพูดอย่างนี้ได้ยังไงวะ นั่นลูกพ่อนะ พ่อยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าวะ” คนเป็นพี่ชายได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับหัวเสียที่พ่อไม่ได้สนใจลูกสาวของตัวเองเลย เขาไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรออกมาพูดกับคนเป็นพ่อแล้วจริง ๆ และถ้าน้องหนีไปมันก็คงดี เหมือนที่ตนเองนั้นหนีออกมา
พั้วะ !!
เสียงหมัดกระทบลงบนใบหน้าของลูกชายที่ด่าพ่อของตนเอง ทำเอาคนเป็นพ่อนั้นถึงกับเหลืออดก่อนจะใส่อารมณ์ไปยังหน้าของลูกชายที่หนีออกจากบ้านไปใช้ชีวิตข้างนอก และให้ตนนั้นต้องอยู่กับลูกสาวที่ไร้ประโยชน์แถมยังเกือบเสียเงินไปหลายล้านก่อนที่เธอจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“หุบปากแล้วไปอยู่กับแม่แกซะ ก่อนที่คนอื่นจะมาเห็น” คนเป็นพ่อเอ่ยก่อนจะสั่งให้ลูกน้องนั้นพากลับที่พักในตัวเมืองอย่างไม่สนใจสิ่งใดอีก
…
หยาดน้ำตาไหลรินลงมาบนใบหน้าสวยที่กำลังหลับไหลอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาที่ขยับไปมาภายใต้เปลือกตากับคิ้วที่ขมวดอย่างครุ่นคิดกับภาพที่ได้เห็น ความเสียใจที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายและจิตใจ มือที่กำแน่นอย่างเคร่งเครียดอาการหายใจถี่ที่เกิดขึ้นจากการสะอื้นอย่างหนัก ทำให้ร่างบางที่กำลังหลับไหลนั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างแรง มือบางสัมผัสกับใบหน้าของตนเองที่เปียกชื้นก่อนจะเช็ดคราบน้ำตาออกอย่างช้า ๆ ภาพที่เห็นนั้นเป็นแค่ฝันหรือเรื่องจริง เธอไม่อาจหาคำตอบให้กับตัวเองได้เลย หากพ่อนั้นคิดแบบนั้นจริง เธอก็ไม่สมควรที่จะอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป เพราะใจของเธอนั้นมันไร้แสงสว่างที่จะนำทางเธอไปหาความสุขให้กับชีวิตนั้น มันไม่มีอีกแล้ว
แสงของดวงจันทร์เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีดำสาดส่องลงบนใบหน้าหวานของกรีนที่กำลังหลับใหลอย่างสงบ สายลมเย็นพัดโชยมาเบา ๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกไม้ในสวนลอยมาแตะจมูก ทำให้กรีนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ภาพแรกที่เห็นคือห้องนอนที่ตกแต่งอย่างหรูหรา เตียงนุ่มที่นอนอยู่นั้นอย่างคุ้นเคย เธอลุกขึ้นอย่างช้า ๆ ภาพความฝันในเมื่อคืนทำให้เธอนั้นมีความขุ่นมัวในใจในตอนนี้แต่เธอก็ได้แต่พยายามจะลืมมัน“นายหญิง ตื่นแล้วหรือคะ” เสียงหวานใสของสาวใช้ประจำตัวดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพกรีนพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง สายตาของเธอสอดส่องไปรอบห้องอย่างช้า ๆ ทุกอย่างดูเหมือนจะเตรียมพร้อมไว้ให้เธอเป็นอย่างดี ทั้งชุดนอนที่ถูกพับเรียบร้อยบนเก้าอี้ และน้ำชาอุ่นที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง“วันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ นายหญิง” สาวใช้ถามขึ้นอีกครั้ง“ก็ดีนะ ขอบใจนะที่ดูแลฉัน” กรีนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลสาวใช้ยิ้มกว้างก่อนจะรีบเข้ามาช่วยกรีนแต่งตัว ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่วราวกับเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอหลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว กรีนก็เดินออกจากห้องไปยังห้องอาหาร ซึ่งมีอาหา
