หลังวางสายจากอัลวานี เธอใช้โทรศัพท์หลักของหน่วยโทรสอบถามทันที
“ว่าไง? กำลังจะโทรหาพอดีเลย”
“หัวหน้าคะ! นอกจากเราสามคน ได้ส่งใครมาอีกหรือเปล่า?”
“มี เป็นคนของเอ็นเอสเอที่เพิ่งจะติดต่อมา เขากำลังสงสัยและตามสืบที่มาที่ไปของเงินโอนจำนวนมหาศาลจากสำนักงานใหญ่ในสหรัฐ เข้าบัญชีบริษัทยาอาร์เอดี ผู้ผลิตและวิจัยยาชีวเภสัชภัณฑ์สาขาย่อยในทีแลนด์ เขาสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ จึงได้ส่งคนขอมาร่วมทีมกับเราเพื่อตามสืบเรื่องนี้ด้วย”
“แล้วทำไมพ่อไม่แจ้งพวกเราก่อนหน้านี้ล่ะ?”
“ฉันเพิ่งจะได้รับเรื่องเมื่อวานนี้เอง กำลังจะติดต่อไปวันนี้ ก็พอดีแกโทรมาเสียก่อน เออ!..ได้ข่าวว่ามีการวางระเบิดแถวพิพิธภัณฑ์ แกอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือเปล่า?”
“ใช่ค่ะ หนูว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ของที่พ่อให้ไปรับคืออะไรกันแน่?”
“เอ่อ..เอาเป็นว่าฉันยังบอกอะไรตอนนี้ไม่ได้ ทุกอย่างเป็นความลับระดับท็อปเอส ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จก็พอ”
พ่อวางสายไปแล้ว แต่เธอก็ยังนั่งครุ่นคิดอยู่ เธอไม่ชอบใจนักที่จะทำงานแบบถูกปิดหูปิดตา มันลับสุดยอดขนาดไหนกันถึงให้คนที่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทำงานนี้โดยไม่ให้รับรู้อะไร หญิงสาวส่ายหน้า แล้วกดโทรติดต่ออัลวานี
“เฮลโหล..รบกวนบอกเขาว่า วันนี้ฉันจะไปพบเขา”
…
วันนี้พริมโรสอยู่โยงเฝ้าบ้านคนเดียว เพราะเตวิชกับจอมทัพออกเดินทางไปสำรวจเป้าหมายแล้ว ส่วนผู้พันอิฟราอิมก็ส่งข้อความมาแจ้งว่ามีธุระด่วน รีบออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว
ในขณะที่กำลังเดินไปป้ายรถประจำทาง เธอก็เข้าแอปพลิเคชัน ที่ใช้สำหรับเรียกรถยนต์รับจ้าง หลังกำหนดจุดหมายปลายทาง ก็มีคนขับรถอูเบอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดตอบรับและจะมาถึงภายในสามนาที
ที่เปเรซคนส่วนใหญ่จะนิยมใช้แอปอูเบอร์ มากกว่าแอปท้องถิ่นอย่าง บิแท็กซี่ หรือไอแท็กซี่ หลายคนพูดว่ายอมที่จะจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกกับบริการที่ดีกว่า ปลอดภัยและสบายใจกว่า ถึงแม้รัฐบาลและกรมขนส่งจะบอกว่ามันผิดกฏหมาย และเรียกร้องให้ประชาชนหันไปใช้บริการรถแท็กซี่ ที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องก็ตาม
…
พอรถวิ่งมาได้สักครึ่งชั่วโมงก็ต้องจอดรอ ไม่สามารถไปต่อได้ เนื่องจากเกิดเหตุรถชนกันหลายคันตรงปากทางเข้าสวนสนุกขนาดใหญ่ใจกลางเมือง จนล้ำออกมาขวางถนนเล็กน้อย ทำให้รถรับจ้างคันที่เธอนั่งอยู่ไม่สามารถเลี้ยวขวาเพื่อกลับรถได้ จึงจอดรอดูเหตุการณ์อยู่อย่างนี้
ทันใดนั้น กลุ่มคนใส่สูทก็กรูกันลงมาจากรถ อีกด้านเป็นกลุ่มคนในชุดโต๊ปสีขาว ทั้งแขนทั้งตัวเสื้อยาวคลุมข้อเท้า ทับด้วยผ้าคลุมศรีษะ มีเชือกสีดำครอบกันผ้าเลื่อนหลุด บางคนก็สวมชุดคล้ายทหารสีเขียวขี้ม้าแบบซีดๆ คลุมผ้าสะระบั่นลายสีแดงขาวพันรอบศีรษะและหน้า เว้นไว้เฉพาะแค่ตา ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีอาวุธปืนอยู่ในมือยืนคุมเชิงหันหน้าเตรียมปะทะ
พริมโรสตะลึงมองเหตุการณ์ตรงหน้าตาไม่กระพริบ เพราะถ้าเกิดการยิงถล่มกันขึ้นมาจริงๆ รถรับจ้างคันนี้คงไม่พ้นที่จะโดนลูกหลงไปด้วยเป็นแน่
ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด จู่ๆ คนชุดเขียวที่อยู่ใกล้รถลีมูซีนคันที่อยู่ตรงกลาง ก็กระชากประตูรถด้านริมถนนให้เปิดออก ลากแขนเด็กชายอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบออกมา แล้วจับตัวลอยขึ้น โยนร่างเล็กบางไปที่กลางถนน ท่ามกลางความตกตะลึงของกลุ่มคนที่ยืนคุมเชิงกันอยู่ทั้งสองฝ่าย
เสียงประชาชนคนรอบข้าง พอเห็นการทารุณกรรมต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ก็ถึงกับกรีดร้องออกมาพร้อมกันสนั่น เต็มไปด้วยความตกใจและคาดไม่ถึง
คล้ายว่าจะโชคดีที่ขณะนี้ถนนกำลังว่าง เด็กชายจึงไม่เป็นอะไร แต่เมื่อมองไกลออกไป รถบรรทุกคันหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาด้วยความเร็วสูง ราวกับว่ามองไม่เห็นวัตถุใดๆ ที่กำลังกีดขวางอยู่กลางถนนนั้นเลยแม้แต่น้อย
"โอ๊ยย!! ขออัลลอฮฺได้โปรดช่วยคุ้มครองผู้บริสุทธิ์ด้วยเถิด! อาอูซูบิ้ลลาห์!"
