เย่ชางสิงพูดเสียงขรึม “ข้าประมาทเกินไป ข้างกายองค์รัชทายาทไร้ค่านั่นมียอดฝีมือคอยช่วยเหลืออยู่!”“ยอดฝีมือแบบใดกัน? แม้แต่เจ้าก็ยังประมือด้วยมิได้น่ะรึ?”คูมู่ขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย“เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย ข้ามิเห็นแม้แต่เงาของมันด้วยซ้ำ ว่าแล้วก็แปลก เห็น ๆ กันอยู่ว่าแม่นางจากเจ้าสำนักหอดูดาวหลวงนั่นมีวรยุทธ์ที่ด้อยกว่าข้าหนึ่งระดับ แต่นางกลับสามารถทำลายวิชาพรางตัวของข้าได้หลายครั้ง แล้วยังต่อสู้กับข้าได้อย่างสูสี วันนี้ช่างโชคร้ายเสียจริง”ยิ่งเย่ชางสิงพูดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมากเท่านั้นเขาเป็นถึงนักเล่นแร่แปรธาตุที่ภาคภูมิใจในวิชาเคลื่อนไหวแปลก ๆ ของตนนั้นกลับไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้ากู้เสวี่ยเจี้ยน เช่นนี้จะทำให้เขามิหงุดหงิดได้อย่างไรสีหน้าของคูมู่เปลี่ยนไปเล็กน้อยพร้อมกับพูดพึมพำ “สามารถสู้กับเจ้าได้อย่างสูสีเช่นนี้ก็มิแปลกที่จะเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักหอดูดาวหลวง หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็คงจะมิสามารถปะทะกับพวกเขาตรง ๆ ได้”“แน่นอนว่าทำมิได้ มิต้องพูดถึงว่าแม่นางนั่นจะมีหนทางอื่นอีกหรือไม่ เพราะเพียงแค่คนที่ลงมือลอบทำร้ายข้าในเงามืดก็ต่อกรได้ยากมากแล
ฉินซูไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วพูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”คูมู่หัวเราะและพูดว่า “เย่ชางสิง พวกเราสองคนเป็นถึงยอดฝีมือ ข้างนอกมีคนหรือไม่ไยต้องถามอีกเล่า แต่คงต้องบอกว่าองค์รัชทายาทไร้ค่าผู้นี้ใจเด็ดใช้ได้ ถึงได้กล้าโยนตัวเองเข้ามาในกับดัก เป็นเช่นนี้ก็ดี มิเป็นไร ช่วยให้พวกเราเหนื่อยน้อยลงได้มากทีเดียว ฮ่า ๆ ๆ !”เย่ชางสิงพูดเสียงทุ้ม “คูมู่ องค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดผู้นี้มิใช่คนโง่ หากเขาไม่มีที่พึ่งพา เขาจะกล้ามาที่ค่ายป้องกันขวงเฟิงเพียงลำพังเช่นนี้หาปะไรเล่า?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสียงหัวเราะของคูมู่ก็หยุดลงทันที!เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมพลางมองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างหลังจากยืนยันจนแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นนอกจากฉินซู เขาก็สับสนงุนงงอีกครั้งองค์รัชทายาทไร้ค่าผู้นี้กล้าบุกมาหาเรื่องถึงที่นี่เพียงลำพังได้อย่างไร?ขณะนั้นเองฉินซูก็เอ่ยปาก!“เจ้าสองคนมาที่นี่ตามคำสั่งของใคร?”เมื่อเห็นฉินซูมีท่าทีสงบและผ่อนคลาย คูมู่ก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดแผกไปมากขึ้นเรื่อย ๆเขามิตอบฉินซู เพียงแต่พูดกับเย่ชางสิง “เพื่อความปลอดภัย พวกเรามาร่วมมือกันเพื่อหลีกเลี่ยงค่ำคืนที่ยาวนาน
หลังจากที่คูมู่ได้สติ เขาก็คว้ามือของฉินซูด้วยมือทั้งสองข้าง และพยายามดึงมือของอีกฝ่ายที่จับคอของเขาออกแต่ในมิช้า เขาก็ตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อพบว่า มิว่าจะพยายามเพียงใด เขาก็มิสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของฉินซูได้ยิ่งไปกว่านั้น ในเวลานี้ กำลังภายในของเขายังหมุนเวียนมิราบรื่น!เมื่อรับรู้ได้ถึงเหตุการณ์แปลก ๆ เขาก็ทำสีหน้าหวาดกลัวกว่าเดิม“ปล่อย ปล่อยพวกข้าเดี๋ยวนี้!”