กรีนรู้สึกเหมือนร่างกายของเธอนั้นถูกบีบอัดจากใต้ผืนน้ำ ขณะที่ร่างกายของเธอถูกดูดลงไปในน้ำวนอย่างรวดเร็ว เธอพยายามจะดิ้นรนและขัดขืน แต่แรงน้ำอันมหาศาลกลับดูดกลืนร่างกายของเธอลงไปอย่างไม่ปราณี
แสงอาทิตย์ที่เคยส่องกระทบผิวน้ำค่อย ๆ เลือนลางหายไปจนหมดสิ้น ความมืดมิดตามแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกแห่ง เหมือนราวกับว่าเธอถูกขังอยู่ในโลกที่ไม่มีแสงสว่าง มันเงียบสงบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ อาศัยอยู่เลย
แรงดันน้ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ปอดของเธอเริ่มจะขาดอากาศหายใจ หัวใจเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ภาพของครอบครัว เพื่อนฝูง ผุดขึ้นมาในความคิด เธออยากจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้โอกาสนั้นจะเลือนลางไปทุกที
ในขณะที่กำลังจะหมดสติ กรีนเห็นภาพของธงสีแดงผืนเดิมอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มันกลับไม่ใช่สีแดงแต่เป็นสีดำมืดทั้งยังดูน่ากลัวมากกว่าเดิม
เมื่อร่างของกรีนจมลงลึกขึ้นเรื่อย ๆ ความเงียบสงบภายใต้ผืนน้ำกลับดูน่ากลัว ความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่รอบตัวกรีนนั้นดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด มันเหมือนกับหลุมดำที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งที่เข้ามาใกล้
กรีนพยายามจะขยับร่างกายเพื่อหนีจากความมืดมิด แต่ก็ทำได้เพียงแค่ดิ้นรนอย่างไร้ผล ร่างกายของเธอเริ่มจะอ่อนล้าและหมดแรงลง ทุกที
ในความมืดมิดนี้ กรีนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกกลืนหายไป กลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบแห่งนี้ ร่างกายที่กำลังจมดิ่งภาพบางอย่างปรากฏฉายขึ้นมาในความคิดเป็นเมืองที่มีเพียงแสงไฟของคบเพลิงตั้งเรียงรายอยู่ตามทาง กรีนเห็นตัวเองกำลังเดินเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง ปกคลุมไปด้วยความมืดที่มีเพียงแสงรำไรของแสงจันทร์ รายล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ความเยือกเย็นที่สัมผัสกับผิวกาย แสงของหิ่งห้อยแข่งกันส่องแสงระยิบระยับเพื่อเชื้อเชิญผู้มาเยือน กลิ่นความดิบชื้นของผิวดินสัมผัสกับจมูกของเธอทำให้รู้สึกเหมือนจริงแม้เธอนั้นกำลังจมดิ่งอยู่ท่ามกลางทะเลสาบก็ตาม…
เธอนั้นเพียงคิดว่าชีวิตของเธอที่ผ่านมาอาจจะถูกใช้จนคุ้มแล้ว และในเมื่อชีวิตของเธอนั้นกำลังจะสูญสิ้นเธอก็พร้อมจะปล่อยทุกอย่างไป แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกกลัวและเสียใจที่ต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกลากับใครเลย
ร่างของกรีนลอยเคว้งอยู่ในน้ำ เส้นผมของเธอขยับไปตามกระแสน้ำ ใบหน้าของเธอซีดเซียวและไร้ชีวิตชีวา ดวงตาคู่สวยปิดลงอย่างสงบราวกับกำลังหลับใหล
เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่เริ่มจะขาดรุ่งริ่งและเปียกชุ่ม ในขณะที่ร่างของกรีนค่อย ๆ จมลงสู่ก้นทะเลสาบ เธอก็ได้แต่หวังว่าจะมีใครสักคนมาพบร่างของเธอ
ร่างกายที่ดำดิ่งยังไม่ทันลงไปถึงก้นทะเลสาบ แต่กลับมีพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นดึงให้เธอลอยกลับขึ้นมาเหนือผิวน้ำอีกครั้ง ใบหน้าสวยสัมผัสกับอากาศเมื่อโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำจึงทำให้เธอพยายามกอบโกยอากาศเข้าไปในปอดอย่างโหยหา ร่างกายที่เคยชาวาบจากความหนาวเย็นของใต้น้ำพยายามตะเกียกตะกายหาทางกลับขึ้นฝั่ง
ร่างบางสำลักน้ำที่เข้าไปภายในร่างกายสลับกับพยายามกอบโกยอากาศเข้าสู่ปอด ดวงตาสวยดูวิตกกังวล ในขณะที่พยายามหาทางขึ้นฝั่ง เธอมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบทางตรงหน้าที่สามารถขึ้นไปได้ แต่เพราะร่างกายที่อ่อนล้าทำให้เธอนั้นเคลื่อนตัวได้ช้า เสียงหายใจหอบของเธอบ่งบอกถึงความอ่อนล้าที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ร่างบางค่อย ๆ ตะเกียกตะกายคลานขึ้นฝั่งอย่างอ่อนแรง พร้อมนอนพาดลงไปกับขอบบางอย่างที่เป็นโคลนเปียกแฉะและมีเถาวัลย์อยู่เต็มไปหมด