คนขับรถอูเบอร์ร้องออกมาอย่างตกใจ ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือเหยียบคันเร่งแล้วขับถลาออกไปไกลร่างเด็กคนนั้นประมาณหนึ่ง แล้วหักพวงมาลัยขวางถนนไว้
พริมโรสถลาเข้าชิดขอบประตู เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เขาเริ่มออกตัวแล้ว ดังนั้นพอรถจอด เธอจึงเปิดประตูพุ่งตัวออกไปทันที แล้วคว้าตัวเด็กกอดไว้ด้วยมือหนึ่ง อีกมือประคองศีรษะด้านหลังกดแนบไปกับอก ตีลังกาม้วนตัวหลายตลบกลิ้งไปกับพื้นไปจนถึงเกาะกลางถนน
เสียงรถบรรทุกชนประสานงา กับรถยนต์รับจ้างคันนั้นดังสนั่นหวั่นไหว แรงกระแทกทำให้รถเล็กกระดอนไปข้างหน้าเล็กน้อย เมื่อรถใหญ่วิ่งเข้ามาปะทะอีกครั้ง ทำให้ช่วงหน้าของตัวรถรับจ้างเบนหัวออก แล้วเหวี่ยงหมุนมาจนเกือบถึงเกาะกลางถนนตรงที่เธอนอนหมอบอยู่ เธอกอดตัวเด็กไว้แน่น แล้วกลิ้งหลบลงไปที่พื้นถนนอีกฝั่งได้ทันเวลา ในขณะที่ตัวรถก็พุ่งอัดกระแทกกับเสาไฟที่เกาะกลางถนนพอดิบพอดี ผ่านนาทีวิกฤติแบบเฉียดเส้นผมไปเพียงนิดเดียว
"มิสๆ!! ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครอง! ผมลืมไปว่ามีผู้โดยสารอยู่ด้วย! ลัม อักศิต ฮาซา คอต๊ออีย์ มะอ์ซิเราะห์!! มะอ์ซิเราะห์!!" คนขับแท็กซี่ลืมใช้ภาษาอังกฤษรัวภาษาอาหรับด้วยความตกใจ เขาพร่ำพูดแต่ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ เป็นความผิดของเขา และขอให้ยกโทษให้เขา
"ฉันไม่เป็นไร คุณล่ะโอเคหรือเปล่า?"
"ผมออกจากรถมาทันเวลาพอดี รถคันนั้นวิ่งเร็วมาก ผมพาตัวเองรอดมาได้ แต่วิ่งไปช่วยเด็กไม่ทัน โชคดีที่มิสยังมีสติช่วยเอาไว้เสียก่อน ขอบคุณสวรรค์!"
ขณะนี้อีกฝั่งหนึ่งของถนน เสียงปืนยิงถล่มประจัญบานกันดังลั่น เสียงผู้คนหวีดร้องหนีตายไปทั่วบริเวณ พริมโรสพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง คนขับรถเข้ามาประคอง เธอยกศีรษะเล็กนั้นขึ้นเล็กน้อย แล้วสอดขาตัวเองเข้าไปเพื่อยกศีรษะของเด็กน้อยให้สูงขึ้น
ขณะนี้ทั้งเธอทั้งเด็กน้อยตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเลือดของใคร เธอสำรวจตัวเอง และให้คนขับรถสำรวจตามเนื้อตัวของเด็ก แต่นอกจากแผลสาหัสที่ศีรษะแล้ว ก็ไม่พบที่อื่นอีก คนขับรถส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้ เธอจึงเอากดปากแผลที่ศีรษะของเด็กชายเอาไว้
“เรียกรถพยาบาลให้ด้วยค่ะ!” เธอร้องบอกคนขับรถ เขาได้สติรีบล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงทันที
"เด็กเป็นอย่างไรบ้างครับ?" บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคมคาย นัยน์ตาคมกริบ เรือนร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อคลุมตัวยาวสีดำคลิบทองวิ่งข้ามถนนเข้ามาใกล้ ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ฝ่ามือจับเบาๆ ไปตามเนื้อตัวของเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายตรวจหาร่องรอยบาดเจ็บ
“มีแค่แผลตรงขมับนี้ค่ะ แต่เลือดออกเยอะเหลือเกิน! คงต้องรอให้รถพยาบาลมาก่อน ตอนนี้เราคงเคลื่อนย้ายเด็กไม่ได้จนกว่าหมอจะมา!”
