ในชั่วขณะที่ไม่มีใครมองเห็น คามิลล่ากวาดสายตามองผ่านไปหยุดนิ่งอยู่ที่ชายหนุ่มตรงหน้า มุมปากสีแดงเข้มได้ยกยิ้มขึ้นข้างหนึ่งอย่างรู้สึกพึงพอใจ แล้วเลือนหายไป
เธอรู้สึกถูกตาต้องใจ ชายหนุ่มเจ้าของคหฤหาสน์หรูผู้นี้ไม่น้อย รูปลักษณ์เขาดูสง่างาม คล้ายจะมีรัศมีความสูงศักดิ์ และหยิ่งทะนงปกคลุมอยู่ทั่วเรือนร่าง
ร่างกายกำยำล่ำสันไม่มีไขมันส่วนเกินแม้แต่น้อย คาดว่าคงจะออกกำลังกายเป็นประจำ ผิวของเขาดูคล้ำ ออกไปทางผิวสองสีหรือผิวสีน้ำผึ้ง ซึ่งค่อนข้างดูเป็นธรรมชาติ และเซ็กซี่ในแบบชายชาตรี นัยน์ตาคมกริบสีดำสนิท เวลายิ้มมีประกายหวานนิดๆ ดูดีมีเสน่ห์เป็นที่สุด หากโกนหนวดเคราที่รกรุงรังพวกนั้นทิ้งไปให้หมด คงจะดูหล่อเหลาคมคายมากกว่าที่เห็นตอนนี้เป็นแน่
นอกจากรูปร่างหน้าตาเป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว อาชีพการงาน สถานะทางการเงิน ล้วนอยู่ในเกณฑ์ที่น่าสนใจ ไม่เสียแรงเสียเวลาในการสืบสานความสัมพันธ์ที่ดีต่อไปในอนาคต ไม่ว่าด้านไหนก็สมบูรณ์แบบไปหมด เสียอย่างเดียวตรงที่มีคู่หมั้นแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเธอ ไม่ว่าบุรุษใดจะใจแข็งสักแค่ไหน ก็ไม่เคยมีใครต้านทานเสน่ห์ที่เย้ายวนของเธอได้เลยสักคน
ถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะดูสวย แต่ก็เหมาะที่จะถูกมองอย่างชื่นชม ดังเช่นภาพวาดที่แขวนไว้บนผนังเสียมากกว่า เป็นความงดงามที่ดูเยือกเย็น ขาดชีวิตชีวา ไร้ซึ่งความเย้ายวนเร่าร้อนที่สามารถดึงดูดเพศตรงข้ามให้หลงไหลจนอยากชิดใกล้ ไม่ต้องรอให้ใครมาโหวตก็เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเธอมีดีกว่าหญิงผู้นั้นทุกทาง
คามิลล่ามั่นอกมั่นใจในความคิดของตัวเอง ซึ่งเป็นวิถีการปฏิบัติของชาวตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ ย่อมมีความแตกต่างกับชาวตะวันออกที่เติบโตในกรอบของประเพณีและวัฒนธรรมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำของผู้คนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม
“คุณไปสั่งงานฮาน่าเพื่ออำนวยความสะดวกให้แขกก่อนดีไหมคะ ฉันขอคุยกับคุณคามิลล่าสักครู่” ผู้พันอิฟราอิมพยักหน้าอย่างเข้าใจกัน แล้วลุกเดินออกไป
ผู้มาใหม่นี้สถานะไม่ชัดเจน จำเป็นต้องจัดห้องพักแยกออกจากทุกคน เพื่อง่ายต่อการสังเกตการณ์ และต้องกำชับให้คนทำงานในบ้านทุกคนเพิ่มความระมัดระวังในทุกๆ เรื่อง มิให้ความลับใดๆ รั่วไหลออกไปได้
“ฉันเป็นคนอยากรู้อยากเห็น เลยอดสงสัยไม่ได้ คุณมาปฏิบัติภารกิจ แต่กลับไม่อยู่ในสถานที่ที่หน่วยงานจัดเตรียมไว้ให้ แต่ย้ายมาอยู่กับคู่หมั้นที่นี่โดยพลการ ไม่กลัวว่าเรื่องงานจะพัวพันกับเรื่องส่วนตัวหรือคะ?”
“ฉันไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัว ส่วนใหญ่จะทุ่มไปกับงาน ในเมื่อถูกมอบหมายให้มาปฏิบัติภารกิจที่นี่ ไม่สู้อยู่ใกล้แฟนเสียเลย ไม่เสียเวลาไปเปล่าๆ อีกทั้งยังได้รับความสะดวกสบายมากกว่าอยู่คนเดียวเสียอีก แต่ถ้าคุณรู้สึกว่ามันผิดระเบียบวินัยไม่สะดวกใจที่จะอยู่ที่นี่ จะย้ายกลับไปพักที่เดิมฉันก็ไม่ห้ามนะคะ”
“เขารู้ไหมว่ากำลังถูกคุณหลอกใช้?” พริมโรสชะงัก ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติ คำถามประโยคนี้ทำให้เธอเริ่มพิจารณาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
“ผลลัพธ์ยังไม่สรุปชัดเจนว่าใครหลอกใคร แต่ดูเหมือนเขาจะเต็มใจให้ฉันหลอกเสียมากกว่า .. หัวหน้าของฉันบอกว่าคุณเป็นคนที่เอ็นเอสเอส่งมาสืบเรื่องเงินโอนของบริษัทวิจัยยาอาร์เอดี?” พริมโรสเบนประเด็นออกจากเรื่องส่วนตัวทันทีที่ได้โอกาส
“ใช่ค่ะ คุณสืบเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว ฉันขอทราบผลการดำเนินงานคร่าวๆ ในส่วนของคุณ เพื่อที่จะได้รายงานความคืบหน้าให้เบื้องบนได้ทราบ”
“คุณคามิลล่าคะ ฉันมีเรื่องที่ต้องแจ้งให้คุณได้ทราบเอาไว้ก่อนที่จะมาพักอยู่กับเราที่นี่ อย่างแรกคือฉันไม่ใช่ลูกน้องของคุณ ไม่ควรออกคำสั่งกับฉัน ประการที่สองภารกิจการสืบสวนนี้เป็นงานของคุณโดยตรง และไม่เกี่ยวกับงานของฉัน จึงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ให้คุณทราบ คุณควรจะออกแรงทำงานด้วยตัวเอง อย่ามากินแรงคนอื่น ประการที่สามฉันอนุญาตให้คุณพักอยู่ที่นี่ได้ แต่อย่ามาวุ่นวายกับงานของฉัน และไม่ควรทำให้ฉันได้รับความลำบากไม่ว่าทางใดก็ตาม ไม่อย่างนั้นฉันจะรายงานเบื้องบนทันทีที่พบพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจของคุณ จึงอยากให้เราทำความเข้าใจให้ตรงกัน!”
