บทที่ 5 องค์หญิงตัวเล็ก
ชาวบ้านตางพากันเดินถอยห่าง และแม่ของเด็กหญิงก็ได้บอกกับฟางลี่เว่ย
"ข้าเองก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอก เจ้าเองก็ดูแลองค์หญิงให้ดีและอย่าพานางออกมาที่ตลาดอีก ข้าไม่อยากให้ลูกๆ ของข้าต้องมาเจ็บตัว" แม่นมวิ่งมาก็เห็นองค์หญิงหนิงเอ๋อกอดอยู่กับฟางลี่เว่ยสะอื้นไห้และสั่นกลัว
"เกิดอันใดขึ้น เหตุใดองค์หญิงถึงได้ร้องไห้ออกมาเช่นนี้"
"นางถูกกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายของเด็กหญิงผู้นั้นเจ้าค่ะ แถมองค์หญิงยังโดนทำร้ายอีกด้วยเราจะเอาอย่างไรกันดีเจ้าคะ"
แม่นมกวาดตามองชาวบ้านที่ยืนมุงดูด้วยสายตาอาฆาตจนผู้คนกวาดกลัว
"ต่อจากนี้หากมีผู้ใดกล้าทำร้ายองค์หญิงอีกข้าจะให้ทหารจับผู้นั้นไปลงโทษถึงองค์หญิงถูกเลี้ยงอยู่นอกวังแต่อย่างไรนางก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้หากผู้ใดกล้าทำร้ายก็เปรียบเสมือนดูหมิ่นเบื้องบนเช่นกัน" พูดจบแม่นมก็พยุงตัวขอหนิงเอ๋อลุกขึ้นเดินออกมาและกลับไปที่เรือนของตนอย่างโมโห
เมื่อมาถึงที่เรือนองค์หญิงเอาแต่นิ่งเงียบจากที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องเพียงลำพัง ทำให้แม่นมเป็นห่วงอย่างมาก นางจึงเดินเข้าไปพูดคุยกับองค์หญิง
องค์หญิงที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่ริมหน้าต่างมองดูนกที่บินไปมาอย่างเหม่อลอย เฝ้าคอยคิดถึงคำพูดของชาวบ้านที่ต่อว่านางมาตลอด
"องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันขอเข้าไปนะเพคะ" แม่นมได้เอ่ยถามแต่ก็ไร้เสียงที่ตอบกลับ
"องค์หญิงทรงคิดอันใดอยู่รึเพคะ วันนี้อยากออกไปเดินเล่นที่หลังสวนมั้ยเพคะหม่อมฉันจะพาไปเอง หรือว่าอยากจะวิ่งเล่นซ่อนแอบกับหม่อมฉันมั้ยเพคะ "
"แม่นมข้าไม่อยากทำอันใดทั้งนั้น แต่ข้าอยากรู้ว่าข้าคือใคร แล้วเหตุใดแม่นมกับท่านแม่ต้องโกหกข้าด้วย แล้วข้าไปทำอันใดให้ผู้ใดต้องตาย ข้าไม่เข้าใจเลย" หนิงเอ๋อพูดออกมาพร้อมสะอึกไห้ นางคิดว่าตนเองนั้นเป็นบุตรสาวของฮองเฮามาตลอดจนกระทั่งได้รู้เรื่องจากการที่ไปตลาด ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกหลอกมาตลอด
"โธ่องค์หญิงท่านจะไปฟังคำพูดชาวบ้านพวกนั้นทำไมกันเจ้าคะ พวกนั้นแค่ไม่หวังดีต่ององค์หญิงจึงพูดถ่อยคำที่ไม่น่าฟังออกมาองค์หญิงก็คือบุตรสาวที่ฮองเฮารักและหวงแหนที่สุดเยี่ยงไรเพคะ"
"ไม่จริง!!ข้าไม่เชื่อท่านหากแม่นมบอกว่าข้าเป็นบุตรของฮองเฮาเหตุใดข้าถึงต้องออกมาอยู่นอกวังหลวงเช่นนี้ ท่านตอบข้าไม่ได้เพราะข้าเป็นตัวกาลกิณีใช่หรือไม่ " แม่นมมิอาจจะพูดอันใดออกไปตอนนี้เพราะเช่นไรองค์หญิงยังทรงพระเยาว์คงไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางได้แต่นิ่งเงียบและพยายามมาจับตัวองค์หญิงเพื่อปลอบใจ แต่ก็ถูกองค์หญิงปัดมือและวิ่งออกไปจากห้องของนาง
หนิงเอ๋อที่ยังเด็กนางไม่รู้เอาแต่โกรธว่าทุกคนต่างพากันโกหกนาง นางจึงวิ่งไปที่ป่าหลังเรือนของตนเพื่อแอบไม่ให้ผู้ใดตามมาเจอ
แม่นมก็วิ่งออกตามมาแต่ก็ตามนางไม่ทัน ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์หญิงไปอยู่ที่ใด นางตาหาไปทั่วและให้คนใช้ในเรือนตามหาช่วยกัน
หนิงเอ๋อวิ่งมาในป่าลึกจนนึกขึ้นได้ว่าตนนั้นมาไกลเกิน แถมในป่าแห่งนี้ช่างไม่คุ้นตานางยิ่งนัก นางจึงได้รู้ตัวว่าตอนนี้นางได้หลงทางเข้าแล้ว หนิงเอ๋อนั่งลงบนรากไม้ของต้นไม้ใหญ่ พร้อมร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว
"แม่นมท่านอยู่ไหน ข้าขอโทษตอนนี้ข้ากลัวเหลือเกินโปรดมารับข้าที ฮื้อ ฮื้อ"
แคร่กกๆๆ!!
เสียงฝีเท้าที่เดินเยียบใบไม้ที่แห้งเหี่ยวเข้ามาใกล้ๆ หนิงเอ๋อนางกลัวมากใจสั่นระรัว นางก้มหน้าลงเพราะคิดว่าเป็นสัตว์ป่า
."นี่เจ้าเหตุใดถึงมาอยู่ในป่าลึกเช่นนี้ " มือน้อยๆ แตะที่ไหล่ของหนิงเอ๋อที่หลับตาปี้จนนางสะดุ้งร้องไห้ออกมานึกว่าผู้ที่มาทักนั้นเป็นวิญญาณของผีเด็ก
"ข้ากลัวแล้ว อย่าทำอันใดข้าเลยเจ้าเป็นผีก็อยู่ส่วนผีปล่อยข้าไปเสียเถอะ"
"นี่เจ้าเพ้อเจ้ออันใดข้ามิใช่ผีเสียหน่อย ลืมตาดูสิ" เสียงน้อยๆ ได้ตอบกลับหนิงเอ๋อ ทำให้นางรวบรวมความกล้าลืมตามาดูต้นเสียงที่ยืนอยู่ด้านหน้าของนาง เด็กชายตัวกะเปี้ยกร่างกายมอมแมมใส่เสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ย
"เห็นมั้ยว่าข้าเป็นมนุษย์มิใช่ผีป่าเสียหน่อยแล้วเจ้าเป็นผู้ใดมาทำอันใดในป่าแห่งนี้ " หนิงเอ๋อโล่งอกทีเป็นมนุษย์นางปาดน้ำตาและก็รีบตอบกลับทันที
"ข้าหลงเข้ามาในป่าแห่งนี้และหาทางกลับไม่ได้ แล้วเจ้าเป็นผู้ใดถึงมาในป่าลึกโดยไร้ความกลัว "
"ข้ามาเอาฟืนให้ท่านแม่ของข้า ข้าได้ยินเสียงร้องของเจ้าเลยเดินเข้ามาดู"
"งั้นหมายความว่าเจ้าพาข้าออกจากป่านี้ได้ใช่หรือไม่"
หนิงเอ๋อตาเป็นประกายเมื่อรู้ว่าตนเองจะหาทาออกจากป่าได้
"ใช่แล้ว ข้ามาในป่าแห่งนี้บ่อยจนรู้ทางออกได้หมดทุกทาง แต่ว่าหากเจ้าให้ข้าพาเจ้าไปส่งที่บ้านเจ้าต้องตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้ด้วย" เด็กชายมองดูเสื้อผ้าอาภรณ์และใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาก็รู้ในทันทีว่าเด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้านี่มิใช่ลูกชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่
"ได้สิ หากเจ้าไปส่งข้าที่เรือนข้าจะตอบแทนเจ้าเป็นอย่างดี " หนิงเอ๋อยิ้มร่าดีใจลุกขึ้นปัดชุดของนางพร้อมเดินตามเด็กชายออกจากป่า
