2
เปลี่ยนอนาคต
เพราะคาบนี้ใช้เวลาเรียนทั้งหมดสามชั่วโมง ระหว่างพักเบรก เวลาจึงมีเวลาได้พูดคุยกับระบบที่ตนเพิ่งได้รับมาหมาดๆ จนเข้าใจในระดับหนึ่ง
ระบบเด็กเรียนนี้ มีภารกิจสูงสุดคือการที่เขารอดพ้นจากการถูกรีไทร์ และเรียนจบได้ภายในสี่ปี
ไม่รู้ว่าเจ้าระบบนี่มาจากไหน ใครเป็นคนสร้าง และเข้ามายึดร่างของเขาได้ยังไง แต่แค่ชื่อของระบบและภารกิจที่ต้องทำก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนแล้วว่า เขากำลังจะเจอกับนรก!
ระบบคนรวย ระบบทำธุรกิจ ระบบอัจฉริยะ ระบบหล่อขั้นเทพ หรือระบบหมูหมากาไก่ที่ไหนไม่ยอมมา ดั๊นมาเจอกับระบบเด็กเรียน ทีนี้มันก็นรกน่ะสิ
ระบบเด็กเรียนมันต่างจากระบบอัจฉริยะก็ตรงที่...
มีของรางวัลที่ทำให้เรียนเก่งโดยไม่ต้องอ่านหนังสือ ไม่ต้องเข้าเรียนมั้ย?
[ของอย่างนั้นไม่มีหรอกโฮสต์ โฮสต์ต้องพยายามด้วยตัวเอง ด้วยความสามารถของตัวเองเท่านั้น]
แล้วคนที่ติวเป็นบ้าเป็นหลัง จิ้มข้อสอบจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และจู่ๆ ก็ค้นพบความจริงว่า เนื้อหาในระดับอุดมศึกษายากกว่าที่เคยเรียนมาเยอะ แถมสอบก็ยังใช้โชคสุ่มเดาข้อสอบไม่ได้ ต้องเขียนตอบอย่างเดียว จนเกรดตกแบบเขา จะเอาความสามารถที่ไหนมาทำภารกิจสำเร็จกัน
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกถึงความเป็นไปไม่ได้ อิมพอสซิเบิลเวรี่ เวรี่มัช
[โฮสต์ทำได้แน่นอน ระบบเชื่อในตัวโฮสต์]
แล้วถ้าทำไม่ได้ล่ะ?
[โฮสต์ก็จะโดนบทลงโทษแสนสาหัส และระบบก็จะโดนเช่นกัน]
นี่ไง! นายก็จะโดนเช่นกัน งั้นนายก็ต้องช่วยฉัน เอาของวิเศษออกมาสิ
[เอาละ เห็นแก่ความพยายามทำตัวเจ้าเล่ห์ของโฮสต์ ระบบจะฉายอะไรให้ดู]
จากนั้นภาพหน้าจอโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ในห้องเรียนตรงหน้าก็มืดสนิท ก่อนที่โลกทั้งใบจะสว่างขึ้นอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกถึงร่างกายของตัวเองอีกต่อไป
เขาเหมือนเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ที่ผ่านมายังฉากฉากนี้เท่านั้น
เหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ เป็นภาพของเขาที่หน้าตาไม่แตกต่างไปจากเดิม เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามที่ไม่สามารถดึงเกรดเฉลี่ยให้กลับขึ้นมาสูงกว่าสองจุดศูนย์ศูนย์ได้ สุดท้ายจึงถูกรีไทร์
หลังจากถูกรีไทร์ เขาก็หางานพาร์ตไทม์ทำไปเรื่อย และลงเรียนมหาวิทยาลัยเปิดไปด้วย แต่เพราะขึ้นชื่อว่าปริญญาตรี ยังไงก็ต้องให้เวลากับมัน เมื่อทำงานแล้วได้เงินมากกว่า มีสิ่งที่น่าสนใจในโลกภายนอกมากกว่า สุดท้ายเขาก็ละทิ้งการเรียนไป แถมยังตัดขาดการติดต่อกับเพื่อนร่วมคณะไปโดยสิ้นเชิง
นอกจากเขาที่ถูกรีไทร์แล้ว ยังมีรุ่นพี่มหาวิทยาลัยที่ยืดเวลาเรียนไปจนครบแปดปี แต่สุดท้ายก็เรียนไม่จบ
ทั้งคู่ได้เจอกันอีกครั้ง และตัดสินใจทำธุรกิจร่วมกัน โดยที่รุ่นพี่คนนั้นลงทุนเสียแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนเขาเป็นฝ่ายลงแรงซะเป็นส่วนใหญ่
แต่เนื่องจากเป็นช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ประกอบกับมีคู่แข่งเข้ามาลงทุนในด้านนี้เยอะ ไม่มีคอนเน็กชันเหมือนเพื่อนวิศวะคนอื่นๆ ที่เรียนจบ และได้งานดีๆ กันไป สุดท้ายพวกเขาก็หมุนเงินไม่ทัน จนต้องลดจำนวนพนักงาน และขายกิจการทิ้งไปในที่สุด
ส่วนพ่อแม่ของเวลานั้น เพราะลูกเรียนไม่จบ และไม่สนใจที่จะเรียนอีก พวกเขาจึงเก็บความเป็นห่วงไว้ในใจเต็มไปหมด จนแสดงออกมาเป็นการทะเลาะกับลูกชาย ด้วยหวังดีอยากให้เขากลับไปเรียนต่อด้านใดก็ได้ อย่างน้อยจะได้มีใบปริญญาเป็นทางผ่าน เพื่อที่จะได้ทำอะไรสะดวกในอนาคต
พอทะเลาะกัน แล้วเริ่มทำธุรกิจ เวลาจึงย้ายออกไปอยู่ตัวคนเดียว สุดท้ายก็ห่างกับพ่อแม่มากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่ได้ติดต่อกันอีก มารู้ข่าวอีกทีก็ตอนพวกเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปแล้ว
