ในกลุ่มเพื่อนๆ ของลู่อวี่โจว มีแต่คนที่พูดเก่งกันทั้งนั้นยกเว้นเขา และหย่งฟางเองก็เช่นกันที่คุยได้ทั้งวัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแค่รวมตัวกันพวกเขาก็สามารถเริ่มพูดวกไปวกมา เม้าธ์เรื่องเดียวกันได้ไม่หยุด ดังนั้นทุกครั้งที่นัดกันกินข้าว ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงกว่าจะได้ลุกจากเก้าอี้พอทุกคนเริ่มลุกจากที่นั่งแบบยังอารมณ์ค้าง จินฮั่วก็เป็นฝ่ายจ่ายเงิน และหันไปถามเหล่าคออ่อนทั้งหลาย “พวกเธอกลับยังไง? ฉันไปส่งดีไหม?” เขาไม่ได้ดื่มเลย ทำตัวเหมือนเตรียมพร้อมจะเป็นคนขับแทนให้แล้วพอเซี่ยหลิงหน้าแดงเพราะเริ่มเมา เธอยิ้มแก้มแดง “ไปสิ ฉันเอารถให้ผู้ช่วยขับกลับไปแล้ว”ฉู่หนานซือกับจงเค่อหรงพยักหน้าตาม “พวกเรานั่งรถไฟฟ้ามา ยังไงก็ฝากจินฮั่วช่วยไปส่งเราหน่อยนะ”หย่งฟางที่ดูเหมือนจะเมาอยู่หน่อยๆ มองเขาแล้วพูด “จ่ายค่ารถไปแล้ว นายก็ต้องไปส่งฉันที่วัดด้วยสิ”จินฮั่วหัวเราะ “จ่ายเมื่อไหร่กัน?!”“บุหรี่จีนหนึ่งซองเจ็ดสิบหยวน”จินฮั่วถึงกับยอมแพ้ เขาช่วยประคองพวกคนขี้เมาสี่คน ขึ้นรถไปจนถึงคนสุดท้ายคือหย่งฟาง เธอเดินเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับแล้วนั่งลง จินฮั่วทำตัวเหมือนคุณแม่ คอยบอกให้ทุกคนคาดเข็มขัดนิรภ
"ในที่สุดเธอก็พูดจาน่าฟังสักที" จินฮั่วถอนหายใจโล่งอก ดีแล้วที่เธอไม่ได้เล่าเรื่องน่ากลัวเสร็จแล้ว ปล่อยให้เขากลับบ้านคนเดียว จินฮั่วอาศัยอยู่ในคอนโดหรูที่เขาซื้อเอง พอจอดรถในที่จอดใต้ดินหย่งฟางก็ลงจากรถ ส่วนจินฮั่วก็รีบตามลงมาข้างๆ เธอทันที ในลิฟต์จินฮั่วก็ยืนติดกับหย่งฟาง จนเธอต้องขยับไปอีกด้าน จินฮั่วก็เขยิบตามไป หย่งฟางขยับไปอยู่มุมลิฟต์จินฮั่วก็ยังขยับเข้ามาอีก เขาดูจะตั้งใจให้ไหล่แตะไหล่กันไว้เพื่อความอุ่นใจหย่งฟางดันเขาออกไป “ถอยไปห่างๆ หนึ่งเมตร ขอบคุณ”จินฮั่วรู้สึกไม่ปลอดภัยเกาหัวตัวเอง แล้วคิดว่าแอร์ในลิฟต์เย็น จนผมเขาปลิวเลยทีเดียว หย่งฟางสังเกตเห็นว่าผีทารกที่ปล่อยพลังวิญญาณดำอยู่บนคอของจินฮั่ว กำลังดึงผมของเขาเล่นสนุกเสียง “ติ๊ง” ดังขึ้น เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นที่ต้องการพอเข้ามาในห้อง จนฮั่วก็ได้ยินเสียง “จิ๊จิ๊” จากผีเด็กที่อยู่บนคอ วิ่งไปยังครัวแบบเปิด หัวเล็กๆ ของผีเด็กแอบโผล่เข้าตู้เย็น กินน้ำอัดลมและโยเกิร์ตจนพอใจ แล้วก็วิ่งไปที่โต๊ะกาแฟในห้องนั่งเล่น หยิบขนมมันฝรั่งที่จินฮั่วเปิดไว้แต่กินไม่หมดมาหม่ำอีกเมื่อก่อนหย่งฟางกับเพื่อนเคยมาที่บ้านจินฮั่ว บ้านเขาก็รกไปหมด
