กู้เสวี่ยเจี้ยนรีบมาที่หน้าต่างก่อนมองออกไปด้านนอก หลังจากนั้นสีหน้าของนางเปลี่ยนไปเป็นเลวร้ายราวกับถูกบีบเมื่อสังเกตได้ว่าสีหน้าของนางเปลี่ยนไป ฉินซูจึงเอ่ยถามว่า “เสวี่ยเจี้ยน เจ้ามิเป็นอะไรใช่หรือไม่?” กู้เสวี่ยเจี้ยนตอบกลับด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “หม่อมฉันย่อมมิเป็นอะไร แต่หม่อมฉันพลั้งมือฆ่าขุนนางชั่วไปแล้วเพคะ” “เขาตายแล้วก็แล้วไปเถอะ พวกเจ้ามิเป็นอะไรก็พอแล้ว” โชคดีที่กู้เสวี่ยเจี้ยนร้องเตือนล่วงหน้าทำให้ทุกคนป้องกันไว้ก่อนได้ จึงไม่มีใครถูกลูกธนูลับจนได้รับบาดเจ็บกู้เสวี่ยเจี้ยนเอื้อมมือไปแตะที่จานรองกระถางต้นไม้ จากนั้นเขาก็หมุนมัน“แกร๊ก แกร๊ก…”หลังจากเกิดเสียงดังที่หนักอึ้งขึ้น พื้นของห้องโถงด้านข้างค่อย ๆ เปิดออกท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง ห้องลับที่กว้างสิบจั้งปรากฏขึ้นใต้ห้องโถงด้านข้าง!เงินบรรเทาภัยพิบัติที่หายไปเหล่านั้น เวลานี้ถูกกองไว้กลางห้องลับอยู่เงียบ ๆ ตงฟางไป๋รีบเดินลงไปทันทีและเอื้อมมือออกไปเปิดหีบไม้เพื่อตรวจสอบ ตอนนี้เอง จมูกของฉินซูกระตุกเล็กน้อยแล้วตะโกนว่า “อย่าแตะต้องมัน!” แต่มันสายเกินไปแล้ว!มือของทหารนายหนึ่งได้สัมผัส
ตงฟางไป๋พูดอย่างฮึกเหิมว่า “พวกมันกล้ามาอีกก็ดีสิ ถึงเวลานั้น เราจะจับพวกมันทั้งเป็นแน่นอน!”“ถูกต้อง เป็นเช่นนี้ ก็จะสืบสวนจนรู้ได้ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลัง” ฉินซูกลับโบกมือแล้วเอ่ยว่า “คืนนี้พวกเขาจะมิกลับมาแล้ว!” “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงทรงแน่ใจนักเพคะ?” กู้เสี่วยเจี้ยนสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย ฉินซูยิ้มบาง ๆ และอธิบายว่า “ผู้วางแผนการ ครั้งแรกได้ผล ครั้งที่สองแย่ลงและหมดแรงในครั้งที่สาม พวกมันพ่ายแพ้ไปสองครั้งแล้ว หากมิโง่จริง ๆ คงมิกลับมาตายอีก” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองฉินซูด้วยใบหน้าตกใจแล้วพูดอย่างสงสัยว่า “คำพูดของท่านเหมือนตำราพิชัยสงครามเลยเพคะ หรือว่าองค์รัชทายาททรงเชี่ยวชาญเรื่องการสงครามด้วย?” “รู้แค่เล็กน้อยเท่านั้น เอาเถอะ ข้าง่วงแล้ว พวกเจ้าตามสบาย”ฉินซูยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วหมุนตัวเดินขึ้นชั้นบน ส่วนเซี่ยหลานก็ตามไปติด ๆ กู้เสวี่ยเจี้ยนมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ที่จากไป คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอีกรอบ นางรู้สึกอยู่เสมอว่า ความสัมพันธ์ของฉินซูและเซี่ยหลานนั้นมิธรรมดา แต่กลับไม่มีหลักฐานอะไร นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งให้ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายาม แล้วจึงเ