พริมโรสพูดจบก็ยิ้มหวาน เธอคิดว่าตัวเองวางสีหน้าสงบเยือกเย็นเช่นนี้แล้ว อีกฝ่ายก็สมควรวางตนสงบเสงี่ยมรู้จักความควรไม่ควรเสียบ้าง แต่ใครจะรู้ว่านอกจากหญิงผู้นี้จะไม่มีกาลเทศะแล้ว ยังไม่คิดที่จะรักษาน้ำใจของใครอีกด้วย
รายละเอียดความคืบหน้า ในการติดตามค้นหาตัวประกันเป็นงานในส่วนความรับผิดชอบของเธอโดยตรง ถ้าอีกฝ่ายต้องการทราบก็สามารถเปิดเผยได้ แต่ต้องไม่ใช่วิธีวางตนเองอยู่เหนือคนอื่นแบบนี้
เธออุตส่าห์แสดงน้ำใจในฐานะคนต่างถิ่นเหมือนกัน ด้วยการขออนุญาตท่านเจ้าของบ้านให้สามารถมาพักด้วยกันที่นี่ เพื่อจะได้มีความความสะดวกและคล่องตัวในการทำงาน แต่ผู้หญิงคนนี้นอกจากจะไม่ซึ้งในน้ำใจแล้ว ยังมองว่าเป็นเหตุผลสมควรที่ให้เธอต้องคอยบริการรับใช้ตามหน้าที่ ราวกับมีคำสั่งให้เดินทางมาเป็นหัวหน้าเธอเสียอย่างนั้น
คามิลล่าสะอึกไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าผู้หญิงท่าทางเรียบร้อย หัวอ่อนว่าง่าย จะพูดอะไรที่ตรงและทิ่มแทงคนอื่นออกมาได้ง่ายๆ แบบนี้ ลักษณะนิสัยช่างขัดกับหน้าตาเสียเหลือเกิน เธออยากจะรู้นักว่า เคยแสดงด้านมืดที่น่ารังเกียจนี้ให้บรรดาคนรักได้เห็นบ้างหรือเปล่า
“แหม..มองไม่ออกเลยว่า คุณจะมีนิสัยตรงไปตรงมาแบบนี้ ฉันก็แค่ล้อเล่น คุณก็อย่าจริงจังนักสิคะ” คามิลล่าหัวเราะออกมาอย่างเห็นขัน ทำให้พริมโรสยิ้มหวานยิ่งขึ้นไปอีก
“อ้าว! ล้อเล่นหรอกหรือคะ ฮะๆๆ งั้นต้องขอโทษด้วยจริงๆ ฉันเป็นคนไม่ค่อยมีอารมณ์ขันสักเท่าไหร่ เลยทำให้ตัวเองขายหน้าเสียแล้ว .. แต่อันที่จริงถ้าภารกิจของคุณคือเรื่องการสืบสวน ตามหลักแล้วคุณควรจะเริ่มหาข้อมูลที่ทีแลนด์ไม่ใช่หรือคะ? มาสืบที่นี่ดูไม่น่าจะได้ประโยชน์สักเท่าไร” พริมโรสแอบกัดด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูค่อนข้างไร้เดียงสา ที่ทำให้ผู้คนโกรธไม่ลง
“เอ่อ..พอดีว่าเบื้องบนระบุว่าให้ร่วมทีมกับคุณ แต่คุณก็เดินทางมาที่นี่เสียแล้ว ฉันก็เลยต้องบินตามมา เผื่อว่าคุณจะมีข้อมูลที่ฉันไม่มี จะได้ไม่ต้องเสียเวลามากนัก”
“ภารกิจที่ฉันได้รับมอบหมาย คนละอย่างกับของคุณ แน่นอนว่าข้อมูลเบื้องต้นที่คุณมี ย่อมไม่ได้แตกต่างไปจากที่ฉันได้รับ อีกอย่างทางหน่วยฯ ก็ไม่ได้แจ้งมาก่อนว่าจะมีคุณมาร่วมทีมด้วย แสดงว่ามีการเปลี่ยนแปลงการเดินทางกระทันหัน ฉันจะไม่ถามว่าภารกิจที่แท้จริงของคุณคืออะไร ขอเพียงไม่ขวางทางการทำงานของฉัน จะปิดหูปิดตาลงข้างหนึ่งก็ย่อมทำได้”
คามิลล่ากัดฟัน เธอจะยอมรับกับอีกฝ่ายได้อย่างไร ว่าเธอมาที่นี่ด้วยเหตุผลส่วนตัว จึงหัวเราะกลบเกลื่อน เธอแค่อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีดีอะไร ที่ทำให้คนผู้นั้นเทิดทูนนักหนา จากที่เห็นในภาพถ่าย ก็มีเพียงแค่หน้าตาที่สวยงามอย่างน่าตายไว้หว่านเสน่ห์ มีเรือนร่างอ้อนแอ้นบอบบางเพื่อเอาไว้หลอกล่อให้คนมีจิตคิดสงสารก็เท่านั้น
“คุณคิดมากไปอีกแล้ว ถึงอย่างไรเราก็มีเป้าหมายเดียวกัน จะเริ่มต้นตรงไหนก่อนจะสำคัญอะไร สิ่งที่เราทั้งคู่ต้องการก็คือผลลัพธ์ของภารกิจที่สำเร็จลุล่วง ไม่ใช่หรือคะ?”
“ค่ะ ก็ตามนั้น ถือว่าเราเข้าใจตรงกันแล้ว สิ่งใดที่นอกเหนือไปจากนี้ถือเป็นการก้าวก่าย ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ” พริมโรสยิ้มหวานแล้วลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ! เดี๋ยวฉันจะให้เด็กๆ พาคุณไปที่ห้องพัก คุณคงอยากพักผ่อนเต็มทีแล้ว อ้าว! คุณมาพอดีเลย!”