เมื่อหลับตาลงให้กับความเหนื่อยล้า เธอกลับลืมไปแล้วว่าที่แห่งนี้มันไม่ใช่สถานที่ที่ตนเองนั้นรู้จักหรือคุ้นเคย เมื่อร่างกายเข้าสู่สภาวะปกติ ดวงตาสีน้ำตาลทองกระพริบถี่เพื่อรับแสงอีกครั้ง แต่เมื่อมองไปทางไหนเธอก็ไม่พบแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา มีเพียงแสงที่คล้ายกับแสงจันทร์ทำหน้าที่นำทาง
หมอกหนาปกคลุมไปทั่วบริเวณ และความหนาวเย็นที่สัมผัสกับร่างกาย ทำให้เธอถึงกับขนลุกไปทั้งตัว เสื้อผ้าของเธอที่สวมใส่ฮู้ดผ้าร่มและกางเกงยีนส์ที่ขาดไปบางส่วนจากน้ำวน ไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกอุ่นขึ้นแม้แต่น้อย และด้วยความกลัวก็ยิ่งทำให้เธอหนาวสั่นเหมือนคนจับไข้
ความหนาวเย็นและความมืดเป็นสิ่งที่เธอเกลียดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด มันยิ่งดึงดูดความรู้สึกหวาดกลัวของเธอออกมา ทำให้เธออ่อนแอ และยิ่งมองไปไกลเท่าไหร่หนทางก็ยังคงไร้แสงสว่าง ร่างบางขยับเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงความเฉอะแฉะ พร้อมกับสำรวจร่างกายของตัวเอง ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใดทำให้เธอสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ร่างเล็กมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง พื้นที่แห่งนี้เป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีหลุมอยู่ทั่วทุกบริเวณและเธอก็กำลังนั่งอยู่บนขอบของปากหลุมที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำและเถาวัลย์
“นี่ฉันอยู่ที่ไหน…” กรีนพึมพำกับตัวเองด้วยความงุนงง
บรรยายกาศอึมครึมและความเงียบสงัดทำให้เสียงหยดน้ำที่ตกกระทบผืนน้ำดังก้องเพิ่มความน่ากลัวอย่างชัดเจน เมื่อพยายามกลับมาตั้งสติอีกครั้ง และสังเกตรอบกายที่ไร้ผู้คน แต่กลับได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่รอบตัว
“นะ…นั่น…สะ...เสียงอะไร…”
ร่างกายที่อ่อนแรงพยายามลุกขึ้นเพื่อเดินเข้าไปหาเสียงนั้นด้วยความสงสัย จากพื้นน้ำกลายเป็นพื้นโคลนยิ่งยากต่อการเดินเข้าไปหาเป้าหมายแต่กลับไม่พบอะไรเลย กรีนทำได้เพียงเงี่ยหูฟังไปตามจุดต่าง ๆ และเดินไปทางที่ได้ยินเสียงตกกระทบของกิ่งไม้อีกครั้ง มันดังวนอยู่รอบตัวเธอเหมือนกำลังหลบหนีจากการถูกค้นพบ
เสียงดังกรอบแกรบของกิ่งไม้ยังคงดังอยู่เรื่อย ๆ สร้างความหงุดหงิดให้กับร่างบางได้ไม่น้อย เพราะไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหนมันกลับย้ายไปส่งเสียงอีกทางด้านหนึ่งของเธอเสมอ ก่อนที่เสียงนั้นจะเงียบไปอย่างไม่มีสาเหตุ
เธอเดินเข้าไปยังทางที่เป็นทางราบเรียบคล้ายทางเดิน สายตาก้มมองพื้นที่เปียกชุ่มและเฉอะแฉะตลอดเวลา เพราะความสว่างนั้นไม่อาจจะส่องถึงทำให้ต้องเพ่งสายตาในการเดินไปข้างหน้ามากกว่าปกติ เสียงนั้นกลับมาอีกครั้งทำให้ร่างบางถึงกับชะงักไป เพราะมันได้ยินชัดกว่าทุกครั้ง
มีเสียงบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เธอ ความเย็นที่สัมผัสกับร่างกายอีกครั้ง ทำให้เธอนั้นถึงกับเสียวสันหลังวาบ เพราะทางที่เดินมาเหมือนเป็นทางตัน และมีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่ตรงบริเวณนั้น ในใจเธอคิดเพียงว่ามันอาจจะสูงใหญ่จนเป็นเงาดำน่ากลัว ตาเรียวสวยค่อย ๆ เงยขึ้นเพื่อมองสิ่งตรงหน้า แต่ต้นไม้ต้นนี้กลับมีพื้นผิวที่แตกต่างไปมันดูคล้ายกับเกล็ดของอะไรบางอย่าง
เสียงหัวใจที่เต้นระรัวจนสัมผัสได้ ด้วยความคิดไปต่าง ๆ นานา และความแปลกของสิ่งตรงหน้านั้นอาจจะไม่ใช่ในสิ่งที่คิด แต่เมื่อยิ่งไล่สายตามองมันเท่าไหร่ มันกลับยิ่งมองชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ความเลื่อมมันของเกล็ดที่ดำสนิท และแสงสีทองที่ปลายเกล็ดสะท้อนกับแสงจันทร์ สิ่งที่เห็นยิ่งเด่นชัดในความคิดของเธอว่านี่ไม่น่าจะใช่ต้นไม้อีกต่อไป
กรีนเงยใบหน้าขึ้นมองจนสบสายตาเข้ากับดวงตาเรียวคมสีเหลืองทองเป็นประกายที่เด่นชัดออกมาจากความมืด รูปร่างของมันแผ่รังสีของความน่ากลัวออกมา ดูมีอำนาจและความดุดัน บ่งบอกถึงความดุร้ายและน่ากลัว และนั่นคือ อสรพิษ…