“ปล่อยพวกเจ้ารึ? หึ ๆ ได้สิ แต่ต้องตอบคำถามของข้าก่อน!”คูมู่ถามอย่างใจเย็น “เจ้าอยากถามอะไร?”ฉินซูถามเสียงเย็น “ผู้ใดส่งพวกเจ้ามาลอบสังหารข้า?”“อ๋องหนิง!”คูมู่ตอบอย่างมิลังเลเย่ชางสิงพยักหน้ารัว ๆ “ถูกต้อง เป็นอ๋องหนิง”“หึ มิยอมพูดความจริงสินะ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะยังมิเข้าใจสถานการณ์!”ดวงตาของฉินซูค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาค่อย ๆ ออกแรงที่มือและนิ้วทั้งสองข้าง ๆ!“กร๊อบ!”คอของคูมู่และเย่ชางสิงส่งเสียงลั่นชั่วขณะนั้น ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นสีแดง มีเส้นเลือดโผล่ขึ้นมาบนหน้าผาก และดวงตาของพวกเขาก็เริ่มแดงก่ำความรู้สึกหายใจมิออกอย่างรุนแรงทำให้พวกเขาแทบจะหมดสติขณะนั้น คูมู่ก็เอ่ยปากพูดอย่างยากลำบาก
ทั้งสองรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวตรงจุดตันเถียน จากนั้นพวกเขาก็ตกใจเมื่อพบว่ามีลมปราณที่อันตรายอยู่ในจุดตันเถียนของตน!หลังจากรู้สึกถึงพลังลมปราณอันน่าตกตะลึงนี้ พวกเขาทั้งคู่ก็กลัวจนวิญญาณแทบหลุดไปจากร่าง!หากลมปราณนี้ระเบิดขึ้นมา ทั้งสองได้ตายอย่างมิเหลือซากแน่นอน!เย่ชางสิงถามด้วยตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง “องค์รัชทายาท นี่ท่าน…”ฉินซูพูดสั้น ๆ ได้ใจความ “หากเชื่อฟังก็จะมิตาย มิเช่นนั้นก็ต้องตาย!”“องค์รัชทายาท พวกเราสัญญาว่าจะเชื่อฟัง ขอท่านโปรดทรงเมตตาให้อภัย…”ยังมิทันที่คูมู่จะพูดจบ ฉินซูก็โบกมือ “แค่มิกำจัดพวกเจ้าในทันทีก็ถือว่าข้าเมตตามากแล้ว หากต้องการมีชีวิตรอด ก็จงทำตามที่ข้าบอกเสีย!”มาถึงจุดนี้ คูมู่และเย่ชางสิงก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น“องค์รัชทายาทรับสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ พวกเราสัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่ท่านพูด”“จงกลับไปพำนักที่โรงสุราบัณฑิตในเมืองหลงเฉิง รอข้ากลับไปก่อน หลังจากนั้นย่อมมีเรื่องให้จัดการแน่!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น คูมู่ก็ถามอย่างกังวลใจ “องค์รัชทายาท ท่านจะกลับเมืองหลงเฉิงเมื่อใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“ก่อนที่ท่านจะกลับไปถึง ลมปราณในร่างกายของพวกเราคงจะมิร
เป็นบุรุษผู้หนึ่งที่มีอายุราว ๆ สามสิบกว่าเขาเป็นบุรุษรูปงามมีบุคลิกที่สดใสร่าเริง แต่งกายด้วยชุดสีขาว พร้อมถือกระบี่ยาวในมือฝักกระบี่ยาวนั้นฝังอัญมณีเจ็ดเม็ดเรียงกันเป็นรูปกลุ่มดาวนายพรานคนผู้นี้ที่แท้ก็คือสวีหลาย ศิษย์พี่รองของตู๋กูโฉ่วเยวี่ย!หลังจากที่เขาออกมาจากป่า เขาก็มองไปยังทิศทางที่ฉินซูและคนอื่น ๆ เดินทางไปด้วยความมิแน่ใจโดยมิรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ขณะนั้น ก็มีเสียงใส ๆ ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาจากด้านหลัง“สามี เรื่องต่อจากนี้ท่านมิต้องยื่นมือเข้ามาแล้ว ให้ข้าเป็นคนจัดการก็พอ”หลังจากสิ้นคำพูด สตรีร่างสูงที่ยังสาวก็เดินออกมาอย่างช้า ๆสตรีผู้นี้มีใบหน้าที่งดงาม ริมฝีปากสีแดง ฟันขาว และเมื่อดูสีหน้าแลดูองอาจน่าเกรงขามนั่นคือเฉิงอิง ภรรยาของสวีหลายและบุตรีของเจ้าสำนักกระบี่สักการะสวีหลายหันกลับมายิ้มให้นาง “ในเมื่อข้ารับปากท่านพ่อตาไว้แล้ว จะผิดคำพูดมิได้เด็ดขาด”“แต่กู้เสวี่ยเจี้ยนเป็นอดีตศิษย์น้องหญิงของท่าน ข้าทนมิได้หรอกที่จะให้ท่าน…”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ สวีหลายก็ขัดจังหวะ“มันมิสำคัญเลย ภารกิจของกู้เสวี่ยเจี้ยนคือการคุ้มกันองค์รัชทายาท แต่จุดประสงค์ในการ