“ผมแจ้งไปแล้วครับ กำลังจะมา!” คนขับรถร้องบอก
กลุ่มคนใส่สูทชุดดำ รูปร่างกำยำประมาณเจ็ดแปดคน วิ่งกรูกันเข้ามารายล้อมอยู่รอบตัว คล้ายจะเป็นกำแพงป้องกันการลอบทำร้ายซ้ำสอง
“ขอบคุณคุณทั้งสองคนสำหรับความช่วยเหลือในครั้งนี้ ถ้าไม่อย่างนั้น ลูกชายผมคงจะ…” นัยน์ตาเขาหม่นเศร้า กลืนก้อนสะอื้นลงคอ หญิงสาวสะท้อนใจ รู้สึกสงสารเด็กน้อยคนนี้ขึ้นมาจับจิตจับใจ เขาต้องมารับเคราะห์แทนผู้ใหญ่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
“คุณ..ขอบคุณคนขับรถคนนี้ดีกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีสติเสียสละทั้งรถทั้งตัวเองเข้าขวาง คุณคงจะสูญเสียมากกว่านี้ไปแล้วจริงๆ” ชายหนุ่มหันไปทางคนขับรถ จับมือเขาไว้ทั้งสองมือ
“ญาซากุมุลลอฮฺ ขอพระเจ้าทรงตอบแทนสิ่งที่ดีให้กับคุณ ผมจะตอบแทนความดีของคุณในครั้งนี้อย่างแน่นอน”
“ลาบะอ์ซ่า ขอเพียงพระเจ้าคุ้มครองผู้ทำความดีก็เพียงพอแล้ว” คนขับรถกล่าวอย่างถ่อมตน
“แล้วคุณล่ะ! บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? ถ้ายังไงไปโรงพยาบาลพร้อมกันเลย จะได้ให้หมอตรวจทีเดียว”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้บาดเจ็บอะไร” ขณะที่เธอกำลังพูดรถพยาบาลก็เข้ามาจอดพอดี
หมอและพยาบาลเข้ามาตรวจร่างกายของเด็กเบื้องต้น แล้วประคองตัววางบนเปลรถเข็น พาขึ้นรถแอมบูแลนซ์
“ไปโรงพยาบาลด้วยกันนะครับ คุณด้วย” เขาหันไปบอกคนขับรถ
“ไปเถอะครับมิส ตรวจสักหน่อยก็ดี อาจจะมีบาดเจ็บภายในที่คุณยังไม่รู้สึกตัวก็เป็นได้ คุณคนนี้เขาจะได้สบายใจด้วย” เธอมองบุรุษร่างสูงตรงหน้า ซึ่งมองเขม็งแกมบังคับ คล้ายกับคนที่คุ้นเคยกับการออกคำสั่งให้ทำตาม มากกว่าให้ขัดใจ จึงพยักหน้าอย่างจนใจ แล้วเดินตามเขาไปขึ้นรถ
…………………….
“ตอนนี้ พวกแกอยู่ที่ไหน!?!” เสียงทรงอำนาจตวาดใส่โทรศัพท์อย่างเกรี้ยวกราด
“เรากำลังขับรถตามเจ้าหนุ่มที่เป็นแฟนของยูทูปเบอร์คนนั้นอยู่ครับ”
“ไม่ต้องตามแล้ว! ฐานโดนถล่มยับ! รีบกลับมาเดี๋ยวนี้!!”
“ครับผม!”
หัวหน้าสาขาฯ สหพันธ์เฮซบุลปาโทรศัพท์ลงพื้นทันทีด้วยความเดือดดาล พลางนึกในใจว่าการที่สาขาเปเรซโดนล้างบางในครั้งนี้ องค์กรลับฮาริรีต้องมีส่วนรู้เห็นอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมถึงไม่มีการแจ้งเหตุฉุกเฉิน ให้กับทางสหพันธ์ฯได้รับรู้ล่วงหน้าเสียก่อน จะละทิ้งสหพันธ์ฯโดยการเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้ผู้อื่นได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ทำให้เห็นถึงศักยภาพของเหล่าสหพันธ์ฯ ว่าเข่นฆ่าได้ แต่มาหยามกันแบบนี้ไม่ได้!
…………………….
“ว่าไง? เจอตัวหรือยัง?” ผู้พันอิฟราอิมร้อนรนถามด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่งยวด
“พบแล้วกระหม่อม! ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”
“ว่าไงนะ!! ใครเป็นอะไร!” ชายหนุ่มตะโกนถามเสียงสูง ด้วยความตกใจ
“องค์ชายน้อยได้รับบาดเจ็บพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาทกำลังเฝ้ารอดูอาการอยู่”
“เรียกหน่วยอารักขานอกเครื่องแบบไปเพิ่ม ปะปนไปกับประชนชน คอยคุ้มครองฝ่าบาท”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
…………………….
Thobe/Kandura/Dishdasha - ชุดโตป หรือชุดโต๊ป เป็นชุดประจำชาติอาหรับเรียกแตกต่างกัน ในกลุ่มประเทศอาหรับส่วนเหนือ เรียกดิชดาชา(dishdasha) ยูเออีเรียก กันดูร่า (Kandura) ส่วนในซาอุดิอาระเบียเรียก โต๊ป (Thobe)
“มิส! เอ่อ..ผมขอทราบชื่อคุณได้ไหม?” พริมโรสมองบุรุษหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ซึ่งเป็นบิดาของเด็กชายที่ได้รับบาดเจ็บ รูปลักษณ์ของเขาดูสูงส่งสง่างาม บนร่างมีรัศมีแห่งอำนาจผิดแผกไปจากคนธรรมดา อีกทั้งยังดูสุขุมเยือกเย็น ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด บนริมฝีปากประดับรอยยิ้มเพียงเล็กน้อย กำลังนั่งลงที่เก้าอี้ข้างตัวเธอ พอได้เห็นชัดๆ แบบนี้ เธอรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นอย่างมาก แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใครหรือเคยเห็นที่ไหน บางทีอาจจะคล้ายคนรู้จักที่เป็นเพื่อนของเพื่อน หรืออาจจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการใดวงการหนึ่งก็เป็นได้ ซึ่งเธอก็เคยเห็นแบบนี้หลายครั้งในจอทีวี บางทีอยู่กันคนละประเทศ แต่รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงราวกับเป็นญาติพี่น้อง หรือฝาแฝดกันก็มี แต่ในทางวิทยาศาสตร์ ก็มีผลวิจัยทางสถิติที่ระบุว่า ‘มนุษย์ทุกคนจะมีคนที่หน้าเหมือนเราอีกเจ็ดคนอยู่ทั่วโลก’ โดยที่คนเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กันด้วยซ้ำ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ดอพเพลแกงเกอร์(doppelgänger)“นรากรค่ะ พริมโรส นรากร”“มิสนรากร พริมโรสคงเป็นชื่อจริงของคุณ.. เอ่อ..ผมขออนุญาตเรียกคุณว่า พริมโรสได้ไหม?”“ได้ค่ะ” หญิงสาวออกปากอนุญาต
