พริมโรสแวะไปคุยกับยาร่าอยู่พักใหญ่ๆ จากนั้นก็ปลีกตัวมาทำงาน แต่เมื่อมาถึงห้องวอร์รูมก็ต้องแปลกใจ ตอนนี้ในห้องปฏิบัติการเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในส่วนต่างๆ จนทำให้ห้องที่เคยโล่งกว้างดูแคบไปถนัดตา เธอเดินเข้ามายืนมองเจ้าหน้าที่ที่กำลังบังคับบินเฮลิคอปเตอร์สอดแนมตัวจิ๋วอย่างเงียบๆ
“นายหญิง” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันมาเห็นจึงทำความเคารพ คนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงก็หันมามองแล้วก็ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับโดยพร้อมเพรียง ยกเว้นเจ้าหน้าที่ห้าคนที่กำลังบังคับบินอยู่
เธอโค้งศีรษะตอบรับ อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้ต้องให้เกียรติเธอถึงขนาดนี้
หรือจะเป็นคำสั่งของท่านเจ้าของบ้าน!
“พื้นที่ที่กำลังตรวจสอบ เป็นเขตที่สงสัยว่าคุมขังตัวประกันอยู่ใช่ไหมคะ?”
“ใช่ครับ เรากำลังสำรวจสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ติดกับอาคาร ผู้กองเตวิชให้พวกเราเข้าไปสอดแนมก่อน และคอยแบคอัพ ขณะนี้ผู้กองกำลังบินเข้าใกล้เป้าหมาย เพื่อเข้าไปสำรวจภายในอาคารแล้วครับ”
“แล้วอีกที่หนึ่งล่ะคะ”
“ยังเดินทางไม่ถึงครับ คาดว่าน่าจะคืนพรุ่งนี้”
“คอปเตอร์แพคที่ผู้กองใช้ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า? เราทดสอบครั้งสุดท้ายเมื่อ…อ๊ะ!”
“มานี่!” เสียงเหี้ยมเกรียมคำรามดุดัน ดังขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เธอยังพูดไม่ทันจบประโยค อยู่ๆ ร่างคุ้นตา ใบหน้าถมึงทึงราวกับพยัพฝน ก็เดินตรงดิ่งเข้ามาคว้าข้อมือเธอจนตัวปลิวไปตามแรงดึง พาเข้าไปในห้องทำงานเล็กด้านหลัง แล้วกระแทกประตูปิดเสียงดังปังสนั่นหวั่นไหว
เจ้าหน้าที่ทุกคนในที่นั้น พากันมองอย่างตกตะลึงพรึงเพริด พอได้ยินเสียงกระแทกประตูปิด ต่างก็ทำท่ากลัวจนหัวหด ดึงสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว รีบหันกลับไปทำงานต่อ เพราะรู้ดีว่าเวลาที่เจ้านายพระองค์นี้มีอารมณ์เดือดดาลถึงขั้นสุดนั้น เลวร้ายเพียงใด
ในใจของแต่ละคน ต่างก็รู้สึกสงสาร นายหญิงร่างน้อยอ้อนแอ้นนุ่มนวลอ่อนหวาน ราวกับดอกกล้วยไม้ที่แสนเปราะบางผู้นี้เหลือเกิน
“อะไรของคุณ!” พอประตูปิด พริมโรสก็ขืนตัวไว้ ยกมือขึ้นสะบัด เพื่อให้หลุดออกจากพันธนาการทันที แต่ทว่าเขายังกำข้อมือไว้แน่น จึงกระชากเข้าหาตัว แล้วดันร่างบางไปจนติดกำแพงด้านหลัง จับข้อมือเล็กกดไว้กับผนังทั้งสองข้าง
“พอใจแล้วใช่ไหม!! อย่านึกว่าผมไม่รู้นะว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่”
“ฉันทำอะไรเล่า? อยู่ๆ ก็มาโวยวายเสียงดัง คุณคงไม่ได้ลืมใช่ไหมว่าเรากำลังแสดงละครกันอยู่!”
เขาจับรวบข้อมือเล็กไว้เหนือศีรษะด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างบีบคางของเธอไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ กัดฟันพูดออกมาเสียงต่ำ
“แล้วคุณล่ะ! เตือนตัวเองด้วยสิ! ผมไม่ใช่สิ่งของนะ นึกจะโยนให้ใครก็ทำได้!”
“ฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะเดือดเนื้อร้อนใจขนาดนี้นี่ นั่นไม่ใช่สเปคของผู้ชายทั้งโลกหรือไง!”
“ยัยโง่! ทีเรื่องนี้ทำเป็นหัวทึบ ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้! จะยั่วโมโหกันใช่ไหม!!”
“ฉันไม่ใช่พยาธิในไส้คุณนี่ จะไปรู้รสนิยมส่วนตัวคุณได้ยังไง! แล้วทำไมคุณต้องโมโหขนาดนี้ด้วยล่ะ ยัยนั่นเขาจะปล้ำคุณหรือไง?”
“ตามติดยังกับปลิงผี! ถ้าสิงผมได้คงทำไปแล้ว ไม่เคยรำคาญอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย! ให้ตาย!!”
“คุณก็เนียนๆ ไปสักหน่อยไม่ได้หรือไง คิดเสียว่าต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เสียสละเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้การทำงานราบรื่น คุณเองก็มีแต่ได้กับได้ ไม่มีอะไรให้ต้องเสียหายขาดทุนเลยนี่นา!” หญิงสาวพยายามยุยงปลุกปั่นให้เขาเห็นถึงผลประโยชน์ที่พึงจะได้ มากกว่าที่จะเสีย
“งั้นเรามาเสียสละด้วยกันดีไหม?” มือข้างที่ว่างล็อกคางมนไว้ ก้มหน้าลงมาหมายจะประทับจุมพิตที่ริมฝีปากอวบอิ่ม แต่หญิงสาวกลับเบี่ยงหน้าหนีเสียก่อน จึงพลาดไปโดนแก้มนุ่ม แล้วลงมาไซ้ที่ซอกคอนุ่มเนียน
“อ๊ะ! .. ไม่เอา! หยุดก่อน! มีอะไรคุยกันดีๆ” หญิงสาวพยายามต่อรอง เพราะเริ่มจิตในไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อเขาไล้มือไปที่สะโพกด้านหลังแล้วกดให้แนบชิดลำตัวเขายิ่งขึ้น
ตึงๆๆๆ
“นายท่านครับ! นายใหญ่กำลังมาจะมาถึงที่เรือนตะวันออกแล้วครับ!”
ชายหนุ่มชะงักเมื่อได้ยินเสียงรายงาน เขาปล่อยหญิงสาวจากพันธนาการทันที รีบไปเปิดประตู แล้วหันไปสั่งงานกับลูกน้องคนที่มารายงาน
“ไปบอกฮาน่า ให้เตรียมต้อนรับนายใหญ่ เร็ว!”