บาบารัสและกรีนรีบวิ่งไปยังต้นเสียง พวกเขาพบกับหญิงสาวคนหนึ่งกำลังต่อสู้กับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ บาบารัสไม่รอช้า เขาใช้พลังวิเศษของเขาโจมตีสัตว์ร้ายจนมันต้องล่าถอยไป หญิงสาวหันมาขอบคุณ บาบารัส และกรีน ก่อนจะแนะนำตัวว่าเธอชื่อเอลฟ์ และเธอเป็นทายาทของผู้วิเศษที่พวกเขากำลังหา บาบารัสและกรีนต่างดีใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาได้พบกับผู้วิเศษแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็มีความหวังที่จะพากรีนกลับไปยังโลกมนุษย์ได้เสียที เมื่อทุกอย่างเป็นตามที่หวัง ทุกคนต่างพากันเดินทางกลับพร้อมพาตัวผู้วิเศษคนนี้เดินทางกลับที่เมืองด้วย ระหว่างทางกรีนเองก็เล่าเรื่องราวของตนเองให้กับนางฟัง นางถึงกับตกใจเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นมาหลายพันปีแล้ว และการที่จะหาทางกลับไปนั้นมันก็ยากมากเสียจริง ๆ เพราะการเดินทางกลับข้ามเวลานั้นต้องมีผู้ที่เข้าขั้นบรรลุวิชาเวทมนตร์ระดับอาจารย์ถึงจะสามารถทำได้ หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็ออกเดินทางสำรวจอาณาจักร บาบารัสพากรีนไปยังสถานที่ ต่าง ๆ มากมาย ทั้งป่าลึก ทะเลสาบ และเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ กรีนได้เรียนรู้วิชาการปกครองจากบาบารัสอย่างใกล้ชิด เธอสามารถพูดค
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของบรรดาสาวใช้ที่กำลังอยู่ในห้องครัวดังไม่หยุด ต่อให้จะมีเสียงกระทะกะละมังก็ยังสู้เสียงของพวกเธอไม่ได้ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านเจ้าเมืองหรือเจ้านายของพวกเธอนั้นกำลังมีความรักอีกครั้ง แต่การที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนั้นพวกเธอก็ได้แต่ชั่งใจว่าหากความรักครั้งเก่าของผู้เป็นนายกลับมา ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นอย่างไร “เธอว่านายท่านของพวกเรามีความรักจริงหรือ” “จากที่พวกข้าดูคิดว่านายท่านกับผู้หญิงคนนั้น น่าจะมีอะไรเหมือนที่พวกเราคิดนะ” บรรดาสาวใช้ต่างพากันออกความเห็นกันอย่างออกรสออกชาติและในขณะเดียวกันหญิงสาวที่ผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยกำลังออกมาเดินเล่นพักผ่อนก่อนที่จะต้องไปฝึกฝนต่อ และต้องไปคุยกับผู้วิเศษที่พาตัวมา “ถ้ากลับบ้านได้ฉันจะคิดถึงที่นี่ไหมนะ”สองขาเรียวที่กำลังเดินไปในสวนหลังคฤหาสน์ตามทางเดิน เตะหินก้อนเล็กอย่างเหม่อลอย “นายหญิงเข้าไปพักผ่อนด้านในเถอะค่ะ” สาวใช้ประจำตัวเดินมาเรียกให้หญิงสาวกลับเข้าไปพักผ่อนในคฤหาสน์ เพราะเธอได้ออกมาข้างนอกเป็นเวลานานแล้วและด้วยสภาพอากาศที่เย็นอาจจะทำให้เธอไม่สบาย “