กว่าพริมโรสจะมาถึงที่พักก็เย็นแล้ว เตวิชส่งข้อความมาบอกเกี่ยวกับเรื่องที่เธอให้เขาไปสืบเมื่อวันก่อน ว่ามีความคืบหน้าแล้ว เธอเลยบอกเจ้าของบ้านว่าเพลียของดอาหารเย็น แล้วรีบหนีเข้าห้องมาก่อน จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์โทรกลับไปอย่างไว“แหม! เลือกเวลาโทรได้ดีจริงๆ! ช้าอีกวินาทีเดียวฉันจะหยิ่งไม่รับสายเธอแล้วนะ!” เตวิชโวยวายทันทีที่รับสาย“ทำไมล่ะ? นายปีกกล้าขาแข็งพอที่จะต่อต้านฉันแล้วหรือไง!”“มิกล้า! ฉันกำลังจะเอาโดรนขึ้นบินสำรวจ ไม่ช่วยออกแรงแล้วยังมาก่อกวน ยัยจิ้งจอกเหม็น!”“อ้อ! งั้นก็บอกมาคร่าวๆ ที่สำคัญๆ ก็พอ”“ฉันให้คนสืบในหน่วยอื่นๆ กลับไม่มีข้อมูล พอดีมีเพื่อนที่ไว้ใจได้แฝงตัวอยู่ในองค์กรลับใต้ดิน เลยขอให้เขาช่วยสืบให้ ได้ข้อมูลมาว่าเป็นคนขององค์กรภราดรภาพต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ ชื่อที่เธอบอกมาเป็นตัวตนปลอม สำหรับเข้าทำงานที่สถานทูตโดยเฉพาะ เริ่มแฝงตัวเข้าไปเมื่อปีที่แล้ว แล้วก็…”“แล้วก็อะไร?”“มีข่าวลือที่ยังไม่ได้กรองมาว่า เป็นอดีตแฟนเก่าของคู่หมั้นเธอ นัยว่าสนิทสนมกันมากเกินเพื่อนร่วมงาน และเลิกกันไปเกือบปี ก่อนที่เขาจะมาคบกับเธอ”“เดี๋ยว! พวกเขาไปรู้จักกันได้ยังไง? แสดงว่าณัทธร
พอนึกได้ว่าตัวเองกำลังแอบนินทาเขาอยู่ในใจ ระยะเผาขน มิหนำซ้ำยังเป็นคำชมมากกว่าตำหนิ พลันทำให้พวงแก้มนวลเนียนแดงก่ำขึ้นมา หัวใจเต้นระรัว ความกดดันอย่างหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณหน้าอกจนรู้สึกวาบหวิว กดทับเสียจนทำให้หายใจลำบาก จำต้องหลบสายตาเขา จึงไม่ทันได้เห็นประกายลึกล้ำที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ที่ซ่อนเร้นอยู่ในแววตาของอีกฝ่ายชายหนุ่มมองขนตางอนยาวทาบไปบนผิวเนียนกระจ่าง คนตรงหน้าในยามที่เขินอาย ช่างงามจนแทบไม่อยากจะละสายตา เขาเลื่อนสายตาลง มองริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่อแวววาวท่ามกลางแสงสลัว ที่กำลังเผยอออกเล็กน้อยคล้ายเผลอตัว แต่กลับดูยั่วยวนท้าทายให้รุกประชิดในความรู้สึกของเขา พริมโรสช้อนตามองเขานิดหนึ่ง เห็นเขาจ้องมองอย่างไม่วางตา ทำให้เธอรู้สึกประหม่าวางตัวไม่ถูก มีความรู้สึกว่าทั้งหน้ากำลังร้อนผ่าวไปจนถึงใบหู เผลอใช้ปลายลิ้นสีชมพูเลียริมฝีปากที่จู่ๆ ก็แห้งผากขึ้นมากระทันหันให้ชุ่มชื้น พริบตานั้นในใจเขาพลันสั่นไหว ความเย้ายวนอย่างเป็นธรรมชาตินั้น ทำให้เขาควบคุมตัวเองต่อไปไม่ได้อีก การยั่วยวนในระดับนี้ ไม่ว่าชายใดก็ยากที่จะต้านทานไหว “เอ่อ..” เธอพยายามจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อกลบ
ในชั่วขณะที่ไม่มีใครมองเห็น คามิลล่ากวาดสายตามองผ่านไปหยุดนิ่งอยู่ที่ชายหนุ่มตรงหน้า มุมปากสีแดงเข้มได้ยกยิ้มขึ้นข้างหนึ่งอย่างรู้สึกพึงพอใจ แล้วเลือนหายไป เธอรู้สึกถูกตาต้องใจ ชายหนุ่มเจ้าของคหฤหาสน์หรูผู้นี้ไม่น้อย รูปลักษณ์เขาดูสง่างาม คล้ายจะมีรัศมีความสูงศักดิ์ และหยิ่งทะนงปกคลุมอยู่ทั่วเรือนร่าง ร่างกายกำยำล่ำสันไม่มีไขมันส่วนเกินแม้แต่น้อย คาดว่าคงจะออกกำลังกายเป็นประจำ ผิวของเขาดูคล้ำ ออกไปทางผิวสองสีหรือผิวสีน้ำผึ้ง ซึ่งค่อนข้างดูเป็นธรรมชาติ และเซ็กซี่ในแบบชายชาตรี นัยน์ตาคมกริบสีดำสนิท เวลายิ้มมีประกายหวานนิดๆ ดูดีมีเสน่ห์เป็นที่สุด หากโกนหนวดเคราที่รกรุงรังพวกนั้นทิ้งไปให้หมด คงจะดูหล่อเหลาคมคายมากกว่าที่เห็นตอนนี้เป็นแน่นอกจากรูปร่างหน้าตาเป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว อาชีพการงาน สถานะทางการเงิน ล้วนอยู่ในเกณฑ์ที่น่าสนใจ ไม่เสียแรงเสียเวลาในการสืบสานความสัมพันธ์ที่ดีต่อไปในอนาคต ไม่ว่าด้านไหนก็สมบูรณ์แบบไปหมด เสียอย่างเดียวตรงที่มีคู่หมั้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเธอ ไม่ว่าบุรุษใดจะใจแข็งสักแค่ไหน ก็ไม่เคยมีใครต้านทานเสน่ห์ที่เย้ายวนของเธอได้เลยสักคนถึงแม