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามว่า “ด้านหน้าเป็นอย่างไรบ้าง?”“พวกเราสำรวจสันเขาเฮยเฟิงไปแล้วหนึ่งรอบ ทางนั้นไม่มีคนอยู่เลยขอรับ!”“ไม่มีคน?” กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความสงสัย “พวกเจ้าสำรวจละเอียดแล้วใช่หรือไม่?”ตงฟางไป๋พูดอย่างเคร่งขรึม “พวกเราสำรวจทั่วแล้ว มิเพียงแค่ที่สันเขาเฮยเฟิง แม้แต่ในค่ายป้องกันขวงเฟิงก็ไม่มีใครอยู่ขอรับ”สวีเซี่ยงเฉียนพูดเสริม “ถูกต้องแล้วท่านใต้เท้าเสวี่ยเจี้ยน ประตูใหญ่ของค่ายป้องกันขวงเฟิงเปิดอยู่ พวกเราไปเดินสำรวจข้างในโดยรอบ แต่ก็มิเจอใครเลย”“แปลกจริง เมื่อวานพวกโจรป่าจากค่ายป้องกันขวงเฟิงก็พูดเอาไว้มิใช่หรือว่าพระภิกษุรูปนั้นยึดบ้านของพวกเขา? ค่ายป้องกันขวงเฟิงใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่มีคนอยู่ได้อย่างไร?”“พวกเราก็มิแน่ใจ”กู้เสวี่ยเจี้ยนอยากจะถามอะไรเพิ่ม แต่ฉินซูก็โบกมือแล้วพูดว่า “บางทีพระภิกษุรูปนั้นอาจเจออะไรเข้าจึงรีบจากไปก่อน ไหน ๆ เขาก็มิอยู่แล้ว เราก็อาศัยโอกาสนี้รีบผ่านสันเขาเฮยเฟิงไปจะดีกว่า เช่นนี้ก็จะได้ช่วยลดความยุ่งยากลงไปได้บ้าง”ถานเหวยพยักหน้าเห็นด้วย “สิ่งที่องค์รัชทายาทกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว หากมีปัญหาน้อยลง พวกเราก็จะสามารถไปถึงเมืองเหลีย
“เสวี่ยเจี้ยน!”เซี่ยหลานร้องอุทานและคิดจะไปรับทว่าฉินซูนั้นเร็วกว่านาง!ฉินซูพุ่งไปคว้าเอวของกู้เสวี่ยเจี้ยนเอาไว้ก่อนที่นางจะกระแทกพื้นฉินซูก้มมองและเห็นว่าดวงตาของกู้เสวี่ยเจี้ยนปิดสนิท ใบหน้าที่งดงามซีดเซียวนัก ลมปราณของนางผันผวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่เขาขมวดคิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบอาการเช่นนี้เซี่ยหลานถามอย่างร้อนใจ “องค์รัชทายาท เสวี่ยเจี้ยนเป็นอะไรหรือเพคะ?”“ข้าจะไปรู้หรือ!”ฉินซูประคองกู้เสวี่ยเจี้ยนให้นั่งพิงหีบแล้วสะกิดหน้านางเบา ๆ“กู้เสวี่ยเจียน เจ้าเป็นอะไรไป? รีบฟื้นขึ้นมา”ทว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ!ขณะนั้น ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ก็พากันล้อมเข้ามาเมื่อสังเกตเห็นว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนหมดสติไป พวกเขาทุกคนก็เริ่มวิตกกังวลโดยเฉพาะอย่างยิ่งสวีเซี่ยงเฉียนและคนอื่น ๆ เพราะในสายตาของพวกเขา กู้เสวี่ยเจี้ยนคือผู้ที่มีวรยุทธ์แก่กล้าที่สุดในคณะเดินทางนี้หากเกิดเหตุร้ายขึ้นกับนาง แล้วทางข้างหน้าต้องพบเจออันตรายใด ๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากถานเหวยถามว่า “องค์รัชทายาท ท่านใต้เท้าเสวี่ยเจี้ยนคงมิได้รับบาดเจ็บในตอนที่ต่อสู้กับเย่ชางสิงเมื่อคืนนี้หรอกใช่หรื
ฉินซูหรี่ตามองลึกเข้าไปในดวงตาของกู้เสวี่ยเจี้ยนเขารู้ดีว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนกำลังโกหก แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนมีเรื่องในใจที่ยากจะพูดออกมา เขาก็มิอยากถามอะไรต่อเซี่ยหลานรู้สึกสับสนเล็กน้อย “เสวี่ยเจี้ยน อาจารย์ของเจ้าเป็นถึงเจ้าสำนักหอดูดาวหลวง เขามีวรยุทธ์ที่แก่กล้าถึงเพียงนั้น แต่กลับช่วยเจ้าแก้ปัญหานี้มิได้หรือ?”