ผู้พันอิฟราอิมเดินตรงเข้ามาในห้องพร้อมกับฮาน่าที่เดินตามหลังมาอย่างนอบน้อม แสดงว่าเขารอฟังอยู่แล้ว คามิลล่ามองเห็นหนทางทำความรู้จักเพื่อจะตีสนิท
“เอ่อ..จะเป็นการรบกวนไหมคะ ถ้าฉันจะขอให้ผู้พันพาชมการตกแต่งภายในรอบๆ คฤหาสน์สักหน่อย ดิฉันสนใจสถาปัตยกรรมของเปเรซมานาน และที่นี่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมโบราณอยู่ไม่น้อย ไม่ทราบว่าผู้พันจะให้เกียรติอธิบายข้อมูลต่างๆ ที่ดิฉันอยากทราบได้หรือไม่คะ?” คามิลล่าแสดงสีหน้าท่าทางเขินอายเล็กน้อย ท่าทีดูงดงามเย้ายวนจิตใจผู้คน ราวกับฝึกมานานเพื่อสิ่งนี้
เจ้าของบ้านมองหน้าคู่หมั้นแวบหนึ่ง แล้วหันมามองแขกผู้มาใหม่ แววตาไร้ความรังเกียจเดียดฉันท์ใดๆ แต่คำพูดกลับแฝงความขัดข้องออกมาอย่างชัดเจน
“ที่นี่เพิ่งจะรีโนเวทเสร็จไม่นานนี้เองครับ ทุกอย่างเป็นของใหม่ ไม่มีโบราณวัตถุสอดแทรกเข้ามาเลยสักชิ้น ถ้าคุณยังสนใจผมจะให้ฮาน่าพาไปเดินชมรอบๆ” เขาพูดขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย แล้วหันไปพยักหน้าให้ผู้ดูแลบ้าน
คามิลล่าอึ้งไปนาน ไม่คิดว่าเขาจะพูดออกตัดบทออกมาแบบนี้ ไม่เปิดช่องทางการสนทนาให้เธอสามารถสานสัมพันธ์ต่อไปได้อีก
พริมโรสเข้าใจเจตนาของคามิลล่าชัดเจน มองพฤติกรรมที่ราวกับไม่ได้เจอผู้ชายมาหลายปีนี้อย่างขำๆ อาการน้ำลายแห้งจนลิ้นห้อยแบบนี้ควรได้รับการยุยงส่งเสริม หญิงสาวแอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ผู้ชายร้ายๆ ก็ต้องเจอมารยาร้ายๆ จึงจะเหมาะสมกัน
พริมโรสแตะต้นแขนเขาเบาๆ แล้วยิ้มหวานเต็มที่จนเห็นแก้มบุ๋มคล้ายลักยิ้ม เพิ่มความงามหยาดเยิ้มเสียจนชายหนุ่มนัยน์ตาพร่า จนลืมหายใจไปชั่วขณะ หัวใจเขาเต้นรัวแรง เมื่อเผชิญกับความอ่อนหวานเย้ายวนในระยะประชิด
“ฮาบีบีที่รัก! คุณพาไปเองดีกว่าค่ะ ถ้าคุณคามิลล่าสอบถามรายละเอียดที่ลึกลงไป เกรงว่าฮาน่าคงจะตอบไม่ได้ทุกคำถามที่เธออยากรู้” นัยน์ตาเขาอ่อนแสงลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เมื่อได้ยินคำเรียกของหญิงสาว รู้สึกคันยุบยิบอยู่ในหัวใจ
“อย่างนั้นก็ได้ คุณไปกับผมนะ” เขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยกระแสเสียงที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ปลายเสียงฟังดูเว้าวอนนิดๆ
“ฉันขอไปดูความคืบหน้าของนายเตวิชดีกว่านะคะ รู้สึกเป็นห่วงเขานิดหน่อย” ผู้พันอิฟราอิมผงกศีรษะอย่างจำยอม เผยรอยยิ้มออกมาด้วยความจนใจ น้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อหันไปพูดกับแขกอย่างสุภาพ
“เชิญมิสแอนเดอร์สันครับ”
“เรียกฉันว่าคามิลล่าดีกว่านะคะ จะได้ดูเป็นกันเองมากขึ้น เชิญผู้พันนำไปเลยค่ะ” คามิลล่าแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน รีบเข้ามาคล้องแขนชายหนุ่มด้วยท่าทีอ่อนช้อยนิ่มนวล เบียดความนุ่มหยุ่นขนาดคัพดีไปกับท่อนแขนแข็งแรงอย่างไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเขาก็ยกวงแขนขึ้นค้างไว้อย่างสุภาพบุรุษ
คามิลล่าเห็นเป็นโอกาสดี ที่จะเปรียบเทียบให้บุรุษที่เพียบพร้อมผู้นี้ได้เห็น ถึงเสน่ห์เย้ายวนใจที่น่าจับต้องสัมผัส และมีชีวิตชีวาของเธอ ซึ่งแตกต่างไปจากคู่หมั้นของเขา ที่แม้จะงดงามแต่ก็เยือกเย็นราวกับรูปปั้นที่ไม่มีชีวิตจิตใจ
ผู้พันอิฟราอิมเดินไปถึงหน้าประตูก็หมุนตัวกลับมา ทำให้หญิงสาวที่คล้องแขนเขาอยู่ต้องหมุนตามไปด้วย
“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”
“ได้ค่ะ” พริมโรสรับคำ แล้วเดินออกประตูไปในทิศตรงกันข้าม ไม่สบสายตาคมกริบที่กำลังมองมาอย่างตัดพ้ออยู่ด้านหลัง
พริมโรสแวะไปคุยกับยาร่าอยู่พักใหญ่ๆ จากนั้นก็ปลีกตัวมาทำงาน แต่เมื่อมาถึงห้องวอร์รูมก็ต้องแปลกใจ ตอนนี้ในห้องปฏิบัติการเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในส่วนต่างๆ จนทำให้ห้องที่เคยโล่งกว้างดูแคบไปถนัดตา เธอเดินเข้ามายืนมองเจ้าหน้าที่ที่กำลังบังคับบินเฮลิคอปเตอร์สอดแนมตัวจิ๋วอย่างเงียบๆ“นายหญิง” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันมาเห็นจึงทำความเคารพ คนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงก็หันมามองแล้วก็ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับโดยพร้อมเพรียง ยกเว้นเจ้าหน้าที่ห้าคนที่กำลังบังคับบินอยู่ เธอโค้งศีรษะตอบรับ อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้ต้องให้เกียรติเธอถึงขนาดนี้หรือจะเป็นคำสั่งของท่านเจ้าของบ้าน!“พื้นที่ที่กำลังตรวจสอบ เป็นเขตที่สงสัยว่าคุมขังตัวประกันอยู่ใช่ไหมคะ?”“ใช่ครับ เรากำลังสำรวจสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ติดกับอาคาร ผู้กองเตวิชให้พวกเราเข้าไปสอดแนมก่อน และคอยแบคอัพ ขณะนี้ผู้กองกำลังบินเข้าใกล้เป้าหมาย เพื่อเข้าไปสำรวจภายในอาคารแล้วครับ”“แล้วอีกที่หนึ่งล่ะคะ”“ยังเดินทางไม่ถึงครับ คาดว่าน่าจะคืนพรุ่งนี้”“คอปเตอร์แพคที่ผู้กองใช้ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า? เราทดสอบครั้งสุดท้ายเมื่อ…อ๊ะ!”“มานี่!” เสียงเ