พริมโรสแวะไปคุยกับยาร่าอยู่พักใหญ่ๆ จากนั้นก็ปลีกตัวมาทำงาน แต่เมื่อมาถึงห้องวอร์รูมก็ต้องแปลกใจ ตอนนี้ในห้องปฏิบัติการเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในส่วนต่างๆ จนทำให้ห้องที่เคยโล่งกว้างดูแคบไปถนัดตา เธอเดินเข้ามายืนมองเจ้าหน้าที่ที่กำลังบังคับบินเฮลิคอปเตอร์สอดแนมตัวจิ๋วอย่างเงียบๆ“นายหญิง” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันมาเห็นจึงทำความเคารพ คนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงก็หันมามองแล้วก็ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับโดยพร้อมเพรียง ยกเว้นเจ้าหน้าที่ห้าคนที่กำลังบังคับบินอยู่ เธอโค้งศีรษะตอบรับ อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้ต้องให้เกียรติเธอถึงขนาดนี้หรือจะเป็นคำสั่งของท่านเจ้าของบ้าน!“พื้นที่ที่กำลังตรวจสอบ เป็นเขตที่สงสัยว่าคุมขังตัวประกันอยู่ใช่ไหมคะ?”“ใช่ครับ เรากำลังสำรวจสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ติดกับอาคาร ผู้กองเตวิชให้พวกเราเข้าไปสอดแนมก่อน และคอยแบคอัพ ขณะนี้ผู้กองกำลังบินเข้าใกล้เป้าหมาย เพื่อเข้าไปสำรวจภายในอาคารแล้วครับ”“แล้วอีกที่หนึ่งล่ะคะ”“ยังเดินทางไม่ถึงครับ คาดว่าน่าจะคืนพรุ่งนี้”“คอปเตอร์แพคที่ผู้กองใช้ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า? เราทดสอบครั้งสุดท้ายเมื่อ…อ๊ะ!”“มานี่!” เสียงเ
กว่าพริมโรสจะหาวิธีแยกตัวมาได้ก็เกือบบ่าย เธออยากอยู่เป็นเพื่อนเล่นให้กับเด็กน้อยมากกว่านี้ แต่จนใจว่าเพลียเหลือเกิน เธอถูกปลุกตั้งแต่เช้า ตอนนี้เลยอยากจะนอนตายสักสองสามชั่วโมง ก่อนจะลากสังขารไปทำงานต่อหญิงสาวไขกุญแจแล้วเปิดประตูเข้ามาในห้อง แสงสว่างภายนอกผ่านเข้ามาตามรอยแหวกของม่านได้เพียงเล็กน้อย ส่วนลึกเข้าไปด้านในจึงเห็นเพียงแสงสลัวเลือนลางเธอเดินเข้ามาโดยไม่ได้เปิดไฟด้วยความคุ้นชิน แต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อมีวงแขนแข็งแรงโอบมารอบตัวจากทางด้านหลัง พร้อมๆ กับจมูกโด่งที่กดลงมาแรงๆ ที่แก้ม สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดกลิ่นคุ้นเคยระเหยเข้าจมูก ทำให้รู้ว่าบุรุษลึกลับผู้นี้เป็นใคร“คุณ!” พริมโรสดิ้นรนเต็มที่ พยายามกระทุ้งศอกไปทางด้านหลัง แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรเลย กลับใช้แขนแข็งแรงราวกับปลอกเหล็กรัดแน่นขึ้นไปอีก“อยู่นิ่งๆ เถอะ ขอแค่กอดเฉยๆ เท่านั้นแหละ แต่ถ้าดิ้นนักก็ไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น!” พอพูดจบ ก็เลื่อนจมูกมาซุกไซ้แถวซอกคอ ใช้ริมฝีปากขบเม้มเบาๆ ไปด้วย“เข้ามาทำไมคะ?” เธอพูดพลาง ย่นคอหนีการรุกรานของเขา ไรเคราที่ถากไปกับผิวเนื้อนุ่มทำให้รู้สึกจั๊กจี้ ลมหายใจร้อน
หญิงสาวนึกย้อนเหตุการณ์ ในวันที่เกิดระเบิดที่ปากทางเข้าตรอกแอนทีค วันนั้นมีคนตะโกนเรียกชื่อพยางค์หลังของเธอออกมาด้วยความตกใจ ทีแรกยังนึกว่าหูแว่ว ต่อมาได้ยินผู้พันเป็นคนเรียกจึงคิดว่าเป็นเขาเลยไม่ติดใจอะไร แต่พอมานึกทบทวนตอนนี้ โทนเสียงต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ทว่าสิ่งที่เธอกำลังสงสัย ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอไม่มีวันได้ยินเสียงทุ้มอ่อนโยนแบบนั้นในชีวิตจริงได้อีกแล้วพริมโรสหลับตานึกถึงในอดีต ภาพเจ้าของเสียงทุ้มอ่อนโยนของคนคนหนึ่งที่มักจะเรียกชื่อเธอแตกต่างไปจากคนอื่นว่า..‘โรส’ แจ่มชัดขึ้นมาในความทรงจำ แผลเป็นที่คอของเขาเกิดจากมีดพับของเธอเอง เธอกับเขาได้รับภาระกิจที่ทำให้ต้องอยู่ร่วมทีมเดียวกันบ่อยๆ และเข้าขากันได้เป็นอย่างดี ซึ่งใครๆ ต่างก็ดูออกว่าในความเข้ากันได้ดีแบบนี้ มีความสนิทสนมเกินกว่าจะเป็นแค่ผู้ร่วมงานธรรมดาทั่วไปวันนั้นเป็นวันที่ปฏิบัติภารกิจที่สุดแสนจะยากลำบาก แต่ก็สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ด้วยความโล่งใจผสมกับความดีใจเขาจึงคว้าเธอเข้าไปกอดโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้เธอตกใจมาก แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านขัดขืน เพราะเขาเคยพูดไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าหากทำงานนี้สำเร็จ จะขอเธ