เมื่อไม่เหลือทั้งเงินและครอบครัว เวลาก็กลายเป็นคนเร่ร่อน รับจ้างทำงานโน่นนี่นั่นไปเรื่อย และยังสูบบุหรี่หนักขึ้น เพราะเสียใจเรื่องพ่อแม่ของตนไม่หาย จนสุดท้ายก็ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติไม่ได้
ทุกอย่างดูล่องลอยเลือนราง ภาพจริงเหมือนภาพฝัน ความฝันไม่มีทางเป็นจริง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่สามารถหาความสุขให้ตัวเองได้อีกต่อไป
[นี่แหละคืออนาคตที่จะเกิดขึ้น]
เวลาถูกดึงกลับมาอยู่ในห้องเลกเชอร์อีกครั้ง รับรู้ได้ถึงรูปรสกลิ่นเสียงเหมือนปกติ แต่ความรู้สึกหวิวๆ ที่สัมผัสได้ผ่านภาพอนาคตยังคงตกค้างอยู่ ไม่ได้จางหายไป
เขาเม้มปากแน่น พยายามดึงสติของตนกลับคืนมา
มันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับการรีไทร์เท่าไรเลย ในเมื่อเขารู้อนาคตแล้ว เขาก็แค่เลือกที่จะไม่ไปทางนั้น ก็น่าจะเปลี่ยนอนาคตได้นี่
[ถึงโฮสต์จะเปลี่ยนมันยังไง สุดท้ายก็จะลงเอยใกล้เคียงเดิมอยู่ดี]
ไม่น่าจะขนาดนั้นหรอกมั้ง
[ทางเดียวที่โฮสต์จะรอดคือต้องเรียนให้จบ]
ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ เหรอ
[ไม่มี]
ถ้าอย่างนั้นขอดูภารกิจอื่นหน่อย จะได้ทำใจถูก
[ระบบไม่สามารถเปิดเผยภารกิจต่อไปได้ จนกว่าโฮสต์จะผ่านเงื่อนไขของการทำภารกิจก่อนหน้า]
โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ งั้นก็ช่างแม่งมันเถอะ
เมื่อจบคาบเรียนสามชั่วโมงอันหฤโหดของช่วงเช้าไปเรียบร้อยแล้ว เสียงของระบบก็ดังขึ้นอีกครั้ง
[ยินดีด้วยกับโฮสต์ที่ทำภารกิจแรกสำเร็จ ได้รับแต้มทั้งหมด 10 แต้ม และของรางวัลการผ่านภารกิจครั้งแรกเป็นชุดอุปกรณ์ช่วยในการเรียนรู้]
[เนื่องจากโฮสต์ไม่มีกระเป๋า ของรางวัลจึงถูกส่งไปยังล็อกเกอร์ส่วนตัวโดยอัตโนมัติ]
มีแต้ม งั้นก็ต้องมีร้านค้าไว้ใช้แต้มแลกของน่ะสิ
[ใช่แล้ว โฮสต์]
ยังไม่ทันที่จะได้ซักถามอะไรต่อ แก๊งเพื่อนก็เร่งให้เขารีบเดินไปกินข้าวด้วยกันเสียก่อน ซึ่งก็ไม่พ้นโรงอาหารคณะอักษรศาสตร์
ไม่ได้ไปมองสาว เพราะสาวคณะนี้หนีไปกินโรงอาหารคณะอื่นหมด แต่พวกเขาเลือกที่นี่ เพราะอาหารอร่อยและคิวน้อย
ใช่ สาวอักษรฯ ชอบไปกินอาหารที่โรงอาหารคณะเขา จนแทบจะไม่มีพื้นที่นั่ง พวกเขาเลยมักจะมากินข้าวที่คณะอักษรฯ แทน
“พวกมึงสั่งข้าวเหนียวไก่ทอดให้กูทีนะ เดี๋ยวกูไปซื้อยาทำแผลให้ไอ้เวรมันก่อน เห็นสภาพแล้วทนไม่ได้จริงๆ” คิขุสั่ง ทิ้งชีตเรียนไว้จองที่ ก่อนจะเดินลิ่วๆ ไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกลนัก
“เมื่อไหร่มึงจะเลิกเรียกชื่อเหี้ยๆ นั่นสักทีวะ” คนที่มีแผลถลอกเต็มตัวตะโกนตามไป เขาชื่อเวลา ไม่ได้ชื่อเวร!
“ตลอดไป...” หญิงสาวเพียงชูสามนิ้วให้จากข้างหลัง โดยไม่หันกลับมามอง
กวนประสาทฉิบหาย
“พวกมึงไปกันก่อนเลย กูขอไปดูดบุหรี่หน่อย”
หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ เวลาที่ถูกบังคับให้ล้างแผล ป้ายยาเบต้าดีนจนเป็นที่พอใจของคิขุแล้ว ก็ขอตัวออกมาจากแก๊งเพื่อนที่ชวนกันไปหาที่หลับนอนในห้องภาค
พักกลางวันของพวกเขาก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก ไม่ไปสิงโต๊ะกรูป ก็เล่นกีฬา หรือไปสิงห้องภาค ถ้าไม่มีเรียนคาบบ่ายก็ชวนกันไปเดินห้าง ไม่ก็แยกย้ายกันไป
“ระบบ คลังซื้อขายนี่มันเปิดยังไงล่ะ” ขณะที่กำลังเดินหาที่ดูดบุหรี่ซึ่งปลอดคน ก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
[แค่โฮสต์นึกคำว่า เปิดคลังเด็กเรียน ก็จะเข้าถึงได้]
เพียงแค่นึกตาม ทัศนียภาพต้นไม้สูงผอมแห้งที่ถูกปลูกอย่างประปรายก็จางลง ถูกแทนที่ด้วยภาพโฮโลแกรมคลังสินค้าเหมือนกับในเกมไม่มีผิด สินค้าที่ระบุไว้มีทั้งหมดหนึ่งหมื่นชนิด แต่เขาสามารถซื้อได้เพียงสินค้าที่หน้าหนึ่งเท่านั้น หน้าอื่นยังคงเป็นสีเทา ไม่สามารถกดซื้อได้
[เงื่อนไขในการปลดล็อกสินค้าก็คือการผ่านภารกิจในแต่ละขั้น]
ปากกาสีช่วยในการอ่าน... นาฬิกาปลุกคนขยัน... เทียนหอมช่วยให้จิตใจสงบ... โคมไฟสว่างไสวไม่มีวันดับ...
เอิ่มมม แต่ละอย่างช่าง...