ลู่อวี่โจวหรี่ตาลงมองป้ายไม้นั้นอย่างพิจารณา มันมีขนาดเท่าฝ่ามือของผู้หญิง มีสีแดงเข้มแกะสลักเป็นลวดลายอักษรบางอย่างที่ดูน่าขนลุก ไม่ไกลนักผีเด็กที่กำลังดื่มน้ำอัดลมของจินฮั่ว รู้สึกว่าป้ายไม้ที่เป็นที่สถิตของมันกำลังถูกจ้องมอง มันจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีดำลึกน่ากลัวจ้องลู่อวี่โจวอย่างอาฆาตหย่งฟางเหลือบมองไปอย่างเย็นชา ผีเด็กจึงขู่ฟ่อด้วยความดุร้าย มันขึ้นคร่อมบนคอของจินฮั่ว อ้าปากโชว์ฟันแหลมคมใส่หย่งฟาง พร้อมส่งเสียงคำรามขู่ราวกับประกาศความเป็นเจ้าของ เสียงนั้นทำให้โคมไฟบนเพดานสั่นไหว แสงไฟกระพริบอยู่ไม่กี่วินาทีจินฮั่วที่ทั้งมองและได้ยินอะไรไม่เห็น แค่รู้สึกเย็นที่ต้นคอ และแสงไฟที่กระพริบ ยิ่งทำให้เขาหวาดกลัวมากขึ้น ทันใดนั้นเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นอย่างแรงจนเขากระโดดตกใจ “อ๊ากก!!” จินฮั่วรีบโผเข้าไปกอดลู่อวี่โจวแน่น “ใครมาเอาป่านนี้! ต้องเป็นผีมาเคาะประตูแน่ๆ!”ความคิดของเขาไหลไปไกลถึงภาพยนตร์สยองขวัญทุกเรื่องที่เคยดู เสียงกริ่งยังดังไม่หยุด ลู่อวี่โจวแกะมือและขาจินฮั่วออกแล้วเดินไปที่ประตู ชายหนุ่มเจ้าของห้องทิ้งตัวลงบนพรมอย่างหมดเรี่ยวแรง ท่าทางน่าสงสารสุดๆ ลู่อวี่โจวมองผ่านตาแม
"ทำไมผีเด็กถึงเรียกจินฮั่วว่าพ่อเหรอ?" จงเค่อหรงถามหย่งฟางนึกถึงตอนที่ผีเด็กกอดตุ๊กตาฝ้ายของจินฮั่ว พร้อมกับท่าทีที่มันแสดงความเป็นเจ้าของ จึงตอบในสิ่งที่เดา "อาจจะเป็นเพราะมันชอบเขา อยากให้เขาเป็นพ่อของมัน ถ้าไม่ส่งมันไป วิญญาณเด็กจะตามนายไปตลอด แม้กระทั่งตอนที่นายแต่งงานมีลูก มันจะเข้ามาแทนที่ลูกจริงๆ ของนาย" หย่งฟางบอกผลลัพธ์ให้จินฮั่วฟังชายหนุ่มรู้สึกขนลุกจนมือเท้าอ่อนแรง "ใครกัน… ไม่ ไม่หรอก ต้องเป็นพวกแอนตี้แฟนแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าแฟนคลับของใครที่คิดชั่วร้ายกับฉันขนาดนี้!" เขาเข้าใจได้วงการนี้มีคนชอบศาสตร์ลี้ลับเลี้ยงเด็กผีเพื่อเพิ่มโชคลาภ แต่การโยนมันมาให้เขารับเคราะห์แบบนี้ชั่วร้ายเกินไป!หย่งฟางแย้ง "ไม่แน่อาจจะเป็นผู้ช่วยของนายเอง ที่แอบเอามาทิ้งไว้ตอนนายเผลอ เพราะห้องทำงานนายก็เต็มไปด้วยของขวัญจากแฟนคลับ นายคงไม่รู้ว่าใครเป็นคนให้หรอก"ผู้ต้องสงสัยดูเหมือนจะเป็นใครก็ได้ ที่อยู่ใกล้ตัวจินฮั่วชายหนุ่มคิดตามและรู้สึกเห็นด้วย แต่ก็นึกไม่ออกว่าไปทำอะไรให้ผู้ช่วยของเขาไม่พอใจ นอกจากให้มาช่วยเก็บกวาดบ้านที่รกรุงรังเท่านั้นเอง เซี่ยหลิงกับเพื่อนๆ ก็ขยับมานั่งข้างๆ หย่งฟางเช่นเดียวกั
ในหัวข้อ #หนุ่มJ #สองชายสี่หญิง มีบล็อกเกอร์คนหนึ่งโพสต์บนเว่ยป๋อ "หลังจากปาร์ตี้ก็ไปวัดได้เนี่ยนะ?" พร้อมแนบภาพของทั้งหกคนที่กำลังปีนเขา โดยทำการเช็คอินสถานที่: เขาหลงหย่า บางคนเริ่มคิดตามทันที[งั้นผู้หญิงที่ใส่หมวกและสวมหน้ากาก แล้วกลับบ้านกับจินฮั่วคือหย่งฟางเหรอ?][หย่งฟางเหรอ?!][ใช่แล้ว หย่งฟางก็สนิทกับจินฮั่วนี่นา อันที่จริงแทบจะตัวติดกันเลย][มิตรภาพในวงการบันเทิงนี่เราเข้าไม่ถึงจริงๆ บางทีอาจจะถึงขั้นจูบแล้ว