เสียงหัวเราะหวานใสประสานเสียงของพริมโรสกับยาร่าดังเข้ามาถึงในห้องรับประทานอาหาร ทำให้ฮาน่าผู้ดูแลบ้านยิ้มออกมาอย่างมีความสุข นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ยินเด็กสาว หัวเราะอย่างเปิดเผยเช่นวันนี้“ฮาน่า! เจอตัวพอดีเลย หลังทานข้าวเสร็จ อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมนะ!” ยาร่าพูดออกมาอย่างตื่นเต้น“ได้ค่ะ คุณหนูไม่ต้องเป็นกังวล ดิฉันจะจัดการให้เรียบร้อย” ฮาน่ารับคำแล้วเดินออกไปเตรียมการคามิลล่าเดินนวยนาดเข้ามาในห้องอาหาร ด้วยกิริยาท่าทางสบายๆ บนใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนหวานประดับไว้ที่มุมปาก ชุดเดรสยาวผ่าด้านหน้าพลิ้วไหวไปตามการเยื้องย่าง เผยให้เห็นท่อนขาขาวเรียวงามวับแวมยั่วยวนสายตาพริมโรสมองดูเงียบๆ รู้ดีว่ากิริยาที่ดูไม่ตั้งใจนั้น แท้จริงแล้วได้ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เพื่อให้ดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้ามคามิลล่ากวาดสายตาคมกริบมองมาคล้ายไม่ตั้งใจ ก่อนที่จะหยุดพิจารณาที่สาวน้อย พลางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ที่เห็นว่ามีเด็กสาวอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ด้วย คงไม่ใช่ลูกสาวของเจ้าของบ้านหรอกนะ!!“เอ๋! บ้านนี้มีเด็กด้วยรึ? อย่าบอกนะว่าเป็นลูกสาวของผู้พัน!”คามิลล่าพูด ขณะเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง ใกล้กับเก้า
ค่ำคืนแห่งพระเกียรติ ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ณ พระราชวังขององค์สุลต่าน งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพถูกเนรมิตขึ้น อย่างวิจิตรตระการตา ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังส่องประกายด้วยโคมไฟแก้วเจียระไนระยิบระยับ พรมแดงทอดยาวจากบันไดสู่โถงต้อนรับ โต๊ะอาหารเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พร้อมเครื่องเงินแท้ที่ขัดเงาจนแวววาว เมนูรสเลิศจากเชฟมิชลิน ถูกเสิร์ฟแบบคอร์ส เคียงคู่กับเครื่องดื่มชั้นสูงจากทั่วทุกมุมโลก ขับกล่อมด้วยเสียงดนตรีออร์เคสตร้า ที่บรรเลงอย่างไพเราะ ทำให้ค่ำคืนนี้ สมพระเกียรติขององค์สุลต่านอย่างถึงที่สุด บรรดาผู้นำจากนานาประเทศ และทูตานุทูต ต่างตบเท้าเข้าร่วมงาน แขกเหรื่อล้วนเอ่ยปากชื่นชม ถึงบรรยากาศที่ได้รับการจัดเตรียมมาอย่างไร้ที่ติ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าหญิงไลลา สตรีหมายเลขหนึ่ง พระชายาของเจ้าชายอิดรีส ผู้ลงมาดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง อย่างละเอียดถี่ถ้วน บางคนถึงกับกล่าวชมต่อหน้าเจ้าชายอิดรีส ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้เขาจะยังคงยืนสงบนิ่งในท่าทีสุขุมเช่นเคย แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนเลือกคู่ครองไม่ผิด สายตาของอิดรีส
แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่รินรดา พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้ และไกลในเวลาเดียวกัน“ถึงเวลาแล้ว...จงทำตามสัญญา!”รินรดารู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกำลังล่องลอย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตกลงไปในความเวิ้งว้างอันไร้จุดสิ้นสุด เธอพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ไม่พบใครเธอหลับตาลงแล้วทันใดนั้น ภาพอดีตของเธอเมื่ออายุสิบห้าปีก็ย้อนกลับมา เธอเห็นตัวเองยืนอยู่หน้าหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องลับใต้พระราชวัง ความศักดิ์สิทธิ์ของมันทำให้เธอรู้สึกได้ ถึงพลังลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน เธอท่องบทสวดที่แอบจดจำไว้ พร้อมกับอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิต นั่นคือ..การตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็เริ่มฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองยืนอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาวไปสู่แสงสว่างที่อยู่เบื้องหน้า เธอรู้ว่านี่คือจุดที่ผู้ตายต้องเดินผ่านไปยังภพหน้า แต่แล้วเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง“รินรดา เธอยังมีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเองอยู่นะ”เบื้องหน้าของเ
ค่ำคืนแห่งความสุขมาถึง... ท้องฟ้ายามราตรีของอาณาจักรเปเรซประดับไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับ ขณะที่ปราสาทหลวง ถูกประดับด้วยผ้าม่านสีขาว และทอง ลวดลายอาหรับอันวิจิตร เจิดจรัสด้วยแสงไฟนวลอบอุ่น ของไฟระย้าคริสตัลสะท้อนแสง จนดูงดงามราวสรวงสวรรค์ ดอกไม้หายากจากทั่วทั้งอาณาจักร ถูกจัดวางประดับประดาไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่งดงาม ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง พรมเนื้อละเอียดทอดยาวตั้งแต่ประตูไปจนถึงแท่นพิธี โต๊ะเลี้ยงอาหารค่ำประดับด้วยผ้าปักทอง ดอกกุหลาบและลิลลี่ขาวบริสุทธิ์ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ตัดกับแสงเทียนที่กระพริบไหว ม่านบางเบาปลิวไสวไปตามสายลมเย็นของค่ำคืน พระราชพิธีอภิเษกสมรส ถูกจัดขึ้นตามขนบธรรมเนียม เป็นพิธีนิกะห์อันศักดิ์สิทธิ์ของโมเสลม ภายใต้กฎหมายชารีอะห์ และธรรมเนียมของราชวงศ์ ซึ่งแสดงถึงความงดงาม และเปี่ยมไปด้วยความหมาย นักวิชาการศาสนา(อุละมาอ์) ผู้ประกอบพิธี นั่งอยู่บนแท่นหินอ่อน ด้านข้างมีพยานฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากราชวงศ์และข้าราชบริพาร เจ้าชายอิสราร์ ประทับยืนในชุดทางการขององค์มกุฏราชกุมาร เสด็จเข้ามายังแท่นพิธี พระอ