ถึงแม้สินค้าที่เขาซื้อได้ในตอนนี้จะมีเพียงไม่กี่อย่าง แต่ราคาเริ่มต้นของมันก็คือหนึ่งร้อยแต้ม นั่นเท่ากับว่าเขาต้องเข้าเรียนสิบคาบถึงจะได้แต้มพอซื้อ ไม่อยากจะคิดถึงพวกสินค้าที่อยู่หน้าหลังๆ เลย ชาตินี้ก็คงเก็บแต้มซื้อไม่ได้ละมั้ง
“มีวิธีอื่นที่จะได้แต้มอีกมั้ย”
ในที่สุดชายหนุ่มก็หาที่ที่เหมาะสมในการคลายเครียดได้ เขาหยิบไฟแช็กขึ้นมาจ่อปลายมวนบุหรี่ สูดนิโคตินเข้าปอดเพื่อดับความเครียดที่มีแววว่า จะไม่หายไปง่ายๆ เพราะการที่เขาต้องทำตามภารกิจของระบบก็เหมือนกับการเตรียมสอบอยู่ตลอดเวลา
ไม่รู้สมองจิ๋วๆ ของเขาจะรับความรู้ได้หมดไหม ความรู้ยิ่งชอบผ่านมาแล้วก็ผ่านไปอยู่ด้วย ถ้ามีของวิเศษที่ช่วยให้จดจำได้นานขึ้นก็ดีสิ
“ใครให้ลุงสูบบุหรี่ในที่สาธารณะกันน่ะ!”
เสียงของเด็กผู้ชายที่ตะโกนห่างออกไปไม่ไกล ขัดขวางช่วงเวลาอายชอปปิงของชายหนุ่ม
“เจ้าหนู พ่อแม่อยู่ไหน ทำไมมาวิ่งเล่นในที่เปลี่ยวแบบนี้”
ที่ที่เขามาพักผ่อนคือข้างหลังตึกเก็บของเก่าขนาดชั้นเดียว รอบด้านเต็มไปด้วยพุ่มไม้และหญ้าสูง มีเพียงม้าหินอ่อนแตกหักเก่าๆ ถูกตั้งอยู่เท่านั้น
“พ่อของผมเป็นภารโรง และผมรู้ว่าพี่ทำผิดกฎหมาย”
ท่าทางเท้าสะเอวเชิดหน้าดุนั่น ทำให้เวลาขำมากกว่าจะกลัว
“ไปเล่นที่อื่นไป๊ เด็กอ้วน”
“ฮึ่มมม ผมจะฟ้อง!” เด็กน้อยเห็นว่าทำอะไรนักศึกษาหนุ่มไม่ได้ ก็เลยสับเท้าเล็กๆ วิ่งจากไป ซึ่งคนโดนเด็กหาเรื่องก็ได้แต่ยักไหล่อย่างไม่สนใจ นิ้วยังคงหนีบมวนบุหรี่อยู่
“นี่เลยครับพี่ คนคนนี้แหละ ที่ไม่ยอมไปสูบบุหรี่ในที่ที่มหา’ลัยจัดไว้”
แต่เสียงของเจ้าเด็กน้อยก็กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่ถูกลากมาด้วย
3ไอ้เวร & ไอ้ตีน “นึกว่าจะไปฟ้องพ่อ” เวลายิ้มให้เด็กน้อย กวาดตามองคนที่ถูกพามาอย่างสำรวจ ชายหนุ่มในชุดนักศึกษา เสื้ออยู่ในกางเกงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ใส่รองเท้าหนัง ผมสีน้ำตาลเข้มทรงทูบล็อกแสกกลาง ตาสีน้ำตาลอ่อน สวมแว่นเหมือนเด็กเนิร์ด แต่หน้าตาดูไม่เนิร์ดเลยสักนิด แม่งงง หล่อกว่าเขาอีก ไม่สิ หล่อกันคนละแบบ เขาน่ะ หล่อแบดๆ ขณะเจ้านั่นดูหล่อแบบสุขุมนุ่มลึก คงจะเป็นพวกเด็กภาคคอม ไม่ก็ปิโตร “พี่ครับ พี่คนนี้เขาทำผิดกฎหมาย ไม่ยอมดับบุหรี่สักทีด้วย” เจ้าเด็กนั่นเห็นว่าตัวเองมีแบ็กแล้วก็รีบฟ้องทันที “...” แรกๆ ก็เอ็นดูหรอกนะ ตอนนี้เริ่มคิ้วกระตุก อยากจะตบหัวมันสักป๊าบ “เดี๋ยวทางนี้พี่จัดการเอง น้องไปที่อื่นเถอะ อยู่ใกล้ควันบุหรี่มากๆ มันไม่ดี” คนมาใหม่โน้มตัวลงบอกเด็กชาย ก่อนจะดันหลังให้เขาออกไปจากบริเวณนี้ “ช่วยสั่งสอนพี่เขาให้ด้วยนะครับ” ขณะที่เดินจากไปอย่างลังเล ก็ไม่วายที่จะหันหน้ากลับมากำชับพี่นักศึกษาที่เขาเป็นคนพามาช่วยจัดการ “ไม่ต้องห่วง พี่จัดการเรียบร้อยแน่นอน” “สู้ๆ นะครับพี่” เด็กนั่นท
4วันพิเศษ โอ้ พระเจ้าจอร์จ มันมหัศจรรย์มาก!!! เวลาอุทานในใจไม่หยุดตั้งแต่เริ่มเรียนคาบแรกยันคาบสุดท้ายของวัน จากที่เคยคิดว่าจะง่วง ต้องคอยถ่างตาฟังอาจารย์สอนแบบเมื่อวาน... วันนี้กลับเข้าใจเนื้อหาเกือบจะทุกอย่างได้จนไม่ง่วงอีกต่อไป แถมยังรู้สึกสนุกไปกับการจดเลกเชอร์อีก สิ่งนี้มันสุดยอด! แต่ถ้าให้เลือกระหว่างต้องอ่านหนังสือล่วงหน้าทุกวิชา กับมาเรียนเอาทีเดียวในห้องเรียน เขาขอเลือกอย่างหลังจะดีกว่า เพราะจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น อย่างเช่น... “ปะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปแดกก๋วยเตี๋ยวกัญชา แล้วไปร้านเหล้าหลังมอกัน” ธีโอเสนอ “จัดไปพวก” ภูเขาตอบรับโดยไม่ต้องคิด “ไม่เอาร้านชิลลี่โฮมแล้วนะ กูไม่ชอบนักดนตรี” คิขุว่า “โดนเขาหักอกมาก็อย่าพาลดิวะ” ธีโอพูดอย่างคนรู้ลึกรู้จริง ซึ่งเรื่องนี้คนเขารู้กันไปทั้งภาคแล้วว่า ยายคิขุแอบชอบมือกลอง แต่ไม่กล้าจีบ สุดท้ายเลยโดนสาวคณะเศรษฐศาสตร์คาบไปแดก “ก็กู-ไม่-ชอบ” “กูไปด้วยดิ” เหล่าเพื่อนร่วมภาคที่นั่งอยู่ข้างหลังเสนอหน้ากันมา โดยไม่สนใจบรรยากาศอันมาคุเล