เสียงหายใจหอบระรัวของกรีนเพิ่มขึ้นจากความตื่นกลัว ร่างอัน น่ากลัวเริ่มขยายรังสีแห่งความร้าย ขาเรียวค่อย ๆ ถอยก้าวออกมาอย่าง ช้า ๆ เพราะตระหนักได้ถึงสิ่งที่อันตรายต่อชีวิตของเธอ
ร่างสูงใหญ่มองหญิงสาวโดยไม่ละสายตาดวงตาจับจ้องทุกความเคลื่อนไหวกับสิ่งแปลกตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่กลับมีความรู้สึกบางอย่างปรากฏขึ้นมาในความคิด เขารู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้าเรียวสวยนี้ การสวมใส่เสื้อผ้าและหน้าตาของเธอที่ผิดแปลกไปจากคนในพื้นที่ หยดน้ำที่เกาะตามเรือนร่างทำให้ผิวพรรณของเธอดูเปล่งประกายเนียนสวยตัดกับผิวขาวใสที่กำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
สายตาสั่นระริกพร้อมหยาดน้ำตาที่เริ่มเอ่อล้นออกมา มันเต็มไปด้วยความคับแน่นในอกจนเริ่มหายใจไม่ออก ร่างบางที่หอบหนักขึ้น ด้วยความกลัวที่เกาะกินหัวใจจนแขนขาอ่อนแรงเซล้มลงไปกับพื้น สายตาที่สอดประสานกับร่างสูงใหญ่ทำให้หัวใจของกรีนเต้นรัวก่อนที่สติจะดับวูบไป
เสียงอาชาและเหล่าทหารเคลื่อนตัวไปยังป่าแห่งกาลเวลาทางตอนเหนือของเมืองซิลเวอร์วิลล์ เพื่อสำรวจพื้นที่ตามตารางเวลาการลาดตระเวน แสงแดดที่ไม่เคยเข้าถึงทำให้ทุกคนต่างต้องถือคบเพลิงในการเดินทาง บรรยายกาศที่หนาวเหน็บไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ เพราะภายในร่างกายของพวกเขานั้นเยือกเย็นยิ่งกว่าอากาศด้านนอกเสียอีกทหารร่างกำยำเดินเข้ามาหาผู้นำของเมือง ดวงตาสีเหลืองทองดุดัน น่ากลัว กำลังรอการรายงานผลการตรวจตราพื้นที่ด้วยท่าทีนิ่งขรึม องครักษ์ที่อยู่ขนาบข้างผู้นำเปิดทางให้กับทหารผู้นั้นพร้อมกับโค้งคำนับ ผู้เป็นนาย“รายงานท่านบาบารัส ตอนนี้ทางตอนเหนือทุกอย่างปกติไม่มีสิ่งใดบุกรุกครับท่าน”“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี” เสียงเคร่งขรึมที่อยู่บนหลังม้าสีดำที่เด่นสง่าเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปที่ทหารใต้บังคับบัญชาของตนเอง“แน่ใจ…ครับ ข้าน้อยว่าไม่น่าพลาดอะไร” เสียงตะกุกตะกักเอ่ยขึ้นด้วยความลังเลใจในคำถามของผู้เป็นนาย“และสิ่งที่ข้าให้เจ้าไปหา เจอร่องรอยอะไรหรือไม่” เสียงดุดันเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนจะมองจ้องคนที่ยังก้มมองพื้นโดยไม่สบตากับตน“มะ…ไม่เจอขอรับ” เสียงเข้มเริ่มสั่นกลัวเพราะผู้เป็นายเริ่มก
เสียงใบไม้ที่เสียดสีจากการเคลื่อนตัวของร่างยักษ์ ทำให้สัตว์ในบริเวณนั้นรู้ได้ทันทีว่าท่านผู้นำกำลังมาเยือน สัตว์ทั้งหลายพากันหลบอย่างรวดเร็ว ภายในความมืดกับเรือนร่างยักษ์สีดำขลับที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติทำให้ยากต่อการมองเห็น เมื่อใกล้ถึงที่หมายจึงลดความเร็วลงจนกลายเป็นเงียบสงัดเมื่อพบสิ่งที่เป็นต้นตอของเสียงที่ได้ยิน หยุดและเฝ้าดู อย่าให้ศัตรูรู้ตัว ร่างยักษ์ส่งสัญญาณภายในจิตให้กับเหล่าทหารที่อยู่บริเวณโดยรอบบ่อน้ำแห่งกาลเวลานี้เพื่อเฝ้าดูสิ่งตรงหน้าร่างของหญิงสาวที่กำลังผุดขึ้นมาจากน้ำอย่างทุลักทุเลอยู่ในสายตาของร่างยักษ์ เธอนั้นดูอ่อนแรงและไม่เหมือนกับศัตรู แต่ก็ไม่สามารถชะล่าใจไปได้เพราะศัตรูนั้นสามารถมาได้ในทุกรูปแบบ เสียงหายใจหอบของเธอดังเข้ามาในโสตประสาทของเขาอย่างชัดเจน สายตาคมยังคงจ้องมองไปที่ร่างบางอย่างไม่ละสายตาเหล่าทหารที่อยู่บริเวณโดยรอบไม่กล้าขยับไปไหน ตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย และทำได้เพียงเฝ้าดูร่างของหญิงสาวที่กำลังขึ้นมาจากผืนน้ำเบื้องหน้าด้วยความยากลำบาก เสียงกิ่งไม้ขยับจากการเคลื่อนตัวของทหารนายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากหญิงสาว ทำให้ผู้เป็นนายถึงกับส่งสายตาดุดันไปให