"งั้นเจ้าตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าออกไปเองแต่เจ้าอย่าลืมเรื่องที่เจ้ารับปากข้าด้วยล่ะ" เด็กชายเองก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจเช่นกัน อย่างน้อยการพาเด็กหญิงออกไปส่งที่เรือนเขาน่าจะได้ของกินกลับบ้านไปให้ท่านแม่อย่างแน่นอน
เดินมาได้สักพักหนิงเอ๋อก็สะดุดล้มกับรากไม้ที่ทางเดินปกคลุมไปด้วยใบไม้และสัตว์เล็กใหญ่ที่พากันวิ่งไต่ไปมา
"โอ๊ย!! นี่เจ้ารอข้าด้วยสิ "
"เป็นอย่างไรบ้างเจ้านี่ซุ่มซ่ามจริงๆ " เด็กชายผู้นั้นก้มลงมามองดูหนิงเอ๋อที่นั่งจับข้อเท้าด้วยความเจ็บ
"ข้าเจ็บข้อเท้า " เด็กหนุ่มจับดูข้อเท้าของหนิงเอ๋อ เมื่อมือเล็กๆ สัมผัสข้อเท้าที่บวมแดง
"โอ๊ย เจ้าเบามือหน่อยสิ "
"ข้าว่าข้อเท้าเจ้าพลิกคงเดินกลับไม่ได้ เจ้าขึ้นมาที่หลังข้าสิ เดี๋ยวข้าจะแบกเจ้าไปเอง " เด็กหนุ่มหันหลังวางไม้ฟื้นลงให้หนิงเอ๋อขึ้นหลัง
"ข้าตัวหนักเจ้าแบกข้าได้รึ"
"ร่างกายเจ้าเล็กขนาดนี้คิดว่าข้าจะแบกเจ้าไม่ได้หรือไง"
หนิงเอ๋อยอมขึ้นหลังแต่โดยดีทั้งสองคนก็ได้เดินออกมาจากป่าเด็กหนุ่มเหงื่อไหลออกมาด้วยความร้อนและเหนื่อยหอบ
"เรือนของเจ้าอยู่ที่ใด" น้ำเสียงขาดๆ หาย
"เรือนของข้าอยู่ด้านโน้น" หนิงเอ๋อชี้ไปด้านหน้า เด็กหนุ่มถึงกับชะงักแต่ก็ยอมเดินไปส่งหนิเอ๋อถึงเรือน
"เจ้าเป็นเด็กในเรือนนั้นหรือ เจ้าเคยได้ยินเรื่ององค์หญิงกาลกิณีหรือไม่"
หนิงเอ๋อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามเด็กหนุ่มออกไป
"ทำไม เจ้ากลัวหรือไม่"
"ไม่เลยข้ารู้สึกสงสารนางด้วยซ้ำ" หนิงเอ๋อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจ
"เจ้าไม่กลัวสักนิดเลยรึ หากใบหน้าขององค์หญิงน่าเกียจน่ากลัวและเมื่อมีผู้คนอยู่ใกล้ก็จะเกิดอันตราย"
"ก็แค่คำพูดของชาวบ้าน ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องไม่ดีขององค์หญิงเลย " หนิงเอ๋อนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำตอบ อย่างน้อยก็มีเด็กหนุ่มที่ไม่รังเกียจและสงสารนาง
แม่นมวิ่งวุ่นตามหาองค์หญิงจนมองเห็นว่านางถูกเด็กหนุ่มอุ้มเข้ามาที่หน้าประตูเรือนนางจึงรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
"องค์หญิงท่านไปอยู่ที่ไหนมารู้หรือไม่ว่าข้านั้นเป็นห่วงท่านมากแค่ไหน แล้วนี่เกิดอะไรขึนทำไมท่านถึงได้กลับมากับเด็กผู้นี้แถมยังอยู่บนหลังของเด็กคนนี้ด้วยเพคะ"
"แม่นมข้าแค่สะดุดล้มข้าขอโทษที่ทำให้ท่านเป็นห่วง ข้าหนีท่านไปแล้วเกิดหลงทาง โชคดีที่เด็กคนนี้ช่วยข้าเอาไว้" เด็กหนุ่มเมื่อรู้ว่าผู้ที่เขาแบกออกมาจากป่านั้นเป็นองค์หญิงถึงกับตกใจเพราะไม่คิดเลยว่านางจะเป็นองค์หญิงที่เขารำลือกัน
แม่นมพยุงตัวองค์หญิงลงจากหลังเด็กหนุ่มรีบก้มลงโค้งคำนับองค์หญิงอย่างไว
"ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นองค์หญิง ข้าต้องขอโทษด้วยที่ข้าล่วงเกินท่าน" องค์หญิงยิ้มออกมาแล้วบอกให้เด็กหนุ่มลุกขึ้น
"เจ้าลุกขึ้นเถิด เป็นข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า แม่นมช่วยจัดเตรียมอาหารให้กับเด็กผู้นี้ด้วย ข้าขอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะออกมาหาเจ้าอย่าพึ่งกลับไปเสียก่อนละ" หนิงเอ๋อพูดจบก็เดินเข้าไปที่ห้องของตน แม่นมได้ส่งให้สาวรับใช้ไปเตรียมหาอาหารมาให้แล้วเดินตามองค์หญิงเข้าไปที่ห้องของนาง
เมื่อนางแต่งกายเสร็จสิ้นก็ได้เดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มที่นั่งรอรอยู่ที่ห้องโถง หนิงเอ๋อได้นั่งลงตรงหน้า
"การที่ข้าได้ออกมาจากป่าในครั้งนี้ก็เพราะเจ้า เจ้าอยากได้รางวัลอะไรหรือไม่ "
"ข้ามิกล้าหรอกขอรับ "
"เจ้าคนเมื่อครู่ไม่เห็นจะพูดเช่นนี้ พูดกับข้าเช่นเดิมเถอะตอนที่ข้าได้ยินเจ้าบอกว่าเจ้าสงสารข้า รู้หรือไม่ว่าข้าดีใจเพียงใดข้าชื่อหนิงเอ๋อเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะว่าแต่เจ้าชื่อว่าอะไร"
หนิงเอ๋อส่งยิ้มหวานให้กับเด็กหนุ่มก่อนที่เขาจะตอบชื่อออกมา
"ข้าชื่อว่าหางเฟิ่งขอรับ"
เมื่ออาหารมาถึงเขาก็ได้กินไปเล็กน้อยก่อนจะขออาหารกลับบ้านไปให้ท่านแม่หลังจากนั้นมาหนิงเอ๋อก็มีเด็กหนุ่มผู้นี้คอยมาเป็นเพื่อนเล่นของนางเสมอมา จนกระทั่งวันหนึ่งหนิงเอ๋อกับเด็กชายได้พูดกันไว้ว่าจะมาที่จุดนัดพบ แต่ทว่าวันนั้นเกิดฟ้าฝนกระหน่ำลงมาทำให้หนิงเอ๋อที่ไปยืนรอคอยก็ไม่พบแม่นมจึงชวนหนิงเอ๋อกลับเข้าที่เรือนเพราะตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มก่อตัวตั้งเค้าเกรงว่าองค์หญิงจะไม่สบายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหนิงเอ๋อก็ไม่ได้พบเด็กชายผู้นั้นอีกเลย นางจึงได้ให้คนใช้ตามหาข่าวคราวของหางเฟิ่งจนได้รู้ว่ามารดาของเขานั้นได้เสียชีวิต ทำให้เขานั้นกลายเป็นเด็กเร่ร่อนและถูกจับตัวไปขายให้กับใต้เท้าที่มีเงินทอง ทำให้หนิงเอ๋อคิดว่าเป็นเพราะตนชีวิตของหางเฟิ่งจึงต้องมาเจอกับเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ นางจึงเก็บตัวเงียบและไม่พบเจอผู้ใดอีกต่อไป นิสัยของหนิงเอ๋อเองก็เปลี่ยนไปอย่างมาก นางเริ่มเอาแต่ใจตนเองจากน่ารักกลายเป็นดุร้าย
8 ปีต่อมา
องค์หญิงหนิงเอ๋อได้เติบโตขึ้นเป็นสตรีที่สวยงาม ราชวงศ์เองก็ได้แต่งตั้งให้องค์ชายสามได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทตอนนี้ฮ่องเต้เองก็เริ่มมีพระวรกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก เป็นเรื่องน่าพึงพอใจสำหรับหวงกุ้ยเฟยแต่สำหรับฮองเฮานั้นยังจำคืนวันที่สูญเสียมิรู้ลืม