5วีรกรรมชมดาว เปเป้ที่ตอนนี้เดินขาเป๋สมกับฉายาก็ช่างซ่าเหลือเกิน ยื่นแก้วเข้าไปกลางวงจนน้ำกระฉอกกระจายไปทั่ว ทำเอาคนที่นั่งอยู่ต้องลุกขึ้นหนี แตกกระเจิงกันไปหมด “เพื่อนมึงท่าจะเมาหนักแล้วนะ” ติน ชายหนุ่มที่วันนี้อยู่ในชุดลำลอง ดูไม่เป็นเด็กเรียนแบบที่เคย หันมาพูดกับเวลาที่ดูจะตั้งรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทัน “เออ ช่วยจัดการมันหน่อยดิ กูก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” เพราะดื่มมาตั้งแต่ห้าโมงเย็น จนเบียร์หมดไปหลายโหลแล้ว หนุ่มวิศวะจึงเริ่มคุมสติตัวเองไม่ค่อยอยู่ ได้แต่พยายามส่ายหัวให้ภาพเบลอๆ ตรงหน้าจางหายไป แม่งงง ง่วงฉิบหาย “เฮ้อ... เดี๋ยวกูจัดการให้” หนุ่มแว่นไม่พูดอะไรมาก เขาเรียกเพื่อนมาช่วย ก่อนจะพาเด็กวิศวะทั้งสองคนกลับไปที่โต๊ะ “พวกนายน่าจะกลับกันได้แล้วนะ” ตินส่ายหัวเมื่อเห็นสภาพของแต่ละคนในโต๊ะนั้น “ขอบใจมาก เดี๋ยวพวกกูก็กลับแล้วแหละ กำลังเช็คบิล” เพื่อนวิศวะคนหนึ่งตอบเสียงอ้อแอ้ ถึงแม้จะเมายังไง ก็ยังมีสติตอบกลับ “งั้นกูไปก่อนนะ กลับกันดีๆ ล่ะ” ตินบอกลาทุกคน โดยไม่ลืมหันมาบอกกับคนที่เพิ่งนั่งคอพับคอ
6เสื้อช็อปใคร “ช่วยด้วยๆ ช่วยลูกช้างด้วย” ร่างสูงของหนุ่มตี๋ขาวในชุดเสื้อกล้ามสีขาวเน่าๆ กางเกงบ็อกเซอร์ วิ่งใส่ตีนหมา โกยแน่บลงมาจากหอพักชั้นสี่ ทำให้คนที่บังเอิญเดินผ่านสับสนงุนงงไปหมด “ไฟไหม้ๆๆๆ หนีก่อน หนีๆๆ” แต่พอได้ยินเสียงร้องโวยวายว่าไฟไหม้ คนเดินผ่านก็เริ่มตกใจตาม ส่วนพวกที่อยู่ห้องข้างเคียงหรือห้องที่ชายหนุ่มวิ่งผ่าน ก็มีเปิดประตูออกมาดูบ้างประปราย สงสัยว่าจะไฟไหม้ได้ยังไง ในเมื่อไม่มีเสียงสัญญาณเตือนภัยดังเลยสักแอะ เวลาไม่รีบร้อนตามไป เขาคว้าเสื้อและกางเกงนักศึกษาของเพื่อนในตู้เสื้อผ้า เข็มขัด รองเท้าผ้าใบเน่าๆ พร้อมกับกระเป๋าคาดเอวที่บรรจุของใช้ส่วนตัวของภูเขามา ปิดไฟปิดแอร์ หยิบกุญแจ ปิดล็อกประตูห้อง ก่อนจะเดินตามไปอย่างชิลๆ เดินหล่อๆ หนีบกระเป๋าหนังของตนไปด้วย และคอยบอกคนที่ชะเง้อหน้าออกมามองว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อนเขาเพียงแค่ตื่นตูมไปเองเท่านั้น ตามลงไปจนถึงข้างหน้าหอ จึงได้เห็นเพื่อนของตนที่นั่งแผ่หลาอ้าขาโชว์ไข่หอบแฮ่กอยู่บนพื้น “ไอ้เวร มึงหลอกกู” เหนื่อยแทบตายก็ยังมีแรงยกนิ้วชี้หน้าด่าเพื่อนทรยศ เพื่
7เรียนดี กิจกรรมเด่น เด็กหนุ่มที่เข้ามาทักมีผิวขาว ตัดผมรองทรง และแต่งตัวเรียบร้อยเหมือนพวกลูกคุณหนูส่วนใหญ่ในโรงเรียนเอสเค แต่อย่าให้ภาพลักษณ์ภายนอกหลอกลวงเชียวล่ะ เพราะเด็กโรงเรียนนี้ก๋ากั่น และทันโลกแบบสุดๆ ดูได้จากเพื่อนเขาหลายๆ คนเป็นตัวอย่าง แล้วนี่อะไร ไอ้เด็กนี่ใส่กางเกงนักเรียนขาอย่างสั้น หน้าขาวๆ นั่นก็มีแก้มป่องอมชมพูซะน่าหยิก ปากก็แวววาวด้วยลิปกลอส ดูน่ารักยิ่งกว่าผู้หญิงหลายๆ คนอีก ทรงอย่างนี้ ท่าทางจะฮอตในหมู่ผู้ชายน่าดู เสียดายที่เขาไม่ชอบเด็ก “ไปตามเพื่อนๆ น้องมาสิ พี่จะได้พาดูทีเดียว” ก็อยากจะปฏิเสธอยู่หรอก แต่ภารกิจมันค้ำคอ ไหนๆ ก็จะพาทัวร์ภาควิชาแล้ว ควรพาไปหลายๆ คน จะได้ได้แต้มเยอะๆ “ผมอยากไปกับพี่แค่สองคนนี่ครับ” ชีต้าพูดเสียงแผ่ว แล้วก็ช้อนขนตางอนๆ ขึ้นมองเขา ไอ้เด็กนี่มันร้ายวุ้ย! “น้องคิดว่า ตัวเองมีสิทธิ์เลือกงั้นเหรอ?” เวลาเอ่ยถ้อยคำเย็นชาใส่ ก่อนจะหันไปตะโกนทางอื่นเสียงดัง “น้องคนไหนอยากชมภาควิชาเคมี มารวมกันตรงนี้เร็ว ทัวร์จะออกในอีกห้านาที” หารู้ไม่ว่า ท่าทางไม่สนใจของเขานั้น ทำให้เด็