บรรยากาศภายในพระราชวังเปเรซวันนี้ เต็มไปด้วยความสงบและเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ครบหนึ่งร้อยวันแห่งการจากไปของเจ้าหญิงรินรดา องค์สุลต่านทรงมีพระราชดำริให้จัด ‘โรงทานขนาดใหญ่’ เพื่อแจกจ่ายอาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ถือเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ภายในโรงทานถูกจัดขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เต็นท์ขนาดใหญ่ถูกกางเรียงรายภายในลานกว้างของลานพิธีหน้าพระราชวัง โต๊ะยาวหลายตัวถูกตั้งไว้ สำหรับแจกจ่ายอาหารร้อนที่ปรุงสำเร็จ และขนมหวานอาหรับ เช่น บาสบูซาและกุนาฟา รวมถึงน้ำดื่มเย็นๆ สำหรับประชาชนที่มาร่วมรับแจกอาหาร บรรดาข้าราชบริพาร และอาสาสมัครจากประชาชน ต่างช่วยกันแจกจ่ายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นวันแห่งความอาลัย แต่ทุกคนก็เต็มใจทำความดี เพื่อเป็นบุญกุศล ให้แก่เจ้าหญิงผู้ล่วงลับ นอกจากอาหารแล้ว ยังมีจุดแจกอาหารแห้ง และของใช้จำเป็น เช่น อินทผลัม ข้าวสาร น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส สบู่ และยาสามัญ เพื่อให้ผู้ยากไร้สามารถนำกลับไปใช้ที่บ้านได้ ภายในงานยังมีแพทย์อาสา คอยตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือสังคม ที่เจ้าหญิงรินรดาเคยผลักดั
เสียงไซเรนรถพยาบาลแผดก้องไปทั่วท้องถนน แต่รามิลไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หูของเขาอื้อไปหมด มีเพียงเสียงลมหายใจบางเบาของรินรดา ที่กำลังแผ่วลงทุกขณะ เป็นสิ่งเดียวที่เขากำลังโฟกัส เลือดของเธอเปรอะเปื้อนเต็มมือเขา ลามไปตามแขนเสื้อ แผ่นอก และหยดลงเป็นทางบนเปลพยาบาล ร่างเล็กที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับนอนแน่นิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงยิ้มให้เขา “คุณ..รามิล…” เสียงของเธอเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “รดา! เดี๋ยวเราก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว… แค่ทนไว้ก่อนนะรดา อย่าหลับนะ ได้ยินผมไหม!?” รามิลกุมมือหญิงสาวแน่น น้ำเสียงสั่นเครือ ความกลัวถาโถมเข้าใส่จนเขาหายใจแทบไม่ออก รินรดาไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะระบายลมหายใจบางเบา “ท่านพี่… ปลอดภัยไหม?” หัวใจของรามิลเหมือนถูกบีบจนแหลกสลาย เธอกำลังอาการสาหัส แต่ยังเป็นห่วงพี่ชายมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก “ปลอดภัย! เขาปลอดภัย..” รามิลเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นสะอื้น “ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วยฮึ!?” “เพราะเขาคือ… พี่ชายของฉัน” รินรดายิ้มจางๆ เสียงเธอขาดหายเป็นช่วงๆ เปลือกตาของเธอหนักอึ้งลงทุกที “รดา! อย่าหลับนะ! มองผมสิ มองผม!” มือของเธอใน
เสียงโกลาหลของฝูงชนยังคงดังก้องทั่วลานพิธี แต่แล้วจู่ๆ ผู้คนก็เริ่มแหวกออกเป็นสองทาง ราวกับคลื่นน้ำที่ถูกแบ่งออกโดยพลังที่มองไม่เห็น ท่ามกลางช่องว่างที่เปิดออก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในเงามืด แฝงตัวอยู่ในกลุ่มประชาชนที่กำลังแตกตื่น ในมือของเขากำปืนไรเฟิล ที่บรรจุกระสุนเจาะเกราะแน่น สายตาคมกริบกวาดไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง ก่อนจะกลับมาตรึงอยู่ที่เป้าหมาย บุรุษผู้ตายยากที่สุดเท่าที่เขาเคยสังหารมา ร่างสูงสง่าของเจ้าชายอิสราร์ ยืนเด่นอยู่บนลานพิธียกพื้น ราวกับถูกจัดวางให้อยู่ในระยะยิงอย่างเหมาะเจาะ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุด และต้องสร้างผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ถ้าจะต้องถูกจับหลังจากเหนี่ยวไก อย่างน้อยก็ขอให้มันได้ตาย..เพื่อสังเวยผู้ที่ข้ารักและเคารพเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ที่สมควรได้รับทุกสิ่งที่ปรารถนาบนโลกใบนี้!! “ตอนนี้แหละ!!” อาซีฟพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบยกปืนขึ้น ปึ่ก! แรงกระชากอย่างรุนแรง ทำให้ปืนในมือของอาซีฟหายไปในพริบตา เขาตวัดสายตาไปด้านข้าง แววตาเปลี่ยนเป็นโทสะสีเข้มจัด แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ชิงอาวุธไปจากมือเขา