ก็ยังบอกว่าแค่เพื่อนกันด้วยซ้ำ][เลิกเล่นมุกปาร์ตี้แบบนั้นกันได้แล้ว ดูยังไงก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอก][+1 จริงๆ นะ ฉันแค่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมทั้งหกคนถึงนัดรวมตัวกันตอนดึก แล้วยังไปวัดกันแต่เช้าด้วย?][มีหย่งฟางอยู่ด้วย เดาว่าต้องมีคนเจอเรื่องเหนือธรรมชาติแน่ๆ][อย่ามาตลกเลย โลกนี้จะมีผีสางเทวดาจริงๆ หรือไง? หย่งฟางอาจจะแค่ติดภาพลักษณ์นักพรตเกินไป เลยชวนลู่อวี่โจวมาช่วยเพิ่มกระแสให้ตัวเอง][บล็อกเกอร์ พาพวกเขาไปไลฟ์สดตอนขึ้นเขาหลงหย่าด้วยสิ!]ที่หน้าวัดเสวียนเว่ย…พวกเขาเดินขึ้นเขามาครึ่งชั่วโมงโดยไม่มีใครเหนื่อยเลย แม้แต่เซี่ยหลิงที่ปกติไม่ชอบออกกำลังกาย ยังรู้สึก
จินฮั่วกำลังเอามือกุมอก สูดหายใจแรงๆ อย่างโล่งใจสุดๆ “โล่งอกแล้วจริงๆ โอ๊ยๆๆ ขอบคุณพี่หย่งมาก!”ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องกังวล ว่าเดินลงเขาไปแล้วจะมีผีตัวน้อยขึ้นมานั่งบนคอ ตามไปกินไปอยู่ถึงบ้านแล้ว!! ใครจะเข้าใจความรู้สึกของเขา ที่ต้องเห็นผีเด็กมาเรียกว่าพ่อ กินขนมดื่มโคล่าของเขา มันสะเทือนโลกทัศน์มากแค่ไหน!!หย่งฟางเหลือบมองดูเวลาเกือบเก้าโมงแล้ว จึงถามพวกเพื่อนๆ “พวกเธอต้องไปถึงบริษัทตอนกี่โมง?”จงเค่อหรงและฉู่หนานซือตอบพร้อมกัน “ผู้จัดการบอกให้เราไปถึงก่อนเที่ยง”“งั้นฉันคงพาไปเลี้ยงข้าวที่ศาลเจ้าไม่ทันแล้ว ลงเขาไปตอนนี้กว่าจะถึงในเมืองก็สิบเอ็ดโมงพอดี”ทั้งห้าคนเห็นด้วย “งั้นเอาไว้ครั้งหน้า พวกเราลงเขาตอนนี้เลยก็แล้วกัน”หย่งฟางพยักหน้า “ฉันไม่ไปส่งนะ ยังต้องเฝ้าธูปให้ไหม้หมดก่อน”จินฮั่วตะโกนขอบคุณอีกครั้ง “อาจารย์หย่ง! ฉันเป็นหนี้เธอสิบมื้อเลยนะ!”หย่งฟางไม่ได้คิดอะไรนักหรอก สมัยที่หมอนี่ยังเป็นดาราเกรดบี พอใจจะเลี้ยงบาร์บีคิวให้สักมื้อก็ลืมไปเสียแล้ว จินฮั่วกับเพื่อนๆ เดินลงเขาไปขึ้นรถ เป็นลู่อวี่โจวที่ขับรถให้ พอขับออกจากเขาหลงหย่าผ่านไปสักระยะ จินฮั่วถึงค่อยๆ สัมผัสถึงความรู้สึก
[สรุปว่าแผลนี่มาได้ยังไงกันแน่?][เดี๋ยวสิ...ฉันดูไม่เข้าใจเลย ทำไมถึงได้รับบาดเจ็บแบบนี้ล่ะ?][เร็วเกินไป ฉันดูซ้ำไปหลายรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ตอนแรกเหมือนจะไม่มีอะไรเลย แล้วทำไมถึง…]ในหัวข้อเทรนด์ตอนนี้ เรื่อง “บาดแผล” ของเฟยอวี้ กำลังถูกถกเถียงกันอยู่ในโซเชียลมีเดีย ทุกคนพากันสงสัยว่าเขาได้รับบาดแผลบนใบหน้าได้อย่างไรณ เมืองถานจิง…ภายในสำนักงานของบริษัทสตาร์แอนด์มูนเอนเตอร์เทนเมนต์ จินฮั่วพยายามอธิบายจนปากแห้งให้ผู้จัดการฟัง แต่เขากลับถูกมองด้วยสายตาเหมือนคิดว่าเพ้อเจ้อไปเองจินฮั่วทำได้แค่ยืนยันซ้ำอีกครั้ง “มันเรื่องจริงนะครับ!! ผมโดนวิญญาณเด็กตาม มันมาอยู่ที่บ้านผม ทั้งกินทั้งนอนอยู่ที่นั่น! มันตัวสีเขียว ตาโต ฟันแหลม น่ากลัวมากๆ เลยครับ! แล้วยังพยายามจะให้ผมเป็นพ่อของมันอีก หย่งฟางบอกว่าถ้าไม่รีบส่งมันไป มันจะตามผมไปจนผมแต่งงานมีลูกเลย! หย่งฟางเป็นคนช่วยผมส่งมันไป!”