เสียงฮือฮาเกิดขึ้นภายในคฤหาสน์ เพราะการกระทำของผู้เป็นนายนั้นสร้างความตกใจให้กับผู้คนในที่แห่งนี้ร่างกำยำกำลังเดินขึ้นไปยังชั้นสองและพาหญิงสาวแปลกหน้าไปยังห้องรับรองตลอดทางเดินสาวใช้ก็มองด้วยความตกตะลึงบางคนก็ถึงกับเอามือทาบอก หรือบางคนก็เอามือป้องปาก“นะ…นายท่าน” สาวใช้อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบากับภาพตรงหน้าร่างกำยำมองไปที่สาวใช้ก่อนที่พวกเธอจะหลบสายตาคมดุของเขาภายในห้องรับรองมีเตียงกว้างอยู่กลางห้อง และดูมืดมิด มีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่ส่องเข้ามาเพียงเล็กน้อยกรีนถูกร่างหนาวางลงอย่างนุ่มนวลใบหน้าของเธอยังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโคลนและเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตลอดการเดินทางจนถึงตอนนี้ ร่างของเธอนั้นสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บเพราะอุณหภูมิในร่างกายของใครบางคนนั้นไม่ได้อบอุ่นแม้แต่น้อย“จัดการพานางอาบน้ำให้เรียบร้อย อีกครึ่งชั่วโมงข้าจะกลับมา” บาบารัสเดินออกจาห้องรับรองไปพร้อมกับหยิบเสื้อคลุมตัวโปรดมาสวมใส่ร่างหนาเดินออกมาจากห้องรับรองและเดินลงไปยังชั้นสอง เพื่อไปเอาของบางอย่างที่ห้องทำงานหลังจะทำงานเสร็จ ร่างหนาเปิดประตูเข้าไปหยิบดาบคู่ใจที่ติดอยู่บนกำแพงออกมาเพื่อออกไปที่ลานประล
“นายท่าน...ข้าน้อย...ทำอะไรไม่คิด...ให้อภัย…อ้ากกกกก !!!”เสียงร้องครวญครางดังลั่นท่ามกลางสายตาหลายคู่ปลายดาบแทงลงที่ขาแกร่งของผู้น้อย มันลึกลงจนทะลุเนื้อหนัง ไม่เพียงแค่นั้นมันกลับโดนแทงซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่ปราณีจนเขาสลบไปเลือดสีแดงสดสาดกระเด็นเปรอะไปตามตัวของท่านผู้นำทหารหลายนายที่อยู่ในบริเวณนั้นทำได้เพียงยืนมองและอาลัยให้กับเพื่อนทหาร“นายท่าน...เอ่อ” วิลล์ที่เห็นว่าทหารนายนั้นได้หมดสติไปแล้วแต่ตนเองก็ยังคงกลัวเมื่อไปขัดผู้เป็นนาย“เอาเสื้อมาให้ข้า” ร่างสูงรับเสื้อมาเช็ดคมดาบที่เปื้อนเลือดด้วย สีหน้าเรียบเฉยและนัยน์ตาที่กลับมาปกติดังเดิมมือหนาปาเสื้อไปที่ร่างของผู้น้อยที่นอนแน่นิ่งพร้อมกับเดินออกมาจากลานประลองบาบารัสไม่ชอบการถูกหักหลังการลอบกัดมันทำให้เขาหงุดหงิดและโมโห เขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เมื่อใดที่เขานั้นควบคุมตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างภายในตัวก็ปะทุเหมือนลาวาไอร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายบ่งบอกถึงความเดือดดาลในใจเพราะอดีตที่ปวดร้าวมันทำให้เขานั้นต้องเป็นคนที่ดุร้ายและน่ากลัว“ท่านครับ...” วิลล์เดินตามร่างสูงเข้ามาในคฤหาสน์เสื้อคลุมตัวเก่งที่ถืออยู่ในมือถูกส่งให้กับผู้เป
ดวงตาเรียวสวยสีน้ำตาลทองกระพริบถี่เพื่อปรับสายตาพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ตัวภายในห้องที่มีเพียงแสงคล้ายแสงของจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้อง กับตะเกียงสีเหลืองนวลที่ถูกจุดทิ้งไว้เพื่อให้ความสว่างร่างบางค่อย ๆ ขยับตัวอย่างช้า ๆ เพียงปลายเท้าแต่พื้นก็สัมผัสได้ถึงความเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วฝ่าเท้า“ที่นี่ที่ไหนกัน…” กรีนลุกขึ้นยืนพร้อมกับอาการเซเล็กน้อยเพื่อปรับสมดุลร่างกายสายตาสอดส่องไปทั่วห้องพร้อมกับหยิบตะเกียงบนหัวเตียงเพื่อเดินสำรวจภายในห้องทุกอย่างถูกตกแต่งไปด้วยผ้ากำมะหยี่สีเขียวและดำสลับกันไม่ว่าจะเป็นมุ้งของเตียงที่เป็นผ้าแก้วสีดำประกายเมื่อสะท้อนกับแสงแสงของหิ่งห้อยที่อยู่เหนือหัวกำลังแข่งกันส่องแสงเพื่อวดความสวยงาม แต่ในใจของหยิงสาวในตอนนี้ถึงมันจะดูน่าภิรมย์แต่ก็ยังมีความกลัวเข้ามาครอบงำอยู่ดี ขาเรียวเดินไปยังกระจกบานใหญ่ปลายเตียงพบกับร่างตัวเองที่สวมใส่เสื้อผ้าแปลกไป มันในคล้ายกับชุดในหนังแถบยุโรปที่เคยดู ชุดเดรสสีขาวคล้ายชุดนอนทำให้เธอนั้นไม่ค่อยมั่นใจแต่แล้วเธอกลับได้ยินเสียงบางอย่างที่นอกประตู เธอหันไปด้วยความรวดเร็วและเดินไปเปิดประตูก็พบกับทหารร่างกำยำสองคนหันมามองเธอ และชายหนุ่มที่แ