กว่าพริมโรสจะหาวิธีแยกตัวมาได้ก็เกือบบ่าย เธออยากอยู่เป็นเพื่อนเล่นให้กับเด็กน้อยมากกว่านี้ แต่จนใจว่าเพลียเหลือเกิน เธอถูกปลุกตั้งแต่เช้า ตอนนี้เลยอยากจะนอนตายสักสองสามชั่วโมง ก่อนจะลากสังขารไปทำงานต่อหญิงสาวไขกุญแจแล้วเปิดประตูเข้ามาในห้อง แสงสว่างภายนอกผ่านเข้ามาตามรอยแหวกของม่านได้เพียงเล็กน้อย ส่วนลึกเข้าไปด้านในจึงเห็นเพียงแสงสลัวเลือนลางเธอเดินเข้ามาโดยไม่ได้เปิดไฟด้วยความคุ้นชิน แต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อมีวงแขนแข็งแรงโอบมารอบตัวจากทางด้านหลัง พร้อมๆ กับจมูกโด่งที่กดลงมาแรงๆ ที่แก้ม สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดกลิ่นคุ้นเคยระเหยเข้าจมูก ทำให้รู้ว่าบุรุษลึกลับผู้นี้เป็นใคร“คุณ!” พริมโรสดิ้นรนเต็มที่ พยายามกระทุ้งศอกไปทางด้านหลัง แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรเลย กลับใช้แขนแข็งแรงราวกับปลอกเหล็กรัดแน่นขึ้นไปอีก“อยู่นิ่งๆ เถอะ ขอแค่กอดเฉยๆ เท่านั้นแหละ แต่ถ้าดิ้นนักก็ไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น!” พอพูดจบ ก็เลื่อนจมูกมาซุกไซ้แถวซอกคอ ใช้ริมฝีปากขบเม้มเบาๆ ไปด้วย“เข้ามาทำไมคะ?” เธอพูดพลาง ย่นคอหนีการรุกรานของเขา ไรเคราที่ถากไปกับผิวเนื้อนุ่มทำให้รู้สึกจั๊กจี้ ลมหายใจร้อน
หญิงสาวนึกย้อนเหตุการณ์ ในวันที่เกิดระเบิดที่ปากทางเข้าตรอกแอนทีค วันนั้นมีคนตะโกนเรียกชื่อพยางค์หลังของเธอออกมาด้วยความตกใจ ทีแรกยังนึกว่าหูแว่ว ต่อมาได้ยินผู้พันเป็นคนเรียกจึงคิดว่าเป็นเขาเลยไม่ติดใจอะไร แต่พอมานึกทบทวนตอนนี้ โทนเสียงต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ทว่าสิ่งที่เธอกำลังสงสัย ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอไม่มีวันได้ยินเสียงทุ้มอ่อนโยนแบบนั้นในชีวิตจริงได้อีกแล้วพริมโรสหลับตานึกถึงในอดีต ภาพเจ้าของเสียงทุ้มอ่อนโยนของคนคนหนึ่งที่มักจะเรียกชื่อเธอแตกต่างไปจากคนอื่นว่า..‘โรส’ แจ่มชัดขึ้นมาในความทรงจำ แผลเป็นที่คอของเขาเกิดจากมีดพับของเธอเอง เธอกับเขาได้รับภาระกิจที่ทำให้ต้องอยู่ร่วมทีมเดียวกันบ่อยๆ และเข้าขากันได้เป็นอย่างดี ซึ่งใครๆ ต่างก็ดูออกว่าในความเข้ากันได้ดีแบบนี้ มีความสนิทสนมเกินกว่าจะเป็นแค่ผู้ร่วมงานธรรมดาทั่วไปวันนั้นเป็นวันที่ปฏิบัติภารกิจที่สุดแสนจะยากลำบาก แต่ก็สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ด้วยความโล่งใจผสมกับความดีใจเขาจึงคว้าเธอเข้าไปกอดโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้เธอตกใจมาก แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านขัดขืน เพราะเขาเคยพูดไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าหากทำงานนี้สำเร็จ จะขอเธ
เสียงหัวเราะหวานใสประสานเสียงของพริมโรสกับยาร่าดังเข้ามาถึงในห้องรับประทานอาหาร ทำให้ฮาน่าผู้ดูแลบ้านยิ้มออกมาอย่างมีความสุข นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ยินเด็กสาว หัวเราะอย่างเปิดเผยเช่นวันนี้“ฮาน่า! เจอตัวพอดีเลย หลังทานข้าวเสร็จ อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมนะ!” ยาร่าพูดออกมาอย่างตื่นเต้น“ได้ค่ะ คุณหนูไม่ต้องเป็นกังวล ดิฉันจะจัดการให้เรียบร้อย” ฮาน่ารับคำแล้วเดินออกไปเตรียมการคามิลล่าเดินนวยนาดเข้ามาในห้องอาหาร ด้วยกิริยาท่าทางสบายๆ บนใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนหวานประดับไว้ที่มุมปาก ชุดเดรสยาวผ่าด้านหน้าพลิ้วไหวไปตามการเยื้องย่าง เผยให้เห็นท่อนขาขาวเรียวงามวับแวมยั่วยวนสายตาพริมโรสมองดูเงียบๆ รู้ดีว่ากิริยาที่ดูไม่ตั้งใจนั้น แท้จริงแล้วได้ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เพื่อให้ดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้ามคามิลล่ากวาดสายตาคมกริบมองมาคล้ายไม่ตั้งใจ ก่อนที่จะหยุดพิจารณาที่สาวน้อย พลางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ที่เห็นว่ามีเด็กสาวอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ด้วย คงไม่ใช่ลูกสาวของเจ้าของบ้านหรอกนะ!!“เอ๋! บ้านนี้มีเด็กด้วยรึ? อย่าบอกนะว่าเป็นลูกสาวของผู้พัน!”คามิลล่าพูด ขณะเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง ใกล้กับเก้า