เมื่อเห็นฉินซูชื่นชมตนเช่นนี้ เซี่ยหลานก็ยิ้มหน้าบานด้วยความปีติยินดีทันที นางมองฉินซูอย่างเสน่หา ถึงแม้จะมิพูด แต่สิ่งที่อยู่ในใจก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนจนเกินบรรยายแล้ว ฉินซูค่อย ๆ โอบนางเข้ามาในอ้อมแขนพร้อมกับจูบเบาที่ริมฝีปากสีชมพูเล็ก ๆ ของนาง ทว่ายังมิทันที่เซี่ยหลานจะตอบสนอง เขาก็ปล่อยมือ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น เซี่ยหลานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ฉินซูมองนางอย่างช่วยมิได้ก่อนจะโน้มตัวกระซิบเบา ๆ ข้างหูว่า “ตอนนี้กู้เสวี่ยเจี้ยนกำลังแอบฟังอยู่ข้าง ๆ หากเจ้ามิว่าอะไร ข้าก็จะ…” ยังมิทันที่เขาจะพูดจบ เซี่ยหลานรีบผละตัวออกจากอ้อมแขนของเขาแล้วกระซิบด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เช่นนั้นก็ช่างเถิดเพคะ หม่อมฉันจะกลับไปนอนแล้ว” หลังจากพูดจบ ทันใดนั้นเซี่ยหลานก็เอ่ยเสียงดังว่า “องค์รัชทายาท ดึกมากแล้ว รีบพักผ่อนเถิดเพคะ” หลังจากนั้นนางก็หันหลังเดินออกไป แล้วยังปิดประตูลงอย่างแรง เมื่อเห็นฉากนี้ ฉินซูอดยิ้มบาง ๆ มิได้ ในสายตาของเขา การกระทำของเซี่ยหลานดูเหมือนจะชัดเจนเกินไปว่าไม่มีอะไรผิดปกติแล้วก็มิรู้ด้วยว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนจะคิดเช่นไร เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอนกายนอนลงบนเตียงพลางมองเ
หนานกงจื่อชินพูดอย่างมั่นใจ “ไม่มีฉงชูโม่ กระหม่อมย่อมมั่นใจ!” “เช่นนั้นก็ดี เจ้าไปเถอะ อย่าลืมระวังให้มากขึ้น ข้าได้ยินว่า ฉินซูมียอดฝีมือแห่งสำนักหอดูดาวหลวงคอยคุ้มกันอยู่” “ก็แค่ศิษย์ของหัวหน้าโหรหลวงเท่านั้น ความแข็งแกร่งนั้นต่างกับฉงชูโม่มาก กระหม่อมหาได้ใส่ใจไม่!” มู่หรงจื่อเยียนกล่าวว่า “ท่านพี่จื่อชิน ข้าจะไปกับท่าน!” หนานกงจื่อชินขวดคิ้วแล้วถามว่า “ท่านจะไปด้วยเหตุใด?” “แน่นอนว่าช่วยท่านอำพรางตัวน่ะสิ ท่านออกไปคนเดียวย่อมเป็นที่สังเกตของผู้คน”หนานกงจื่อชินกำลังจะปฏิเสธ แต่มู่หรงฟู่กลับกล่าวว่า “จื่อเยียนพูดถูก บัดนี้มีสายตามากมายคอยจับตามองพวกเราอยู่ เจ้าในฐานะศิษย์เอกของหอดารารักษ์ หากเจ้าออกไปคนเดียว ก็เป็นที่สังเกตได้ง่ายจริง ๆ” “แล้วพาจื่อเยียนไปด้วย มันแตกต่างกันตรงไหนพ่ะย่ะค่ะ?” “ย่อมมิเหมือนกัน จื่อเยียนมิรู้วิชาการต่อสู้ เจ้าพานางไปด้วย คนอื่นก็จะเข้าใจว่าเจ้าพานางออกนอกเมืองไปเที่ยวเล่นเท่านั้น มินึกสงสัยอะไร” หนานกงจื่อชินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “ก็ใช่ พ่ะย่ะค่ะ จื่อเยียน ท่านไปเก็บของเถอะ การเดินทางครั้งนี้พวกเราอาจต้องใช้เวลาหลาย