ผู้จัดการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “ฉันจะนัดนักจิตวิทยาของบริษัทมาประเมินนายสักหน่อย”จินฮั่วหงุดหงิดจนแทบคลั่ง “อ๊ากก! พี่สวี่! ทำไมถึงไม่เชื่อผมเลย?!”สวี่จูกำลังเลื่อนโทรศัพท์อยู่ จู่ๆ ก็สะดุดตากับการแจ้งเตือนหนึ่งเข้า
ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดทึม ผู้จัดการหันมาบอกเฟยอวี้ “พักผ่อนสักหน่อย อย่าเปิดมือถือ อย่าไปดูข่าวบนเน็ตด้วย”เฟยอวี้หลุบตาลง ชนอนลงบนเตียง เสียงเปิดประตูดังขึ้นแล้วปิดลง ผู้จัดการออกไปแล้ว เฟยอวี้หนุนแขนตัวเอง แล้วความง่วงก็เข้ามาเยือนอย่างรวดเร็วแต่ในช่วงที่เขากำลังจะเคลิ้มหลับนั้น เสียงหัวเราะแหลมๆ ของเด็กก็ดังขึ้นข้างหู มันทั้งใสกังวานเหมือนระฆัง แต่ก็ฟังแปลกๆ ชวนขนลุก ความเย็นเฉียบแล่นไปทั่วแผ่นหลังของเขา ขนลุกชันไปหมด ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ จนเป็นเม็ด เฟยอวี้พยายามจะตื่นขึ้น แต่พบว่าขยับตัวไม่ได้เลยแม้แต่ปลายนิ้วก็ไม่สามารถกระดิกได้ เขาใช้แรงทั้งหมดเงยหน้าขึ้น เมื่อลืมตาอย่างยากลำบาก ภาพที่เห็นในความมืดมัวคือร่างของเด็ก ที่ตัวเป็นสีเขียวกำลังนอนทับบนหน้าอกของเขา ดวงตากลมโตที่มองมานั้นดำสนิทไร้ก้นบึ้งเหมือนมีเพียงความว่างเปล่ามันแสยะยิ้ม เผยให้เห็นฟันแหลมคมในปากเล็กๆ “พ่อจ๋า พ่อจ๋า…” วิญญาณเด็กเอ่ยเรียกด้วยความตื่นเต้น ดูร่าเริงเหมือนลูกแมวน้ำที่กระพือหาง แขนเล็กๆ ของมันฟาดลงบนอกของเขา“ขอกินนม!” จากนั้นมันก็อ้าปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลม แล้วกัดลงไปที่หน้าอกของเขาอย่างแรง เ
หอพักหญิง อาคาร 3A หน้าห้อง 702หลังจากหญิงสาวในห้อง 701 บอกว่า “ห้อง 702 ไม่มีคนอยู่” คำพูดนั้นทำเอาสาวๆ จากห้อง 602 กรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด ถ้าห้อง 702 ไม่มีใครอยู่ แล้วเสียงฝีเท้าเหล่านั้นมาจากไหน?เสียงกรีดร้องทำลายความเงียบของค่ำคืน ไฟทางเดินที่ควบคุมด้วยเซ็นเซอร์เสียงสว่างวาบขึ้นทีละชั้น เสียงโลหะขูดพื้นดังมาจากชั้นล่าง คุณป้าผู้ดูแลหอพักเปิดประตูห้องพัก รีบมองจอมอนิเตอร์กล้องวงจรปิด แล้วกดลิฟต์ขึ้นมายังชั้น 7“เอะอะอะไรกัน! เสียงดังจนคนทั้งตึกได้ยิน!” เมื่อมาถึง คุณป้าผู้ดูแลตำหนิ ก่อนหันไปมองเด็กๆ “พวกเธอห้อง 602 ใช่ไหม? มาเดินเพ่นพ่านอะไรตอนนี้? ไม่รู้เหรอว่าห้ามออกจากห้องหลังไฟดับ?”หญิงสาวจากห้อง 701 รีบช่วยอธิบาย “พวกเธอบอกว่าได้ยินเสียงคนเดินในห้อง 702 เลยขึ้นมาดู...คุณป้า ห้อง 702 มีใครอยู่หรือเปล่าคะ?”คุณป้ามองพวกเธอด้วยสายตานิ่งเรียบ “ห้อง 702 ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว”คำตอบนั้นทำให้สาวๆ จากห้อง 602 ใจหายวาบ หญิงสาวจากห้อง 701 เริ่มลังเลก่อนถามด้วยเสียงสั่น “ป้า... รุ่นพี่บอกว่าหอพักหญิงที่นี่มีผี เรื่องนั้นจริงหรือเปล่าคะ?”“พวกเธออย่าไปเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนั้น” คุณป้