ภายในห้องอาหารได้จัดปาร์ตี้เล็กๆ ขึ้น ทั้งห้องครึกครื้นไปด้วยเสียงดนตรีที่สนุกสนาน คนที่เริงร่าที่สุดหนีไม่พ้นสาวน้อยยาร่า นอกจากเธอและน้องชาย จะได้ใช้เวลาแห่งความสุขร่วมกันกับบิดาแล้ว ยังมีสมาชิกใหม่ที่ถูกใจเพิ่มขึ้นมาด้วยอีกเมื่อเพลงพื้นเมืองที่ใช้สำหรับงานเฉลิมฉลองเริ่มดังขึ้น ยาร่าก็เคี่ยวเข็ญให้ทุกคนลุกออกมาเต้นรำ ท่าที่ใช้ประกอบก็ไม่ได้ยาก สามารถเต้นตามกันไปได้โดยง่าย ฮาน่าเองก็เข็นรถให้องค์ชายน้อย เดินวนตามไปรอบวงด้วยเช่นกัน เด็กชายมีสีหน้าตื่นเต้นยินดี นัยน์ตากลมเล็กมีประกายแวววาวขึ้นเล็กน้อย แต่ริมฝีปากยังคงหุบสนิท ไม่ยิ้มและไม่พูดกับใครเช่นเคย ท่ามกลางแสงสลัวจากแชนเดอเลียร์ ผู้พันอิฟราอิมพยายามดึงมือให้พริมโรสลุกขึ้นเต้นรำอีก แต่เธอเริ่มรู้สึกเหนื่อยจากการที่เต้นติดกันไปแล้วสามเพลงจึงปฏิเสธ ฝืนร่างไว้ไม่ให้ไปตามแรงดึงของเขา ไม่ว่าจะพยายามออดอ้อนเท่าไหร่ เธอก็ยังยืนกรานคำเดิม เลยกลายเป็นโต้เถียงกันไปมาเบาๆ โดยลืมสนใจสิ่งรอบตัวไปเสียสนิทคามิลล่านั่งจิบไวน์อย่างเงียบๆ ขณะที่ช้อนสายตาขึ้นมองดูบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ข้างๆ ถึงแม้เธอพยายามจะชวนคุย แต่เขาก็ตอบมาเพียงสั้นๆ คล้าย
ลมหายใจร้อนผะผ่าวเลื่อนไล้ลงมาตรงหน้าอก แล้วก้มหน้าลงอ้าปากลิ้มชิมความอวบอิ่มของทรวงอกเต่งตูม คลอเคล้าครอบครองส่วนปลายยอดสีชมพูจางด้วยริมฝีปากและลิ้น ดูดเม้ม ขบเบาๆ ด้วยเรียวฟันครั้งแล้วครั้งเล่า“อื๊อ~..อ๊าาา!~” เธอไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เสียงครางแหลมเล็กดังสะท้อนก้องอยู่ในห้อง ไฟร้อนรุ่มในกายของหญิงสาว ร้อนแรงขึ้นตามเรียวลิ้นที่เขาใช้สัมผัสลูบไล้ในขณะที่ชายหนุ่ม ยังก้มหน้าใช้ปากและลิ้นร้อนระอุพรมจูบไปทั่วเนินอกสล้าง ฝ่ามืออีกข้างก็เลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ แทรกเข้าไปในใจกลางลำตัวที่หุบแน่นของหญิงสาว นวดคลึงกลีบอ่อนบางตรงใจกลางเนื้อนุ่มไปมาอย่างยั่วเย้า “อาาาา~”ปลายนิ้วร้ายสำรวจตรวจตราอย่างคล่องแคล่ว กระทั่งเห็นว่ากลีบนุ่มที่หุบแน่นนั้น ค่อยๆ เผยความชุ่มชื้นออกมา เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมาย สอดปลายนิ้วร้อนเข้าไปในร่องหนีบแน่นค้นหาความชุ่มฉ่ำที่ยังคงซุกซ่อนอยู่ แล้วเคลื่อนขยับนิ้วเข้าออก บางครั้งก็เร่งร้อน บางครั้งก็เชื่องช้า สลับกับการนวดคลึงโลมไล้ไปโดยรอบ จากนั้นเพิ่มความทรมานด้วยการสอดนิ้วที่สองเพิ่มเข้าไป“อ๊าาา!~…ซี้ดด~” เสียงหวานเปล่งเสียงครางออกมาอย่างสุขสม แล้วสูดปากด้วยความเสียวซ่าน
คามิลล่านั่งจิบไวน์อยู่ที่ระเบียงหน้าห้องพัก ด้วยสีหน้าและแววตาที่เรียบเฉย เบื้องหน้าคือสวนไม้ดอกร่มรื่น สายลมที่พัดเอื่อยเฉื่อย สามารถทำให้ผู้คนจิตใจปลอดโปร่งและคลายความตึงเครียดได้โดยไม่รู้ตัวเธอดึงขาขาวนวลเนียน ขึ้นมาวางไว้บนเบาะที่เป็นโซฟาหวายเทียมทรงกลม สำหรับวางกลางแจ้ง ทอดแขนเรียวยาวไว้บนพนักด้านหลัง แล้ววางแก้มนุ่มไว้บนต้นแขนกลมกลึง ทอดถอนใจออกมาอย่างผ่อนคลายและมีความสุข หนทางข้างหน้าราบรื่นมากกว่าที่เธอคิด และคงจะดีไม่น้อยถ้าเธออยู่ในฐานะสตรีอันดับหนึ่งของประเทศนี้ เธอปราถนาที่จะได้รับความรักความสนใจจากชายที่สูงส่งและสง่างามผู้นั้น เพียงได้อยู่ร่วมกับเขาสักคืนหนึ่ง ชีวิตนี้ของเธอก็เปี่ยมสุขแล้วหญิงสาวหมุนแก้วไวน์ในมือ น้ำสีแดงไหลวนจนเกิดเป็นประกายสะท้อนรับกับแสงแดด พลันนึกสาสมใจในผลสำเร็จบางอย่าง ทำให้ทอดถอนใจออกมาอย่างมีจริตมารยา ตามความเคยชิน แต่ในขณะที่มุมปากหยักโค้งขึ้น แววตาชิงชังก็ฉายชัดอยู่บนใบหน้า การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนี้ ทำให้ความงดงามที่ดูเย้ายวน เปลี่ยนเป็นชั่วร้ายไปได้ในพริบตาอย่าโทษฉัน! ต้องโทษที่เธอมันขัดหูขัดตา ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเขาไป!!“หึๆ เป็