“ยาลูกกลอนนี้อาจารย์เป็นผู้กลั่นให้ข้า ขอเพียงข้ากินตรงเวลาก็จะไม่มีปัญหาร้ายแรง แต่วันนี้ข้าดันลืมกินเสียได้”“เช่นนี้นี่เอง อย่างนั้นคราวหน้าอย่าลืมกินยาให้ตรงเวลาเล่า เมื่อครู่ทำเอาพวกข้ากลัวแทบแย่”กู้เสวี่ยเจี้ยนตอบรับเสียงอืมและมิพูดอะไรอีกขณะนั้นเอง เซี่ยหลานก็อุทานออกมาว่า “เสวี่ยเจี้ยน เหตุใดที่ไหล่ของเจ้าถึงมีเลือดออก?”กู้เสวี่ยเจี้ยนมองลงไปก็เห็นว่าอาภรณ์ด้านหน้าตรงไหล่ซ้ายเปื้อนสีแดงและมีเลือดไหลออกมา“ดูเหมือนว่าแผลจะเปิด เซี่ยหลาน ช่วยทายาทำแผลให้ข้าหน่อยสิ”“หา? เจ้าได้รับบาดเจ็บจริง ๆ หรือ?!” เซี่ยหลานรู้สึกประหลาดใจ!กู้เสวี่ยเจี้ยนส่ายหัวเบา ๆ “เป็นแผลเก่าเมื่อหลายวันก่อน ไม่มีอะไรหรอก”“เช่นนั้นก็ไปตรงโน้นกัน”ขณะที่เซี่ยหลานกำลังจะพยุ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ
ฉงชูโม่พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้องแล้วเพคะ เรื่องนี้มิใช่แค่ข้าน้อยคนเดียวที่เห็นกับตา ทหารทั้งสามทัพหลายนายก็เห็นเช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดีขึ้นมาทันตาอดีตองค์รัชทายาทสำมะเลเทเมาบัดนี้กลับสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งวรยุทธ์ก็ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง นี่มัน… เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเบื้องหลังฉินซูต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะแต่จากที่เห็นในเวลานี้ ยอดฝีมือที่ว่านั้น แท้จริงแล้วก็คือฉินซูเองกล่าวคือ ฉินซูมิเพียงแต่มีกลยุทธ์ที่เหนือชั้น แต่วรยุทธ์ก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับที่น่าตกตะลึงซ้ำร้ายฉินซูยังจงใจปิดบังวรยุทธ์ของตนอีกด้วย!เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ความระแวงที่ฉินอู๋ต้าวมีต่อฉินซูก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นฉินอู๋ต้าวนิ่งอึ้งไป ฉงชูโม่ก็กล่าวต่ออย่างมีนัยแฝงว่า “ฝ่าบาท ข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาททรงทักษะยอดเยี่ยม เกรงว่าอีกมินานคงจะแพร่สะพัดไปทั่วหลงเฉิงเพคะแต่ก็ดีเหมือนกันเพคะ เหล่าคนชั่วที่คิดจะลอบสังหารองค์รัชทายาทจะได้ประมาณตนก่อนจะลงมือ เช่นนี้แล้ว ก็จะได้มิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาทให้มา
สวี่จิ้นเสนาบดีกรมโยธาธิการกล่าวว่า “องค์รัชทายาท พระองค์ได้นำหนานเยวี่ยทั้งเจ็ดมณฑลสามสิบแปดเมืองมาอยู่ภายใต้ต้าเหยียนของเรา คุณูปการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ สมควรได้รับการประทานเครื่องยศเก้าประการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูส่ายหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าสวี่ ท่านกล่าวผิดแล้ว มีคำกล่าวว่า ใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ บนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นข้ารองพระบาทขององค์จักรพรรดิ ข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ย่อมถือเอาความผาสุกของราษฎรเป็นภารกิจของตน ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นหน้าที่”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูก็ประสานมือคำนับฉินอู๋ต้าวอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ดังนั้นรางวัลอันยิ่งใหญ่อย่างเครื่องยศเก้าประการนี้ลูกมิกล้ารับไว้จริง ๆ หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงก็อุทานด้วยความประหลาดใจอีกครั้งรางวัลอันยิ่งใหญ่เช่นเครื่องยศเก้าประการนี้ องค์รัชทายาทกลับปฏิเสธจริง ๆ หรือ?ต้องเท้าความว่า หากฉินซูในฐานะเป็นองค์รัชทายาทรับรางวัลนี้ ในภายภาคหน้า สถานะความสำคัญของเขาในสายตาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าเหยียนก็แทบจะเทียบเท่ากับฉินอู๋ต้าวผู้เป็นองค์จักรพรรดิได้เลยทีเ