ส่วนหนิงเอ๋อนั้นก็ได้มีนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยสดใสแต่ก็ต้องเป็นคนเก็บตัวเงียบ และหลังจากนั้นนิสัยของนางก็เริ่มร้ายแรงขึ้น เอาแต่ใจตนเองหากผู้ใดทำให้ไม่พอใจนางก็มักจะสั่งลงโทษ นางมีนิสัยใจร้อนและไม่เกรงกลัวผู้ใดอีกต่อไปในเมื่อนางเป็นองค์หญิงกาลกิณีที่ชาวบ้านพากันรังเกียจราวกับปีศาจ นางหยิ่งผยองด่ากล่าวโดยไม่กลัว เมื่อนางเริ่มโตขึ้นนางก็รู้ว่าตนนั้นมิใช่บุตรสาวของฮองเฮาเป็นเพียงบุตรสาวของกุ้ยเฟ่ยเท่านั้น ความเสียใจของนางที่มีต่อฮองเฮานั้นก็มีมากแต่ทว่าความรักที่ฮองเฮามอบให้ก็เปรียบเสมือนมารดาที่คลอดนางมาเอง มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่ไม่เคยมาดูดำดูดีนางแม้เพียงสักครา ทำให้นางรู้สึกเกียจชังและความไม่ยุติธรรมที่นางเคยเจอมาตั้งแต่เด็ก นางจึงทำตัวใช้ชีวิตให้ชาวบ้านกล่าวดูถูกราชวงศ์ตอนหนิงเอ๋ออายุได้เพียง15ปี นางได้ออกไปที่ตลาดอีกครั้งและก็เกิดเหตุการณ์ที่มีชาวบ้านได้ล้มป่วยและตายกันหลายชีวิต เมื่อชาวบ้านเห็นหนิงเอ๋อจึงเอ่ยกล่าวหาว่าเป็นเพราะนาง ตัวกาลกิณีที่มาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ทำให้เกิดอาเพศชาวบ้านพากันต่างรุมโยนข้าวของทำร้ายร่างกายหนิงเอ๋อ เรื่องนี้จึงถึงหูของฮองเฮาเมื่อนางทราบข่าว จึงได้มาหาหนิงเอ๋อและพาองครักษ์มาดูแลนางเพราะเกรงว่านางจะถูกชาวบ้านรังแกอีก เมื่อมีผู้ที่คอยคุ้มกันหนิงเอ๋อก็ทำตัวไม่เกรงกลัวผูู้ใด หนิงเอ๋อได้ออกไปเจอโลกภายนอกที่นางไม่เคยได้พบเห็น จนตอนนี้นางมีอายุ 18 ปี
วันนี้หนิงเอ๋อได้ออกมาท่องเที่ยวยามราตรีนางได้แอบแม่นมออกมากับองครักษ์ นางได้ใช้ผ้าคุมปิดใบหน้าของตนเองเพราะไม่อยากให้ชาวบ้านได้รู้ถึงการปรากฏตัวของนาง นางอยู่ออกมาเที่ยวอย่างเงียบๆ สักครา
“นี่เจ้าวันนี้ข้าได้ยินมาว่าหอนายโลมมีบุรุษรูปงามที่มาจากเมืองอื่นได้มาบรรเลงเพลงที่นี่เจ้าจะไปดูกับข้าหรือไม่ ” สตรีพากันยืนพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นเมื่อรู้ว่ามีบุรุษรูปงามมาปรากฏตัว
“ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าใบหน้างามราวเทพบุตร หวานหยดย้อยไหนจะเพลงที่บรรเลงออกมาสะกดให้ผู้คนหลงใหล ” หญิงอีกผู้หนึ่งได้พูดขึ้น
“งั้นข้าไปด้วย จะได้ไปเห็นกับตาว่าบุรุษที่หล่อที่สุดในใต้หล้านั้นจะเป็นเช่นไร” สตรีทั้งสามคนก็ได้พากันเดินไปที่หอนายโลม บทสนทนาทั้งหมดก็ได้เข้าหูของหนิงเอ๋อที่เดินผ่านมาพอดี นางจึงตัดสินใจไปดื่มสุราที่หอนายโลม
“องค์หญิงวันนี้ท่านจะไปที่ใดพะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้วว่าจะไปที่ใด เจ้าจงพาข้าที่หอนายโลมที่สตรีเมื่อครู่พูดถึงกันเถอะ” หนิงเอ๋อตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย ทำให้หลิวเหลาจือ องครักข์ที่คอยเฝ้าตามดูแลต้องฉงนใจในคำตอบ
“ท่านคิดดีแล้วหรือพะย่ะค่ะ”
“เจ้าจะเกรงกลัวอันใด ข้าคือตัวซวยที่ราชวงศ์ขว้างทิ้งเหตุใดข้าต้องเกรงกลัวว่าราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียด้วยเล่า เจ้าพาข้าไปเดี๋ยวนี้มิเช่นนั้นข้าจะบอกท่านแม่ว่าเจ้าดูแลข้าไม่ดี” หนิงเอ๋อเดินยืดอกออกไปอย่างสง่า ทำให้หลิวเหลาจือถอนหายใจก่อนจะเดินตามองค์หญิงไปที่หอนายโลม
หอนายโลม
ผู้คนมากมายเสียงดังสนั่นคงเป็นเพราะบุรุษผู้งามที่ผู้คนต่างอยากมาเห็นในคำร่ำลือทำให้วันนี้ที่นี่คึกคักเป็นอย่างมาก
องครักษ์หลิวได้เข้าไปหาเจ้าของหอนายโลมเป็นนายหญิงรูปงามก็ได้ออกมาต้อนรับหนิงเอ๋อเป็นอย่างดี
“หอของข้าขอต้อนรับสตรีผู้สูงส่ง ข้าจะนำพาท่านไปนั่งที่สูงที่สุดและมองเห็นนายโลมที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาอยู่ที่หอของเราในวันนี้เจ้าค่ะ เชิญตามข้ามา” นายหญิงของหอนายโลมได้ผายมือให้หนิงเอ๋อเดินตามนางไปชั้นบนเพื่อมองดูการแสดงอย่างเห็นได้ชัด สถานที่แห่งนี้ถูกปกครองโดยใต้เท้าไป๋
หนิงเอ๋อมาถึงที่นั่งนางจึงนั่งลงมีนายโลมที่นายหญิงส่งตัวมาคอยดูแลปรนนิบัติคอยรินสุราให้กับหนิงเอ๋อ
เมื่อนางนั่งมาได้สักพักเสียงกรี๊ดร้องของสตรีที่เข้ามาชมการแสดงดนตรีของนายโลมก็ได้ดังขึ้น ทำให้หนิงเอ๋อเองก็ชำเลืองตามองลงมาด้านล่าง นายโลมได้ถือเครื่องเล่นดนตรีมานั่งลงท่ามกลางเหล่าสตรีมากหน้าหลายตา เขาค่อยๆ นั่งลงด้วยท่าทีนอบน้อมอ่อนหวานราวเทพบุตรอย่างที่ถูกร่ำลือ มือเรียวที่ใช้ดีดสายพิณช่างสง่างามใบหน้าที่ดูหล่อเหลาแต่แฝงไปด้วยความอ่อนหวานทำให้หนิงเอ๋อตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น หัวใจนางสั่นไหวเต้นระรัวแม้นางยังไม่รู้ว่าอาการนี้เรียกว่าอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้ก็คือนายโลมผู้นี้นางจะเอากลับที่เรือนของนางให้จงได้ หนิงเอ๋อใช้มือกวักเรียกองครักษ์หลิวที่ยืนอยู่ด้านหลังมาหานาง องครัษ์หลิวก้มตัวลงฟังคำสั่งหนิงเอ๋อกระซิบข้างหูสักพักองครักษ์หลิวก็ได้เดินออกไปพร้อมเดินกลับมากับนายหญิงเจ้าของหอนายโลม
“ไม่ทราบว่าท่านต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ” นายหญิงเมื่อมาถึงก็ได้ถามหนิงเอ๋อทันที
“เมื่อนายโลมผู้นั้นทำการแสดงเสร็จสิ้นแล้วท่านช่วยพาตัวของเขามาหาข้าที ”
นายหญิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดออกมา
“ท่านคงจะทราบนะเจ้าคะ ว่านายโลมผู้นี้มีชื่อเสียงเลืองลือ และเป็นที่นิยมในหมู่สตรี หากท่านต้องการตัวของเขามา ท่านต้องจ่ายหนักนะเจ้าคะ”
“ค่าตัวเท่าไหร่ข้ายอมจ่าย แต่เจ้าต้องพานายโลมผู้นั้นมาหาข้าให้ได้” หนิงเอ๋อมองดูนายโลมที่บรรเลงเพลงอยู่อย่างชวนหลงไหลไม่ต่างจากสตรีที่อยู่ในที่แห่งนี้ ราวกับว่าเสียงดนตรีที่เขาแสดงออกมานั้นมีมนต์สะกดให้ผู้คนต่างต้องการตัวของเขา