ชายหนุ่มยิ้มทั้งปากและตา มองใบหน้าคมหวานพวงแก้มนวลอย่างรู้ทัน ดวงตาพราวระยับของเขาบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน แต่กลับพยายามรักษาความสงบนิ่งที่ภายนอกอย่างสุดชีวิต“ผมยังพูดไม่จบ ผมจะบอกว่า..ถึงผมจะรู้ว่ามันผิด แต่ก็ไม่ได้เสียใจเลย ถ้าให้กลับไปเลือกอีกครั้งผมก็จะทำมันอยู่ดี และไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไร รู้ตัวอีกทีผมก็ตกเป็นของคุณไปแล้ว คุณจะรับผิดชอบการกระทำที่แสนเร่าร้อนของคุณยังไง!” หญิงสาวคิ้วกระตุก หันขวับมาถลึงตาใส่เขาตั้งแต่ยังพูดไม่จบยัง..ยังจะกล้าพูด! เอาเปรียบผู้อื่นแล้วยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ แล้วก็เอามาป่าวร้องขยี้ย้ำให้คนอื่นยิ่งรู้สึกแย่! ช่างน่าโมโห!!พริมโรสใบหน้าแดงเข้มขึ้น นัยน์ตาลุกวาวราวกับไฟ มีความรู้สึกทั้งโกรธ ทั้งอับอายขายหน้า เมื่อได้ยินเขาพูดไหลลื่นได้อย่างไม่กระดากปาก ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีกับการกระทำของตัวเองเข้าไปใหญ่ คำพูดล้อเล่นของเขา ยั่วยุจนเพลิงโทสะพุ่งขึ้นสูง โมโหจนแทบจะเต้นเร่าๆ นึกอยากกระโดดเข้าไปบีบคอเขาให้สมกับความคั่งแค้น“คนไร้ยางอาย!! ดูสิว่าวันนี้ฉันจะตีคุณให้ตายได้ไหม!!”พอพูดจบ หญิงสาวก็ใช้แรงทั้งหมดพุ่งหมัดไปที่ใบหน้าหล่อเหลาไร้รอยตำหนิอย
ค่ำคืนแห่งพระเกียรติ ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ณ พระราชวังขององค์สุลต่าน งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพถูกเนรมิตขึ้น อย่างวิจิตรตระการตา ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังส่องประกายด้วยโคมไฟแก้วเจียระไนระยิบระยับ พรมแดงทอดยาวจากบันไดสู่โถงต้อนรับ โต๊ะอาหารเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พร้อมเครื่องเงินแท้ที่ขัดเงาจนแวววาว เมนูรสเลิศจากเชฟมิชลิน ถูกเสิร์ฟแบบคอร์ส เคียงคู่กับเครื่องดื่มชั้นสูงจากทั่วทุกมุมโลก ขับกล่อมด้วยเสียงดนตรีออร์เคสตร้า ที่บรรเลงอย่างไพเราะ ทำให้ค่ำคืนนี้ สมพระเกียรติขององค์สุลต่านอย่างถึงที่สุด บรรดาผู้นำจากนานาประเทศ และทูตานุทูต ต่างตบเท้าเข้าร่วมงาน แขกเหรื่อล้วนเอ่ยปากชื่นชม ถึงบรรยากาศที่ได้รับการจัดเตรียมมาอย่างไร้ที่ติ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าหญิงไลลา สตรีหมายเลขหนึ่ง พระชายาของเจ้าชายอิดรีส ผู้ลงมาดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง อย่างละเอียดถี่ถ้วน บางคนถึงกับกล่าวชมต่อหน้าเจ้าชายอิดรีส ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้เขาจะยังคงยืนสงบนิ่งในท่าทีสุขุมเช่นเคย แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนเลือกคู่ครองไม่ผิด สายตาของอิดรีส
แสงสว่างที่ลอยละล่องในความมืดส่องมาที่รินรดา พร้อมกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครในโลกนี้ มันเหมือนเสียงที่มาจากที่ไกลโพ้น ฟังดูทั้งใกล้ และไกลในเวลาเดียวกัน“ถึงเวลาแล้ว...จงทำตามสัญญา!”รินรดารู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกำลังล่องลอย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตกลงไปในความเวิ้งว้างอันไร้จุดสิ้นสุด เธอพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ไม่พบใครเธอหลับตาลงแล้วทันใดนั้น ภาพอดีตของเธอเมื่ออายุสิบห้าปีก็ย้อนกลับมา เธอเห็นตัวเองยืนอยู่หน้าหินพ่อมดลาบราดอไลต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องลับใต้พระราชวัง ความศักดิ์สิทธิ์ของมันทำให้เธอรู้สึกได้ ถึงพลังลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน เธอท่องบทสวดที่แอบจดจำไว้ พร้อมกับอธิษฐานถึงสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในชีวิต นั่นคือ..การตามหาครอบครัวที่แท้จริงจากนั้นเธอก็เริ่มฝันซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองยืนอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาวไปสู่แสงสว่างที่อยู่เบื้องหน้า เธอรู้ว่านี่คือจุดที่ผู้ตายต้องเดินผ่านไปยังภพหน้า แต่แล้วเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง“รินรดา เธอยังมีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเองอยู่นะ”เบื้องหน้าของเ
ค่ำคืนแห่งความสุขมาถึง... ท้องฟ้ายามราตรีของอาณาจักรเปเรซประดับไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับ ขณะที่ปราสาทหลวง ถูกประดับด้วยผ้าม่านสีขาว และทอง ลวดลายอาหรับอันวิจิตร เจิดจรัสด้วยแสงไฟนวลอบอุ่น ของไฟระย้าคริสตัลสะท้อนแสง จนดูงดงามราวสรวงสวรรค์ ดอกไม้หายากจากทั่วทั้งอาณาจักร ถูกจัดวางประดับประดาไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่งดงาม ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง พรมเนื้อละเอียดทอดยาวตั้งแต่ประตูไปจนถึงแท่นพิธี โต๊ะเลี้ยงอาหารค่ำประดับด้วยผ้าปักทอง ดอกกุหลาบและลิลลี่ขาวบริสุทธิ์ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ตัดกับแสงเทียนที่กระพริบไหว ม่านบางเบาปลิวไสวไปตามสายลมเย็นของค่ำคืน พระราชพิธีอภิเษกสมรส ถูกจัดขึ้นตามขนบธรรมเนียม เป็นพิธีนิกะห์อันศักดิ์สิทธิ์ของโมเสลม ภายใต้กฎหมายชารีอะห์ และธรรมเนียมของราชวงศ์ ซึ่งแสดงถึงความงดงาม และเปี่ยมไปด้วยความหมาย นักวิชาการศาสนา(อุละมาอ์) ผู้ประกอบพิธี นั่งอยู่บนแท่นหินอ่อน ด้านข้างมีพยานฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากราชวงศ์และข้าราชบริพาร เจ้าชายอิสราร์ ประทับยืนในชุดทางการขององค์มกุฏราชกุมาร เสด็จเข้ามายังแท่นพิธี พระอ