พูดจบแล้วเขากำลังจะหันหลังเดินไป แต่กลับถูกกู้เสวี่ยเจี้ยนดึงกลับมาทันที “บุกไปคนเดียวมิเท่ากับไปตายหรอกหรือ ถ้าจะไปก็ให้ข้าไปเอง!” “มิได้ หากท่านไป แล้วใครจะคุ้มกันความปลอดภัยให้องค์องค์รัชทายาท ข้ามิอาจไว้ใจพวกเขาได้” ได้ยินแล้ว สวี่เซี่ยงเฉียนและคนอื่น ๆ ต่างตะลึงจนพูดมิออก คำพูดของตงฟางไป๋นี้ตรงเกินไปสักหน่อย ในขณะที่กู้เสวี่ยเจี้ยนกำลังลังเล ฉินซูก็หยิบลูกกลม ๆ สองลูกออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วส่งให้ เมื่อเห็นลูกเหล็กสองลูกขนาดเท่ากำปั้นของเด็กแล้วกู้เสวี่ยเจี้ยนตกตะลึงแล้วถามว่า “องค์รัชทายาท นี่คืออะไรหรือเพคะ?” ฉินซูยิ้มพลางตอบว่า “นี่คือของดี เจ้าแค่จุดชนวนแล้วโยนขึ้นไปบนเนินเขา” “สิ่งนี้… ได้ผลหรือเพคะ?” “ลองดูก็จะรู้เอง จุดแล้วรีบโยนออกไปเสีย มิเช่นนั้นพวกเราจะโดนลูกหลงไปด้วย” เมื่อเห็นฉินซูทำหน้าจริงจัง กู้เสวี่ยเจี้ยนก็หยิบพับไฟออกมา หลังจากจุดชนวนแล้ว นางก็เหวี่ยงมืออย่างแรง!ลูกทรงกลมสองลูกนั้นถูกโยนขึ้นไปบนเนินเขาทันที ทันใดนั้นมีเสียงประหลาดใจดังขึ้นบนเนินเขา “นี่! พวกมันโยนลูกกลม ๆ นี่ขึ้นมาหาปะไร?!” “ช่างมันสิ ยิงธนูต่อ!” พวกเขากำลังจะยิงธนู
ชายร่างใหญ่มองไปทางฉินซูอย่างหัวแข็งและเย่อหยิ่งหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาจึงได้พูดอย่างมิแยแสว่า “จะฆ่าก็ฆ่าเลย พูดจาไร้สาระหาปะไร!” “คิดว่าข้ามิกล้าฆ่าเจ้างั้นรึ?” ดวงตาของฉินซูเย็นเยือกแล้วกดกริชพระจันทร์แดงในมือลงไปบนคอของชายร่างใหญ่โดยตรง ฉึก!กริชพระจันทร์แดงอันคมกริบบาดเข้าที่คอของชายร่างใหญ่ในพริบตา เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาช้า ๆ! ชายร่างใหญ่สะดุ้งเฮือกและหวาดกลัวขึ้นมาทันที“ท่านขุนนางโปรดไว้ชีวิต พวกเราคือชาวบ้านในละแวกนี้ ช่วงนี้เกิดภัยพิบัติ พวกเราอดอยากไม่มีอันจะกินแล้วจึงจำเป็นต้องร่วมตัวกันลงคะแนนเสียงว่าต้องเลี้ยงปากท้องด้วยการทำเช่นนี้ หวังว่าท่านขุนนางจะเมตตาและปล่อยพวกเราไป” ได้ยินดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงความสงสารและกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ช่างเถิด พวกเขาก็แค่ถูกบีบคั้นจนไม่มีทางเลือก ปล่อยพวกเขาไปเถิดเพคะ” ชายร่างใหญ่ปีติยินดีจนในดวงตาฉายประกายความสำเร็จวาบขึ้นมาเล็กน้อย ฉินซูกลับกลอกตาใส่กู้เสวี่ยเจี้ยนแล้วเหน็บแนมว่า “เขาบอกว่าพวกเขาเป็นชาวบ้าน เจ้าก็เชื่อเขาจริงหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนถามอย่างประหลาดใจว่า “หรือว่ามิใช่?!” ฉินซูส่ายหน้าแล้วเอ่ยกั
“เจ้าว่ากระไรนะ? พระภิกษุข่มขู่พวกเจ้า เจ้าไปหลอกผีเถอะ คิดว่าพวกเราโง่งั้นรึ?” ชายร่างใหญ่อยากจะร้องแต่ไม่มีน้ำตาและพูดว่า “ทุกคำที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น เป็นเช่นนี้แล้ว พวกเราจะกล้าโกหกได้อย่างไรขอรับ” “ใช่แล้ว ที่รองหัวหน้าพูดเป็นความจริงทั้งหมด หากพวกท่านมิเชื่อ ตามพวกเรากลับไปที่ค่ายป้องกันขวงเฟิงก็จะรู้เอง” “ท่านขุนนาง พระภิกษุรูปนั้นมิใช่คนดีเลย ภายนอกดูใจดีมีเมตตา แต่สิ่งที่เขาทำนั้นโหดร้ายเกินจะรับได้ เขาถึงกับเอาลูกหัวหน้าใหญ่ของพวกเราที่เป็นทารกอายุมิถึงเดือนไปต้มกิน… อ้วก!” ชายหนุ่มพูดมิทันจบก็อาเจียนออกมา ได้ยินคำพูดนี้แล้ว ฉินซูคิ้วขมวดและรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน กินเนื้อมนุษย์ นี่คือสิ่งที่มนุษย์จะทำได้จริงหรือ?