“ได้เจ้าค่ะ วันนี้โชคดีของท่านนะเจ้าคะที่จะได้ตัวนายโลมมาครอบครอง เดี๋ยวข้าจะให้นายโลมมาหาท่านทันทีหลังแสดงจบ ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
หลังจากที่นายหญิงเดินออกไปองครักษ์หลิวก็ได้เดินมาพูดกับองค์หญิงทันที
“องค์หญิงท่านจะทำอันใดพะย่ะค่ะ อย่าลืมนะว่าท่านเป็นใครอีกอย่างหากเรื่องนี้ถึงหูฮองเฮาข้าเกรงว่าท่านต้องถูกลงโทษเป็นแน่ ” สีหน้าขององครักษ์หลิวเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“หากเจ้าไม่แจ้งต่อท่านแม่ก็ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้เป็นแน่ อีกอย่างข้าได้บอกเจ้าว่าอย่างไร ออกมาข้างนอกห้ามเรียกข้าเช่นนั้นให้เรียกข้าว่าหนิงเอ๋อ เจ้านี่ไม่รู้จักจำเสียที” องครักษ์หลิวทำอันไดมิได้เขาเองก็รู้ดีว่าหนิงเอ๋อนั้นมีนิสัยเช่นใด เขาจึงถอยหลังยืนคอยดูแลตามหน้าที่ที่ได้รับ
เมื่อการแสดงเสร็จสิ้นลงนายหญิงก็ได้พานายโลมขึ้นมาหาหนิงเอ๋อด้านบน นายโลมนั่งลงอยู่เบื่องหน้าของหนิงเอ๋อ นางได้พยักหน้าให้องครักษ์หลิวเพื่อจ่ายค่าตัวให้นายหญิงก่อนที่นางจะรับและยิ้มอย่างดีใจก่อนจะเดินออกจากห้องนี่ไปปล่อยให้นายโลมได้ปรนนิบัติหนิงเอ๋อ
หนิงเอ๋อเดินมาจับปลายคางของนายโลมขึ้นก่อนจะถามชื่อของเขา
นายโลมผู้นั้นได้เงยหน้ามองสบตากับหนิงเอ๋ออย่างหยดย้อยก่อนจะตอบชื่อออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ข้านายโลมผู้ต่ำต่อยมีนามว่าหางเฟิงขอรับ ” หนิงเอ๋อเมื่อได้ยินชื่อนี้ก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่และปล่อยมือจากคางของหางเฟิงก่อนจะนึกย้อนหาเด็กผู้นั้น แต่ทันใดนั้นเองนางก็ต้องรีบส่ายหน้า เด็กผู้นั้นจะมาอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร ในเมื่อนางได้ยินมาว่าเด็กนั่นถูกขายให้ไปเป็นข้ารับใช้ปานนี้จะเป็นจะตายอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่อาจจะเป็นบุรุษที่หน้าตาดีผู้นี้ได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร” หนิงเอ๋อใช้มือปลดหน้าที่ปกปิดใบหน้าของนางออกแสดงให้หางเฟิงเห็น
“ข้าไม่รู้ขอรับ แต่ที่รู้ๆ คือท่านเป็นสตรีที่มีใบหน้างดงามเหลือเกิน จนข้าไม่คิดว่าสตรีที่งดงามเช่นท่านจะมาเที่ยวหอนายโลมเช่นนี้ ” หนิงเอ๋อเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะหางเฟิงจึงลุกขึ้นมารินสุราให้แก่นาง
“เจ้านี่ช่างพูดช่างจาเสียจริง ไม่ใช่แค่ใบหน้าและการแสดงของเจ้าที่ต่างให้สตรีทั้งใต้หล้าต้องการ วาจาของเจ้านั้นก็ต่างพาให้สตรีที่แตกสาวหรือสตรีที่แก่คำคึกหลงใหลช่างสมกับค่าตัวของเจ้าเสียจริง”
“ท่านก็กล่าวเกินไปขอรับ ว่าแต่ท่านจะให้ข้าปรนนิบัติถึงขั้นไหนกันหรือขอรับแค่รินสุราหรือต้องการให้ข้านวดร่างกายของท่าน” เมื่อองครักษ์หลิวได้ยินดาบที่อยู่ข้างเอวบัดนี้ได้มาอยู่บนบ่าใกล้คอของหางเฟิงเรียบร้อย
“บังอาจนักไม่รู้ที่ต่ำที่สูง” เสียงที่เปล่งออกมาด้วยความโกรธ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เอาดาบออกจากคอของหางเฟิงเดี๋ยวนี้” หนิงเอ๋อเสียงแข็งบอกองครักษ์หลิว
“แต่ว่าชายผู้นี้ได้เอ่ยคำที่ไม่สมควรนะขอรับ”
“ข้าบอกให้เจ้าวางดาบลง ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าข้าจะมาเพียงผู้เดียว” หนิงเอ๋อจ้ององครักษ์หลิวไม่วางสายตา หางเฟิงตัวสั่นเล็กน้อยเพราะไม่คิดเลยว่าดาบจะอยู่บนคอของตนเช่นนี้
“ก็ได้ขอรับ ”
“ดูสิ หางเฟิงของข้าตัวสั่นไปหมดแล้ว ไม่ต้องกลัวนะที่ข้าเรียกตัวเจ้ามาเพราะต้องการพูดคุยกับเจ้าเท่านั้น ไม่ได้หวังถึงขั้นขึ้นเตียงหรอกนะ เจ้าชอบชีวิตแบบนี้หรือไม่ที่ต้องออกแสดงทุกค่ำคืนเพื่อแลกเบี้ยอัฐ”
“ข้าจะเลือกชีวิตของข้าได้อย่างไรขอรับ ชีวิตของข้านั้นช่างอาภัพถูกขายเป็นข้ารับใช้ตั้งแต่เด็ก ถูกโบยตีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดโชคดีที่เจอกับนายหญิง นายหญิงเป็นเหมือนท่านแม่ของข้า ได้มอบชีวิตใหม่ให้และซื้อตัวข้ามาจากนรกที่ข้าเคยอยู่ การที่เป็นนายโลมก็ดีอย่างหนึ่งนะขอรับไม่เหงา แต่ละคืนเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ข้าเองก็อยากจะใช้ชีวิตเช่นดั่งผู้อื่นแต่ติดที่ว่าค่าตัวที่นายหญิงซื้อข้ามานั้นมากมายเหลือเกินจนข้าไม่รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติข้าจะหามาคืนจนหมดหรือไม่” หางเฟิงพูดออกมาด้วยสายตาว่างเปล่า จนหนิงเอ๋อเองที่ได้ยินถึงกับเข้าใจ
“เช่นนั้นเจ้าอยากไปอยู่กับข้าหรือไม่ ไม่ว่าค่าตัวเจ้าเท่าไหร่ข้าก็ยอมจ่าย” หางเฟิงเงยหน้ามองหนิงเอ๋อทันที พร้อมเข้าไปโอบกอดขาของนางอย่างดีใจ
“ขอบใจท่านมากขอรับ หากท่านพาข้าออกไปใช้ชีวิตเช่นดังปกติ ข้าจะขอรับใช้ท่านไปตลอดชีวิต” หนิงเอ๋อลูบหลังของหางเฟิงพร้อมบอกให้เขาลุกขึ้น
“ลุกขึ้นมาเถิดเจ้าก็ไปพูดคุยกับนายหญิงของเจ้าไว้ ภายในสามวันนี้ข้าจะมาถอนตัวเจ้าเอง โปรดรอข้าและอย่าไปกับผู้ใดก่อน วันนี้ข้าคงต้องกลับแล้ว”
“ได้ขอรับ ข้าจะรอท่านนะขอรับ ว่าแต่ท่านผู้มีเมตตาชื่อว่าอะไรกันขอรับ”
“ข้าชื่อว่าหนิงเอ๋อ” หนิงเอ๋อพูดจบก็ได้เดินออกมาจากห้องและกลับไปที่เรือนของตน