"รับคำทำนายก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกัน" หย่งฟางเอ่ยขึ้นพลางมองแถวคนที่ยืนรออยู่ด้านหลังมีผู้หญิงสี่คนเข้ามาถามคำทำนายทีละคน สองคนถามเรื่องการเรียน อีกสองคนถามเรื่องความรัก กุ่นกุ่นช่วยตอบคำทำนาย หย่งฟางไม่ได้พูดเสริมอะไร มีเพียงกระซิบเบาๆ "ทำนายได้ดีมาก จากนี้ลูกค้าอื่นๆ ให้คุณดูแลคนเดียวเลย ทำให้มั่นใจหน่อย อย่าพูดติดขัด ถ้าคิดว่าจะติดก็พูดคำสำคัญสั้นๆ ก็พอ"กุ่นกุ่นพยักหน้า เรื่องนี้เฒ่ากัวเคยสอนเขามาก่อนแล้ว แนะนำให้พูดแบบเว้นจังหวะบ้างเพื่อให้ดูเป็นปริศนาและน่าเกรงขาม จากนั้นหย่งฟางพาผู้หญิงสี่คนไปยังห้องน้ำชา ขอให้พวกเธอดื่มชากันคนละแก้ว"ฉันก็ไม่คิดว่าเราจะได้เป็นเพื่อนร่วมสถาบันกัน ฉันเพิ่งรู้ว่าพี่เรียนที่วิทยาลัยศิลปะถานจิง ตอนฉันเห็นภาพวาดกับชื่อพี่ในห้องแสดงผลงาน" ฉู่เสี่ยวเฉียวพูดขึ้นรูมเมตของเธอพยักหน้า "ใช่เลย หย่ง...อาจารย์" ผู้หญิงคนนั้นลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะเรียกหย่งฟางว่าอะไรดี"ทำไมเธอถึงไม่มีรูปอยู่ในชั้นวางศิษย์เก่าที่โดดเด่นล่ะ?"หย่งฟางยิ้มก่อนตอบ "เคยเห็นใครทำงานด้านศาสตร์ลึกลับ แล้วไปเป็นศิษย์เก่าที่โดดเด่นบ้างไหม?"คำพูดนั้นทำให้ผู้หญิงทั้งหมดหัวเราะออกมา ข
[สุดยอดไปเลย หย่งฟางไปหาลูกศิษย์มาจากที่ไหนนะ ทั้งหนิงหมี่และหลงหยวนหยวนเ หมาะจะไปเป็นไอดอลทั้งกลุ่มหญิงและชายได้เลย][หย่งฟางเปิดบริษัทจัดการบันเทิงไปเลยเถอะ]ในที่สุด #เสวียนเว่ยเอ็นเตอร์เทนเมนท์ (#บริษัทบันเทิงเสวียนเว่ย) ก็กลายเป็นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ #วัดเสวียนเว่ย (#ศาสตร์ลึกลับของหย่งฟาง)เหล่าชาวเน็ตช่วยกันแบ่งตำแหน่งให้เสร็จสรรพแล้ว[#บริษัทบันเทิงเสวียนเว่ยCEO: หย่งฟาง อันดับหนึ่งฝ่ายหญิง: หนิงหมี่ อันดับหนึ่งฝ่ายชาย: หลงหยวนหยวน][ส่วนอาจารย์อ้วน กับอีกสามคนก็เป็นผู้จัดการไปละกัน]เหล่าลูกศิษย์มนุษย์ที่คอยติดตามข่าวในโซเชียลเกี่ยวกับวัด: หือ?หยิบโทรศัพท์เก็บกลับไป มองดู ‘อันดับหนึ่งฝ่ายชาย’ และ ‘อันดับหนึ่งฝ่ายหญิง’ตอนนี้เป็นช่วงหกโมงเย็น หลังจากทานอาหารเสร็จ สองคนนี้ก็สู้กันตั้งแต่ฝั่งตะวันออกไปจนถึงฝั่งตะวันตก เพื่อแย่งควันธูปกัน นี่กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ของอันดับหนึ่งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่ต้องทำทุกวันไปแล้วเพราะหย่งฟางแจกควันธูปอย่างเท่าเทียม ตอนแรกให้ทั้งคู่คนละสองแท่ง แต่หนิงหมี่ไม่พอใจ “ข้าทำงานตั้งขนาดนี้ ส่วนเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมถึงได้เท่ากับข้า! ข้าไม่สน จ