บรรยากาศภายในพระราชวังเปเรซวันนี้ เต็มไปด้วยความสงบและเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ครบหนึ่งร้อยวันแห่งการจากไปของเจ้าหญิงรินรดา องค์สุลต่านทรงมีพระราชดำริให้จัด ‘โรงทานขนาดใหญ่’ เพื่อแจกจ่ายอาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ถือเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ภายในโรงทานถูกจัดขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เต็นท์ขนาดใหญ่ถูกกางเรียงรายภายในลานกว้างของลานพิธีหน้าพระราชวัง โต๊ะยาวหลายตัวถูกตั้งไว้ สำหรับแจกจ่ายอาหารร้อนที่ปรุงสำเร็จ และขนมหวานอาหรับ เช่น บาสบูซาและกุนาฟา รวมถึงน้ำดื่มเย็นๆ สำหรับประชาชนที่มาร่วมรับแจกอาหาร บรรดาข้าราชบริพาร และอาสาสมัครจากประชาชน ต่างช่วยกันแจกจ่ายด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นวันแห่งความอาลัย แต่ทุกคนก็เต็มใจทำความดี เพื่อเป็นบุญกุศล ให้แก่เจ้าหญิงผู้ล่วงลับ นอกจากอาหารแล้ว ยังมีจุดแจกอาหารแห้ง และของใช้จำเป็น เช่น อินทผลัม ข้าวสาร น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส สบู่ และยาสามัญ เพื่อให้ผู้ยากไร้สามารถนำกลับไปใช้ที่บ้านได้ ภายในงานยังมีแพทย์อาสา คอยตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือสังคม ที่เจ้าหญิงรินรดาเคยผลักดั
เสียงไซเรนรถพยาบาลแผดก้องไปทั่วท้องถนน แต่รามิลไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หูของเขาอื้อไปหมด มีเพียงเสียงลมหายใจบางเบาของรินรดา ที่กำลังแผ่วลงทุกขณะ เป็นสิ่งเดียวที่เขากำลังโฟกัส เลือดของเธอเปรอะเปื้อนเต็มมือเขา ลามไปตามแขนเสื้อ แผ่นอก และหยดลงเป็นทางบนเปลพยาบาล ร่างเล็กที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับนอนแน่นิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงยิ้มให้เขา “คุณ..รามิล…” เสียงของเธอเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “รดา! เดี๋ยวเราก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว… แค่ทนไว้ก่อนนะรดา อย่าหลับนะ ได้ยินผมไหม!?” รามิลกุมมือหญิงสาวแน่น น้ำเสียงสั่นเครือ ความกลัวถาโถมเข้าใส่จนเขาหายใจแทบไม่ออก รินรดาไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะระบายลมหายใจบางเบา “ท่านพี่… ปลอดภัยไหม?” หัวใจของรามิลเหมือนถูกบีบจนแหลกสลาย เธอกำลังอาการสาหัส แต่ยังเป็นห่วงพี่ชายมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก “ปลอดภัย! เขาปลอดภัย..” รามิลเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นสะอื้น “ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วยฮึ!?” “เพราะเขาคือ… พี่ชายของฉัน” รินรดายิ้มจางๆ เสียงเธอขาดหายเป็นช่วงๆ เปลือกตาของเธอหนักอึ้งลงทุกที “รดา! อย่าหลับนะ! มองผมสิ มองผม!” มือของเธอใน
เสียงโกลาหลของฝูงชนยังคงดังก้องทั่วลานพิธี แต่แล้วจู่ๆ ผู้คนก็เริ่มแหวกออกเป็นสองทาง ราวกับคลื่นน้ำที่ถูกแบ่งออกโดยพลังที่มองไม่เห็น ท่ามกลางช่องว่างที่เปิดออก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในเงามืด แฝงตัวอยู่ในกลุ่มประชาชนที่กำลังแตกตื่น ในมือของเขากำปืนไรเฟิล ที่บรรจุกระสุนเจาะเกราะแน่น สายตาคมกริบกวาดไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง ก่อนจะกลับมาตรึงอยู่ที่เป้าหมาย บุรุษผู้ตายยากที่สุดเท่าที่เขาเคยสังหารมา ร่างสูงสง่าของเจ้าชายอิสราร์ ยืนเด่นอยู่บนลานพิธียกพื้น ราวกับถูกจัดวางให้อยู่ในระยะยิงอย่างเหมาะเจาะ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุด และต้องสร้างผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ถ้าจะต้องถูกจับหลังจากเหนี่ยวไก อย่างน้อยก็ขอให้มันได้ตาย..เพื่อสังเวยผู้ที่ข้ารักและเคารพเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ที่สมควรได้รับทุกสิ่งที่ปรารถนาบนโลกใบนี้!! “ตอนนี้แหละ!!” อาซีฟพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบยกปืนขึ้น ปึ่ก! แรงกระชากอย่างรุนแรง ทำให้ปืนในมือของอาซีฟหายไปในพริบตา เขาตวัดสายตาไปด้านข้าง แววตาเปลี่ยนเป็นโทสะสีเข้มจัด แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ชิงอาวุธไปจากมือเขา