บทที่ 6 ได้รับความรักมาถึงเรือนหนิงเอ๋อกำลังเดินเข้าห้องของตนแต่ก็ต้องถูกองครักษ์หลิวขวางไว้ก่อน“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาขวางหน้าข้าเช่นนี้”“องค์หญิงข้าเองก็ไม่รู้ว่าองค์หญิงคิดอันใดอยู่ถึงได้อยากจะรับนายโลมผู้นั้นมาอยู่ที่เรือนแห่งนี้”“มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า ข้าจะพาใครมาอยู่ที่นี่มันก็เรื่องของข้า ท่านแม่ส่งเจ้ามาคอยดูแลความปลอดภัยของข้า เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องยุ่ง”“แต่ที่กระหม่อมเป็นห่วงองค์หญิงนะพะย่ะค่ะ องค์หญิงเพิ่งเจอชายผู้นี้เพียงค่ำคืนเดียวจะไว้ใจได้หรือพะย่ะค่ะ”“ข้ามิได้เกรงกลัวนักหรอก เจ้าคิดดูสิว่าชายที่ถูกซื้อตัวออกมาจากหอนายโลมจะสำนึกบุญคุญข้าแค่ไหน เจ้าไปพักผ่อนเสียเถอะไม่ต้องกังวลแทนข้า ข้ารู้สึกถูกชะตากับหางเฟิงเพื่อนในวัยของข้า ไหนจะแววตาที่ข้าคุ้นเคยไหนจะชื่อของเขาที่มีชื่อเดียวกับเพื่อนเพียงคนเดียวของข้า หากวันข้างหน้าหางเฟิงมีอันตรายต่อข้า ข้าจะจัดการเขาเอง” หนิงเอ๋อพูดจบองครักษ์หลิวก็ถอยหลังหลบให้หนิงเอ๋อเดินเข้าไปที่ห้องนอนของนางรุ่งสางของอีกวันแม่นมตื่นมาก็ได้เข้ามาที่ห้องของหนิงเอ๋อเพื่อบอกให้นางได้เตรียมตัว วันนี้ฮองเฮาจะเสด็จมาหานางที่เรือนแห่งนี้“องค์หญิ
บทที่ 7 มารับกลับเรือนตำหนักหมิ่งซื่อนางกำนัลเหล่าขันทีกำลังเดินกันไปมาต้องเตรียมเนื้อผ้า และนำรายชื่ออาหารมาให้ฮองเฮาได้ตรวจดูว่าต้องการของสิ่งนี้หรือไม่ ฝ่าบาทได้สั่งให้ฮองเฮาดูแลและจัดการงานเลี้ยงครั้งนี้ ฮองเฮาจึงตั้งใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับงานเลี้ยงอย่างตั้งใจ ไม่นานฮองไทเฮาก็ได้เสด็จมาหาฮองเฮาที่ตำหนักหมิ่งซื่อแห่งนี้“ฮองไทเฮาเสด็จ” เสียงของขันทีได้ตะโกนบอกการมาในครั้งนี้ให้ทุกคนได้รับรู้ ฮองเฮากับเหล่าข้ารับใช้รีบตั้งขบวนเดินไปรับฮองไทเฮาที่หน้าตำหนัก“ถวายบังคมฮองไทเฮา” ฮองเฮาก้มโค้งคำนับเมื่อฮองไทเฮาเดินเข้ามาถึง“นี่เจ้ากำลังยุ่งอยู่สินะ เตรียมการไปถึงไหนแล้ว” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยและรอยย่นของใบหน้ากวาดตามองไปรอบตำหนัก“เชิญฮองไทเฮาเข้าไปนั่งในตำหนักก่อนเพคะ หม่อมฉันจะให้นางกำนัลยกน้ำชาให้เพคะ” พูดจบฮองไทเฮาก็ได้เดินเข้าไปนั่งด้านในตำหนักมองดูตำราและผ้าใหมมากมายที่กองอยู่ที่ห้องโถง“เจ้าคงทำงานหนักเลยสินะ เหตุใดเจ้าไม่ให้หวงกุ้ยเฟยมาช่วยงานเจ้าในครั้งนี้ด้วย”“หม่อมฉันพอทำได้เพคะ อีกอย่างหม่อมฉันชอบทำงานเพียงผู้เดียวมิชอบให้ผู้ใดมาช่วยหรอกเพคะ ขอบคุณในพระมหากรุณา
บทที่ 8 เพื่อนวัยเด็กของข้าหางเฟิ่งเดินเข้ามาที่ห้องโถงโค้งคำนับนายหญิงของตนเองทั้งคำนับหนิงเอ๋อที่มีพระคุณแม้นายหญิงยังไม่เอ่ยปากบอกการมาของหนิงเอ๋อเขาเองก็รู้ดีถึงเจตนาของนางที่นางมาครั้งนี้เพียงเพราะต้องการตัวของเขาไปอยู่ที่เรือนกับนาง“ผู้น้อยหางเฟิ่งมาแล้วขอรับ ไม่ทราบว่านายหญิงเรียกข้ามาพบมีเรื่องอันใดหรือขอรับ โอ๊ะ! สตรีผู้สูงส่งก็นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ข้าขอเดาว่าคงมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นใช่มั้ยขอรับ”“หางเฟิ่งข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าตอนนี้สตรีที่นั่งอยู่ต่อหน้าเจ้าคือผู้ที่มีพระคุณของเจ้า ต่อจากนี้เจ้าจะได้ออกไปใช้ชีวิตที่เจ้าต้องการ คำนับสตรีผู้นี้สิ” นายหญิงพูดจบหางเฟิ่งก็นั่งคุกเข้าลงเพื่อขอบคุณที่หนิงเอ๋อจะพาเขาออกจากที่นี่เดิมทีหางเฟิ่งมิได้อยากทำงานที่นี่แต่เพราะต้องการมีชีวิตอยู่รอดเขาจึงไม่สามารถเลือกงานที่จะทำได้ตอนเด็กวันที่เขาได้นัดพบเจอกับหนิงเอ๋อและไม่ได้ออกมาพบเจอนางนั้นก็เพราะว่าวันนั้นมารดาของเขาได้ลาลับจากโลกไปความโศกเศร้าเสียใจและความโดดเดี่ยวทั้งชีวิตของเขามีเพียงมารดาเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง เมื่อสิ้นที่พึ่งเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งกอดร่างอันไร้ลมหายใจของมาร
บทที่ 9 อย่าให้ข้าได้ร้ายหางเฟิ่งได้ยิ่งกำหมัดแน่นเป็นเพราะเขาเองที่ไม่ได้มาร่ำลาก่อนจากไปเขาที่เฝ้าแต่ปวดร้าวคิดถึงมารดาที่ล่วงลับ เขาเองไม่รู้เลยว่านางจะเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ต่อจากนี้เขาเองจะเป็นคนมอบความสุขให้แก่นาง“องค์หญิงเชื่อใจกระหม่อมได้เลยพะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเติมเต็มให้องค์หญิงเอง”“ไปกันเถอะนี่ก็ใกล้จะถึงเวลากินข้าวแล้ว เช้ารุ่งขึ้นข้ามีธุระที่ต้องเข้าวังหลวงเจ้ารอข้าอยู่ที่เรือนแห่งนี้ได้หรือไม่ หากมีผู้ใดกล้ารังแกหรือต่อว่าเจ้า เจ้าอย่าได้เกรงกลัวโปรดมาบอกแก่ข้า จะจัดการมันผู้นั้นเอง”“กระหม่อมมิกล้าหรอก กระหม่อมจะคอยองค์หญิงอยู่ที่เรือนอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวพะย่ะค่ะ”“เจ้าพูดกับข้าเหมือนปกติเถอะ ข้ามิใช่องค์หญิงที่สูงส่งอันใดเพียงแต่เป็นองค์หญิงที่ถูกเขี่ยทิ้งเท่านั้น”“ได้ขอรับ หากเป็นพระประสงค์ของท่าน” หนิงเอ๋อเดินนำไปที่เรือนกับหางเฟิ่ง ส่วนองครักษ์หลิวเมื่อกลับมาก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใดรุ่งเช้าของอีกวันหนิงเอ๋อแต่งชุดที่ฮองเฮานำมาให้จากวังหลวงเป็นชุดสีอ่อนหวานงดงาม แต่มันไม่ถูกใจหนิงเอ๋อหากนางแต่งกายเช่นนี้เข้าไปที่วังหลวงเกรงกลัวว่าทุกคนจะข่มนางได้ นางจึงให้ฟางลี่เว่