เซี่ยหลานและกู้เสวี่ยเจี้ยนรู้สึกชาหนึบที่หนังศีรษะและขนลุกซู่ไปทั้งตัว ตงฟางไป๋กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วเอ่ยว่า “เจ้าพูดจาไร้สาระ พระภิกษุคือผู้ถือศีล จะกินเนื้อได้อย่างไร มิต้องพูดถึงการกินเนื้อคนเลย!” “ท่านขุนนาง ที่พวกเราพูดเป็นความจริงทั้งหมดขอรับ พระภิกษุหัวโล้นนั่นเป็นพระปีศาจ มิเพียงกินทารกเท่านั้น ซ้ำยังแย่งชิงสตรีของหัวหน้าใหญ่
ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “อยู่ไกลจากค่ายป้องกันขวงเฟิงเท่าใด?”สวีเซี่ยงเฉียนหยิบแผนที่ออกมาดูและตอบว่า “องค์รัชทายาท ค่ายป้องกันขวงเฟิงตั้งอยู่บนสันเขาเฮยเฟิง หากเป็นตามนี้มันจะอยู่ห่างออกไปประมาณสี่สิบห้าสิบลี้พ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นก็ตั้งค่ายพักแรมกันเถอะ”เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็มองหน้ากันชั่วขณะกู้เสวี่ยเจี้ยนพูดด้วยความกังวล “หากพวกเราตั้งค่ายพักแรมที่นี่ แล้วพระปีศาจมาพร้อมกับโจรภูเขาเข้าจู่โจมกลางดึก เกรงว่าพวกเราจะประสบความสูญเสียอย่างหนักนะเพคะ”ช่วงกลางดึกก็รบกวนเจ้าเฝ้ายามให้ทีก็แล้วกัน วรยุทธ์เจ้ากล้าแกร่งถึงเพียงนี้ ต่อให้แมลงบินมาก็คงมิอาจหลบพ้นสายตาของเจ้าไปได้”“ท่านยกยอหม่อมฉันมากเสียจริงเพคะ ก็ได้ แต่เพื่อความปลอดภัย หม่อมฉันขอสิ่งของเมื่อครู่อีกสักสองสามลูกนะเพคะ”ฉินซูหยิบสิ่งของดังกล่าวออกมาจากถุงแล้วยัดใส่มือของกู้เสวี่ยเจี้ยนโดยมิพูดอะไรสักคำกู้เสวี่ยเจี้ยนมองลูกกลมเล็ก ๆ ที่ทำจากโลหะในมือของตนอย่างพินิจแล้วประหลาดใจไปชั่วขณะ!“องค์รัชทายาท ลูกกลมสองลูกนี้คือสิ่งใดกันแน่เพคะ? มันดูทรงพลังมาก!”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท เมื่อครู่พวกโจรเหล่านั้นถ
ดวงตาของซือคงเหยียนฉายแววสังหาร จากนั้นเขาก็เริ่มค้นหาภายในป่าแต่หลังจากค้นหาอยู่นานก็มิพบอะไรเลยสีหน้าของเขาหม่นมืดลึกลับ และพึมพำกับตัวเอง“ทั่วทั้งป่ามีเพียงตรงนี้ที่มีเลือดของจื่อชิน แต่ว่าศพของเขาไปอยู่ที่ใดกัน? ต่อให้ถูกพวกปีศาจภูเขากิน ก็เป็นไปมิได้ที่จะหายไปมิเหลือร่องรอย!”ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องน่าประหลาดเกินไปแต่ตอนนี้ที่ยังหาศพของหนานกงจื่อชินมิพบ ซือคงเหยียนจึงทำได้เพียงเก็บความคับแค้นไว้ในใจและเดินออกจากป่าไปในตอนนั้นเอง ที่ถนนหลวงด้านนอก มีพ่อค้าเร่กลุ่มหนึ่งเดินผ่านพอดีชายคนหนึ่งพูดด้วยความดีใจอย่างยิ่ง "พี่เจียง เจ้าได้ยินแล้วหรือยังว่า องค์รัชทายาทแห่งแคว้นต้าเหยียนของเราได้สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์หออะไรนั่นของเป่ยเยี่ยนแล้ว!"