ฉงชูโม่กำลังจะกล่าวต่อ แต่กลับสังเกตเห็นว่าฉินซูกำลังส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัยจากนั้นเสียงของฉินซูก็ดังขึ้นในหูของนาง “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลักฐานสำคัญหายไป”ฉินซูใช้วิชาแห่งกระแสจิต ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตได้นอกจากฉงชูโม่เมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินซู แววตาของฉงชูโม่ก็พลันไหววูบ จากนั้นจึงกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะกล่าวทูลแล้วเพคะ”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองฉงชูโม่ด้วยความสงสัยผาดหนึ่งแล้วหันไปมองฉินซูแทน“องค์รัชทายาท รายงานเรื่องคลังหลวงของหนานเยวี่ยหน่อยซิ”“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูประสานมือแล้วพูดต่อ “ทูลเสด็จพ่อ ในการตรวจค้นคลังหลวงของหนานเยวี่ยครั้งนี้ ลูกพบผ้าไหมแพรพรรณสูงค่ามากมายนับมิถ้วน เงินแท้รวมทั้งสิ้นสิบสามล้านกว่าตำลึง ทองคำสองล้านตำลึง เสบียงอาหารก็มีมากถึงเกือบแสนต้านพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงจากทั้งหมดในพระนามของเสด็จพ่อ เพื่อใช้เป็นรางวัลแก่ทหารทั้งสามทัพ ส่วนพืชพรรณธัญหารก็ได้สั่งให้คนนำกลับไปเก็บไว้ที่เจียวโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่
ฉินอู๋ต้าวผงกศีรษะให้ฉินอวี่เล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ ในเมื่อชูโม่เข้าใจตัวเจ้าผิดไป เจ้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเถิด”“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวี่ประสานมือคำนับ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ชูโม่ ตอนที่ลงใต้ไปยังเจียวโจว ยามนั้นข้าประมาทเลินเล่อ ถูกคนสนิทขโมยตราประจำตัวไป ภายหลังจึงได้ทราบว่าเจ้าคนสารเลวนั่นถูกเติ้งหม่างซื้อตัวไปนานแล้วแม้แต่หูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ก็ยังแปรพักตร์ไปเข้าข้างหนานเยวี่ย กว่าข้าจะรู้ตัวทัพหนานเยวี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองเจียวโจวแล้วด้วยความจำเป็น ข้าจึงต้องถอยกลับมาก่อน จากนั้นก็เดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงหลงเฉิงก็รีบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบในทันที”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็แค่นยิ้มหยันทันที “ท่านอ๋องฉู่ ท่านทรงคิดว่าแค่โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนสนิทขอท่านแล้วเรื่องก็จะจบลงง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”ฉินอวี่โต้กลับว่า “สิ่งที่ตัวข้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง จะเรียกว่าโยนความผิดได้อย่างไร?”ฉงชูโม่มิได้โต้เถียงกับเขาต่อ แต่หันไปกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ฝ่าบาท ที่ทะเลตงไห่ ท่านอ๋องฉู่...”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้าม