ร่างบางที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด และดูเหมือนเธอจะไม่ได้รู้สึกถึงสัมผัสของเด็กหนุ่มที่ต้องการจะปลุกเธอให้ตื่น เด็กหนุ่มที่ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาทำเพียงแค่สะกิดเธออยู่อย่างนั้น เขามองไปที่บาดแผลของเธอที่เลือดไหลไม่หยุด “เจ้าฟื้นสิ !” เด็กหนุ่มยังคงเรียกเธอพร้อมกับมองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าพี่ชายของตนยังตามมาอยู่หรือไม่ “ข้าจะช่วยเจ้าก่อนแล้วกัน”เด็กหนุ่มพูดขึ้นก่อนจะวางมือทาบลงไปบนที่แขนของเธออย่างช้า ๆ พร้อมกับไล่ไปตามเนินไหล่ของเธอจนมาถึงบริเวณไหปลาร้าที่มีบาดแผลฉกรรจ์ แสงเรืองรองสีทองที่ออกมาจากฝ่ามือของเขา มุ่งเข้าสู่บาดแผลฉกรรจ์ที่ไหปลาร้าของเธอ ดวงตาสีเหลืองทองที่เปล่งประกายขณะร่ายมนตร์ ใบหน้าซีดเซียว กับดวงตาของเธอที่ขยับเล็กน้อยพร้อมขมวดคิ้วถึงความเจ็บปวดที่แล่นเข้าสู่บาดแผล ก่อนจะกลับมาปกติอีกครั้งเนื่องจากบาดแผลได้สมานกันดีแล้ว และบริเวณบาดแผลกลายเป็นรอยแผลเป็นและลักษณะคล้ายเกล็ดงู เพราะหากได้ใช้เวทมนตร์ในการรักษาแล้วมันจะกลายเป็นเกล็ดที่คล้ายกับเกล็ดของเจ้าของผู้ที่เป็นคนรักษา “แบบนี้น่าจะพอช่วยได้ แต่ทำไมเจ
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างกลับเปลี่ยนแปลงไปหมด ไม่ว่าจะท่านแม่ของเขาที่จบชีวิตตัวเองโดยไม่ทราบสาเหตุและตัวเขาเองที่ถูกรังแกอย่างสาหัส ทำให้บาบารัสต้องลุกขึ้นสู้เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง และไม่นานท่านพ่อของเขาก็ได้จากไป เขารู้ได้ทันทีว่านี่มันไม่ใช่เรื่องปกติ และมันต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง เขาจะเอาพวกมันมาลงโทษให้ได้ ไม่ว่าจะเรื่องท่านพ่อ หรือเรื่องท่านแม่ที่ท่านทั้งสองได้จากไปในเวลาใกล้เคียงกันผ่านไปหลายปีผู้เป็นพี่ชายได้ครองเมืองอย่างบ้าอำนาจและบ้าคลั่ง บาบารัสตัดสินใจว่าจะไม่ยอมเป็นเหยื่ออีกต่อไป เขาจะฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะพี่ชายและปกป้องตัวเองได้ “ข้าจะไม่มีวัน ให้เจ้าทำร้ายข้าอีก”เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองก่อนจะเริ่มทำการฝึกอย่างจริงจังเสียงหายใจหอบ และหยาดเหงื่อไหลไปตามร่างแกร่ง ร่างกายใหญ่กำยำที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในวัยเพศที่มากขึ้น การฝึกฝนของเขาทุกเช้าค่ำทำให้ร่างกายของเขาแกร่งขึ้นมาก บาบารัสจะตื่นขึ้นมาเพื่อฝึกฝนร่างกายในโรงฝึก เขาเริ่มจากการวิ่งรอบสนามฝึกเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ร่างกายของเขาจึงมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและสามารถสูงใหญ่ได้เท่าก
ความรุ่งเรืองในตอนนี้สร้างความพอใจให้กับประชาชนมานับหลายร้อยปีที่มีผู้นำที่ดีอย่างบาบารัส ถึงเขาจะใช้อำนาจอย่างเอาแต่ใจก็ตาม แต่ทุกอย่างมันทำให้ประชาชนนั้นได้อยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ร่มเย็น บาบารัสทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อทำตามคำสาบานและคำปฏิญาณของตนมาตลอดหลายร้อยปี ตอนนี้เขาก็ได้ขยายอาณาจักรได้อย่างภาคภูมิ เสียงของแตรยักษ์ดังขึ้นกลางลานประลอง เหล่าทหารยืนพร้อมเรียงรายอย่างเป็นระเบียบสายตาจับจ้องไปที่เวที อาจารย์ยืนพร้อมหน้าพร้อมกับอาวุธคู่ใจ นักเวทย์ชูมือขึ้นสูงเพื่อหยุดเสียงแตรและเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับถือตำราเวทย์ขั้นสูง“ผู้จบการศึกษา ณ ที่แห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ จงเปิดใจรับคำอวยพรจากเหล่าอาจารย์ผู้ล่วงลับ” นักเวทเปิดตำราเพื่อเริ่มร่ายคาถาคำอวยพรพร้อมเบิกทางฟ้าดินให้ยินดีบาบารัสนั่งมองพิธีที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่ชานระเบียงบนคฤหาสน์ สายตาคมกริบจับจ้องไปที่หญิงสาวที่กำลังเข้าพิธีจบการศึกษา ร่างบางเดินไปตามทางที่กำหนดเพื่อขึ้นไปบนเวทีนายทหารหลายนายมองไปที่ร่างบางอย่างชื่นชม ถึงแม้ว่าเวลาที่ผ่านมาพวกเขานั้นจะไม่ได้ชื่นชอบเธอเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยความขยันอดทนและหมั่นเพียรของเธอจนกลายเป็นที่ยอมร
บาบารัสค่อย ๆ เดินเข้าไปหา เฝ้ามองกรีนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม เขาเห็นเธอยืนอยู่ที่ริมระเบียง ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบตัวราวกับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ“สวยมากนะ” บาบารัสเอ่ยขึ้นเบา ๆ“ใช่ พระจันทร์สวยดีนะ สวยกว่าทุกวันเลย” กรีนหันมาทางเขาเล็กน้อย รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า“ข้าหมายถึงเจ้า ข้าชอบเวลาที่เจ้าอยู่คนเดียวแบบนี้ เหมือนกับว่าเจ้าเป็นคนละคนถ้าไม่ได้อยู่ท่ามกลางพวกทหารเหล่านั้นเลย” บาบารัส กล่าวออกมาจากใจจริงและสายตาที่มองหญิงสาวด้วยสายตาแพรวพราว“นายเมาหรือเปล่า อยู่ดี ๆ ก็มาชมฉัน” กรีนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาสบตาบาบารัส ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงเสียงลมที่พัดโชยและเสียงคลื่นกระทบฝั่งที่ดังมาจากระยะไกล บาบารัสรู้สึกถึงความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาจากตัวของกรีน เขาอยากจะเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เธอรู้สึกอึดอัดกรีนยกแก้วไวน์ที่ถือติดมือมาขึ้นดื่ม แสงไฟจากดวงจันทร์สะท้อนลงบนแก้วไวน์ ทำให้มันดูเหมือนกับคริสตัลที่เปล่งประกาย บาบารัสรู้สึกหลงใหลในภาพตรงหน้า เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนสวยงามและมีเสน่ห์ดึงดูดใจได้มากเท่านี้ม
แสงจากตะเกียงและเทียนที่ถูกจุดไว้หลังจากที่ทั้งคู่สุขสม เล็ดลอดผ่านม่านโปร่งบาง สะท้อนลงบนร่างกายเปลือยเปล่าสองร่างที่พันเกี่ยวกันอยู่บนเตียงนุ่ม กรีนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความรู้สึกสับสน ก่อนจะหันไปสบกับดวงตาคมกริบของบางบารัสที่กำลังจ้องมองเธออยู่บรรยากาศในห้องเงียบสงบราวกับถูกกลืนหายไปในความเงียบเชียบ เสียงของสาวใช้ที่ดังขึ้นอยู่ข้างนอกเป็นระยะ ๆ กลับยิ่งทำให้ความเงียบนั้นดูเด่นชัดขึ้น กรีนพยายามจะขยับตัวออกไป แต่ร่างกายของบาบารัสกลับรั้งเธอเอาไว้ราวกับจะไม่ยอมปล่อย“เจ้า...” เสียงทุ้มต่ำของบาบารัสดังขึ้นเบา ๆ กรีนเงียบ ไม่ตอบอะไรความเงียบยังคงปกคลุมห้องอยู่เช่นเดิม ทั้งคู่ต่างตระหนักดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ความสัมพันธ์ที่เคยราบรื่นดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในพริบตา ความรู้สึกผิด ความอึดอัด และความไม่แน่ใจผุดขึ้นมาในใจของทั้งคู่ เพราะบาบารัสเองก็ยังมีคนในใจที่ยังไม่อาจลืมเลือนได้กรีนพยายามจะหลีกเลี่ยงสายตาของบาบารัส เธอหันไปมองที่ประตู ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้า ๆ บาบารัสยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง เธอเก็บผ้าห่มแล้วเดินไปเปิดม่านหน้าต่าง สายลมเย็น ๆ พัดเข้ามาในห้อง
ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ใบหญ้าเขียวขจีไหวเอนตามลมที่พัดผ่าน เสียงนกร้องเพลงอยู่ไกล ๆ และแสงแดดที่ส่องกระทบพื้นดินให้เกิดประกายอ่อน ๆ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุขในวันหยุดที่สมบูรณ์แบบ บาบารัสและกรีนพาลูก ๆ ออกมาเที่ยวในธรรมชาติที่งดงาม และวันนี้ก็เป็นวันที่ทั้งครอบครัวได้มาพักผ่อนในทุ่งหญ้ากว้างที่มีต้นไม้ใหญ่และดอกไม้หลากสีบาบารัสยิ้มอย่างมีความสุขขณะเล่นกับลูก ๆ ของเขา ลูกสาวคนโต บริสตัน วัย 4 ขวบ กำลังวิ่งไล่จับลูกบอลที่เขากลิ้งไปมาในสนาม เธอมีท่าทางฉลาดแฉลบและคล่องแคล่ว ทำให้บาบารัสรู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวมาก ส่วนกราเซีย ลูกสาวแฝดของเธอที่มีอายุเท่ากันกำลังวิ่งตามพี่สาวไป และในขณะเดียวกันลูกชายคนเล็ก บรากัส ที่มีอายุแค่ 3 ขวบก็วิ่งไป ๆ มา ๆ ไม่หยุด เขามักจะล้มตัวลงไปบ่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาหยุดยิ้ม“เร็ว ๆ หน่อย ! บรากัส !” บาบารัสตะโกนด้วยเสียงแหบ ๆ ขณะที่เขาวิ่งตามลูกชายที่ขำ ๆ กระโดดไปชนต้นไม้ จนเสียงดัง “โครม !” บรากัสล้มลงไปกองกับพื้น“โอ๊ะ ! บรากัส !” กรีนที่นั่งอยู่ห่าง ๆ ก็รีบลุกขึ้นมามอง แต่เมื่อเห็นลูกชายหัวเราะอย่างมีความสุขและไม่เป็
ในเมือง Sunthawarm ที่เต็มไปด้วยความสวยงามและความอบอุ่น แสงแดดที่ทอแสงอ่อน ๆ ปล่อยแสงทองสว่างไสวลงมาบนพื้นดินอันเขียวขจี ใบไม้ไหวเอนในลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านมา ทุกสิ่งดูเหมือนจะเปล่งประกายขึ้นด้วยความสุขและความมหัศจรรย์ การแต่งงานระหว่างบาบารัส มีเสน่ห์และความกล้าหาญกับกรีนผู้มีความใจดีและแข็งแกร่ง ทั้งสองเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบ และวันนี้พวกเขาจะได้ประกาศความรักและผูกพันไปตลอดกาลในพิธีแต่งงานที่แสนพิเศษครั้งนี้เมือง Sunthawarm เป็นสถานที่ที่ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นเมืองที่มีพลังมหัศจรรย์อันล้ำค่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า แสงแดดที่สัมผัสกับท้องฟ้าจะเปล่งประกายราวกับมีการเวทมนตร์แฝงอยู่ในนั้น พิธีการทั้งหมดจัดขึ้นในลานกว้างกลางเมือง ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านสาขากว้างขวาง ดอกไม้สีทองอร่ามกระจายทั่วทุกมุม ลมอ่อน ๆ พัดผ่านลอยกลิ่นหอมจากดอกไม้หลากหลายชนิด ขนาบข้างไปกับเสียงร้องของนกที่บินอยู่เหนือท้องฟ้าและเสียงของแม่น้ำใสสะอาดที่ไหลผ่านตามธรรมชาติทุก ๆ คนที่มาร่วมงานในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียง สัตว์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในป่า แพะมังกรปีกสีน้ำเงิน หรือม