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของซือคงเหยียนพลันมืดหม่นลง ร่างของเขาวูบไหวชั่วขณะก่อนปรากฏขึ้นตรงหน้าชายผู้นั้นราวกับภูติผีชายคนนั้นตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของซือคงเหยียนจนขาอ่อนและเซล้มลงกับพื้นเมื่อเห็นกลิ่นอายอำมหิตบนใบหน้าของซือคงเหยียน ชายคนนั้นก็ตื่นตกใจจนพูดอะไรแทบมิออก“เจ้า… เจ้าเป็นใคร คิดจะทำ… ทำอะไร?”ซือคงเ
“หวังฉือกับเนี่ยหงไอ้สุนัขสองตัวนั่น กล้าโจมตีพวกเราต่อหน้าเหล่าขุนนางเลยรึ น่าโมโหนัก!”ฉินหงปลอบใจเขา "เสด็จพี่สามใจเย็นก่อน ทั้งตุลาการศาลต้าหลี่และผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายไม่มีทางก่อปัญหาใหญ่ได้หรอก เมื่อไหร่ที่รัชทายาทล้มลง พวกเขาก็จะกลายเป็นสุนัขไร้เจ้าของ ไยต้องไปถือสาหาความกับพวกเขาเล่า”“ข้าแค่หงุดหงิดเท่านั้นเอง อีกอย่าง เสด็จพ่อยังสั่งให้หัวหน้าสำนักจับตาดูหอดารารักษ์ แล้วคนจากหอดารารักษ์จะมีโอกาสไปแก้แค้นฉินซูได้อย่างไร?”“ความแข็งแกร่งของหอดารารักษ์มิได้ด้อยไปกว่าสำนักหอดูดาวหลวงเลย เจ้าสำนักคงมิสามารถควบคุมพวกเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จ มิว่าจะอย่างไร เรื่องนี้ต้องทำให้องค์รัชทายาทยุ่งยากแน่นอน พวกเราแค่รอดูผลลัพธ์ก็พอ”ฉินหยางพยักหน้าเล็กน้อยและถามอีกครั้ง "ว่าแต่ มีข่าวคราวจากเรือสินค้าที่มุ่งใต้ไปยังหลิ่งหนานบ้างหรือไม่?"ฉินหงถอนหายใจ “ยังไม่มีเลย แต่ถ้าคำนวณเวลา ตอนนี้เรือลำนั้นน่าจะผ่านเขตเหยี่ยนโจวแล้ว”“หึ พวกโจรสลัดในเหยี่ยนโจวนั่นช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ข้าวแปดพันต้านกับเงินหกแสนตำลึง ทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สินมหาศาล แต่พวกมันกลับมิกล้าลงมือ!”“คงมิแน่เสมอไปว่าจะมิกล้าลง
ฉินอู๋ต้าวยังมิทันได้แสดงท่าที หวังฉือก็โต้แย้งขึ้นมาทันควัน “ข้าน้อยมิเข้าใจคำพูดของอ๋องซิ่น ยามนี้ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทเลย แล้วเหตุใดท่านจึงต้องให้องค์จักรพรรดิทรงพิจารณาให้รอบคอบด้วยหรือ?”“นั่นสิ เป่ยเยี่ยนเดิมทีก็มีความตั้งใจจะล่วงล้ำพรมแดนของราชวงศ์ต้าเหยียนมาตลอด ยามนี้ยังมิได้มีการระดมทัพเลย แต่ท่านอ๋องซิ่นกลับกลัวแล้ว หากวันหนึ่งเป่นเยี่ยนระดมทัพขึ้นมาจริง ๆ ท่านจะมิสนับสนุนให้องค์จักรพรรดิแบ่งดินแดนให้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินหยางถูกหวังฉือและเนี่ยหงโต้กลับจนหน้าซีดในที่สุดบัดนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่า หวังฉือและเนี่ยหง ทั้งสองเป็นขุนนางระดับสองที่กลายเป็นคนของฉินซูไปแล้วเขาเกิดความสงสัย ฉินซูเป็นองค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลด เขามีดีอะไรที่ทำให้ทั้งสองคนนั้นยอมรับเขาเป็นผู้นำ?แต่เมื่อเผชิญกับคำซักถามอย่างเข้มงวดของหวังฉือและเนี่ยหง เขาก็มิอาจอุบเงียบเอาไว้ได้ จึงแค่นเสียงเย็นชา"หึ! ข้าในฐานะจวิ้นอ๋องแห่งราชวงศ์ต้าเหยียน ต่อให้วันข้างหน้าสงครามปะทุขึ้นอีกครั้ง ก็ย่อมไม่มีทางให้เสด็จพ่อยอมสละดินแดนเพื่อขอสันติภาพ เพียงแต่ยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเร
ข่าวที่ว่าฉินซูได้สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์นั้นแพร่กระจายราวกับไฟป่า ก่อให้เกิดความปั่นป่วนทั้งในและนอกเมืองหลงเฉิงผู้คนต่างพูดถึงเรื่องนี้ทุกมื้อหลังอาหารบางคนยกย่องฉินซูว่าเขาทำให้ต้าเหยียนมีเกียรติบางคนถึงกับแอบส่ายหัว แม้ว่าฉินซูจะเป็นรัชทายาท ทว่าการสังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์โดยไร้เหตุผลนั้นคงมิเป็นที่ยอมรับของราชสำนักเป่ยเยี่ยนและหอดารารักษ์ จากนี้ไปฉินซูองค์รัชทายาทผู้นี้อาจไม่มีวันมีชีวิตที่สงบสุขอีกต่อไปคนที่รู้สึกประหลาดใจที่สุดคงเป็นมู่หรงจื่อเยียนหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ ใจนางก็เกิดความสงสัยว่า คนที่ฆ่าหนานกงจื่อชินคือฉินซูจริง ๆ หรือ?แต่ฉินซูเก่งแค่วิชาตัวเบาเท่านั้น แล้วเขาจะสังหารหนานกงจื่อชินได้อย่างไร?ทว่าเมื่อนึกถึงเมื่อยามหลังจากที่ออกมาจากดินแดนแห่งความฝันนั้น ฉินซูเอาชนะอันธพาลเหล่านั้นได้ในพริบตา นางก็ตระหนักว่าความแข็งแกร่งของฉินซูนั้นมิธรรมดาเมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รีบสงบสติอารมณ์ และบังคับให้ตัวเองใจเย็นลงหากมู่หรงฟู่รู้ว่าฉินซูมีฝีมือที่เหนือชั้นเช่นนี้ สถานการณ์ของฉินซูคงจะอันตรายอย่างมากต่อมา มู่หรงจื่อเยียนเลือกที่จะ
ฉินหงมองเนื้อหาในจดหมายเพียงครู่เดียว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป!เขากล่าวเสียงทุ้มหนัก "เตรียมเกี้ยว ข้าจะไปจวนอ๋องซิ่น แล้วก็แจ้งให้ใต้เท้าหลินและใต้เท้าเซี่ยมาประชุมที่จวนอ๋องซิ่นด้วย!""พ่ะย่ะค่ะ!"สองเค่อต่อมาฉินหงพร้อมด้วยหลินซีและคนอื่น ๆ ก็มารวมตัวกันที่จวนอ๋องซิ่นฉินหยางถามอย่างสงสัย "น้องสี่ ดึกป่านนี้พวกเจ้ายังมากัน มีข่าวดีอะไรจากทางคูมู่หรือ?""ยังติดต่อคูมู่มิได้ แต่เสด็จพี่สาม พวกท่านลองดูนี่ก่อน"ฉินหงพูดพลางวางจดหมายฉบับนั้นลงบนโต๊ะฉินหยาง หลินซีและคนอื่น ๆ เข้ามาอ่านข้อความบนจดหมายโดยพร้อมเพรียงหลังจากได้อ่านแล้ว เซี่ยเหอก็เอ่ยขึ้นอย่างตกใจ "ว่ากระไรนะ? ฉินซูสังหารศิษย์เอกของหอดารารักษ์?!"ฉินหยางถามด้วยสีหน้าฉงน "น้องสี่ แน่ใจหรือว่าข่าวนี้เป็นความจริง?""น่าจะมิใช่เรื่องเท็จ ศิษย์เอกของหอดารารักษ์มีฐานะสูงส่งในแคว้นเป่ยเยี่ยน ผู้ใดจะกล้าพูดเล่นเกี่ยวกับเรื่องนี้""แต่ศิษย์เอกอย่างหนานกงจื่อชินมีพลังแข็งแกร่งนัก องค์รัชทายาทจะสังหารเขาได้อย่างไร?"หลินซีเองก็กล่าวเสริมขึ้นเช่นกัน "ใช่แล้ว แม้กู้เสวี่ยเจี้ยนแห่งสำนักหอดูดาวหลวงจะติดตามองค์รัชทายาทไปทางเหนือด้วยแต่ด้ว