ณ จุดนี้ในวัดเสวียนเว่ยมีสมาชิกทั้งหมดแปดคนเจ้าของอาราม: หย่งฟางศิษย์: หนิงหมี่, เฒ่ากัว, ห่าวจาวไฉ, จินเหยาไต้ ,ไฉหยวนกุ่นกุ่นผู้พักชั่วคราว: วิญญาณลูกกลมสีเทาผู้ไม่ได้รับเชิญ: หลงหยวนหยวนทั้งแปดคนนี้ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตจากสี่ประเภท ได้แก่ คน เทพ วิญญาณ และปีศาจ"อาจารย์หย่ง คุณคิดจะเก็บสิ่งมีชีวิตทั้งหกไว้ที่นี่หรือ?" ห่าวจาวไฉโบกพัดกระดาษพร้อมถามหย่งฟางเผยยิ้มขมเล็กน้อย จะพูดอย่างไรดี? ตัวตนของหนิงหมี่กับหลงหยวนหยวนนั้น ไม่ใช่ว่าเธอเต็มใจรับเข้ามา คืนนี้พระจันทร์สีเงินส่องสว่างกลางท้องฟ้า หลังจากที่หย่งฟางไหว้เทพเจ้าวัดเสร็จ เธอก็เดินออกจากวิหารหลัก หนิงหมี่กับวิญญาณลูกบอลกลมสีเทา ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนในลาน กำลังตั้งใจเรียนวิชาภาษาชั้นประถมปีที่ 1 ที่ถ่ายทอดสด คราวนี้หย่งฟางเรียนรู้แล้ว เธอจึงหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าที่ตั้งค่าใหม่ให้พวกเขาใช้ขณะเดียวกัน หลงหยวนหยวนที่โดนสองสาวรังเกียจ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ในสวนอีกฝั่ง เจ้าหนุ่มชุดดำไม่สนใจเลยที่ตนเองไม่ได้รับความชื่นชอบจากใคร แค่เอนตัวรับลมเย็นอย่างสบายใจ ด้านเฒ่ากัวกับคนอื่นๆ เตรียมไฟฉายและพร้อมจะลงจากภูเขากลับบ้าน"เดี
"อย่างพี่สาวเหอ ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนดีมากๆ ไม่เคยทำเรื่องไม่ดีเลย แถมครอบครัวก็ใจดี แม้ว่าเราจะพูดกันไม่นาน แต่ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดอยู่เหมือนกัน แต่อย่างที่บอก พราะเธอเป็นคนดี ฉันก็ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอึดอัดหรือไม่""ส่วนเรื่องจางยู่เฟ่ย ตั้งแต่ฉันมาที่โลกมนุษย์ ฉันก็เริ่มรู้แล้วว่ามีคนที่ไม่อยากทำอะไรด้วยตัวเอง หลายคนชอบหาทางลัด ถ้ามันเป็นทางที่ถูกต้องก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ค่อยเจอคนที่พยายามหาทางพึ่งพาคนอื่นแบบเธอ ทั้งที่เธอก็มีแขนขาครบ มีโอกาสมากมาย แต่กลับเหมือนมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง คิดแค่ว่าจะฝากชีวิตไว้กับผู้ชาย" หนิงหมี่พูดไปพร้อมกับทำท่าห่อไหล่เหมือนแมวน้อยที่กำลังครุ่นคิด"แต่พอคิดถึงเป่าฟู่กุ้ยและภรรยาของเขา ฉันก็รู้สึกว่าในโลกมนุษย์ก็ยังมีสิ่งดีๆ บ้างเหมือนกัน" หนิงหมี่พูดสรุปว่า "มนุษย์นี่ซับซ้อนจริงๆ ฉันไม่เข้าใจเลย"หลังจากที่ออกไปทำงานนอกสถานที่มาแค่สองวัน เทพธิดาน้อยก็ได้สัมผัสกับความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ พนักงานบนเครื่องบินเชิญพวกเธอไปยังห้องอาหาร หลังจากทานอาหารจนอิ่มหนำแล้ว หนิงหมี่ก็รู้สึกดีขึ้น"เป่าฟู่กุ้ยสุดยอดจริงๆ!" หนิงหมี่คิด "อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องนอนขดตัวอ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเจอนักพรตสาวตัวน้อย กลุ่มเฮ่ยไป่อู่ฉางก็รีบตื่นเต้นและวิ่งเข้าหาเธอ “หย่งน้อย เธอดูอ้วนขึ้นนะ!”