ท้องฟ้าเหนือลานพิธี ถูกย้อมด้วยแสงสีทองของอาทิตย์ยามสายัณห์ แต่ภายใต้ความสว่างนั้น กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศอันหนักอึ้ง เสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบา ของประชาชนเริ่มดังขึ้นเป็นระลอก เมื่อหญิงสูงศักดิ์ผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในบริเวณลานพิธีอย่างสง่างาม พระชนนีแห่งเปเรซ ทรงฉลองพระองค์อย่างวิจิตร แต่ละย่างก้าวของพระนางแผ่รัศมีแห่งอำนาจ ทรงเชิดพระพักตร์เล็กน้อย ดวงเนตรเจิดจ้า เต็มไปด้วยความแน่วแน่และภาคภูมิ เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นทีละน้อย จากวงนอก ค่อยๆ แพร่กระจายออกไป “พระชนนีเสด็จ!” “พระนางมาเพื่อกอบกู้เปเรซ!” “พระมารดาของพวกเรา!” เสียงเรียกขานพระนามดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ มีเสียงโห่ร้องต้อนรับทุกที่ที่พระนางก้าวย่างผ่านไป ราวกับคลื่นมหาชนที่กำลังโหมกระหน่ำ พระชนนีทอดพระเนตรภาพตรงหน้าแล้ว ไม่อาจห้ามรอยแย้มสรวลที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ พระนางประสบความสำเร็จแล้ว ประชาชนกำลังเทิดทูนพระองค์ และนี่คือโอกาส ที่พระองค์จะประกาศตน ในฐานะผู้นำที่จะกอบกู้เอกราชของชาวเปเรซ จากเงื้อมมือแห่งความอยุติธรรม ขององค์สุลต่าน แต่แล้ว... เสียงอื้ออึงของฝูงชนก็เปลี่ยนไป จากเสียงเชียร์เป็น
“ดูเหมือนพวกเราจะมาผิดงานแล้วล่ะ?” พริมโรสพูดพลางกวาดตามองรอบตัว พวกนักโทษที่ตามมาหยุดเดินทันที มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เห็นได้ชัดว่าการกระโจนเข้ากลางวงล้อม ของมือสังหารกับตำรวจที่ติดอาวุธครบมือไม่ใช่แผนที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา “เอ่อ..พวกเรา… ฉันว่าเราควรจะให้พวกเขาจัดการกันเองไหม?” นักโทษคนหนึ่งกระซิบกับพรรคพวก “ใช่ๆ เรามันแค่คนผ่านทางมา อย่าไปขวางมือขวางเท้าพวกเขาเลย” อีกคนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่คนอื่นๆ จะค่อยๆ ถอยออกห่างกลุ่มลูกพี่ ไปรอดูอยู่รอบนอก พริมโรสเดินนำเตวิชกับจักรินข้ามถนนมา แล้วเดินทะลุเข้าไปกลางวงล้อมที่กำลังตึงเครียดอย่างไม่รู้สึกรู้สา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มอยู่บนริมฝีปาก ก่อนจะปรายตามองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างรินรดา “โอ๊ะ!” พริมโรสยกมือเท้าสะเอว “นี่รุ่นพี่กลายเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปแล้วหรอ?” รามิลเลิกคิ้ว หัวเราะเบาๆ“แล้วทำไมสภาพเธอ ถึงเหมือนคนหลงทางอย่างนี้ล่ะ?” พริมโรสหัวเราะออกมา “ฉันเดินมาไกลมากเลยนะ จากพระราชวังมาถึงโรงพยาบาลนู่นน่ะ” “นี่!..เอาไว้ค่อยทักทายกันทีหลังได้ไหม พวกเรายังติดอยู่ในวงล้อมอยู่นะ!” เตวิชพูดเสียงเครียด สายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มคนร
“ยังมีเรื่องด่วนอีกเรื่องนึงค่ะ หน่วยข่าวกรองแจ้งมาว่ามีสายลับคนหนึ่ง ต้องการพบบอสเป็นการส่วนตัวด่วน เขาอ้างว่ามีรายงานลับจากองค์สุลต่าน ส่งถึงบอสโดยตรงค่ะ”“องค์สุลต่าน?” รินรดาค่อนข้างแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีเรื่องมีราวให้ต้องติดต่อกัน แต่ครั้งนี้กลับส่งสารมาถึงเธอโดยตรง “นี่ค่ะ สถานที่นัดพบ” เลขาปัดแท็บเล็ตบนมือนายสาว เพื่อให้ดูพิกัดของจุดนัดพบ รามิลเดินมาหยุดยืนข้างหลัง สายตาเหลือบมองในแท็บเล็ต ก่อนเอ่ยเสียงเครียด“คุณจะไปหรือไง?” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย“คงต้องไปค่ะ เขาอาจจะติดต่อท่านพี่ไม่ได้ จึงต้องส่งผ่านมาทางฉัน” “แน่ใจได้ยังไงว่าไม่มีอะไรที่ซับซ้อน? รามิลจ้องหญิงสาวเขม็ง จนเธอถอนหายใจเบาๆ “บอกตามตรงว่าไม่แน่ใจเลย เขาเป็นมนุษย์ที่เซ้นส์ผู้หญิงอย่างฉัน ไม่เคยตรวจจับอะไรได้เลย”“งั้นผมจะไปด้วย ผมเป็นห่วงคุณ”“ฉันก็เป็นห่วงคุณเหมือนกันนะคะ คุณเป็นชาวต่างชาติ ฉันไม่อยากให้มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับคุณ ฉันเติบโตที่นี่ รู้ทางหนีทีไล่ดีกว่า ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรอกค่ะ คุณรอท่านพี่อิดรีสอยู่ที่นี่เถอะนะคะ”“ไม่กังวลได้ยังไง เครือข่ายในเมืองถูกทำลาย แล้วผมจะติดต่อกับคุณยั