นางพูดด้วยเสียงสะอื้นพร้อมถามกลับว่า "เสด็จพี่หมายความว่าอย่างไร? หรือท่านคิดว่าหม่อมฉันเป็นคนฆ่าพี่จื่อชินเช่นนั้นหรือ?"ซือคงเหยียนรีบพูดขึ้น "องค์ชาย ท่านหญิงจื่อเยียนมีใจรักใคร่กับจื่อชิน นางจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร? การตายของจื่อชินถือเป็นการกระทบกระเทือนใจอย่างใหญ่หลวงต่อนาง โปรดอย่าได้สงสัยในตัวนางเลยพ่ะย่ะค่ะ"มู่หรงฟู่ครุ่นคิดแล้วเห็นด้วย จากนั้นก็สงบอารมณ์ลงเขาพูดอย่างจริงจัง "จื่อเยียน ข้าหาได้มีเจตนาสงสัยเจ้าไม่ แต่เจ้าต้องบอกความจริงเกี่ยวกับการตายของจื่อชิน มิเช่นนั้นพวกเราจะล้างแค้นให้เขาได้อย่างไร?"“หม่อมฉันมิรู้จริง ๆ เดิมทีพี่จื่อชินได้ขวางเส้นทางของฉินซูไว้ในป่า หม่อมฉันกังวลว่า คนของฉินซูจะรู้เรื่องนี้เข้า จึงขอร้องพี่จื่อชินว่าอย่าทำอะไรวู่วาม สุดท้ายเขาก็ฟาดข้าจนหมดสติไปพอฟื้นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ใต้หน้าผา หม่อมฉันปีนขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วหาม้าตัวหนึ่งขี่กลับมา ส่วนเรื่องอื่นหม่อมฉันมิรู้จริง ๆ”หลังจากฟังคำพูดของมู่หรงจื่อเยียนแล้ว สีหน้าของมู่หรงฟู่และซือคงเหยียนก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้นผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงฟู่ก็เอ่ยขึ้นเสียงหนักอึ้ง "
มู่หรงจื่อเยียนตกตะลึง ก่อนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ "เสด็จพี่ พี่จื่อชินเขายังมิได้กลับมาหรอกหรือ?"“ไม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น? พวกเจ้ามิได้กลับมาด้วยกันหรอกหรือ?”“เป็นไปมิได้ หากพูดตามเหตุผล เขาควรจะกลับมาเร็วกว่าหม่อมฉันสิ หรือว่าระหว่างจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงทำให้เขากลับมาล่าช้า?”มู่หรงจื่อเยียนครุ่นคิดในใจ ตนและฉินซูติดอยู่ในดินแดนแห่งความฝันนานขนาดนั้น หนานกงจื่อชินก็น่าจะกลับมาตั้งนานแล้วถึงจะถูกหรือว่า เขาจะยังตามหาตนอยู่ที่บริเวณขอบผานั่น?มู่หรงฟู่มองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า "ที่นี่เต็มไปด้วยสายลับ เข้าไปคุยข้างในดีกว่า"มู่หรงจื่อเยียนพยักหน้าเห็นด้วย และเดินตามมู่หรงฟู่เข้าไปข้างในทันทีที่นางนั่งลง มู่หรงฟู่ก็ถามขึ้นด้วยความร้อนใจ "เป็นอย่างไรบ้าง? ทำสำเร็จหรือไม่? ฉินซูถูกกำจัดเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?"มู่หรงจื่อเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า "มิสำเร็จ ตอนที่พี่จื่อชินกำลังจะลงมือก็มีกลุ่มปีศาจภูเขาเข้ามาก่อกวน ต่อมา… หม่อมฉันก็พลัดหลงกับเขา ส่วนเรื่องหลังจากนั้น หม่อมฉันก็มิรู้แล้ว”มู่หรงฟู่ขมวดคิ้วรู้สึกว่า คำพูดของมู่หรงจื่อเยียนดูมิค่อยสมเหตุสมผลกันเขาขมวดคิ้วแ