บทที่ 10 ท่านย่าของข้าเกี้ยวได้มาส่งหนิงเอ๋อที่ตำหนักของฮองเฮา นางก้าวลงอย่างช้าๆ ด้วยความประหม่าเล็กน้อย“นี่หรือวังหลวง” คำแรกที่หนิงเอ๋อพูดเมื่อมาถึง นางกวาดตามองเหล่าขันทีมากมายและนางกำนัลที่เดินเดินไปมาอย่างเร่งรีบ ทหารมากมายพากันเดินตรวจตาไปมา ไม่ว่าขุนนางน้อยใหญ่ก็พากันเดินไปทั่ว“นี่แหละเพคะวังหลวง ฮองเฮารอองค์หญิงอยู่รีบเสด็จเถอะเพคะ” แม่นมจับมือนหนิงเอ๋อให้เดินลงมา นางก็ได้เดินนำหน้านางกำนัลที่ถูกส่งไปรับนางก็ได้เดินตามหลังคอยดูแล“หนิงเอ๋อเจ้ามาแล้วสินะ มานั่งตรงนี้ก่อนตอนนี้พิธีการยังไม่เริ่ม เจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆ คงจะหิว เดี๋ยวข้าจะให้นางกำนัลไปนำขนมมาให้เจ้าได้กิน”“ไม่ต้องก็ได้เพคะ ลูกไม่ได้เหนื่อยอันใดเลย ดูท่านสิเพคะเหตุใดทรงดูซูบผอมถึงเพียงนี้ อย่าบอกนะเพคะว่าท่านถูกฝ่าบาทใช้งานจนไม่มีเวลาพักผ่อน”“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกนะหนิงเอ๋อ ร่างกายของข้าเองก็เริ่มแก่ขึ้นทุกวัน เดี๋ยวนี้กินอะไรก็ไม่ค่อยอร่อยกลางคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าได้ให้หมอหลวงมาตรวจร่างกายแล้ว”“เป็นเช่นนั้นก็ดีเพคะ ท่านแม่ก็รู้หากข้าไม่มีท่านแม่ข้าคงไม่ย่างกายเข้ามาในวังหลวงแห่งนี้เป็นแ
บทที่ 11 เกิดเรื่องร้ายตำหนักฟู่หลางฝั่งด้านเสี่ยวหลงนางเดินฟัดเหวี่ยงไปที่ตำหนักของหวงกุ้ยเฟยมารดาของนางด้วยอารมณ์โมโห“ท่านแม่ ท่านอยู่ที่ใด นี่พวกเจ้าไปตามท่านแม่มาให้ข้าเดี๋ยวนี้” นางมาถึงก็เอะอะโวยวายเสียงดังใส่นางกำนัลที่กำลังเดินทำหน้าที่ของตน เสียงของนางทำให้หวงกุ้ยเฟยที่กำลังแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ไปงานเลี้ยงได้ยินเข้า เมื่อนางเสร็จแล้วนางก็เดินออกมาหาบุตรสาวของนางที่นั่งหน้าบูดน่าเบี้ยวอยู่ที่เก้าอี้“เอะอะโวยวายอะไรเสียงดังขนาดนี้ เจ้าสำรวมเสียบ้างอย่าลืมสิว่าเจ้าเป็นองค์หญิงไหนจะเป็นน้องสาวขององค์รัชทายาทอีกด้วย”“ท่านแม่จะให้ข้านิ่งเฉยได้อย่างไรเพคะ ท่านแม่ทราบหรือไม่เมื่อครู่ข้าเจอผู้ใด”“เจ้าไม่พูดข้าจะรู้ได้อย่างไร”“ก็นางตัวซวยนะสิเพคะ ข้าได้ยินเพียงเรื่องเล่าวันนี้ได้เจอนางมาที่วังหลวงแถมยังเข้ามายุ่งเรื่องข้าอีกด้วย ทำร้ายทหารของข้าจนได้รับบาดเจ็บ ข้าไม่ยอมนะเพคะท่านแม่ต้องไปจัดการนางให้หม่อมฉัน นางจะได้รู้สำนึกว่าไม่ควรมายุ่งกับข้า”“เจ้าอย่าพลีพลามวันนี้ข้าไม่อยากมีเรื่องจัดการนางเมื่อไหร่ข้าก็จัดการได้ นางเป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆ ที่ข้าจะฆ่าทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ เจ้าไปเตร
บทที่ 12 ไม่ใช่ความผิดของนางเมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นงานเลี้ยงได้จบลงทุกคนต่างพากันแยกย้ายและตื่นกลัวจะเกิดอันตรายกับตนเอง เรื่องที่เกิดขึ้นก็ถูกกล่าวขานกันไปทั่ววังหลวง ต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากองค์หญิงหนิงเอ๋อที่มาปรากฎกายขึ้นในวังวันนี้ ทำให้ฮองเฮาไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงส่งตัวองค์หญิงกลับที่เรือน“หนิงเอ๋อเจ้าไม่ต้องคิดอันใด เรื่องทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเจ้า ข้าจะไม่ยอมอยู่นิ่งข้าจะหาคนที่ทำเรื่องนี้ขึ้นมาให้ได้ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะนะ อย่าได้เอาเรื่องวันนี้มาใส่ใจ แม่นมข้าขอฝากหนิงเอ๋อของข้าด้วย เจ้าเองก็เช่นกันดูแลองค์หญิงให้ดีอย่าให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับองค์หญิงเป็นอันขาด ตอนนี้เรายังไว้ใจใครไม่ได้”“เพคะ/พะย่ะค่ะ”“ท่านแม่เองก็เช่นกันนะเพคะ อย่าคิดมากจนไม่มีเวลาดูแลตนเอง ข้าได้หาใส่ใจไม่ ข้าเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้อยู่เรื่อยจนข้าชินชาแล้ว ท่านแม่โปรดดูแลรักษาพระวรกายให้ดีนะเพคะ .”“เจ้าไปเถอะ เดี๋ยวข้าต้องเข้าไปหาฝ่าบาท”เมื่อร่ำลาเสร็จสิ้นหนิงเอ๋อก็ได้นั่งเกี้ยวกลับเรือน ระหว่างทางก็ได้นึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกอย่างล้วนมีเงื่อนงำ นางไม่เคยรู้จั
บทที่ 13 ฝีมือของหวงกุ้ยเฟยฝั่งด้านองครักษ์หลิวที่ไหวตัวทันก็ได้กระโดดขึ้นหน้าต่าง และวิ่งให้เร็วเพื่อหนีการจับกุมนี้ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดตามมาทันองครักษ์หลิวก็กระโดดลงมาที่พื้นอย่างไม่ทันระวังก็ชนเข้ากับองค์หญิงเหมยฟางนางเป็นบุตรสาวของนางสนมของฝ่าบาท ที่กำลังวิ่งหนีเหล่านางกำนัลด้วยความที่นางขี้เกียจจะเข้าเรียนโครม!!“โอ๊ย!! เจ้าไม่มีตาหรือไง รู้มั้ยว่าเจ้าทำให้ข้าเจ็บ” เหมยฟางอยู่ด้านล่างถูกร่างใหญ่ขององครักษ์หลิวทับร่างนางอยู่นางหลับตาเพราะความเจ็บแต่เมื่อนางลืมตาขึ้นมาก็ต้องพบกับเทพบุตรที่แสนงดงาม สีหน้าที่เกรี้ยวโกรธก็อมยิ้มทันที“กระหม่อมขอประทานอภัยพะย่ะค่ะ เป็นความผิดของกระหม่อมเองที่ไม่ทันได้ดูดีๆ ทรงลงโทษกระหม่อมได้เลยพะย่ะค่ะ” องครักษ์หลิวลุกขึ้นและนั่งคุกเข้าลงเพื่อรับการลงโทษ“ตอนนี้ข้าเจ็บมากเลย เจ้าต้องพาข้าไปส่งที่ตำหนักของข้า มิเช่นนั้นข้าจะสั่งให้ทหารจับเจ้าไปประหาร” เหมยฟางนางไม่ถือโทษแต่อยากใช้เวลาอยู่กับบุรุษผู้นี้นานๆ“จะให้กระหม่อมพาองค์หญิงไปเช่นไร กระหม่อมเป็นผู้ชายมิบังอาจถูกเนื้อต้องตัวองค์หญิงหรอกพะย่ะค่ะ”“เจ้าก็ให้ข้าขึ้นหลังเจ้าสิ หากผู้ใดต่อว่าข้าจะ