“ครับผม”
“คุณ..ไปกับผมไหม?” เขาหันมาถาม แต่หญิงสาวส่ายหน้า
“ไม่ค่ะ อีกสักพักฉันจะไปนอนแล้ว” หญิงสาวพูดด้วยลมหายใจที่ยังหอบ
เขาพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินออกไป
…………………….
ติ๊ดๆๆ ตี๊ดดด!! ติ๊ดๆๆ ตี๊ดดด!!
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ เสียดเข้าไปในโสตประสาททั้งห้า กระตุ้นร่างไร้วิญญาณที่กำลังดื่มด่ำกับการหลับไหล ให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมารับรู้ มือเรียวเล็กควานหาต้นตอของเสียงไปทั่ว ทั้งที่ตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
เสียงที่ทิ่มแทงต่อมหลับใหล ยังดังทรมานแก้วหูอยู่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้เจ้าของร่างต้องลืมตาฝ่าความง่วงงุนมองหาที่มาของเสียง ปรากฏว่าหล่นลงไปอยู่ที่พื้นพรมหน้าเตียง จึงหยิบขึ้นมาแล้วสไลค์ไปข้างหนึ่งเพื่อรับสาย
“เฮ้! ตื่นได้แล้ว!”
“อะไรของคุณเนี่ย! ว่างนักหรือไง!” เสียงงุ้งงิ้ง ที่กำลังบ่นเขาด้วยความง่วงงุน ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู
“ลุก!! อย่าขี้เกียจ! ออกไปวิ่งกัน ผมรออยู่หน้าห้องคุณแล้ว!”
“ร่างฉันยังชาร์ตแบตไม่เต็มเลย คุณจะให้ฉันลากสังขารไปผลาญมันออกเสียแล้ว! ม่ายไป! ฉันจะนอน! แค่นี้นะ!”
เธอกดวางสาย แต่แค่วินาทีเดียวก็ดังขึ้นอีก
ติ๊ดๆๆ ตี๊ดดด!! .. ติ๊ดๆๆ ตี๊ดดด!! .. ติ๊ดๆๆ ตี๊ดดด!! .. ติ๊ดๆๆ ตี๊ดดด!!
“โว้ยยย!!” พริมโรสร้องออกมาเป็นภาษาไทยอย่างเหลืออด รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายด้วยความโมโห
“ผู้พัน! ให้ตาย! ละเว้นฉันเถอะ!”
“ไม่เอาน่าฮันนี่! ผมให้เวลาห้านาที ถ้าคุณไม่ออกมาดีๆ ผมจะเข้าไปปลุกถึงเตียงเลยนะ เลือกเอา!” เขาพูดจบก็กดวางสายไป
พริมโรสโล่งอก ในที่สุดเขาก็ยอมเลิกลา จึงทิ้งศีรษะที่หนักอึ้งลงกับหมอนอย่างสบายใจ แต่ไม่นานก็ต้องลุกพรวดขึ้นมานั่ง เมื่อนึกได้ว่าเขาสามารถเข้าออกในห้องเธอได้อย่างไร้ร่องรอย จึงรีบตะกายลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาทันที
…
หญิงสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าไปด้วย ก็นึกบ่นตัวเองไปด้วย เธอติดกล้องวงจรปิดขนาดจิ๋วเอาไว้เมื่อคืน เพื่อดูว่าเขาแอบเข้าห้องเธอจากทางไหนได้อีก แต่ก็ยังไม่มีเวลาไปตรวจสอบ เลยทำให้ต้องมาระแวงอยู่อย่างนี้
เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็รีบตรงไปที่ประตู กระชากเปิดออกอย่างไม่พอใจ นัยน์ตาคมหวานจ้องเขม็งอย่างเกรี้ยวกราด ปากอวบอิ่มสีแดงเรื่อเม้มเข้าหากันแน่น แก้มพองออกอย่างไม่สบอารมณ์
ยิ่งพอเห็นท่าทางกอดอกพิงผนังอย่างสบายอกสบายใจนั่นด้วยแล้ว ยิ่งทำให้อารมณ์ขุ่นมัว แต่พอนึกได้ว่าผู้ชายกะล่อนปลิ้นปล้อนผู้นี้เห็นการกลั่นแกล้งเธอเป็นเรื่องสนุก ราวกับว่าหากไม่ได้แกล้งแล้วจะลงแดงตายอย่างไรอย่างนั้น จึงเก็บอารมณ์ สะบัดหน้าหนีไปทางหนึ่ง แล้วเดินนำไปก่อน
ชายหนุ่มยืดตัวขึ้น เอื้อมมือไปดึงประตูปิด มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ มองไปที่แผ่นหลังของหญิงสาวด้วยแววตาร้อนแรง ไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดที่จะทำตัวเหมือนเด็ก คอยก่อกวนให้เธอเกิดอารมณ์ขุ่นมัวอยู่บ่อยๆ อาจเป็นเพราะเวลาที่หญิงสาวโมโหโวยวายโดยไร้เหตุผลนั้น ดูดีมีเสน่ห์อย่างที่สุด ยิ่งตอนที่หงุดหงิดและชอบใช้กำลังตัดสิน ดูมีชีวิตชีวาชวนมองเกินกว่าจะหักใจไม่ให้แกล้งเธอได้
…
พริมโรสหายใจหอบ เดินเข้ามาในห้องอาหาร แก้มแดงเต็มไปด้วยเลือดฝาด เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า เธอยิ้มให้สาวน้อยที่นั่งมองตาแป๋วแหววนิดหนึ่ง ก่อนที่จะรินน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มอย่างหิวกระหาย
“พี่สาว! หนูไปเคาะประตูเรียกหน้าห้องตั้งนาน คิดว่าพี่สาวเพลียจนไม่ยอมตื่นเสียอีก” พริมโรสยิ้ม เดินมายืนใกล้ๆ
“พี่สาวออกไปวิ่งกับคุณอาของหนูตั้งแต่เช้า แล้วนี่วาดอะไรอยู่จ๊ะ?”
“มกุฏราชกุมารของเปเรซค่ะ เหมือนไหมคะ?” ยาร่าเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน เฝ้ารอการถูกลูบศีรษะรับคำชมเชย
“พี่สาวก็จำหน้าท่านไม่ได้ แต่คนในรูปนี้รังสีอำมหิตฉายชัดมาก สีหน้ากระด้างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง ทั้งหยิ่งทั้งเย็นชา ทำหน้าเหมือนกับว่า ถ้ามีคนโง่มาพูดด้วย จะส่งผลให้ไอคิวของตัวเองลดระดับลงมาทันที หนูถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก! ทำให้คิดได้เลยว่า นี่คือตัวตนของเขาจริงๆ” ผู้พันอิฟราอิมตามมายืนอยู่ด้านหลัง เขาได้ยินบทสนทนาชัดเจน จึงเข้ามาดูอย่างสนใจใคร่รู้
พอเห็นผลงานของหลานสาว ก็อึ้งไปนิดหนึ่ง พลางคิดในใจว่า เด็กคนนี้อยากวาดให้เขาเป็นตัวอะไรกันแน่ ทำไมหน้าตาถึงได้ดูอำมหิตขนาดนั้น นอกจากเครื่องแบบของราชวงศ์ ที่วาดได้ถูกต้องแล้ว มีส่วนอื่นๆ ตรงไหนบ้างที่เหมือนเขา
“เดี๋ยวพี่สาวขอตัวไปอาบน้ำก่อน แล้วจะมากินข้าวด้วยนะ” ยาร่าพยักหน้า ยังยิ้มหน้าบานอยู่ตั้งแต่ได้รับคำชมเชย และยังค้างอยู่บนใบหน้าเมื่อมองเลยไปที่ผู้เป็นอา ที่กำลังนั่งลงตรงข้ามเธอ
“มีอะไรผีเสื้อน้อย จ้องหน้าอาทำไมกัน?”