“สอบสวนเธอ” ร่างสูงชี้ไปที่หญิงสาวก่อนจะนั่งไขว่ห้างเพื่อรอการเริ่มสอบสวนเบลอนเดอร์เดินเข้าไปที่ร่างบางก่อนจะเริ่มการสอบสวนในทันที ในเมืองของเขาถือสมุดกับปากกาขนนกเพื่อบันทึกการสอบสวน“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” เบลนเดอร์มองไปร่างบางด้วยสายตาราบเรียบและใช้โทนเสียงทุ้มต่ำ“….” กรีนไม่ได้ตอบอะไรออกไปก่อนจนรู้สึกถึงบางอย่างที่เข้ามากระทบที่ตัว มันคือโคลนที่ผสมน้ำคราบสีดำดูน่าขยะแขยงทำให้กรีนนั้นถึงกับตกใจ“ให้ความร่วมมือกับพวกเราก่อนที่หลังจากนี้มันจะไม่ใช่โคลน” เบลนเดอร์เอ่ยอีกครั้งด้วยแล้วมองไปที่ตาสวยของร่างบางตรงหน้า“น้ำ...มากับน้ำ” กรีนเงยหน้ามองทหารที่กำลังถามคำถามเพื่อสอบสวน เขาเหมือนคนที่ไม่ได้ดูร้ายอะไรแต่ดวงตาของเขามันกลับดูเยือกเย็น“ทำไมเจ้าถึงขึ้นมาจากน้ำ” เบลนเดอร์ค่อย ๆ ถามอย่างช้า ๆ พร้อมสังเกตดวงตาสีน้ำตาลทองเพื่อดูความผิดปกติ“ฉันจมน้ำ…ฉันกลัว” กรีนตอบด้วยเสียงแผ่วเบาและนึกถึงตอนที่ตัวเองกำลังอยู่ภายใต้น้ำวนที่มีพลังมหาศาลมันทั้งหนาวเหน็บและน่ากลัว ทั้งความมืดมิดที่ตัวเองเกลียดชังทำให้ไม่อยากนึกถึงมันอีก“ตอบให้ชัดเจนกว่านี้ !” เบลนเดอร์เดินอ้อมไปยังด้านหลังของหญิงสา
ในขณะที่ความเงียบสงบกลับมาอีกครั้ง สายตาของชายหนุ่มที่ยังคงมองร่างบางอยู่ เขาพยายามนึกแล้วนึกอีกว่าเธอนั้นมาได้อย่างไร กับความก่อกวนใจที่ยังอยู่ข้างในมันทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้น ทั้งสองเรื่องกำลังตีอยู่ในสมองของเขา พยายามหาจุดอ่อนของเธอให้เธอได้พูดความจริงออกมาแต่มองอย่างไรเขาก็หาไม่เจอ สถานที่แห่งนั้นคนที่จะเข้ามาได้ต้องมีเวทมนตร์ขั้นสูงเท่านั้นในการใช้เส้นทางนี้ และมีเพียงคนที่มีตระกูลสูงศักดิ์ถึงสามารถผ่านไปได้“เลิกมองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสักทีน่ารำคาญ” ร่างสูงเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิดเมื่อสายตาของเธอนั้นจับจ้องมาที่เขา“คิดว่าฉันอยากมองหรือไง” กรีนพูดจบกับมีปลายมีดกริชแหลมคมจ่อมาที่คอของเธอ“เจ้า !! ให้มันรู้จักที่ต่ำที่สูงบ้าง” เบลนเดอร์เดินเข้ามาพร้อมใช้มีดกริชของตัวเองจ่อไปที่คอของร่างบางเพราะเธอนั้นได้ดูหมิ่นผู้สูงศักดิ์ของเมืองนี้ สายตาเรียวสวยช้อนมองไปที่ทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ ก่อนจะหันกลับมามองชายร่างสูงที่อยู่ตรงข้ามอีกครั้ง ในสมองของเธอตอนนี้มีแต่คำถามเต็มไปหมดว่าที่นี่มันคือที่ไหน คนมากมายที่แต่งตัวประหลาดอยู่ในที่แห่งนี้ กับภาษาที่ไม่คุ้นเคย แถมยังถามเอาความจร
เสียงพูดคุยกันของทั้งสามถูกแอบฟังโดยสาวใช้และนำเรื่องนี้ไปรายงานให้กับผู้เป็นนายที่สั่งให้รายงานทุกการเคลื่อนไหวของคนในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่ว่าจะทำอะไรเกิดอะไรต้องรายงานทุกเรื่อง ใช้เวลาอยู่นานสองขาเรียวที่รีบเดินไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากคฤหาสน์ พร้อมกับเคาะประตูเพื่อเรียกผู้เป็นเจ้าของบ้าน“นายหญิงข้ามีเรื่องมารายงาน” หญิงสาวเคาะเรียกผู้เป็นนาย ก่อนจะมองรอบตัวอย่างระแวดระวังไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับปรากฏหญิงวัยกลางคน มาร์ธาร์ แบล็ค เซอร์เพนท์ ที่มีบาดแผลฉกรรจ์อยู่บนใบหน้า สายตาของเธอนั้นดูดุดันไม่แพ้กับผู้เป็นเจ้าเมืองที่มีศักดิ์เป็นหลานของเธอ แต่หากใบหน้าของเธอนั้นกลับไร้รอยยิ้มก่อนจะรีบเดินนำเข้ามาในบ้าน “ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหม ว่ามาที่นี่อย่าเอิกเกริก” ฝ่ามือเหี่ยวย่นฟาดลงไปบนใบหน้าหยาบกร้านของสาวใช้จนเธอล้มลงไป“นายหญิงข้าขอโทษ ให้อภัยข้าด้วย แต่เรื่องที่ข้าจะมารายงานวันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก” สาวใช้ขอโทษและวิงวอนให้นางอภัย ก่อนจะเริ่มบอกสิ่งที่เจ้านายควรรู้“ถ้าเรื่องที่เจ้าบอกมันไร้สาระ ข้าจะจัดการฝังเจ้าซะ” มาร์ธาร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันและทรงอำนาจ เพื่อข่ม
ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ใบหญ้าเขียวขจีไหวเอนตามลมที่พัดผ่าน เสียงนกร้องเพลงอยู่ไกล ๆ และแสงแดดที่ส่องกระทบพื้นดินให้เกิดประกายอ่อน ๆ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุขในวันหยุดที่สมบูรณ์แบบ บาบารัสและกรีนพาลูก ๆ ออกมาเที่ยวในธรรมชาติที่งดงาม และวันนี้ก็เป็นวันที่ทั้งครอบครัวได้มาพักผ่อนในทุ่งหญ้ากว้างที่มีต้นไม้ใหญ่และดอกไม้หลากสีบาบารัสยิ้มอย่างมีความสุขขณะเล่นกับลูก ๆ ของเขา ลูกสาวคนโต บริสตัน วัย 4 ขวบ กำลังวิ่งไล่จับลูกบอลที่เขากลิ้งไปมาในสนาม เธอมีท่าทางฉลาดแฉลบและคล่องแคล่ว ทำให้บาบารัสรู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวมาก ส่วนกราเซีย ลูกสาวแฝดของเธอที่มีอายุเท่ากันกำลังวิ่งตามพี่สาวไป และในขณะเดียวกันลูกชายคนเล็ก บรากัส ที่มีอายุแค่ 3 ขวบก็วิ่งไป ๆ มา ๆ ไม่หยุด เขามักจะล้มตัวลงไปบ่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาหยุดยิ้ม“เร็ว ๆ หน่อย ! บรากัส !” บาบารัสตะโกนด้วยเสียงแหบ ๆ ขณะที่เขาวิ่งตามลูกชายที่ขำ ๆ กระโดดไปชนต้นไม้ จนเสียงดัง “โครม !” บรากัสล้มลงไปกองกับพื้น“โอ๊ะ ! บรากัส !” กรีนที่นั่งอยู่ห่าง ๆ ก็รีบลุกขึ้นมามอง แต่เมื่อเห็นลูกชายหัวเราะอย่างมีความสุขและไม่เป็
ในเมือง Sunthawarm ที่เต็มไปด้วยความสวยงามและความอบอุ่น แสงแดดที่ทอแสงอ่อน ๆ ปล่อยแสงทองสว่างไสวลงมาบนพื้นดินอันเขียวขจี ใบไม้ไหวเอนในลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านมา ทุกสิ่งดูเหมือนจะเปล่งประกายขึ้นด้วยความสุขและความมหัศจรรย์ การแต่งงานระหว่างบาบารัส มีเสน่ห์และความกล้าหาญกับกรีนผู้มีความใจดีและแข็งแกร่ง ทั้งสองเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบ และวันนี้พวกเขาจะได้ประกาศความรักและผูกพันไปตลอดกาลในพิธีแต่งงานที่แสนพิเศษครั้งนี้เมือง Sunthawarm เป็นสถานที่ที่ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นเมืองที่มีพลังมหัศจรรย์อันล้ำค่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า แสงแดดที่สัมผัสกับท้องฟ้าจะเปล่งประกายราวกับมีการเวทมนตร์แฝงอยู่ในนั้น พิธีการทั้งหมดจัดขึ้นในลานกว้างกลางเมือง ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านสาขากว้างขวาง ดอกไม้สีทองอร่ามกระจายทั่วทุกมุม ลมอ่อน ๆ พัดผ่านลอยกลิ่นหอมจากดอกไม้หลากหลายชนิด ขนาบข้างไปกับเสียงร้องของนกที่บินอยู่เหนือท้องฟ้าและเสียงของแม่น้ำใสสะอาดที่ไหลผ่านตามธรรมชาติทุก ๆ คนที่มาร่วมงานในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียง สัตว์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในป่า แพะมังกรปีกสีน้ำเงิน หรือม
ในหลายวันถัดมา ภายในห้องนอนของบาบารัสที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบและอบอุ่น ทั้งสองคนกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งหลังจากเวลานานที่ห่างหายไป ความรู้สึกหลากหลายที่เคยปะปนกันในใจของบาบารัส ตอนนี้ได้ถูกละลายไปแล้วด้วยอ้อมกอดและสายตาของกรีนที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย ที่แม้กระทั่งบาบารัสยังไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าความอบอุ่นแบบนี้จะเข้ามาทำให้เขารู้สึกอ่อนลงจนแทบจะไม่สามารถต้านทานได้เขาค่อย ๆ ทอดตัวลงบนเตียงที่ถูกจัดวางอย่างสวยงามด้วยผ้าห่มหนานุ่ม มีแสงจันทร์ที่ทอดส่งลงมาอ่อน ๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ห้องนอนดูสงบและน่าหลงใหลยิ่งขึ้น ทุกครั้งที่บาบารัสหันไปมองกรีน ความรู้สึกที่ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความรักจะกลับมาโหมกระหน่ำในหัวใจของเขา กรีนยังคงความงามที่ทำให้หัวใจของเขากระตุกทุกครั้งที่เห็น เธอมีดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนดวงดาวในยามค่ำคืน ผมยาวสีดำที่สยายไปบนหมอนกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเธอปลุกความรู้สึกอบอุ่นในตัวเขาให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งหลายครั้งที่บาบารัสนั่งอยู่ข้าง ๆ กรีน ขณะที่เธอกำลังอ่านหนังสือหรือนั่งทำอะไรบางอย่าง บาบารัสมักจะมองเธอด้วยความเงียบงัน การมองเธอในทุก ๆ การเคลื่อนไหวท