บทที่ 40 ข้ามีความสุขในทุกวัน สามปีต่อมาหลังจากวันนั้นที่หนิงเอ๋อคลอดและแม่ทัพเองก็ได้ออกจากกองทหารเพราะแขนที่ได้รับบาดเจ็บของเขาทำให้เขาไม่สามารถจับดาบได้อีก เขาจึงมาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับหนิงเอ๋อและบุตรชายของเขาที่ทั้งดื้อทั้งซนแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ที่ดินที่ฮองเฮาเคยให้ไว้เขาเองก็จัดแจงทำเกษตรคอยให้ชาวบ้านที่เร่ร่อนช่วยกันทำมาหากินหากผู้ใดทำได้มากเขาก็มีผลตอบแทนให้อย่างมากเช่นกัน ทำให้แม่ทัพได้หันมาเป็นหัวหน้าค้าขายรายใหญ่หนิงเอ๋อวันนี้นางก็ได้มายืนที่บึงบัวเช่นเคยและยิ้มให้กับท้องฟ้าจนบุตรชายของนางได้สงสัยและวิ่งเข้ามาถาม"ท่านแม่ ท่านยิ้มให้ท้องฟ้าทุกวันข้าเองก็สงสัยว่าท่านยิ้มให้สิ่งใดข้าเห็นเพียงแค่ก้อนเมฆที่ลอยไปลอยมาเท่านั้น" หนิงเอ๋อจึงนั่งลงและชี้ไปที่ก้อนเมฆให้บุตรของนางได้ดู"เฉี่ยวเปา เจ้าดูที่มือของเม่น่ะ นั้นคือท่านยายเป็นแม่นมของแม่ ส่วนนั้นฟางลี่เว่ยท่านป้าที่ใจดีที่สุด และอีกคนที่ส่งยิ้มมาให้เจ้าคือสหายที่ดีที่สุดของแม่ด้วยเช่นกัน" หนิงเอ๋อชี้เฉี่ยวเปาก็มองตาม เขาก็ยังไม่เห็นสิ่งใดอยู่ดีนอกจากก้อนเมฆ"ข้ายังไม่เห็นสิ่งใดเลย เห็นเพียงก่อนเมฆเท่านั้น""สองคน
บทที่ 39 ข้าจะมองดูท่านอยู่บนฟากฟ้าหนิงเอ๋อเดินออกมาจากห้องของแม่ทัพด้วยหัวใจที่ปวดร้าว นางกลับไปหาหางเฟิ่งเขาเองมองนางออกว่าตอนนี้หัวใจของนางนั้นมีแม่ทัพอี้อยู่ในใจ"องค์หญิงเราออกไปเดินเล่นกันดีมั้ย วันนี้ข้างนอกอากาศแจ่มใสไม่ร้อนมากนัก" หางเฟิ่งอยากให้นางรู้สึกดีจึงชวนนางออกไปเดินเล่นกันหนิงเอ๋อพยักหน้าและเดินออกไปด้านนอกทุกคนที่นี่ต่างรู้ว่าหางเฟิ่งนั้นเป็นองครักษ์ของหนิงเอ๋อ จึงไม่มีผู้ใดสงสัย นางเดินมาเรื่อยๆ และหยุดที่บึงบัวเหม่อลอยมองไปด้านหน้า"ทรงคิดอะไรอยู่หรือพะย่ะค่ะ ""ข้ากำลังคิดว่าจะไปที่ใดดี ที่ที่ไม่มีองค์หญิงองค์ชายหรือฐานะใดข้าอยากไปอยู่ในที่ที่ทุกคนมีสถานนะเท่าเทียมกัน ในโลกที่ไม่มีความริษยาอิจฉาแย่งชิงหรืออำนาจ ข้าต้องการอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยความรักความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน ""โลกเช่นนั้คงไม่มีหรอกพะย่ะค่ะ ทุกคนบนโลกใบนี้ต่างก็เป็นคนที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีด้วยกันทุกคนอยู่ที่ว่าผู้ใดเลือกที่จะเป็นอย่างใดมากกว่า องค์หญิงอย่าทำเช่นบึ้งตึงเช่นนี้สิพะย่ะค่ะมองดูเมฆก้อนนู้นสิช่างเหมือนแม่นมกับฟางลี่เว่ยกำลังจ้องมองดูท่านอยู่เลย ช่วยยิ้มออกมาให้ท้ังสองคนดูสิพะย่ะ
บทที่ 38 เราทั้งสองหย่ากันเถอะแม่ทัพอี้ควบม้าออกตามหาหนิงเอ๋ออย่างร้อนใจก็มาพบม้าสองตัวที่ถูกทิ้งอยู่กลางป่า เขาจึงสั่งทหารให้ตามหาหนิงเอ๋อกับใต้เท้าไป๋เดินได้ไม่นานทหารก็ตะโกนเรียกท่านแม่ทัพไปดูก็พบกับร่างของลูกน้องใต้เท้าไป๋เดินไปอีกสักพักก็พบใต้เท้าไป๋นอนจมกองเลือดและบาดแผลที่ไม่น่าดู จิตใจของแม่ทัพเริ่มสั่นไหวใจเต้นระรัว กลัวหนิงเอ๋อจะจากเขาไป เขาจึงรีบวิ่งตามหานางอย่างเป็นหวงแต่แล้วก็ต้องพบเข้ากับหนิงเอ๋อที่กำลังกอดแนบแน่นอยู่กับชายอื่น ความเป็นห่วงและความโมโหได้หล่อล้อมเข้าด้วยกันทำให้เขาโกรธและจะฆ่าชายผู้นั้นที่บังอาจมากอดภรรยาของเขา"เอามือออกจากนางเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะจัดการเจ้าให้สิ้นใจในครั้งเดียว" หางเฟิ่งตกใจเมื่อจู่ๆ โดนดาบจากที่ใดมาวางอยู่ที่คอ หนิงเอ๋อเห็นนางจึงรีบเข้าไปผลักแม่ทัพออก และนำตัวหางเฟิ่งไปใว้ด้านหลังนาง แม่ทัพเห็นก็รู้ในทันทีว่าชายผู้นี้ต้องมีความสัมพันธ์ที่พิเศษกับหนิงเอ๋อเป็นแน่"นี่เจ้ากล้ามาผลักสามีของเจ้าเพื่อช่วยชายผู้นี้หรือ""หากไม่มีเขาข้าเองก็ต้องตายไปแล้วด้วยน้ำมือของใต้เท้าไป๋ ข้าไม่ทางให้ท่านทำอันใดกับคนของข้าไม่ว่าท่านจะเป็นสามีของข้าก็
บทที่ 37หนิงเอ๋อแก้แค้นให้ทุกคนใต้เท้าไป๋ได้พาหนิงเอ๋อหลบหนีโดยการนั่งม้า เมื่อมาถึงป่ารกเขาจึงทิ้งม้าไว้เพื่อเดินเข้าไปที่ป่าและจะหลบหนีโดยการขึ้นเรือหากเดินเข้าป่านี้ไปไม่นานก็ถึงท่าเรือ ทั้งสามคนก็ได้เดินเข้าป่ามาหนิงเอ๋อที่ตั้งครรภ์อยู่เมื่อเดินมาได้สักพักนางก็เหนื่อยหอบและขอให้แม่ทัพอี้ได้พักเสียก่อน"นี่ใต้เท้าข้าขอนั่งพักสักครู่ได้หรือไม่ ""เจ้านี่ช่างเป็นตัวปัญหาเสียจริง" ใต้เท้าไป๋ได้ดุด่าหนิงเอ๋อลูกน้องจึงได้ถาม"ท่านจะพาตัวนางไปด้วยทำไมหรือ ข้าว่าเราจัดการนางเสียจะดีกว่ามิเช่นนั้นพวกทหารจะตามเรามาทันนะขอรับ""อย่าพึ่ง! นางยังมีประโยชน์กับข้าอยู่ หากเรารอดพ้นจากทหารเมื่อนั้นค่อยจัดการนางทิ้ง เจ้าเองก็รีบนั่งพักซะจะได้รีบออกเดินทาง ข้าเองก็เจ็บแผลที่เจ้าสร้างมาเช่นกัน เอาอย่างนี้ดีมั้ยระหว่างที่เจ้าพักข้าจะขอเอาคืนแผลที่เจ้าแทงข้า แต่ข้าจะไม่แทงเจ้าด้วยมีดหรอกนะ ข้าจะแทงเจ้าด้วยแท่งร้อนของข้า ฮ่า ฮ่า เจ้าไปดูต้นทางหากมีผู้ใดน่าสงสัยก็รีบตะโกนบอกข้า " ใต้เท้าไป๋ใช้มือปาดริมฝีปากราวกับผู้ที่หิวกระหาย ทำให้หนิงเอ๋อรู้สึกไม่ปลอดภัยและเป็นห่วงบุตรเป็นอย่างมาก นางพยายามจะขยับกายหน
บทที่ 36 จับกบฎ"ก็เพราะว่าองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันมิใช่บุตรของข้าอย่างไรล่ะ" ฝ่าบาทเดินออกมาจากด้านหลังบัลลังก์และมานั่งอยู่บนบังลังก์ทำให้หวงกุ้ยเฟยและใต้เท้าไป๋ถึงกับหน้าซีด"เหตุใดฝ่าบาทถึงฟื้นขึ้นมาได้ แล้วฝ่าบาทเอาเรื่องใดมาพูดว่าองค์รัชทยาทไม่ใช่บุตรของท่านละเพคะ หากไม่ใช่บุตรของท่านจะเป็นบุตรของผู้ใด ใต้หล้ารู้ต่างว่าข้าเข้ามาในวังหลวงแห่งนี้ตั้งแต่หม่อมฉันยังไม่ตั้งครรภ์ " หวงกุ้ยเฟยรีบดินออกมาด้านหน้าและทูลถาม"หึ หึ จะให้ข้าพูดจริงๆ หรือหวงกุ้ยเฟย เอาล่ะหากเจ้าใคร่รู้ข้าเองก็จะบอกเจ้าเอง องค์รัชทยาทหรือองค์ชายหลีเจียซินมิใช่ลูกของข้าแต่เป็นลูกของเจ้ากับใต้เท้าไป๋ พวกเจ้ากำลังก่อกบฏจะยึดบัลลังก์และวางแผนที่จะโค้นบัลลังก์ทหารจับหวงกุ้ยเฟยและใต้เท้าไป๋เอาไว้ และต่อจากนี้องค์รัชทายาทองค์หญิงเสี่ยวหลงถูกปลดตำแหน่งและจับตัวทั้งสองคนมาที่ท้องพระโรงเดี๋ยวนี้" เมื่อสิ้นคำสั่งทหารก็รีบจับตัวของหวงกุ้ยเฟยแต่ใต้เท้าไป๋ยังไม่ยอมรับความจริงจึงได้ต่อลองกับฝ่าบาท"ท่านจะหาว่าข้าเป็นบิดาขององครัชทายาทได้อย่างไรอีกอย่างฝ่าบาทจะมากล่าวหากระหม่อมได้อย่างไร หากท่านไม่มีอันใดชี้แนะมาทางข้าว่าข้า