“ท่านอากับพี่สาว เป็นคู่หมั้นกันจริงๆ หรือเพคะ?”
“จริงสิ! อะไรทำให้หนูคิดว่าเราสองคนไม่ใช่ล่ะ?” ชายหนุ่มยกแก้วน้ำเย็นขึ้นดื่มอย่างกระหาย
“ทำไมหนูไม่รู้สึก ถึงความสัมพันธ์แบบคู่รัก เลยสักนิดล่ะเพคะ เหมือนกำลังดูซีรีส์เรื่องหนึ่งมากกว่า ปลอมมาก! เฟคสุดๆ!”
พรืด!!
ผู้พันอิฟราอิมผู้สุขุมเยือกเย็นตลอดเวลา ถึงกับสำลักน้ำที่กำลังดื่ม มิหนำซ้ำยังไอแค่กๆ ไม่หยุด เมื่อถูกสาวน้อยนิสัยตรงไปตรงมาเกินขีดจำกัดคนนี้ เปิดเผยแผนการ ทำเอาเขาสีหน้าซีดเผือดไปหมด แม้กระทั่งเรื่องที่กำลังแอบกระทำลับหลังผู้คน ยังถูกเด็กคนนี้มองออก
อะ..อะไรกัน เด็กคนนี้?
“ยาร่า! หนูอินกับซีรีส์มากเกินไปแล้ว ชีวิตจริงไม่จำเป็นต้องแสดงออกทุกอย่างที่อยากจะทำหรอกนะ”
“แต่ก็ไม่ควรปกปิดเสียจน ดูเหมือนคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันนี่เพคะ ท่านพ่อเคยบอกไว้ว่า เวลาที่เรารักใครสักคนมากๆ มักจะเก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่ มันจะล้นออกมาทางสีหน้า แววตา และรอยยิ้ม ตลอดจนการกระทำ รวมถึงความรู้สึกที่อยากจะวนเวียนอยู่ใกล้ๆ คนที่เรารักตลอดเวลา ท่านอาดูเหมือนจะใช่ แต่พี่สาวกลับดูแตกต่าง เหมือนเป็นความสัมพันธ์แบบจำยอม หรือว่าพี่สาวไม่ได้รักท่านอา?”
ตรง..ตรงเกินไปแล้ว!! มันน่าปาดคอนัก!
ผู้พันอิฟราอิมคิ้วกระตุก กลืนน้ำลายอึกใหญ่ คิดอยู่ในใจว่านี่ใช่หลานสาวอายุสิบสามปีของเขาแน่หรือ เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า มีตัวประหลาดที่ทะลุมิติ มาแย่งชิงเรือนร่างเล็กๆ นี้ไปหรือเปล่า
“แต่ก็น่าเห็นใจพี่สาวนะเพคะ ถึงแม้ท่านอาจะดูน่ารัก น่าเคารพนับถือในสายตาของหนู แต่ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของท่านอาในสายตาของคนภายนอก ถ้าพี่สาวรู้อาจจะยอมรับไม่ได้”
“รับอะไรไม่ได้?” ชายหนุ่มรำพึงออกมาอย่างสงสัย
งานดี! พรีเมี่ยม! ตรงปกขนาดนี้ ยังมีอะไรที่รับไม่ได้??
ภายใต้ความคิดชั่วร้าย ยาร่าก้มหน้าลงนิดหนึ่งคลี่ยิ้มบางๆ ทว่าชั่ววูบเดียวเท่านั้น ก็กลับมายิ้มได้น่ารักไร้เดียงสา กิริยายังคงน่าเอ็นดูเช่นเดิม
“อ๊ะ! พี่สาวมาแล้ว!” เด็กน้อยรีบเงยหน้าส่งยิ้มสดใส ตีหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างแนบเนียน
“ว่าไงจ๊ะสาวน้อย ยิ้มเสียหวานเชียว ดูเหมือนรอยยิ้มประจบประแจงเพื่อหวังผลอะไรสักอย่าง”
“โอ๊ะ! หนูดูคนไม่ผิดจริงๆ รับหนูเป็นลูกสาวสักคนได้ไหมคะ?”
“ตำแหน่งน้องสาวยังว่าง ไม่อยากรับเล่นบทแม่เลยจริงๆ”
“น่าผิดหวังจัง หนูอยากมีคุณแม่ที่ทั้งสวยและจิตใจดี ทั้งยังหอมกรุ่นไปทั้งตัวแบบพี่สาวจังเลยค่ะ คืนนี้ให้หนูนอนด้วยได้ไหม มีพี่สาวนอนกอดอยู่ข้างๆ หนูคงหลับฝันดีทั้งคืนแน่เลย”
ชายหนุ่มมองมนุษย์เพศหญิงสองคนตรงหน้า ราวกับกำลังมองสิ่งแปลกประหลาดบนดาวโลก ที่เพิ่งจะโผล่พ้นผืนดิน พาลนึกโมโหว่า เสียรู้คนบางคนเสียแล้ว
พี่ชาย! ท่านช่างอำมหิตนัก! ส่งเจ้าตัวปัญหานี่มาบ่อนทำลายกันชัดๆ!
“ไม่อนุญาต! ร้ายนักนะเรา นี่ถ้าเป็นเด็กผู้ชาย มีหวังคงวาดลวดลายแข่งขันกับคุณอา!”
“หนูอาจจะพูดตรงกับความรู้สึกมากไปหน่อย นั่นเพราะหนูกับน้องไม่มีแม่ที่จะคอยอบรมสั่งสอนนานเกินไป คุณพ่อจำเป็นต้องทำงาน ทั้งยังต้องแบ่งเวลามาดูแลพวกเราอีก เขาก็คงต้องเหงาและขาดที่พึ่งทางใจเหมือนกันแน่ๆ ครอบครัวของพวกเราตอนนี้น่าสงสารที่สุดในแผ่นดินแล้ว!”
“ถ้าพูดแบบนี้ก็คงใช่ ตอนนี้หนูน่าสงสารที่สุดจริงๆ พี่สาวแทนที่คุณแม่ของหนูไม่ได้ แต่เป็นพี่สาวที่เจ๋งที่สุดได้อย่างแน่นอน รับรองว่าแฮปปี้สนุกสนานกว่ากันเยอะเลย!!”