ในหลายวันถัดมา ภายในห้องนอนของบาบารัสที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบและอบอุ่น ทั้งสองคนกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งหลังจากเวลานานที่ห่างหายไป ความรู้สึกหลากหลายที่เคยปะปนกันในใจของบาบารัส ตอนนี้ได้ถูกละลายไปแล้วด้วยอ้อมกอดและสายตาของกรีนที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย ที่แม้กระทั่งบาบารัสยังไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าความอบอุ่นแบบนี้จะเข้ามาทำให้เขารู้สึกอ่อนลงจนแทบจะไม่สามารถต้านทานได้เขาค่อย ๆ ทอดตัวลงบนเตียงที่ถูกจัดวางอย่างสวยงามด้วยผ้าห่มหนานุ่ม มีแสงจันทร์ที่ทอดส่งลงมาอ่อน ๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ห้องนอนดูสงบและน่าหลงใหลยิ่งขึ้น ทุกครั้งที่บาบารัสหันไปมองกรีน ความรู้สึกที่ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความรักจะกลับมาโหมกระหน่ำในหัวใจของเขา กรีนยังคงความงามที่ทำให้หัวใจของเขากระตุกทุกครั้งที่เห็น เธอมีดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนดวงดาวในยามค่ำคืน ผมยาวสีดำที่สยายไปบนหมอนกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเธอปลุกความรู้สึกอบอุ่นในตัวเขาให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งหลายครั้งที่บาบารัสนั่งอยู่ข้าง ๆ กรีน ขณะที่เธอกำลังอ่านหนังสือหรือนั่งทำอะไรบางอย่าง บาบารัสมักจะมองเธอด้วยความเงียบงัน การมองเธอในทุก ๆ การเคลื่อนไหวท
บรรยากาศในห้องสมุดใหญ่ของปราสาทหลากหลายสีสันยังคงเงียบสงัดเหมือนเคย สองมือของบาบารัสจับแน่นกับตำรามหาวิทยาลัยเก่าแก่เล่มหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่ยอมละสายตาจากหน้าเรียบ ๆ ของมัน แม้จะเป็นตำราที่เต็มไปด้วยตัวอักษรที่ทับซ้อนจนยากจะเข้าใจ ความมุ่งมั่นและความหลงใหลในเป้าหมายของเขายังคงท่วมท้น มันไม่ใช่แค่การค้นหาความรู้ทางเวทมนตร์ แต่เป็นการค้นหาทางสู่คนที่เขารัก และเขาคิดว่าไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เขาก็จะทำเพื่อเธอให้ได้ตั้งแต่วันนั้นที่เขาได้รู้ว่าเธอได้จากไปที่โลกมนุษย์ เขาแทบจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เขาหมกมุ่นกับการฝึกฝนเวทมนตร์ที่เขาเชื่อว่าจะพาเขากลับไปหากรีนได้ ไม่ว่าโลกนี้จะให้ราคาต่ำกับความพยายามของเขามากแค่ไหน เขาก็จะไม่ยอมแพ้ เพราะเขาเชื่อมั่นว่ามีบางอย่างในเวทมนตร์ที่จะทำให้เขาได้กลับไปหาคนที่เขารักหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลย แม้กระทั่งในยามค่ำคืนที่ปราสาทเงียบสงัด เขาก็ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ยกแก้วสุราเข้าปากเพื่อทำให้ความมึนเมาสามารถกลบเสียงในหัวที่กระซิบถึงชื่อของเธอได้บ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ ความคิดถึงของกรีนยังคงกัดกร่อนในจิตใจของเขาอยู่เสมอ
“ก็ตามที่ข้าคุยกับเจ้าไว้ว่าเจ้าต้องกลับบ้านแบบที่ไม่ได้กลับจริง ๆ ข้าจะพาเจ้าไปอยู่ที่หนึ่งก่อน เหมือนเจ้าได้หายตัวไปจากพวกเราจริง ๆ” รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเมื่อได้เวลาเล่นสนุกกับบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น“จะพาฉันไปไหน” กรีนมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความกลัวเพราะถึงเธอจะดูน่ารักแต่ก็เจ้าแผนการณ์ไม่ใช่น้อย“เชื่อใจข้าเถอะแค่ไปอยู่ที่นั่นเดี๋ยวเดียวก็กลับ” มิสไวท์ลุกขึ้นพร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินออกจากห้องหมากรุกและสั่งเหล่าทหารให้พากันเตรียมตัวออกเดินทางส่งนางเอกกลับโลกมนุษย์โดยที่ยังไม่บอกบาบารัสทุกอย่างเตรียมการณ์อย่างรวดเร็วและทุกอย่างถูกปกปิดไว้ไม่ให้ผู้ปกครองเมืองอย่างบาบารัสให้ได้รู้เพราะตอนนี้มิสไวท์ได้ให้ทหารคอยจับตาดูบาบารัสไว้ เมื่อถึงเวลาที่ได้กำหนดกันไว้ค่อยปล่อยข่าวไปถึงหูสหายของตน“เจ้าพร้อมแล้วใช่ไหม ถ้าพร้อมแล้วก็ขึ้นรถม้าคันนั้นไปได้เลย” มิสไวท์เอ่ยพร้อมพาตัวหญิงสาวมายังรถม้าที่จะออกเดินทาง และมันไม่ได้ไปไกลจากที่นี่มากนักคิดเสียว่าให้หญิงสาวได้ออกมาพักผ่อนจิตใจ“อื้ม...ข้าฝากด้วยนะ” กรีนเดินขึ้นรถม้าที่ไม่เป็นที่สะดุดตาพร้อมเดินทางออกจากคฤหาสน์ไปทางด้านหลังโดยมีทห
กรีนตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ร่างเปลือยเปล่าขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะสัมผัสได้ถึงแขนแกร่งที่ยังคงโอบรัดเธอไว้ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เธอไม่น่าให้มันเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ หากใจอ่อนแผนที่ได้วางไว้คงได้พังลงแน่ ๆ ความเหนียวหนึบตามตัวทำให้เธอนั้นขยับตัวได้อย่างยากลำบาก ก่อนจะคว้าผ้ามาคลุมตัวไว้เพื่อไปชำระร่างกาย เสียงน้ำที่ตกกระทบทำให้อสรพิษหนุ่มตื่นขึ้น ใบหน้าคมหันมองคนข้างกายแต่กลับไม่พบกายหนาย่างกายไปตามเสียงของน้ำด้วยสภาพเปลือยเปล่า เขามองเห็นกรีนที่กำลังอาบน้ำอยู่ หากแบบนี้อาจจะเรียกว่าถ้ำมองหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ แต่เขาไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือคนรักของเธอคงไม่เป็นอะไร“เจ้า…” บาบารัสเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล“นาย !!” กรีนร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบคว้าผ้ามาห่อตัวเอาไว้“เจ้าจะอายอะไรข้าอีก เห็นกันมานักต่อนักแล้ว” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นแขนแกร่งไปสัมผัสที่หญิงสาวเสียงของชายหนุ่มดูหยอกล้อเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าทางกลัวเขาเห็นของรัก ในเมื่อเห็นมากันทุกซอกทุกมุมแล้วจะไปกลัวอะไร แปลกคนยิ่งนัก “ออกไป...” กรีนเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบเช่นกัน พร้อมกับเห็นสีหน้าที่ทำเขานิ่งอึ้งไป“ไม่...ข้าไม่ไป” อสรพิษหนุ
ร่างกำยำกอดรัดเอวบางแนบชิดตัว สายตาดุดันที่ยากจะกักเก็บความรู้สึกเอาไว้ สิ่งที่เขาได้ยินสิ่งที่เขาได้เห็นว่าพวกบ้านั่นมันพูดถึงคนที่ตนรักว่าอย่างไร เพียงนึกถึงตอนที่อยู่ในบาร์นั่นเขาก็แบบอยากจะลุกอัดหน้าพวกนั้นให้แหลกคามือ เขามองจ้องไปยังร่างบางอยู่ภายใต้การควบคุมของตนในตอนนี้ เธอมองเขาด้วยสายตาสั่นระริก “ข้าไม่ชอบ...”เสียงหายใจหอบที่ปนไปด้วยความรู้สึกที่อัดอั้น เขาพยายามอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองแต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้มันไม่สามารถควบคุมได้อีกแล้ว สายตาไล่มองไปตามเรือนร่างอรชร เสื้อผ้าที่สวมใส่มันดูบางเบาถึงแม้ด้านในจะเป็นผ้าหนาทึบแสงก็ตาม สันจมูกคมดอมดไปตามกรอบหน้าสวยไล่คลอเคลียคอระหงอย่างช้า ๆ จนได้ยินเสียงหัวใจของหญิงสาวที่กำลังเต้นโครมครามเหมือนกลองรัว “อ๊ะ…บาบารัสอย่านะ” กรีนร้องออกมาพร้อมกับหดคอหนีด้วยความรวดเร็ว“อย่าขัดใจข้า” บาบารัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เอาแต่ใจที่สุด…คนใจร้าย” กรีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจพร้อมกับดันอกแกร่งที่ยังคงอยู่เหนือร่างของเธอ“ใจร้ายเหรอ เจ้านั่นแหละที่ใจร้ายกับข้า” “ฉันเนี่ยนะ...”กรีนเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ บาบารัสยังคงไม่รู้ความผิดของตัวเอง ทั้