8แลกสร้อย ทัศนียภาพของคณะวิทยาศาสตร์เป็นอะไรที่เขารู้สึกไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความที่มีภาควิชาและนักศึกษาเป็นจำนวนมาก ทำให้คณะวิทยาศาสตร์มีพื้นที่ใหญ่พอๆ กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ และมีตึกสูงมากมาย ทั้งตึกเก่าและตึกใหม่ อยู่มหาวิทยาลัยนี้มาปีกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเหยียบคณะนี้เลย “นายๆ ภาควิชาเคมีเทคนิคไปทางไหนเหรอ” เวลาสุ่มถามคนที่เดินผ่านไปมาอยู่ข้างใต้ตึกที่สูงที่สุดของคณะวิทยา “อยู่ทางโน้น เลยตึกเก่าๆ นั่นไปอีก อธิบายค่อนข้างยากแฮะ เดี๋ยวเรานำทางให้ก็แล้วกัน” ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเอ็นดูคนตัวโตที่ยืนนิ่งแอ็กท่าอยู่นาน เพราะไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหนดีหรือเปล่า ก็เลยเป็นคนเสนอตัวช่วยนำทางให้ “ขอบใจมาก” เวลาไม่คิดจะปฏิเสธความหวังดีแต่อย่างใด ระหว่างที่เดินไปกับนักศึกษาชายคนนั้น เขาก็ถามเรื่องราวเกี่ยวกับคณะที่ไม่เคยคิดจะสนใจคณะนี้ไปด้วย “...คณะนี้มีชมรมอยู่สี่ชมรม บางชมรมก็ซ้ำกับของมหาวิทยาลัย ก็เลยไม่ค่อยมีคนในคณะนี้ไปเข้าร่วมเท่าไร เช่น พวกชมรมค่ายอาสา ชมรมอนุรักษ์ อะไรงี้” “อ่าฮะ” เวล
9ระบบจับคู่? คนที่หลับตาเดินได้ทุกซอกทุกมุมคณะวิศวะ พอได้มาเดินในหอสมุดกลางก็เหมือนกับคนแปลกถิ่นที่ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง จะมองไปทางไหนก็ไม่คุ้นเคยไปเสียหมด ด้วยความที่เวลาใกล้สอบ เขามักจะขลุกอยู่แต่ในคณะตัวเองกับห้องเพื่อน จึงไม่เคยได้มาสัมผัสบรรยากาศแปลกๆ ของหอสมุดกลางแห่งนี้ ทั้งที่มีนักศึกษานั่งอยู่ตามโซนต่างๆ มากมาย แต่กลับเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศ เสียงขีดเขียน และเสียงพลิกหน้ากระดาษเท่านั้น จุดที่ตินนัดเขาไว้คือชั้นสี่ของอาคารซึ่งมีทั้งหมดเก้าชั้นหลังนี้ เนื่องจากชั้นสี่เป็นโซนที่สามารถใช้เสียงได้ และมีห้องขนาดเล็กจำนวนมากพร้อมกระดานไวท์บอร์ดไว้ให้จอง เพื่อใช้ในการประชุมหรือจัดติวข้อสอบ แต่ตินก็ไม่ได้จองห้องส่วนตัวไว้หรอกนะ... มันคงจะพิลึกน่าดูถ้าจองห้องเพื่อติวกันแค่สองคน หลังจากแตะบัตรนักศึกษา เดินขึ้นลิฟต์มายังชั้นสี่แล้ว เวลาก็เลี้ยวขวาเดินไปเรื่อยๆ พร้อมกับมองหาโต๊ะที่ติวเตอร์ส่วนตัวน่าจะนั่งอยู่ไปด้วย เนื่องจากเป็นชั้นที่ใช้เสียงได้ บรรยากาศจึงค่อนข้างจะคึกคักอยู่หน่อยๆ เพราะบางคนก็มานั่งเล่
10คนติวส่วนตัวเท่านั้น “เอาสิ ถ้าอยากติว ก็มาติวด้วยกันได้” ยังไม่ทันที่เวลาจะได้พูดในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจออกไป คนที่ทำท่าเหมือนไม่สนใจเรื่องที่พวกเขาคุยกัน ก็เป็นฝ่ายตอบตกลงเสียก่อน พ่อคนดี พ่อคนมีน้ำใจ... “จริงดิ ขอบใจมากเว้ยเพื่อน เดี๋ยวกูไปขนของมาก่อน” เวลาคว้าตัวบิวไว้ทัน ก่อนที่เขาจะผละออกไป “โทษที กูเรียนอ่อนมาก เลยจำเป็นต้องมีคนติวส่วนตัว จะให้ติวรวมคงไม่ถนัด ถ้ามึงอยากติวนัก คงต้องขอให้ตินติวแยกให้แล้วแหละ” ไม่รู้ว่าเผลอใส่แรงมากไปหน่อยหรือทำเสียงดุเกินไปหรือเปล่า ตอนที่ปล่อยมือออก บิวถึงได้ลูบข้อมือตัวเองพร้อมกับเหล่มองเขาอย่างเกรงๆ “เออ กูไม่ขัดพวกมึงก็ได้ มีอะไรดีๆ ก็มาติวกูต่อด้วยแล้วกัน” จากนั้นเพื่อนร่วมภาคตัวเล็กกว่าก็รีบถือถ้วยบะหมี่ที่เส้นน่าจะอืดแล้วเดินจากไปอย่างง่ายดาย โดยไม่คิดจะถามหาช่องทางติดต่อของตินแต่อย่างใด “จากที่ติวมึงมา มึงก็ไม่ใช่คนที่ตามเนื้อหาไม่ทันนี่ ทำไมไปปฏิเสธเพื่อนเสียอย่างนั้นล่ะ” หนุ่มแว่นถาม “ก็กูเคยบอกแล้วไงว่า จะติวกับมึงแค่ตัวต่อตัว”