“อ๊ะ! พูดแบบนี้ หนูอดใจไม่ไหวแล้ว เริ่มจากอะไรกันก่อนดี?”
“ประลองฝีมือ!” แววตาของพริมโรสทอประกายชั่วร้าย เผยรอยยิ้มชวนสะพรึงที่มุมปาก
ไม่กี่นาทีต่อมา การประชันเกมสตรีทไฟท์เตอร์ในตำนาน บนโทรศัพท์มือถือก็เริ่มขึ้น เสียงตวาดข่มขวัญคู่ต่อสู้ เสียงร้องประจัญบานเตรียมปะทะกันอย่างไม่กลัวเกรง ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่างไม่มีใครยอมใคร ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้า เดินหลบออกจากห้องรับแขก หลีกหนีเสียงโหวกเหวกโวยวาย ที่กำลังทำลายเส้นประสาทของเด็กแก่แดด กับผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักโตนั้นทันที
“ย๊ากกกกกก! พาวเวอร์ ครัช!”
“แดชๆ คอมโบ! .. เยสสส!!”
กว่าพริมโรสจะหาวิธีแยกตัวมาได้ก็เกือบบ่าย เธออยากอยู่เป็นเพื่อนเล่นให้กับเด็กน้อยมากกว่านี้ แต่จนใจว่าเพลียเหลือเกิน เธอถูกปลุกตั้งแต่เช้า ตอนนี้เลยอยากจะนอนตายสักสองสามชั่วโมง ก่อนจะลากสังขารไปทำงานต่อหญิงสาวไขกุญแจแล้วเปิดประตูเข้ามาในห้อง แสงสว่างภายนอกผ่านเข้ามาตามรอยแหวกของม่านได้เพียงเล็กน้อย ส่วนลึกเข้าไปด้านในจึงเห็นเพียงแสงสลัวเลือนลางเธอเดินเข้ามาโดยไม่ได้เปิดไฟด้วยความคุ้นชิน แต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อมีวงแขนแข็งแรงโอบมารอบตัวจากทางด้านหลัง พร้อมๆ กับจมูกโด่งที่กดลงมาแรงๆ ที่แก้ม สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดกลิ่นคุ้นเคยระเหยเข้าจมูก ทำให้รู้ว่าบุรุษลึกลับผู้นี้เป็นใคร“คุณ!” พริมโรสดิ้นรนเต็มที่ พยายามกระทุ้งศอกไปทางด้านหลัง แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรเลย กลับใช้แขนแข็งแรงราวกับปลอกเหล็กรัดแน่นขึ้นไปอีก“อยู่นิ่งๆ เถอะ ขอแค่กอดเฉยๆ เท่านั้นแหละ แต่ถ้าดิ้นนักก็ไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น!” พอพูดจบ ก็เลื่อนจมูกมาซุกไซ้แถวซอกคอ ใช้ริมฝีปากขบเม้มเบาๆ ไปด้วย“เข้ามาทำไมคะ?” เธอพูดพลาง ย่นคอหนีการรุกรานของเขา ไรเคราที่ถากไปกับผิวเนื้อนุ่มทำให้รู้สึกจั๊กจี้ ลมหายใจร้อน
หญิงสาวนึกย้อนเหตุการณ์ ในวันที่เกิดระเบิดที่ปากทางเข้าตรอกแอนทีค วันนั้นมีคนตะโกนเรียกชื่อพยางค์หลังของเธอออกมาด้วยความตกใจ ทีแรกยังนึกว่าหูแว่ว ต่อมาได้ยินผู้พันเป็นคนเรียกจึงคิดว่าเป็นเขาเลยไม่ติดใจอะไร แต่พอมานึกทบทวนตอนนี้ โทนเสียงต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ทว่าสิ่งที่เธอกำลังสงสัย ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอไม่มีวันได้ยินเสียงทุ้มอ่อนโยนแบบนั้นในชีวิตจริงได้อีกแล้วพริมโรสหลับตานึกถึงในอดีต ภาพเจ้าของเสียงทุ้มอ่อนโยนของคนคนหนึ่งที่มักจะเรียกชื่อเธอแตกต่างไปจากคนอื่นว่า..‘โรส’ แจ่มชัดขึ้นมาในความทรงจำ แผลเป็นที่คอของเขาเกิดจากมีดพับของเธอเอง เธอกับเขาได้รับภาระกิจที่ทำให้ต้องอยู่ร่วมทีมเดียวกันบ่อยๆ และเข้าขากันได้เป็นอย่างดี ซึ่งใครๆ ต่างก็ดูออกว่าในความเข้ากันได้ดีแบบนี้ มีความสนิทสนมเกินกว่าจะเป็นแค่ผู้ร่วมงานธรรมดาทั่วไปวันนั้นเป็นวันที่ปฏิบัติภารกิจที่สุดแสนจะยากลำบาก แต่ก็สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ด้วยความโล่งใจผสมกับความดีใจเขาจึงคว้าเธอเข้าไปกอดโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้เธอตกใจมาก แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านขัดขืน เพราะเขาเคยพูดไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าหากทำงานนี้สำเร็จ จะขอเธ
เสียงหัวเราะหวานใสประสานเสียงของพริมโรสกับยาร่าดังเข้ามาถึงในห้องรับประทานอาหาร ทำให้ฮาน่าผู้ดูแลบ้านยิ้มออกมาอย่างมีความสุข นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ยินเด็กสาว หัวเราะอย่างเปิดเผยเช่นวันนี้“ฮาน่า! เจอตัวพอดีเลย หลังทานข้าวเสร็จ อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมนะ!” ยาร่าพูดออกมาอย่างตื่นเต้น“ได้ค่ะ คุณหนูไม่ต้องเป็นกังวล ดิฉันจะจัดการให้เรียบร้อย” ฮาน่ารับคำแล้วเดินออกไปเตรียมการคามิลล่าเดินนวยนาดเข้ามาในห้องอาหาร ด้วยกิริยาท่าทางสบายๆ บนใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนหวานประดับไว้ที่มุมปาก ชุดเดรสยาวผ่าด้านหน้าพลิ้วไหวไปตามการเยื้องย่าง เผยให้เห็นท่อนขาขาวเรียวงามวับแวมยั่วยวนสายตาพริมโรสมองดูเงียบๆ รู้ดีว่ากิริยาที่ดูไม่ตั้งใจนั้น แท้จริงแล้วได้ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เพื่อให้ดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้ามคามิลล่ากวาดสายตาคมกริบมองมาคล้ายไม่ตั้งใจ ก่อนที่จะหยุดพิจารณาที่สาวน้อย พลางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ที่เห็นว่ามีเด็กสาวอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ด้วย คงไม่ใช่ลูกสาวของเจ้าของบ้านหรอกนะ!!“เอ๋! บ้านนี้มีเด็กด้วยรึ? อย่าบอกนะว่าเป็นลูกสาวของผู้พัน!”คามิลล่าพูด ขณะเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง ใกล้กับเก้า