ท้องฟ้าเหนือลานพิธี ถูกย้อมด้วยแสงสีทองของอาทิตย์ยามสายัณห์ แต่ภายใต้ความสว่างนั้น กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศอันหนักอึ้ง เสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบา ของประชาชนเริ่มดังขึ้นเป็นระลอก เมื่อหญิงสูงศักดิ์ผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในบริเวณลานพิธีอย่างสง่างาม พระชนนีแห่งเปเรซ ทรงฉลองพระองค์อย่างวิจิตร แต่ละย่างก้าวของพระนางแผ่รัศมีแห่งอำนาจ ทรงเชิดพระพักตร์เล็กน้อย ดวงเนตรเจิดจ้า เต็มไปด้วยความแน่วแน่และภาคภูมิ เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นทีละน้อย จากวงนอก ค่อยๆ แพร่กระจายออกไป “พระชนนีเสด็จ!” “พระนางมาเพื่อกอบกู้เปเรซ!” “พระมารดาของพวกเรา!” เสียงเรียกขานพระนามดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ มีเสียงโห่ร้องต้อนรับทุกที่ที่พระนางก้าวย่างผ่านไป ราวกับคลื่นมหาชนที่กำลังโหมกระหน่ำ พระชนนีทอดพระเนตรภาพตรงหน้าแล้ว ไม่อาจห้ามรอยแย้มสรวลที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ พระนางประสบความสำเร็จแล้ว ประชาชนกำลังเทิดทูนพระองค์ และนี่คือโอกาส ที่พระองค์จะประกาศตน ในฐานะผู้นำที่จะกอบกู้เอกราชของชาวเปเรซ จากเงื้อมมือแห่งความอยุติธรรม ขององค์สุลต่าน แต่แล้ว... เสียงอื้ออึงของฝูงชนก็เปลี่ยนไป จากเสียงเชียร์เป็น
“ดูเหมือนพวกเราจะมาผิดงานแล้วล่ะ?” พริมโรสพูดพลางกวาดตามองรอบตัว พวกนักโทษที่ตามมาหยุดเดินทันที มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เห็นได้ชัดว่าการกระโจนเข้ากลางวงล้อม ของมือสังหารกับตำรวจที่ติดอาวุธครบมือไม่ใช่แผนที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา “เอ่อ..พวกเรา… ฉันว่าเราควรจะให้พวกเขาจัดการกันเองไหม?” นักโทษคนหนึ่งกระซิบกับพรรคพวก “ใช่ๆ เรามันแค่คนผ่านทางมา อย่าไปขวางมือขวางเท้าพวกเขาเลย” อีกคนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่คนอื่นๆ จะค่อยๆ ถอยออกห่างกลุ่มลูกพี่ ไปรอดูอยู่รอบนอก พริมโรสเดินนำเตวิชกับจักรินข้ามถนนมา แล้วเดินทะลุเข้าไปกลางวงล้อมที่กำลังตึงเครียดอย่างไม่รู้สึกรู้สา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มอยู่บนริมฝีปาก ก่อนจะปรายตามองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างรินรดา “โอ๊ะ!” พริมโรสยกมือเท้าสะเอว “นี่รุ่นพี่กลายเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปแล้วหรอ?” รามิลเลิกคิ้ว หัวเราะเบาๆ“แล้วทำไมสภาพเธอ ถึงเหมือนคนหลงทางอย่างนี้ล่ะ?” พริมโรสหัวเราะออกมา “ฉันเดินมาไกลมากเลยนะ จากพระราชวังมาถึงโรงพยาบาลนู่นน่ะ” “นี่!..เอาไว้ค่อยทักทายกันทีหลังได้ไหม พวกเรายังติดอยู่ในวงล้อมอยู่นะ!” เตวิชพูดเสียงเครียด สายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มคนร
“ยังมีเรื่องด่วนอีกเรื่องนึงค่ะ หน่วยข่าวกรองแจ้งมาว่ามีสายลับคนหนึ่ง ต้องการพบบอสเป็นการส่วนตัวด่วน เขาอ้างว่ามีรายงานลับจากองค์สุลต่าน ส่งถึงบอสโดยตรงค่ะ”“องค์สุลต่าน?” รินรดาค่อนข้างแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีเรื่องมีราวให้ต้องติดต่อกัน แต่ครั้งนี้กลับส่งสารมาถึงเธอโดยตรง “นี่ค่ะ สถานที่นัดพบ” เลขาปัดแท็บเล็ตบนมือนายสาว เพื่อให้ดูพิกัดของจุดนัดพบ รามิลเดินมาหยุดยืนข้างหลัง สายตาเหลือบมองในแท็บเล็ต ก่อนเอ่ยเสียงเครียด“คุณจะไปหรือไง?” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย“คงต้องไปค่ะ เขาอาจจะติดต่อท่านพี่ไม่ได้ จึงต้องส่งผ่านมาทางฉัน” “แน่ใจได้ยังไงว่าไม่มีอะไรที่ซับซ้อน? รามิลจ้องหญิงสาวเขม็ง จนเธอถอนหายใจเบาๆ “บอกตามตรงว่าไม่แน่ใจเลย เขาเป็นมนุษย์ที่เซ้นส์ผู้หญิงอย่างฉัน ไม่เคยตรวจจับอะไรได้เลย”“งั้นผมจะไปด้วย ผมเป็นห่วงคุณ”“ฉันก็เป็นห่วงคุณเหมือนกันนะคะ คุณเป็นชาวต่างชาติ ฉันไม่อยากให้มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับคุณ ฉันเติบโตที่นี่ รู้ทางหนีทีไล่ดีกว่า ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรอกค่ะ คุณรอท่านพี่อิดรีสอยู่ที่นี่เถอะนะคะ”“ไม่กังวลได้ยังไง เครือข่ายในเมืองถูกทำลาย แล้วผมจะติดต่อกับคุณยั