ส่วนครอบครัวและคนสนิทของทั่วป๋าชื่อทั้งหมดถูกตวนมู่สั่งคนไปจัดการประหารจนหมดสิ้นแล้วอีกทั้งตวนมู่ยังได้แต่งตั้งคนสนิทของตนขึ้นมาควบคุมกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ภายในชนเผ่าฉินซูพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ตวนมู่ทำงานอย่างเฉียบขาด รวดเร็ว สามารถรวบรวมกำลังอำนาจของตนได้ภายในเวลาอันสั้นเพียงนี้ อีกทั้งยังกล้าหาญ นับว่าเป็นบุคคลที่ทำการใหญ่ได้ทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงถามอย่างสงสัย "ตวนมู่ ชนเผ่าโครยอของเจ้ามีทหารเพียงสองหมื่นนายเท่านั้น แต่ทั่วป๋าชื่อเอาความกล้าจากที่ใดมาคิดสังหารข้ากัน"“องค์รัชทายาท ก่อนที่ท่านจะเสด็จมา ทั่วป๋าชื่อได้รับจดหมายจากผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ในนั้นมีการสัญญาว่า ขอเพียงทั่วป๋าชื่อสามารถกำจัดองค์รัชทายาทได้ วันหน้าเมื่อผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะมอบเมืองให้ชนเผ่าโครยอของเราสองสามเมืองเพื่อฟื้นฟูชนเผ่าพ่ะย่ะค่ะ”“ผู้สูงศักดิ์? คือผู้ใด?”“เรื่องนี้ ทั่วป๋าชื่อมิได้บอกอย่างชัดเจน เขาบอกเพียงว่าเป็นหนึ่งในพระโอรสขององค์จักรพรรดิ อ้อ ใช่แล้ว จดหมายฉบับนั้นน่าจะอยู่ในห้องตำราของทั่วป๋าชื่อ ข้าน้อยจะไปค้นหามาให้พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่ตวนมู่พูดจ
ฉินซูโบกมือแล้วตะโกนสั่งกับทหารผู้นั้น "ไป นำตัวตวนมู่หาให้ข้า!"“รับพระบัญชา!”ทหารผู้นั้นรับคำอย่างนอบน้อมแล้วนำคนอีกสองคนเดินอย่างรวดเร็วไปยังคุกเพียงชั่วครู่ ตวนมู่ก็ถูกนำตัวมาในตอนนี้ เขาถูกใส่โซ่ตรวนที่มือและเท้า ดูคล้ายกับนักโทษอย่างไรอย่างนั้นฉินซูเลิกคิ้ว พลันถามว่า "ตวนมู่ ข้าได้ยินมาว่า ทั่วป๋าชื่อสั่งให้เจ้าฆ่าข้า มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?"ตวนมู่กวาดสายตามองสถานการณ์ภายในลาน เมื่อเห็นเศษแขนขาที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ม่านตาของเขาก็หดตัวในฉับพลันความคิดในหัวของเขาแล่นอย่างรวดเร็ว มินานก็วิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าได้เมื่อตั้งสติได้ เขาจึงรีบเอ่ยตอบ "องค์รัชทายาท เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงมิทำตามคำสั่งของเขา?”“องค์รัชทายาท ท่านคือรัชทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งแผ่นดิน หากลงมือกับท่านก็เท่ากับการก่อกบฏ เป็นที่สาปแช่งทั้งฟ้าดิน ข้าน้อยยอมตายเสียดีกว่าทำเรื่องที่ไร้ความจงรักภักดีและอกตัญญูเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”คำพูดของตวนมู่แฝงความมิจริงใจอยู่บ้าง แต่เขารู้ดีว่าบัดนี้ฉินซูได้กุมอำนาจในสถานการณ์นี้ไว้แล้วดังนั้นหากมิแสดงความจงรักภักดีเสียตอนนี้แล