ภายในห้องอาหารได้จัดปาร์ตี้เล็กๆ ขึ้น ทั้งห้องครึกครื้นไปด้วยเสียงดนตรีที่สนุกสนาน คนที่เริงร่าที่สุดหนีไม่พ้นสาวน้อยยาร่า นอกจากเธอและน้องชาย จะได้ใช้เวลาแห่งความสุขร่วมกันกับบิดาแล้ว ยังมีสมาชิกใหม่ที่ถูกใจเพิ่มขึ้นมาด้วยอีกเมื่อเพลงพื้นเมืองที่ใช้สำหรับงานเฉลิมฉลองเริ่มดังขึ้น ยาร่าก็เคี่ยวเข็ญให้ทุกคนลุกออกมาเต้นรำ ท่าที่ใช้ประกอบก็ไม่ได้ยาก สามารถเต้นตามกันไปได้โดยง่าย ฮาน่าเองก็เข็นรถให้องค์ชายน้อย เดินวนตามไปรอบวงด้วยเช่นกัน เด็กชายมีสีหน้าตื่นเต้นยินดี นัยน์ตากลมเล็กมีประกายแวววาวขึ้นเล็กน้อย แต่ริมฝีปากยังคงหุบสนิท ไม่ยิ้มและไม่พูดกับใครเช่นเคย ท่ามกลางแสงสลัวจากแชนเดอเลียร์ ผู้พันอิฟราอิมพยายามดึงมือให้พริมโรสลุกขึ้นเต้นรำอีก แต่เธอเริ่มรู้สึกเหนื่อยจากการที่เต้นติดกันไปแล้วสามเพลงจึงปฏิเสธ ฝืนร่างไว้ไม่ให้ไปตามแรงดึงของเขา ไม่ว่าจะพยายามออดอ้อนเท่าไหร่ เธอก็ยังยืนกรานคำเดิม เลยกลายเป็นโต้เถียงกันไปมาเบาๆ โดยลืมสนใจสิ่งรอบตัวไปเสียสนิทคามิลล่านั่งจิบไวน์อย่างเงียบๆ ขณะที่ช้อนสายตาขึ้นมองดูบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ข้างๆ ถึงแม้เธอพยายามจะชวนคุย แต่เขาก็ตอบมาเพียงสั้นๆ คล้าย
ลมหายใจร้อนผะผ่าวเลื่อนไล้ลงมาตรงหน้าอก แล้วก้มหน้าลงอ้าปากลิ้มชิมความอวบอิ่มของทรวงอกเต่งตูม คลอเคล้าครอบครองส่วนปลายยอดสีชมพูจางด้วยริมฝีปากและลิ้น ดูดเม้ม ขบเบาๆ ด้วยเรียวฟันครั้งแล้วครั้งเล่า“อื๊อ~..อ๊าาา!~” เธอไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เสียงครางแหลมเล็กดังสะท้อนก้องอยู่ในห้อง ไฟร้อนรุ่มในกายของหญิงสาว ร้อนแรงขึ้นตามเรียวลิ้นที่เขาใช้สัมผัสลูบไล้ในขณะที่ชายหนุ่ม ยังก้มหน้าใช้ปากและลิ้นร้อนระอุพรมจูบไปทั่วเนินอกสล้าง ฝ่ามืออีกข้างก็เลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ แทรกเข้าไปในใจกลางลำตัวที่หุบแน่นของหญิงสาว นวดคลึงกลีบอ่อนบางตรงใจกลางเนื้อนุ่มไปมาอย่างยั่วเย้า “อาาาา~”ปลายนิ้วร้ายสำรวจตรวจตราอย่างคล่องแคล่ว กระทั่งเห็นว่ากลีบนุ่มที่หุบแน่นนั้น ค่อยๆ เผยความชุ่มชื้นออกมา เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมาย สอดปลายนิ้วร้อนเข้าไปในร่องหนีบแน่นค้นหาความชุ่มฉ่ำที่ยังคงซุกซ่อนอยู่ แล้วเคลื่อนขยับนิ้วเข้าออก บางครั้งก็เร่งร้อน บางครั้งก็เชื่องช้า สลับกับการนวดคลึงโลมไล้ไปโดยรอบ จากนั้นเพิ่มความทรมานด้วยการสอดนิ้วที่สองเพิ่มเข้าไป“อ๊าาา!~…ซี้ดด~” เสียงหวานเปล่งเสียงครางออกมาอย่างสุขสม แล้วสูดปากด้วยความเสียวซ่าน
คามิลล่านั่งจิบไวน์อยู่ที่ระเบียงหน้าห้องพัก ด้วยสีหน้าและแววตาที่เรียบเฉย เบื้องหน้าคือสวนไม้ดอกร่มรื่น สายลมที่พัดเอื่อยเฉื่อย สามารถทำให้ผู้คนจิตใจปลอดโปร่งและคลายความตึงเครียดได้โดยไม่รู้ตัวเธอดึงขาขาวนวลเนียน ขึ้นมาวางไว้บนเบาะที่เป็นโซฟาหวายเทียมทรงกลม สำหรับวางกลางแจ้ง ทอดแขนเรียวยาวไว้บนพนักด้านหลัง แล้ววางแก้มนุ่มไว้บนต้นแขนกลมกลึง ทอดถอนใจออกมาอย่างผ่อนคลายและมีความสุข หนทางข้างหน้าราบรื่นมากกว่าที่เธอคิด และคงจะดีไม่น้อยถ้าเธออยู่ในฐานะสตรีอันดับหนึ่งของประเทศนี้ เธอปราถนาที่จะได้รับความรักความสนใจจากชายที่สูงส่งและสง่างามผู้นั้น เพียงได้อยู่ร่วมกับเขาสักคืนหนึ่ง ชีวิตนี้ของเธอก็เปี่ยมสุขแล้วหญิงสาวหมุนแก้วไวน์ในมือ น้ำสีแดงไหลวนจนเกิดเป็นประกายสะท้อนรับกับแสงแดด พลันนึกสาสมใจในผลสำเร็จบางอย่าง ทำให้ทอดถอนใจออกมาอย่างมีจริตมารยา ตามความเคยชิน แต่ในขณะที่มุมปากหยักโค้งขึ้น แววตาชิงชังก็ฉายชัดอยู่บนใบหน้า การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนี้ ทำให้ความงดงามที่ดูเย้ายวน เปลี่ยนเป็นชั่วร้ายไปได้ในพริบตาอย่าโทษฉัน! ต้องโทษที่เธอมันขัดหูขัดตา ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเขาไป!!“หึๆ เป็
ชายหนุ่มยิ้มทั้งปากและตา มองใบหน้าคมหวานพวงแก้มนวลอย่างรู้ทัน ดวงตาพราวระยับของเขาบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน แต่กลับพยายามรักษาความสงบนิ่งที่ภายนอกอย่างสุดชีวิต“ผมยังพูดไม่จบ ผมจะบอกว่า..ถึงผมจะรู้ว่ามันผิด แต่ก็ไม่ได้เสียใจเลย ถ้าให้กลับไปเลือกอีกครั้งผมก็จะทำมันอยู่ดี และไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไร รู้ตัวอีกทีผมก็ตกเป็นของคุณไปแล้ว คุณจะรับผิดชอบการกระทำที่แสนเร่าร้อนของคุณยังไง!” หญิงสาวคิ้วกระตุก หันขวับมาถลึงตาใส่เขาตั้งแต่ยังพูดไม่จบยัง..ยังจะกล้าพูด! เอาเปรียบผู้อื่นแล้วยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ แล้วก็เอามาป่าวร้องขยี้ย้ำให้คนอื่นยิ่งรู้สึกแย่! ช่างน่าโมโห!!พริมโรสใบหน้าแดงเข้มขึ้น นัยน์ตาลุกวาวราวกับไฟ มีความรู้สึกทั้งโกรธ ทั้งอับอายขายหน้า เมื่อได้ยินเขาพูดไหลลื่นได้อย่างไม่กระดากปาก ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีกับการกระทำของตัวเองเข้าไปใหญ่ คำพูดล้อเล่นของเขา ยั่วยุจนเพลิงโทสะพุ่งขึ้นสูง โมโหจนแทบจะเต้นเร่าๆ นึกอยากกระโดดเข้าไปบีบคอเขาให้สมกับความคั่งแค้น“คนไร้ยางอาย!! ดูสิว่าวันนี้ฉันจะตีคุณให้ตายได้ไหม!!”พอพูดจบ หญิงสาวก็ใช้แรงทั้งหมดพุ่งหมัดไปที่ใบหน้าหล่อเหลาไร้รอยตำหนิอย