หญิงสาวร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเธอได้ยินเสียงใครบางคนเข้ามาในห้องของเธอ ร่างบางจึงหันกลับไปมองแต่ไม่คิดว่าคนที่เข้ามานั้นจะเป็นบาบารัสที่เข้ามาประชิดตัวเธออย่างรวดเร็วจนเธอนั้นตั้งตัวไม่ทัน จนเกือบเซล้มลงไป“ตกใจอะไรขนาดนั้น” อสรพิษหนุ่มมองเข้าไปในดวงตาจองเธอที่ดูสั่นไหวกลิ่นเครื่องหอมที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งตัวหญิงสาว ทำให้บาบารัสถึงกับขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง แขนแกร่งคว้าตัวเธอเข้ามาแนบชิดกายหนาของตนเอง พร้อมกับสูดดมความหอมจากตัวเธอ ยิ่งดมแล้วยิ่งหงุดหงิด ริมฝีปากหนาซุกไซ้ไปตามคอระหงก่อนจะขบกัดจนเป็นรอยแดงเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงร่างเล็กที่กำลังสั่นเทาด้วยความกลัว“เจ้าเป็นอะไร” บาบารัสเอ่ยเมื่อถอนริมฝีปากของตนเองออกจากคอของเธอ“นายทำอะไร...ทำแบบนี้ทำไม” กรีนฉวยโอกาสถดตัวหนีเพื่อรักษาระยะห่างจากชายหนุ่ม“ชุดนี่มันอะไร แล้วกลิ่นเครื่องหอมนี่อีก จะออกไปไหนกัน” ชายหนุ่มถามเสียงเข้มและไม่ได้ตอบคำถามของเธอ ตอนนี้เขารู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก ไม่อยากให้เธอออกไปไหนในเวลาแบบนี้ แถมชุดที่เธอใส่นั้นมันดูเย้ายวนสายตาชายอื่นเป็นอย่างมาก หากเป็นเขาเองก็แทบไม่อยากละส
เมื่อกรีนทำตามแผนของมิสไวท์ใจของเธอก็ได้แต่ภาวนาให้เขานั้นสนใจเธอบ้าง แต่เขากลับเดินหนีออกไปโดยไม่พูดอะไร จากสีหน้าของเขาเหมือนจะโกรธและไม่พอใจเป็นอย่างมาก มือของเขาที่กำแน่นเธออยากจะเข้าไปจับมือของเขาเพื่อปลอบโยน แต่ก็ได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ก่อน “เจ้าได้บอกกับบาบารัสไปแล้วใช่หรือไม่” มิสไวท์เดินเข้ามาถามเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินออกไป“ฉันบอกเขาไปแล้ว…เขาดู…” กรีนพูดด้วยเสียงแผ่วเบา“ตอนนี้เจ้าไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้วหลังจากนี้ทำตามที่ข้าบอกก็พอ” หญิงสาวมองกรีนด้วยสายตามุ่งมั่นในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ การเดินทางกลับของกรีนจะเกิดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า และได้ถูกบอกต่อกันไปทั่วคฤหาสน์ บรรดาสาวใช้ต่างพากันเศร้าสร้อย เพราะไม่ได้อยากให้หญิงสาวนั้นกลับไป เพราะเธอทั้งใจดี และเป็นกันเองต่างจากคนที่อยู่ที่นี่ เมื่อเวลาผ่านไปอีกวัน นัยน์ตาสีสวยมองตนเองที่อยู่ในกระจก ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มเติมสี ตอนนี้มันถูกตกแต่งอย่างสวยงามราวกับรูปวาด ริมฝีปากเรียวคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยกับสิ่งที่ตัวเองได้เห็น ฝ่ามือสวยสัมผัสไปที่ใบหน้าของตนเองอย่างช้าเพื่อชื่นชมความแปลกตาในวันนี้ “เจ้าสวยมากเลยนะกรีน ทำไม