บรรยากาศในห้องสมุดใหญ่ของปราสาทหลากหลายสีสันยังคงเงียบสงัดเหมือนเคย สองมือของบาบารัสจับแน่นกับตำรามหาวิทยาลัยเก่าแก่เล่มหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่ยอมละสายตาจากหน้าเรียบ ๆ ของมัน แม้จะเป็นตำราที่เต็มไปด้วยตัวอักษรที่ทับซ้อนจนยากจะเข้าใจ ความมุ่งมั่นและความหลงใหลในเป้าหมายของเขายังคงท่วมท้น มันไม่ใช่แค่การค้นหาความรู้ทางเวทมนตร์ แต่เป็นการค้นหาทางสู่คนที่เขารัก และเขาคิดว่าไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เขาก็จะทำเพื่อเธอให้ได้ตั้งแต่วันนั้นที่เขาได้รู้ว่าเธอได้จากไปที่โลกมนุษย์ เขาแทบจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เขาหมกมุ่นกับการฝึกฝนเวทมนตร์ที่เขาเชื่อว่าจะพาเขากลับไปหากรีนได้ ไม่ว่าโลกนี้จะให้ราคาต่ำกับความพยายามของเขามากแค่ไหน เขาก็จะไม่ยอมแพ้ เพราะเขาเชื่อมั่นว่ามีบางอย่างในเวทมนตร์ที่จะทำให้เขาได้กลับไปหาคนที่เขารักหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลย แม้กระทั่งในยามค่ำคืนที่ปราสาทเงียบสงัด เขาก็ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ยกแก้วสุราเข้าปากเพื่อทำให้ความมึนเมาสามารถกลบเสียงในหัวที่กระซิบถึงชื่อของเธอได้บ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ ความคิดถึงของกรีนยังคงกัดกร่อนในจิตใจของเขาอยู่เสมอ
“ก็ตามที่ข้าคุยกับเจ้าไว้ว่าเจ้าต้องกลับบ้านแบบที่ไม่ได้กลับจริง ๆ ข้าจะพาเจ้าไปอยู่ที่หนึ่งก่อน เหมือนเจ้าได้หายตัวไปจากพวกเราจริง ๆ” รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเมื่อได้เวลาเล่นสนุกกับบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น“จะพาฉันไปไหน” กรีนมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความกลัวเพราะถึงเธอจะดูน่ารักแต่ก็เจ้าแผนการณ์ไม่ใช่น้อย“เชื่อใจข้าเถอะแค่ไปอยู่ที่นั่นเดี๋ยวเดียวก็กลับ” มิสไวท์ลุกขึ้นพร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินออกจากห้องหมากรุกและสั่งเหล่าทหารให้พากันเตรียมตัวออกเดินทางส่งนางเอกกลับโลกมนุษย์โดยที่ยังไม่บอกบาบารัสทุกอย่างเตรียมการณ์อย่างรวดเร็วและทุกอย่างถูกปกปิดไว้ไม่ให้ผู้ปกครองเมืองอย่างบาบารัสให้ได้รู้เพราะตอนนี้มิสไวท์ได้ให้ทหารคอยจับตาดูบาบารัสไว้ เมื่อถึงเวลาที่ได้กำหนดกันไว้ค่อยปล่อยข่าวไปถึงหูสหายของตน“เจ้าพร้อมแล้วใช่ไหม ถ้าพร้อมแล้วก็ขึ้นรถม้าคันนั้นไปได้เลย” มิสไวท์เอ่ยพร้อมพาตัวหญิงสาวมายังรถม้าที่จะออกเดินทาง และมันไม่ได้ไปไกลจากที่นี่มากนักคิดเสียว่าให้หญิงสาวได้ออกมาพักผ่อนจิตใจ“อื้ม...ข้าฝากด้วยนะ” กรีนเดินขึ้นรถม้าที่ไม่เป็นที่สะดุดตาพร้อมเดินทางออกจากคฤหาสน์ไปทางด้านหลังโดยมีทห
กรีนตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ร่างเปลือยเปล่าขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะสัมผัสได้ถึงแขนแกร่งที่ยังคงโอบรัดเธอไว้ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เธอไม่น่าให้มันเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ หากใจอ่อนแผนที่ได้วางไว้คงได้พังลงแน่ ๆ ความเหนียวหนึบตามตัวทำให้เธอนั้นขยับตัวได้อย่างยากลำบาก ก่อนจะคว้าผ้ามาคลุมตัวไว้เพื่อไปชำระร่างกาย เสียงน้ำที่ตกกระทบทำให้อสรพิษหนุ่มตื่นขึ้น ใบหน้าคมหันมองคนข้างกายแต่กลับไม่พบกายหนาย่างกายไปตามเสียงของน้ำด้วยสภาพเปลือยเปล่า เขามองเห็นกรีนที่กำลังอาบน้ำอยู่ หากแบบนี้อาจจะเรียกว่าถ้ำมองหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ แต่เขาไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือคนรักของเธอคงไม่เป็นอะไร“เจ้า…” บาบารัสเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล“นาย !!” กรีนร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบคว้าผ้ามาห่อตัวเอาไว้“เจ้าจะอายอะไรข้าอีก เห็นกันมานักต่อนักแล้ว” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นแขนแกร่งไปสัมผัสที่หญิงสาวเสียงของชายหนุ่มดูหยอกล้อเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าทางกลัวเขาเห็นของรัก ในเมื่อเห็นมากันทุกซอกทุกมุมแล้วจะไปกลัวอะไร แปลกคนยิ่งนัก “ออกไป...” กรีนเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบเช่นกัน พร้อมกับเห็นสีหน้าที่ทำเขานิ่งอึ้งไป“ไม่...ข้าไม่ไป” อสรพิษหนุ