“แต่ฉัน..ฉันทำไม่เป็น!”“ผมสอนเอง เกร็งขาไว้แบบนี้ แล้วยกสะโพกขึ้นลงช้าๆ..อาา~..ซี้ดด~..แบบนั้นแหละเด็กดี..สอนง่ายจริง!” ความเสียวซ่านพุ่งทะลุทะลวงทุกประสาทสัมผัส เสียงครางหวิวเล็ดลอดจากริมฝีปากอวบอิ่ม ร่างบางแอ่นหยัดโค้งเงยแหงนไปด้านหลังเหนือร่างของเขา ทรวงอกอวบชี้พุ่งท้าทายสายตา กระเพื่อมไปตามแรงเคลื่อนไหวอย่างน่าดูเขาสูดปากครางเสียงต่ำพร่า มึนเมาเคลิบเคลิ้มไปกับปฏิกิริยาของหญิงสาวทำให้อดใจไว้ไม่ไหว หยัดร่างขึ้นจูบลำคอระหง ลิ้นร้อนระอุลดเลี้ยวไล้วนบริเวณลาดไหล่ แล้วค่อยๆ ตวัดเลียอย่างช้าๆ เมื่อร่างบางสั่นสะท้านก็ขบเม้มไปเบาๆ อย่างไม่ให้ตั้งตัว“อาาาา~” เสียงครางสุดจะกลั้นเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอิ่ม ผมหลายปอยชื้นเหงื่อจนแนบติดข้างแก้ม เผยความงามหยาดเยิ้มปรากฏออกมาเนื่องจากขาดประสบการณ์ พอเกร็งไปนานๆ ก็เริ่มรู้สึกล้า จึงขยับควงสะโพกเป็นวงกลม หมุนเอวอ่อนปวกเปียกไปมาราวกับไร้กระดูก บิดส่ายเป็นจังหวะเพื่อพักการเกร็งขาเอาไว้ก่อน แต่กลับกลายเป็นเพิ่มความกระสันให้เขาไปโดยไม่รู้ตัว“ซี้ดดดด!~..อาา~..สุดยอด!~ เรียนรู้เร็วแบบนี้ อีกหน่อยผมคงตายคาอกแน่ๆ”“ชอบแบบนี้หรือคะ?” เสียงหวานเอ่ยถามอย
“ฮ่าๆๆ ไง! ถึงกลับโกรธจนตัวเนื้อสั่นเลยเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ รสชาติของการสูญเสีย ขมขื่นถึงอกถึงใจดีไหม?” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้หญิงสาวแน่ใจได้ทันทีว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ“ฉันเกลียดแกจนอยากจะเป็นคนถ่อย จะได้ถ่มถุยใส่หน้าส้นตึกของแกให้สาสมกับความรู้สึกขยะแขยง!” ชารีฟหรือณัทธรสะอึก เมื่อเจอความโกรธเกลียดอย่างรุนแรงจากผู้หญิงที่เขารัก“เกลียดฉันงั้นรึ? ต้องเป็นฉันไหมที่จะพูดประโยคนั้น แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เธอจะลืมฉันได้อย่างง่ายดายและไปแต่งงานใหม่!"“ฉันไม่ได้แต่งงานใหม่! นี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกและครั้งเดียวของฉัน และอะไรคือลืมได้อย่างง่ายดาย? นายหนีตายไปเป็นปีๆ แล้วฉันจะต้องไปบวชชี เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้นายด้วยอย่างนั้นรึ! เรารักกันดูดดื่มขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ก่อนที่นายจะฆ่าพ่อฉัน เขายังพูดไม่ให้ฉันยึดติดกับตัวเขาเลย! ตรรกะของนายมันบิดเบี้ยวเป็นเวย์เดียวกับพวกโรคจิต ที่นายกับฉันมาถึงจุดนี้เป็นเพราะการตัดสินใจเลือกของตัวเองทั้งนั้น อย่าเอาฉันมาเป็นข้ออ้างเพื่อปกปิดยีนขี้แพ้ในตัวหน่อยเลย!”“ไม่ต้องมาทำปากดียั่วอารมณ์ให้ฉันรู้สึกละอายใจหรอก คำพูดยั่วยุของ
“ฮัลโหล? ว่าไง?”“ไอ้ชารีฟ! ไอ้ห่วย! สายของแกทำงานยังไงวะถึงได้รายงานผิดพลาด! เป้าหมายไปเส้นทางอื่นไม่ได้เฉียดมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ!!”“จะเป็นไปได้ยังไง? ไม่ผิดแน่ๆ!! นายดักซุ่มอยู่ที่นั่นแหละเผื่อว่าจะเป็นแผนลวง!”ชารีฟหรือณัทธร กดปุ่มตัดสาย แล้วดึงหูฟังบลูทูธออกอย่างหงุดหงิด จะเกิดการผิดพลาดไปได้ยังไง ในเมื่อเขาเพิ่งจะได้รับการยืนยันเส้นทางมาจากสายที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาของเชคฮ์อิสราร์เมื่อไม่กี่นาทีมานี้เองหรือว่าเปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน??เขาคิดว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบฉุกเฉินมากกว่าการที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวว่ามีข่าวรั่วไหลชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้น เพื่อดูเวลาก่อนการตัดสินใจ ในเมื่อภารกิจลอบสังหารเชคฮ์อิสราร์ได้ผิดพลาดไปแล้ว เขาเลยคิดว่าไปปิดจ๊อบหนี้เก่าของตัวเองก่อนจะดีกว่า แล้วค่อยกลับไปรายงานภารกิจที่ล้มเหลว ซึ่งถ้ารีบไปตอนนี้ก็น่าจะไปทันเวลากับที่เป้าหมายขับมาถึงในจุดที่เขากำหนดเอาไว้ในแผนพอดี…ชารีฟหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดแอพพลิเคชันที่ใช้ตรวจสอบสัญญาณจีพีเอส เพื่อหาตำแหน่งปัจจุบันของรถเป้าหมาย ซึ่งก็เห็นในแผนที่ว่ารถยนต์คันดังกล่าว กำลังจะแล่นผ่านสี่แยกไฟแดง