“จะทักทายกันแบบสุภาพกว่านี้ไม่ได้หรือไงคะ?” หย่งฟางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอารมณ์ยมทูตขาวผู้เป็นพี่สาว ยื่นมือไปหยิกแก้มเธอทันที “ฉันหมายถึงหน้าเธอดูมีเนื้อขึ้นนะ! เมื่อก่อนเธอผอมกว่านี้”หย่งฟางสะบัดมือของเธอออกเหมือนปัดแมลงวันยมทูตดำก็ทักขึ้นบ้าง “ถ้าจะให้สุภาพ ฉันก็ทำได้” จากนั้นเขาก็พูดต่อ “หย่งน้อย เราเสมือนญาติผู้ใหญ่เห็นเธอเติบโตมาตลอด เธอก็ไม่ได้มาเยี่ยมเราเลย เราคิดถึงเธอ…”ยมทูตขาวพูดเสริมทันที “…พวกเราอยากได้ธูปหอมบ้างน่ะ”นี่แหละคือวิธีทักทายของพวกเขา หย่งฟางไม่ได้พูดอะไร เธอแค่ย่อตัวลงเปิดกระเป๋าเดินทาง แล้วหยิบธูปสองดอกออกมาหนิงหมี่เบิกตากว้าง “นั่นมันของฉันนะ!!” พูดจบก็พยายามจะแย่ง แต่หย่งฟางก็หลบมือไปจุดไฟ แล้วส่งให้ยมทูตขาวดำทันที“แค่นิดเดียว อย่าไปหวงนักเลย เด็กเล็กก็แบบนี้แหละ ชอบหวงของ”ยมทูตขาวดำกินควันธูปอย่างพอใจจนตาหรี่ลงเป่าฟู่กุ้ยมองยมทูตทั้งสองที่กำลังเคลิบเคลิ้ม…พวกเขาไม่ได้มารับเมียเขาไปโลกหลังความตายเหรอ? แล้วทำไมมานั่งกินของฝากที่บ้า
เปาฟู่กุ้ยมองนักพรตสาวด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงลังเล "ผม...ผมจะได้เจอเธอจริงๆ เหรอ? ภรรยาของผมไม่ได้...ไปอยู่ที่ยมโลกแล้วหรอกเหรอ?""ภรรยาของคุณน่าจะอยู่ข้างคุณตลอดเวลา เพียงแต่ช่วงนี้เธอคอยเฝ้าดูจางยู่เฟ่ยอยู่ เพราะสงสัยว่าคนคนนั้นจะทำอะไรแปลกๆ เราเลยไม่เห็นวิญญาณเธออยู่ในบ้านคุณตั้งแต่แรก" หนิงหมี่อธิบาย"ผม...ผมอยากเจอเธอ!" เปาฟู่กุ้ยพูดด้วยความรู้สึกสดใสขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับได้รับพลังชีวิต ใบหน้าของเขาดูเปล่งปลั่งทันที ทันใดนั้นก็นึกถึงสภาพตัวเอง จึงรีบลูบหนวดเคราที่เพิ่งงอกยาวและกล่าวออกไป "เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวผมต้องจัดการตัวเองก่อน ภรรยาผมไม่ชอบที่ผมดูสกปรกแบบนี้"หลังจากพูดจบ เปาฟู่กุ้ยลากตัวที่ดูอ้วนกลมขึ้นไปชั้นบน เพราะอาการบวมจากยาต้านซึมเศร้า เมื่อเขากลับลงมาอีกครั้ง หย่งฟางและหนิงหมี่ ก็ได้เห็นเปาฟู่กุ้ยในลุคใหม่ที่สะอาดสะอ้าน เขาโกนหนวดโกนเคราจนเกลี้ยงเกลา สระผมจนหอมสะอาด ใบหน้ากลมอวบอิ่มดูสดใสขึ้นทันที เขาใส่สูทสากลและเนคไทเรียบร้อย สวมรองเท้าหนังแม้หน้าตาของเขาจะไม่หล่อเหลามากนัก โดยเฉพาะส่วนแก้มที่อ้วนดูเหมือนผู้ชายธรรมดา แต่ในลุคนี้เขากลับดูอ