บทส่งท้าย ภาคเรียนที่สองผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ช่วงที่ผ่านมา ชีวิตประจำวันของเวลาดำเนินไปคล้ายๆ กับภาคเรียนที่หนึ่ง ต่างกันแค่มีใครบางคนเข้ามาเป็นส่วนร่วมในชีวิตมากขึ้น ภารกิจของระบบเด็กเรียนส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างจะซ้ำๆ ไม่ได้แปลกแหวกแนวให้เขาต้องไปกู้โลกอะไร ส่วนระบบเด็กเกรียนนั้น ได้โผล่ออกมาอีกสองครั้งสั้นๆ แต่ก็ทำให้เขาได้แลกยันต์เพิ่มโชคลาภมาได้ครบห้าอัน และใช้มันเพื่อให้ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่สองเป็นที่เรียบร้อย หากไปบอกใครเข้า เขาก็คงงงว่า ทำไมแค่แกล้งคน ก็ได้เงินด้วย ได้ตั้งสองแสนบาทแน่ะ ส่วนความสัมพันธ์ของเขากับตินก็ราบรื่นดี มีงอนกันบ้างนิดหน่อย แต่ง้อบนเตียงก็หาย ถ้าเป็นเรื่องที่หนักๆ หน่อย ก็เคลียร์ใจกันทั้งวันทั้งคืนเอา “ปิดเทอมใหญ่ไปเที่ยวไหนกันวะ” ธีโอถามเพื่อนร่วมก๊วนที่กำลังเคลียร์ของในล็อกเกอร์ที่ห้องภาคกันอยู่ “กูจองตั๋วไปเที่ยวญี่ปุ่นเรียบร้อย” คิขุว่า “ไม่ไปไหนอะ กิน ขี้ ปี้ นอน แดกเหล้าพอ” ภูเขาตอบ “แล้วมึงอะ ไอ้เวร” ธีโอหันมาถามคนที่กำลังพิมพ์แชทในมือถืออยู่ “ก็คงเที่ยวในประเทศนี
32อวดผัวแม้แต่กับเด็ก วันต่อมา วิธีของเวลาใช้ได้ผลกับแค่สองคนเท่านั้น ส่วนคนที่สามที่เขานำวิธีนี้ไปใช้ด้วย ถึงกับลุกหนี และไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอะไรต่อ เวลาลองต่ออีกสองคน โดยพยายามหาวิธีใหม่ๆ แต่ก็คว้าน้ำเหลว ส่วนคนสุดท้ายนั้น ยอมรับยาของเขาไป แต่ยังไม่ได้ใช้ต่อหน้า และไม่รู้ว่าจะเอาไปทิ้งที่ไหนหรือเปล่า แต่เขาไม่ห่วงเรื่องยาวิเศษจะถูกเอาไปตรวจสอบหรอกนะ เพราะว่าของจากระบบ หากถูกขโมยไป หรือถูกนำไปใช้โดยคนที่เวลาไม่ได้มอบให้ ก็จะสลายหายไป [เมื่อวานโฮสต์ทำสำเร็จไปสามราย ยินดีด้วยนะโฮสต์] หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน ระบบก็แจ้งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นให้เขาได้รับรู้ ซึ่งหมายความว่า คนสุดท้ายได้ลองกินยาของเขาเรียบร้อยแล้ว T.Tin: วันนี้ก็จะไปอีกแล้วเหรอ Vaela: อื้อ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะรีบไปหาที่คอนโดเลย T.Tin: รีบๆ มาล่ะ เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนด้วยกัน เพียงแค่อ่านข้อความไลน์ เวลาก็จินตนาการภาพของหมาขี้อ้อนขึ้นมาได้ เพราะว่าเป็นช่วงปิดเทอมแล้ว เขาจึงไม่สามารถใช้ข้ออ้างว่า ไปติวหนังสือบ้านเพื่อนได้อีก ถึงแม้เขา
31ภารกิจกู้โลก [ยินดีด้วยกับโฮสต์ที่ผ่านการสอบปลายภาคมาได้ด้วยดี ไม่ตายไปเสียก่อน ระบบขอมอบภารกิจที่เจ็ด ซึมเศร้าฝังลึก เปลี่ยนเด็กซึมให้กลับมาเป็นเด็กเรียน ของรางวัลคือแต้ม 40 แต้มต่อการช่วยเหลือคนหนึ่งคน บทลงโทษคืออายุขัยสั้นลง 2 ปี และถูกจั๊กจี้เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ติดกัน 7 วัน] [เนื่องจากภารกิจนี้มีความยากค่อนข้างสูง ระบบจึงขอส่งตัวช่วยพิเศษ ผู้ช่วยส่วนตัวชั่วคราว ให้โฮสต์ได้ใช้งานเป็นเวลาทั้งสิ้นสองวันเต็ม] เวลาเปิดอ่านรายละเอียดของภารกิจหลักที่ค่อนข้างจะแปลกไปในครั้งนี้ ก่อนจะเข้าใจว่า ทำไมระบบเด็กเรียนถึงได้ปล่อยภารกิจนี้มา อัตราการฆ่าตัวตายของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่สูงขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาโรคซึมเศร้า เป้าหมายที่ระบบต้องการให้เขาไปเปลี่ยนแปลง คือนักศึกษาที่เคยเรียนเก่งมากๆ มาก่อน แต่เมื่อผลการสอบหรือเกรดผิดจากความคาดหวัง จึงเกิดการเสียศูนย์ รู้สึกกดดันจากรอบข้าง บวกกับสารในสมองที่เปลี่ยนไป ทำให้เป็นโรคซึมเศร้าในที่สุด แน่นอนว่า นักศึกษาเหล่านั้นได้เข้ารับการรักษาโรคแล้ว แต่เมื่อพยายามจะออกกำลังกาย พยายามจะทำตามที่หมอบอก