ความร้ายกาจของบิดาที่เธอได้ยินจากปากของคนอื่น เป็นเหมือนหนามแหลมคม ที่คอยทิ่มแทงจิตใจอยู่ตลอด แต่กระบวนการให้อภัย พยายามดิ้นรนที่จะผลักความคิด และความรู้สึกด้านลบเหล่านี้ออกไป ด้วยการจดจ่อกับความรัก และความทรงจำดีๆ นึกถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก ที่เขามักจะแบกรับความเจ็บปวดเหล่านั้นไว้แทนอยู่เสมอ แล้วผลักดันให้เธอก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นไปให้ได้ ฝึกฝนเธอให้เข้มแข็ง สอนให้ยอมรับทุกความผิดพลาด และความล้มเหลว แล้วเรียนรู้ที่จะเยียวยาตัวเองเพื่อปิดกั้นทุกความเจ็บปวดเธอรู้ดีว่าการยึดติดกับความรู้สึกในทางลบ รังแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้กับชีวิตมากขึ้น และขัดขวางไม่ให้หัวใจได้พบกับความสงบสุข แต่การที่จะละวางด้วยการให้อภัยนั้น ก็ทำให้เกิดความรู้สึกผิด ต่อบุคคลที่ต้องเสียชีวิตไปอย่างไม่เป็นธรรมนั้นด้วยเช่นกันแต่เมื่อมองในมุมกลับกัน เขาก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถทำผิดได้ เธอเองก็ไม่ได้รับการยกเว้น ความผิดหวังมักจะทำให้คนเราจมอยู่กับอดีต จนลืมมองความสุขที่กำลังได้รับอยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะตามมาอีกมากมายในอนาคต จึงเป็นความคิดที่โง่เขลาอยู่ไม่ใช่น้อย ถ้าเรายังหยุดอยู่ที่ควา
“ตรวจสอบชายสองคนที่สิบสองนาฬิกา ประตูทางเข้าด้านนอก ในมือถือผ้าสีดำห่อหุ้มวัตถุลักษณะเป็นแท่งยาวทรงกระบอก เปลี่ยน!”“แลนด์โรเวอร์สีดำขับเข้ามาจอดหน้าประตูทางเข้าออกของพนักงานชั้นใต้ดินสองคัน คันหนึ่งประมาณห้าคนใส่ชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินเข้าไปด้านใน มีอาวุธปืนติดตัว เปลี่ยน!”“ประตูทางออกอาคารผู้โดยสารหนึ่งที่เก้านาฬิกา พนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังลากโซ่ตะปูเรือใบมาขวางถนน คาดว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของสนามบิน เปลี่ยน!”“ประตูทางออกฉุกเฉินของอาคารผู้โดยสารสอง ทางสะดวก ชาลีทีมเตรียมพร้อม รอรับคำสั่ง เปลี่ยน!” เสียงรายงานผ่านวิทยุสื่อสารเข้ามาเป็นระยะๆ หลังจากที่กระจายกำลังไปประจำตามจุดสำคัญต่างๆ เพื่อสังเกตความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม“พวกมันเริ่มทยอยกันเข้ามาแล้ว แจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เตรียมอพยพประชาชนหากมีเหตุฉุกเฉิน! แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจกับดับเพลิงหรือยัง?”“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”“อืม ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันตอนนี้เลย!”“รับคำสั่ง!” องครักษ์รับคำสั่งแล้วแจ้งแต่ละทีมผ่านวิทยุสื่อสารทันที “อัลฟ่าทีมเคลียร์พื้นที่ บราโวเตรียมรถบรรทุกเปิดทางออกแล้วรอรับคำสั่ง ชาลีทีมวีไอพีเ
ไลลานอนตัวอ่อนระทวยอยู่ครู่หนึ่ง สักพักก็ขยับตัวยกศีรษะขึ้นมานอนหนุนแขนแข็งแรงข้างหนึ่งของสามี เบียดเรือนร่างบอบบางเข้าชิดเพื่อขอความอบอุ่นจากร่างกายของเขา ซึ่งชายหนุ่มเองก็เพิ่งผ่อนคลายจากอาการหัวใจเต้นแรง หายใจหอบเหนื่อย เขาพลิกตัวตะแคง รั้งต้นขาของหญิงสาว ให้ขึ้นมาก่ายเกยอยู่ครึ่งๆ บนร่างกายของเขา ขาของเธอเบียดชิดจนเขารู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื้นในซอกลี้ลับ ไล้ฝ่ามือจากโค้งสะโพกเลยมาถึงต้นขา ลูบผิวเรียบเนียนไปมาเบาๆ เป็นจังหวะอย่างเพลิดเพลิน พร้อมๆ กับปลอบโยนให้เธอคลายความอ่อนเพลีย เพื่อเข้าสู่โหมดพักผ่อน “ฝ่าบาทเพคะ?” “หืม?” ชายหนุ่มผงกศีรษะขึ้นมองอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเคลิ้มหลับไปแล้ว“คืนนี้เนญ่าเขาประกาศว่าจะเข้าหอกับฝ่าบาท แล้วทำไมพระองค์ถึงมาหาหม่อมฉันล่ะเพคะ?”“ก็ไม่อยากจะมา ตั้งใจจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียหน่อยว่า การผลักดันให้ผัวไปมีผู้หญิงอื่น โดยไม่เต็มใจนั้นน่ะมันจะให้ผลยังไง แต่เผอิญว่าเห็นคนบางคน น้ำตาคลอเบ้าเลยมาดูเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเสแสร้งแกล้งทำ หรือรู้จักที่จะหึงหวงผัวขึ้นมาบ้างแล้ว!”“หึงจริงๆ น่ะแหละเพคะ” ไลลายอมรับออกไปตรงๆ ถึงแม้ใ
กัปตันลุกขึ้นแล้วเดินออกประตูไปก่อน ผงกศีรษะให้นิดหนึ่งเมื่อเห็นพริมโรสยืนอยู่หน้าประตู เจ้าชายอิสราร์ยืนมองหญิงสาวผ่านช่องประตูห้องนักบินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแขนเรียวเล็กดึงเข้ามาปะทะอกกว้าง รวบร่างบางเข้ามากอดรัดอย่างแนบแน่น ฝ่ามือข้างหนึ่งประคองไว้หลังศีรษะ แล้วบดขยี้ริมฝีปากร้อนระอุกับริมฝีปากนุ่มอย่างหิวกระหาย เร่าร้อนและดุเดือด เพราะอะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาหลังจากเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์เฉียดตาย กระตุ้นให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน“อื้อ!..” ปลายลิ้นเงอะงะถูกดูดดุนและเกี่ยวกระหวัดไว้ด้วยลิ้นเร่าร้อนของอีกฝ่ายโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้พักหายใจ ทำให้เกิดเสียงประท้วงแผ่วๆ ในลำคอ“ที่รัก~..ผมรักคุณ” เขาถอนริมฝีปากออก กระซิบเสียงแหบพร่าแนบชิดกับริมฝีปากนุ่มอุ่น เรียวลิ้นไล่ระไปบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง หญิงสาวยกท่อนแขนขึ้นโอบรอบลำคอเขาไว้ ตอบรับจุมพิตด้วยจังหวะที่สอดรับกันเป็นอย่างดี เบียดร่างบอบบางเข้าแนบชิดร่างกำยำอย่างออดอ้อน ฝ่ามือหนาของเขาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังไล่ลงไปถึงโค้งสะโพกกลมมนแล้วกดเข้าหาลำตัวตามแรงอารมณ์ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น“เอ่อ..ทูลฝ่าบาท พายุท