บทที่ 35 ก่อกบฎฟางลี่เว่ยกำลังนำยาสมุนไพรที่ท่านหมอให้ไว้ต้มให้หนิงเอ๋อดื่มเพื่อบำรุงร่างกาย แม่ทัพอี้กำลังเดินเข้ามาที่ในห้องของหนิงเอ๋อ ก็แปลกใจเลยถามด้วยความเป็นห่วง"เจ้าไม่สบายตรงไหน ถึงได้มียาต้มมาวางอยู่ตรงนี้" แม่ทัพอี้นั่งลงที่เก้าอี้และถามหนิงเอ๋อที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา"ข้าสบายดี ไม่ทำให้ท่านต้องมาเป็นห่วงหรอกเพคะ เชิญไปพรอดรักอยู่กับพี่เสี่ยวหลงเถิดและเชิญท่านออกไปจากห้องของข้าได้แล้ว ข้าอยากพักผ่อน" แม่ทัพอี้ถึงกับหน้าถอดสี ไม่คิดเลยว่านางจะเห็นที่เขากับเสี่ยวหลง"เจ้าเห็นสินะ ""ข้าไม่ได้อยากดูหรอกนะ แค่บังเอิญเดินผ่านไปเห็นเท่านั้นออกไปได้แล้ว ฟางลี่เว่ยส่งท่านแม่ทัพแทนข้าที" หนิงเอ๋อลุกเดินเข้าไปในห้องนอน แม่ทัพก็ได้เดินตามเพื่ออธิบายความจริงให้นางฟัง"เดี๋ยวก่อนสิ มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าเห็นนะ ""ปล่อยเถอะเพคะ ต่อให้จะเป็นเหมือนที่ข้าเห็นหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้า อย่างไรในใจของท่านก็มีพี่เสี่ยวหลงทั้งใจ เอาอย่างนี้ดีมั้ยหากเรื่องราชวงศ์จบสิ้นเมื่อใด ข้ากับท่านจะหย่ากันทันที ท่านจะได้ไปพรอดรักอยู่กับท่านพี่เสี่ยวหลงอย่างเต็มที่" หนิงเอ๋อเองก็ไม่รู้เหตุใดถึงพูดเช่นนั้นออกไปราว
บทที่ 34 ฝ่าบาทฟื้นแล้วแม่ทัพนั่งครุ้นคิดอยู่ทีห้องโถวเสี่ยวหลงเมื่อมาถึงนางก็ได้เข้าไปหาแม่ทัพและโอบกอดเขาจากด้านหลัง โดยไม่ได้ให้ทั้งตัวในตอนแรกแม่ทัพคิดว่าเป็นหนิงเอ๋อจึงแกล้งนาง"เกิดอันใดขึ้นกับคนอย่างเจ้าที่เมื่อก่อนเอาแต่ไล่ข้า หรือว่าใต้หล้าแห่งนี้ฝนฟ้าจะแล้งหึถึงได้เข้ามาหาข้าแถมยังโอบกอดข้าเช่นนี้" เมื่อเสียวหลงได้ยินนางก็โมโหเป็นอย่างมากและปล่อยมือออกจากกายของแม่ทัพและเอ่ยกับเขา"ผ่านไปแค่ไม่กี่คืนวันใจของท่านเปลี่ยนผันได้ถึงเพียงนี้เลยหรือเพคะ เยื้อใยที่ท่านมีต่อหม่อมฉันไม่เหลือแม้แต่น้อยเลยหรือ" เสี่ยวหลงน้ำตาไหลรินนางร้องไห้กระซิกๆ เพื่อให้แม่ทัพเห็นใจ"เจ้าเองหรือเสี่ยวหลง ใจข้ายังคงไม่ได้เปลี่ยนไปที่ใดแต่ตอนนี้ก็ไม่ได้มีเจ้าอยู่ในนี้อีกต่อไปเช่นกัน" แม่ทัพอี้พูดออกมาอย่างตัดเยื่อใยทำให้เสี่ยวหลงร้องไห้ออกมามากกว่าเดิม"แล้วความรู้สึกของหม่อมฉันล่ะ ที่เฝ้ารักท่านมาตลอดเพียงแค่มีหนิงเอ๋อเข้ามาท่านก็เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ แล้วที่ผ่านมาไม่มีค่าสำหรับท่านเลยหรืออย่างไร ""เสี่ยวหลงข้าเองก็เคยรักเจ้ามาก แม้ชีวิตก็ให้ได้แต่บัดนี้มันไม่เป็นเช่นดังเคย" แม่ทัพหันหลังให้เสี่ยวหลงเ
บทที่ 33 ฝีมือใค้เท้าไป๋ใต้เท้าไป๋ได้มาหาหวงกุ้ยเฟยในยามรุ่งสาง อย่างร้อนใจ"นี่ท่านมาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้มีเรื่องอะไร""ท่านรู้เรื่องแม่นมขององค์หญิงหนิงเอ๋อหรือไม่""ข้าไปดูมาแล้ว ผู้ใดกันนะที่ฆ่านาง ท่านรู้หรือไม่" หวงกุ้ยเฟยรู้ว่าเป็นฝีมือของใต้เท้าไป๋แต่ที่ถามเช่นนั้นเพราะอยากลองถาม"ข้าเองที่ทำกับนาง แต่ที่ข้าทำเพราะนางปากแข็ง เมื่อคืนเหล่าเสนบาดีฝ่ายฮองเฮาได้เข้าร่วมหารือกัน ข้ากลับไปจากตำหนักของท่านได้เห็นเข้า จึงตามนางไปเพื่อถาม แต่นางจงรักภักดีไม่ยอมแม้จะปริปากบอก ทำได้แม้กระทั่งกัดลิ้นตนเอง ข้าโมโหจึงได้สังหารนาง ท่านเองก็อย่านิ่งเฉย ตอนนี้พวกเราไม่อาจรู้ได้ว่าฮองเฮาทรงมีแผนอันใด เราต้องชิ่งทำให้องค์รัชาทยาทขึ้นครองบัลลังก์ในเร็ววัน เวลาที่ฮองไทเฮาพูดมานั้นมันเนินนานเกินไปข้าจะหาทางที่ทำให้ฮ่องเต้ไม่ฟื้นขึ้นมาได้อีกต่อไปและลาลับจากโลกนี้ในเร็ววัน เช่นนั้นเราก็ไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด ส่วนเรื่องของแม่นมผู้นั้นเจ้าไม่ต้องกลัวไม่มีผู้ใดเห็นข้าเป็นแน่ และไม่มีทางที่จะจับตัวข้าได้" ใต้เท้าไป๋พูดออกมาอย่างมั่นใจ"ดีเช่นนั้นเราก็เร่งทำตามแผนกันเถอะ" หวงกุ้ยเฟยยิ้มมุมปากอย่างดีใจเมื่อ
บทที่ 32 ลางร้าย องครักษ์หลิวที่กำลังกลับจากตำหนักของฮ่องเต้ก็ได้เห็นใต้เท้าไป๋ที่กำลังเดินออกจากตำหนักของกุ้ยเฟยหนิงฮวาอย่างเร่งรีบเขาจึงรีบเข้าไปด้านในเมื่อรู้สึกถึงอะไรที่แปลกไปและท่าทีที่เขากำลังจะหนีเหมือนทำอันใดผิด เขารีบเดินเข้าไปด้านในก็พบว่าแม่นมนอนจมกองเลือดอยู่องครักษ์หลิวรีบเข้าไปใกล้และพยุงให้แม่นมลุกขึ้น"แม่นมเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ทำไมเลือดถึงเต็มตัวเช่นนี้" เขาใช้นิ้วแตะที่ชีพจรของแม่นมที่กำลังเต้นช้าลงเรื่อยๆ แม่นมฝืนลืมตาขึ้นมาแม้ลิ้นจะขาดแต่นางก็พยายามสื่อสารกับเขาอย่างเต็มที่"อือ " เสี่ยงที่เปล่งออกมาทำให้เขารู้ว่าแม่นมยังไม่สิ้นใจ เขาจึงพยุงแม่นมขึ้นเล็กน้อย"ท่านยังไม่ตาย ท่านช่วยแข็งใจไว้สักหน่อยข้าจะอุ้มท่านไปที่ตำหนักของฮองเฮาและให้หมอหลวงมารักษาท่าน ผู้ใดมาทำกับท่านเช่นนี้โปรดบอกข้า ข้าจะไปจัดการคนผู้นั้นเอง" แม่นมส่ายหน้าเมื่อรู้ว่าตนเองตอนนี้ก็แทบจะไหวหากเขาอุ้มนางไปกว่าจะถึงตำหนักซื่อหมิงนางก็สิ้นใจก่อนพอดี เขาเองตอนนี้ก็เจ็บปวดที่เห็นแม่นมกำลังหายใจโรยริน นางเป็นสตรีที่จิตใจดีและเมตตาเขามาตลอดไม่เคยคิดว่าเขาเป็นองครักษ์ต่อยต่ำแต่ทำเหมือนกับเขาเป็นคนในครอบ