ร่างกำยำกอดรัดเอวบางแนบชิดตัว สายตาดุดันที่ยากจะกักเก็บความรู้สึกเอาไว้ สิ่งที่เขาได้ยินสิ่งที่เขาได้เห็นว่าพวกบ้านั่นมันพูดถึงคนที่ตนรักว่าอย่างไร เพียงนึกถึงตอนที่อยู่ในบาร์นั่นเขาก็แบบอยากจะลุกอัดหน้าพวกนั้นให้แหลกคามือ เขามองจ้องไปยังร่างบางอยู่ภายใต้การควบคุมของตนในตอนนี้ เธอมองเขาด้วยสายตาสั่นระริก “ข้าไม่ชอบ...”เสียงหายใจหอบที่ปนไปด้วยความรู้สึกที่อัดอั้น เขาพยายามอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองแต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้มันไม่สามารถควบคุมได้อีกแล้ว สายตาไล่มองไปตามเรือนร่างอรชร เสื้อผ้าที่สวมใส่มันดูบางเบาถึงแม้ด้านในจะเป็นผ้าหนาทึบแสงก็ตาม สันจมูกคมดอมดไปตามกรอบหน้าสวยไล่คลอเคลียคอระหงอย่างช้า ๆ จนได้ยินเสียงหัวใจของหญิงสาวที่กำลังเต้นโครมครามเหมือนกลองรัว “อ๊ะ…บาบารัสอย่านะ” กรีนร้องออกมาพร้อมกับหดคอหนีด้วยความรวดเร็ว“อย่าขัดใจข้า” บาบารัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เอาแต่ใจที่สุด…คนใจร้าย” กรีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจพร้อมกับดันอกแกร่งที่ยังคงอยู่เหนือร่างของเธอ“ใจร้ายเหรอ เจ้านั่นแหละที่ใจร้ายกับข้า” “ฉันเนี่ยนะ...”กรีนเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ บาบารัสยังคงไม่รู้ความผิดของตัวเอง ทั้
หญิงสาวร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเธอได้ยินเสียงใครบางคนเข้ามาในห้องของเธอ ร่างบางจึงหันกลับไปมองแต่ไม่คิดว่าคนที่เข้ามานั้นจะเป็นบาบารัสที่เข้ามาประชิดตัวเธออย่างรวดเร็วจนเธอนั้นตั้งตัวไม่ทัน จนเกือบเซล้มลงไป“ตกใจอะไรขนาดนั้น” อสรพิษหนุ่มมองเข้าไปในดวงตาจองเธอที่ดูสั่นไหวกลิ่นเครื่องหอมที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งตัวหญิงสาว ทำให้บาบารัสถึงกับขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง แขนแกร่งคว้าตัวเธอเข้ามาแนบชิดกายหนาของตนเอง พร้อมกับสูดดมความหอมจากตัวเธอ ยิ่งดมแล้วยิ่งหงุดหงิด ริมฝีปากหนาซุกไซ้ไปตามคอระหงก่อนจะขบกัดจนเป็นรอยแดงเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงร่างเล็กที่กำลังสั่นเทาด้วยความกลัว“เจ้าเป็นอะไร” บาบารัสเอ่ยเมื่อถอนริมฝีปากของตนเองออกจากคอของเธอ“นายทำอะไร...ทำแบบนี้ทำไม” กรีนฉวยโอกาสถดตัวหนีเพื่อรักษาระยะห่างจากชายหนุ่ม“ชุดนี่มันอะไร แล้วกลิ่นเครื่องหอมนี่อีก จะออกไปไหนกัน” ชายหนุ่มถามเสียงเข้มและไม่ได้ตอบคำถามของเธอ ตอนนี้เขารู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก ไม่อยากให้เธอออกไปไหนในเวลาแบบนี้ แถมชุดที่เธอใส่นั้นมันดูเย้ายวนสายตาชายอื่นเป็นอย่างมาก หากเป็นเขาเองก็แทบไม่อยากละส
เมื่อกรีนทำตามแผนของมิสไวท์ใจของเธอก็ได้แต่ภาวนาให้เขานั้นสนใจเธอบ้าง แต่เขากลับเดินหนีออกไปโดยไม่พูดอะไร จากสีหน้าของเขาเหมือนจะโกรธและไม่พอใจเป็นอย่างมาก มือของเขาที่กำแน่นเธออยากจะเข้าไปจับมือของเขาเพื่อปลอบโยน แต่ก็ได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ก่อน “เจ้าได้บอกกับบาบารัสไปแล้วใช่หรือไม่” มิสไวท์เดินเข้ามาถามเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินออกไป“ฉันบอกเขาไปแล้ว…เขาดู…” กรีนพูดด้วยเสียงแผ่วเบา“ตอนนี้เจ้าไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้วหลังจากนี้ทำตามที่ข้าบอกก็พอ” หญิงสาวมองกรีนด้วยสายตามุ่งมั่นในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ การเดินทางกลับของกรีนจะเกิดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า และได้ถูกบอกต่อกันไปทั่วคฤหาสน์ บรรดาสาวใช้ต่างพากันเศร้าสร้อย เพราะไม่ได้อยากให้หญิงสาวนั้นกลับไป เพราะเธอทั้งใจดี และเป็นกันเองต่างจากคนที่อยู่ที่นี่ เมื่อเวลาผ่านไปอีกวัน นัยน์ตาสีสวยมองตนเองที่อยู่ในกระจก ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มเติมสี ตอนนี้มันถูกตกแต่งอย่างสวยงามราวกับรูปวาด ริมฝีปากเรียวคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยกับสิ่งที่ตัวเองได้เห็น ฝ่ามือสวยสัมผัสไปที่ใบหน้าของตนเองอย่างช้าเพื่อชื่นชมความแปลกตาในวันนี้ “เจ้าสวยมากเลยนะกรีน ทำไม