รินรดานั่งเหม่อกำโทรศัพท์ไว้ในมือ หลังจากเพิ่งจะวางสายจากรามิล เขาสัญญาว่าจะรีบเคลียร์งานให้เรียบร้อย และจะตามไปหาที่เปเรซภายในสองวันเธอรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมา แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่เธอ พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้และไกลในเวลาเดียวกัน ‘ถึงเวลาแล้ว…จงทำตามสัญญา’หญิงสาวไม่ได้บอกใครว่าหลังจากที่เธอ และพี่ชายฟื้นขึ้นมา เธอได้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ด้วยความสงสัยและความหวัง เธอแอบพระมารดาเข้าไปในห้องลับ ท่องบทสวดที่เธอแอบจดเอาไว้ และอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิตตอนนั้น นั่นก็คือการตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็ฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้งจนมาถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่าบุคคลในฝันเป็นใคร เธอจำเรื่องราวได้ รู้ว่าคนในฝันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่จำหน้าไม่ได้เลยสักคน และครั้งที่ไปโรงพยาบาลจนเกิดอาการใจสั่น แล้วเจ็บแปลบอย่างรุนแรง จนหมดสติไปในครั้งนั้น ก็ทำให้เธอได้เห็นผู้หญิง ที่มีหน้าตาเหมือนเธอราวกับฝาแฝดชัดเจนเป็นครั้งแรก ในห้วงฝ
“อะไรนะ!! แล้วได้ลงจอดฉุกเฉินไหม? งั้นถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนโยกย้ายคนจากรัฐดีไปรัฐอีก็ดำเนินการได้เลย! อืม..ฉันอยู่บนเครื่องบินแล้ว คงจะถึงไล่ๆ กัน!...ได้!…เอาตามนั้น!”เจ้าชายอิดรีสชะงักมือที่กำลังวางโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียง ขณะที่ปรายหางตาเห็นหุ่นอรชรอ้อนแอ้นกำลังเยื้องกรายเข้ามาในห้องด้วยกิริยาท่าทางที่ยั่วยวนหญิงสาวเข้ามายืนห่างจากเตียงไปประมาณหนึ่งช่วงแขน ค่อยๆ ปลดอาภรณ์ออกจากตัวทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า พร้อมช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มอย่างเย้ายวนชวนเชิญเจ้าชายอิดรีสหยิบหมอนสองใบมาซ้อนหลัง นั่งกึ่งเอนพิงพนักหัวเตียงพาดแขนไว้บนเข่าข้างหนึ่งที่ตั้งชันขึ้น หรี่ตามองด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดูเยือกเย็น กิริยาภายนอกยังคงสงบนิ่ง รอบกายยังเผยความเย่อหยิ่งจองหองออกมาด้วยเขาเหลือบตามองนาฬิกาที่โต๊ะหัวเตียง ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเลือกเวลาได้เหมาะเจาะ ไลลาไปสั่งงานกับเด็กรับใช้ได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว และคงกำลังใกล้จะกลับมา เลยเปิดโอกาสให้น้องสาวสวมบทบาทน้องรักหักเหลี่ยมโหดเพื่อทำร้ายจิตใจผู้เป็นพี่ได้อย่างถูกที่ถูกเวลา เขาปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ โดยไม่ได้ปริปากเอ่ยทักท้วง เพื่อจะรอดูว่าเธอจะเปิดเผยเนื้อตั
"ฝ่าบาท! แย่แล้วเพคะ! กัปตันถูกทำร้ายขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทด่วนเลยเพคะ!" เจ้าชายอิสราร์ลุกพรวดขึ้น พริมโรสผวาลุกตามแล้วพยุงแขนเขาไว้ข้างหนึ่ง"เกิดอะไรขึ้น?" ชายหนุ่มถามขณะก้าวเท้าออกเดินได้ไม่เร็วนัก มือเรียวจึงจับแขนเขายกขึ้นแล้วก้มตัวลอดศีรษะเข้าไปใต้แขนแข็งแรง ก่อนจะวางแขนเขาให้เกาะไหล่เธอไว้เพื่อช่วยพยุง ทำให้ชายหนุ่มเดินได้เร็วขึ้นกว่าเดิม"นักบินผู้ช่วยลอบทำร้ายกัปตันเพคะ! โชคดีว่าอยู่ในความสูงที่กัปตันเปิดโหมดออโต้ไพลอทเอาไว้ ทันทีที่เกิดเรื่องเขากดอันล็อกประตูทำให้พวกเราได้ยินเสียงและเข้าไปช่วยเหลือเขาไว้ได้ทันเวลา ตอนนี้องครักษ์ลากตัวหมอนั่นออกไปแล้วเพคะ!""ทำไมไม่ตามนักบินเสริมให้ขึ้นมาแทน?""หม่อมฉันไปปลุกแล้วไม่ตื่นเลยทั้งสองคน ไฟล์ทเนิร์ซกำลังดูอาการพวกเขาอยู่ กัปตันเลยให้มาขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทเพคะ!"ลูกเรือต่างก็เห็นพ้องต้องกันทุกคนว่า นาทีนี้ไม่มีใครจะเหมาะสมเท่ากับเจ้านายพระองค์นี้อีกแล้ว เขามีชั่วโมงบินของการเป็นนักบินเอฟสามสิบห้า ของกองทัพรวมห้าพันแปดสิบห้าชั่วโมง ในจำนวนนี้ มีชั่วโมงของการทำหน้าที่นักบินผู้ช่วย อยู่แปดร้อยแปดสิบสี่ชั่วโมงกับเครื่องบินรุ่นนี้