30ติวสอบกันยันเช้า อีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงการสอบปลายภาค ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดัง แน่นอนว่านักศึกษาจะต้องขยันอ่านหนังสือสอบกันเป็นอย่างมาก ยิ่งใกล้วันสอบ สภาพของแต่ละคนก็ยิ่งดูไม่ได้ หน้าไม่ได้แต่ง เสื้อไม่ได้รีด ผมไม่ได้สระ ตาโหลยิ่งกว่าหมีแพนด้า มันหน้าแผล็บเหมือนคนไม่ได้ล้าง เวลาก็เป็นไปกับเขาด้วยเหมือนกัน ต่อให้ดูหล่อเถื่อนอยู่ตลอดเวลาแค่ไหน แต่ยามนี้กลับตาโหลเป็นพิเศษ หนักหน่วงเสียยิ่งกว่าช่วงสอบกลางภาค “สภาพมึงดูไม่ค่อยจะได้เลยนะ” ต้าทักเวลา เขาเป็นเพื่อนร่วมภาคที่ถึงแม้จะอยู่คนละกลุ่มกัน แต่ก็มักจะไปดื่มเหล้าด้วยกันบ่อยๆ “มึงสิ หนักกว่ากูเยอะ” เวลาส่ายหัวให้กับคนไม่ดูตัวเอง สภาพแม่งยิ่งกว่าซอมบี้ นี่ถ้าใส่เสื้อผ้าขาดๆ หน่อย คงไปถ่ายหนังเป็นซอมบี้ตัวประกอบได้เลย “หึ! ไฟนอลนี่แหละ จะเป็นตัวตัดสินว่า กูจะเอฟไม่เอฟ” ต้าชูกำปั้นขึ้นระดับไหล่ ตามองขึ้นฟ้าอย่างฮึกเหิม ให้ความรู้สึกเหมือนตัวละครในอานิเมะ ต้านี่ก็บ้าดีเดือดเหลือเกิน คะแนนต่ำก็ไม่คิดจะถอน ดันตัดสินใจสู้สุดฤทธิ์ เพราะเห็นเวลาเป็นไอดอล อยากจะทำให้ได้อ
29วิธีใช้โปรแกรมค้นหาสารพัดนึกที่ถูกต้อง ‘ทำยังไงให้แฟนรักแฟนหลง’ ข้อความนี้ถูกพิมพ์ลงในช่องค้นหาของโปรแกรมค้นหาสารพัดนึกที่ได้มาจากระบบเด็กเกรียน [โฮสต์อย่าใช้โปรแกรมแบบผิดๆ สิ] จะไปใช้กูเกิลทำไม ในเมื่อมีโปรแกรมดีๆ แบบนี้ซะอย่าง เวลาเคยลองเซิร์ชหาข้อมูลทั่วไปในการเรียน ไปยันข้อมูลที่ไม่น่าจะมีได้อย่าง รายชื่อสายลับซีไอเอ ข้อมูลเดินบัญชีลับของรัฐมนตรีกระทรวงหนึ่ง หรือแม้แต่ข้อมูลแปลกๆ อย่าง งานวิจัยลับทดลองสร้างมนุษย์โคลนเวอร์ชันหกสิบเก้า หรือวิธีทำคุณไสยแบบโบราณที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย [แต่พวกที่เป็นฮาวทู เป็นความเห็น ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ต่อให้ค้นหาในโปรแกรมนี้ มันก็เชื่อไม่ค่อยจะได้นะโฮสต์] เอาน่า แค่อ่านเล่นเฉยๆ ไม่ได้จะทำตามสักหน่อย บอกปัดระบบเสร็จ เวลาก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านข้อมูลที่ตนได้มาจากการเซิร์ชอย่างรวดเร็ว กวาดตาเก็บทุกรายละเอียดฝังลึกไว้ในหัวเสียยิ่งกว่าตอนอ่านหนังสือสอบ อะแฮ่มๆ ลืมบอกไปเสียสนิทว่าเขากับตินน่ะ... เป็นแฟนกันแล้วววว หลังจากที่สารภาพแล้วเดินหนีไปหาเปเป้ พวกเขาก็ไม่ได
28คำอธิษฐานที่อยากบอก คนที่ยึดถือเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า จะไม่ทำร้ายแม่น้ำเด็ดขาด ตอนนี้กำลังกลับคำพูด เวลามองบ่อน้ำของมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยกระทงหลากหลายรูปแบบลอยละล่องอยู่เต็มไปหมดอย่างใจลอย ลอยกระทงเป็นเทศกาลที่ไม่ควรจะมาลอยคนเดียวจริงๆ เพราะมีแต่คู่รักเต็มไปหมด ทั้งเด็กมอปลาย ทั้งเด็กมหาวิทยาลัย เห็นแล้วมันช่างน่าอิจฉาซะเหลือเกิน แต่ปีนี้เวลาไม่อิจฉาหรอก เพราะเขาก็มีคนมาลอยด้วยเหมือนกัน ไม่นึกว่าการแค่ชอบใครคนหนึ่ง จะทำให้รู้สึกใจพองฟูได้มากขนาดนี้ หลังจากจบเหตุการณ์รับน้องของภาควิชา เขากับตินก็ได้เจอกันแค่ในแล็บ กับในสนามบาสของคณะวิศวะเพียงบางครั้งเท่านั้น วันๆ ของเขาหมดไปกับการทำภารกิจตั้งใจเรียนของระบบ สิ่งที่เยียวยาจิตใจได้เพียงอย่างเดียว เห็นจะเป็นการแชร์คลิปตลกๆ คลิปสัตว์เลี้ยงน่ารักให้ตินได้ดู และเห็นอีกฝ่ายกดรีแอ็กชันหัวเราะหรือหัวใจตอบกลับมา การสังสรรค์ในวงเหล้ากับเพื่อนก็ไม่สนุกเท่าเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะในใจเอาแต่คิดถึงคนที่ตัวเองชอบ แม่งเอ๊ย! เข้าใจแล้วว่า ทำไมคนมีความรักถึงรู้สึกว่าโลกทั้ง