หลังจากที่จางยู่เฟ่ยพ่นเลือดออกมา หมอกสีเทาที่วนเวียนอยู่ระหว่างคิ้วของเปาฟู่กุ้ย ก็พลันสลายหายไปทันที แม้ว่าจางยู่เฟ่ยจะมองไม่เห็นพลังงานลี้ลับเหล่านี้ แต่เธอกลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อท่านประธานทำตามคำแนะนำของสาวน้อยข้างกายเถ้าแก่เปาเปิดตาขึ้น ยกมือออกหู และมองเลขาอีกครั้งด้วยสายตาที่กลับมาสดใส ปราศจากอาการลุ่มหลงผิดปกติใดๆ จางยู่เฟ่ยตกใจ รีบควานหาบางสิ่งในกระเป๋าของตัวเอง แต่กลับพบว่ามันหายไป“หาอันนี้อยู่หรือเปล่า?” น้ำเสียงเย็นชาแฝงความเหนือชั้นดังมาจากหย่งฟางเมื่อจางยู่เฟ่ยหันไปมอง ก็พบว่ากระดาษยันต์สามเหลี่ยมในมือของหย่งฟาง ถูกฉีกเป็นสองส่วนอย่างเรียบร้อยหนิงมี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มขำ ส่วนหญิงสาวในชุดขาวร่างโปร่งแสงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับจางยู่เฟ่ย เธอยกนิ้วโป้งให้หนิงมี่ด้วยความชื่นชมใบหน้าของวิญญาณสาวผู้นี้ คือใบหน้าเดียวกันกับหญิงสาว ในภาพถ่ายที่พบในห้องใต้หลังคา ใช่แล้ว... ภรรยาของเปาฟู่กุ้ยยังไม่ได้ไปสู่สุคติ ช่วงนี้เธอสังเกตเห็นความผิดปกติของสามี และหลังจากจับตามองเลขาส่วนตัว ก็พบว่าคู่กรณีใช้คาถามาควบคุมใจสามีของเธอเธอก็พบว่านักพรตสาวจากสำนั
เมื่อวางสายไปใบหน้าของเถ้าแก่เปาแสดงอาการหลงใหล ราวกับถูกบางสิ่งควบคุม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและความคิดถึงอย่างท่วมท้น หย่งฟางรีบสวดคาถาเคลียร์จิตใจ ก่อนจะใช้นิ้วแตะเบาๆ ที่หน้าผากของเขา ความอ่อนโยนที่เคยแสดงบนใบหน้าของเปาฟู่กุ้ย หยุดชะงักราวกับถูกหยุดเวลา หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาเป็นปกติ แต่ยังคงมีท่าทางงุนงงหย่งฟางเปิดปากถาม "คนที่โทรหาคุณเมื่อกี้คือใคร?""คะ...คือ...เลขาของผม จางยู่เฟ่ย..." เปาฟู่กุ้ยมองหน้าหย่งฟางและหนิงหมี่ด้วยความสงสัย "มีอะไรเหรอครับ?" ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถจำความรู้สึกอ่อนโยน และความรักใคร่ที่เคยมีเมื่อครู่ได้เลยหนิงหมี่หันไปมองอาจารย์และกระซิบเบาๆ "คาถาชิงรัก"หย่งฟางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเปาฟู่กุ้ย "ตอนที่คุณโชคร้ายก่อนหน้านี้ มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณคุยกับเลขาของคุณเสร็จใช่ไหม?"เปาฟู่กุ้ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มจำได้ "เหมือนจะใช่ แต่ว่าช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยเจอโชคร้ายแล้วนะ"หย่งฟางอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบ "เพราะช่วงนี้คุณไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเธอเลย คาถาชิงรักคือการที่คุณถูกทำให้ตกหลุมรักคนที่ร่ายคาถานี้ ในตอนแรกคุณยังมีสติ คุณสาม