27งานลอยกระทง [ยินดีด้วยกับโฮสต์ที่ทำภารกิจที่หกสำเร็จ ได้รับแต้มทั้งหมด 40 แต้ม และของรางวัลการผ่านภารกิจเป็นยาเสน่ห์อาจารย์รักอาจารย์หลง] [ติ๊ง! เนื่องจากโฮสต์ผ่านภารกิจด้วยเงื่อนไขสูงสุด ได้รับอั่งเปาพิเศษ สุ่มสินค้าจากระบบได้จำนวนสองครั้ง] ถึงแม้เสียงประกาศจากระบบจะน่าตื่นตาตื่นใจมากแค่ไหน แต่เวลาก็เลือกที่จะจดจ่ออยู่กับคนข้างกายมากกว่า หลังจากที่ตินพารุ่นน้องปีหนึ่งเดินมาถึงระยะที่ค่อนข้างปลอดภัยแล้ว รุ่นพี่ปีสี่อีกหลายคนก็รีบวิ่งลงน้ำทะเล ไปช่วยแบกร่างของทั้งคู่ขึ้นมานอนบนชายหาดที่มีคนเตรียมผ้าปูรองไว้ได้สำเร็จ โชคดีที่ฝ่ายปฐมพยาบาลรู้วิธีช่วยคนจมน้ำ ก็เลยสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้บ้าง ก่อนที่รถพยาบาลจะตามมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน คราวนี้เสียงหวอของรถพยาบาลดังทั่วรีสอร์ตจนนักศึกษาส่วนใหญ่ตื่นขึ้นมาเกือบหมด พวกนักศึกษาชั้นปีสามก็เลยคอยทำหน้าที่ไปดูแลความสงบเรียบร้อย และป้องกันไม่ให้ใครเข้าใกล้น้ำทะเลอีก ส่วนเวลาก็ขับรถยนต์ของตินตามรถพยาบาลไป เพราะแค่คนจมน้ำหนึ่งคน และคนว่ายน้ำจนหมดแรงหนึ่งคนก็แน่นรถของโรงพยาบาลแล้ว
26ฮีโร่ ย้อนกลับไปสามสิบนาทีก่อนเกิดเหตุ ตินที่ไม่มีหนุ่มนักเลงอย่างเวลาคอยตามอยู่ข้างกายอีกต่อไปนั้น ดึงดูดความสนใจของสาวๆ ได้เป็นอย่างดี เริ่มจากเด็กปีหนึ่งสองคนที่พากันเดินมาขอชนแก้วด้วย แต่หลังจากชนแล้วก็ไม่คิดที่จะเดินกลับไปแต่อย่างใด พวกเธอนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่อย่างใจกล้า “ทำไมหนูไม่เห็นพี่ตอนที่ทำกิจกรรมเลยล่ะคะ” หญิงสาวผมหน้าม้าถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “นี่ อย่าไปถามอะไรอย่างนั้นสิ ถามว่าพี่ตินกินอะไรถึงได้หล่อแบบนี้ดีกว่า” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เพื่อนสาวอีกคนพาเปลี่ยนเรื่อง “พอเลยพวกเอ็ง อย่าไปแซวเยอะ เดี๋ยวไอ้ตินมันเขินหมด” ธีโอรีบออกหน้าช่วยเมื่อเห็นตินเพียงยิ้มน้อยๆ ให้กับคำพูดเหล่านั้น ในความคิดของธีโอ ตินก็เป็นเพียงเด็กเนิร์ดตั้งใจเรียนที่กินเหล้าได้นิดหน่อย วันๆ เอาแต่ทำกิจกรรมของสโมสรกับพวกค่ายต่างๆ คงไม่ชินกับการที่ถูกสาวมาเต๊าะเอาซึ่งๆ หน้า “พี่ตินไม่เขินหรอก ท่าทางดูเป็นผู้นำแบบเนี้ย น่าจะนำสาวๆ มาเยอะ” น้องผู้หญิงที่ใส่เสื้อสีส้มว่า “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก พี่เป็นแค่รองประธานสโมสรนิสิตกั
25พยายามเอาใจ ร่างสูงโปร่ง แต่งตัวด้วยเสื้อแขนยาวกางเกงขาเท่าเข่าเหมือนหนุ่มเกาหลี แต่คีบอีแตะหนีบสไตล์ไทย โอบไหล่เวลาเบาๆ อย่างแสดงความสนิทสนม เขาส่งยิ้มไปให้เหล่าเด็กปีหนึ่งที่มองมาหน้าสลอน “พี่ต้องขอพาเพื่อนพี่ไปก่อนนะ” “อะ...เอ่อ เดี๋ยวก่อนค่ะพี่” น้องผู้หญิงคนหนึ่งรีบละล่ำละลักออกมา หลังจากตกใจในความหล่อของหนุ่มแว่นจนตาค้าง เผลออ้าปากหวออยู่นานสองนาน “...” ตินหยุดเดิน หันกลับไปมอง เป็นสัญญาณให้เธอพูดต่อ “คือ... พี่มาร่วมวงกับพวกเราสิคะ พวกเรากำลังชวนพี่เวลาอยู่พอดี” “ขอบคุณครับ แต่ไม่รบกวนดีกว่า น้องๆ สนุกกันไปเถอะ” ตินปฏิเสธอย่างสุภาพ ยิ่งเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดเบาๆ จากน้องผู้หญิงคนอื่นได้มากขึ้น “งั้นก็ได้ค่ะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะ” ยังไม่ทันที่คนถูกถามจะได้ตอบออกไป เวลาก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ไอ้หมอนี่มันชื่อติน พวกพี่ขอตัวก่อนนะ” จากนั้นก็เป็นฝ่ายลากแขนคนข้างตัวเดินออกมาแทน ที่เวลาพูดแทรก ก็เพราะไม่อยากให้ตินบอกอะไรออกไปมาก เดี๋ยวถ้ารุ่นน้องรู้ว่า ตินไม่ได้อยู่คณะวิศวะ กลัวว่าจะมีปัญหาตามมาในภ