พูดจบแล้วเขากำลังจะหันหลังเดินไป แต่กลับถูกกู้เสวี่ยเจี้ยนดึงกลับมาทันที “บุกไปคนเดียวมิเท่ากับไปตายหรอกหรือ ถ้าจะไปก็ให้ข้าไปเอง!” “มิได้ หากท่านไป แล้วใครจะคุ้มกันความปลอดภัยให้องค์องค์รัชทายาท ข้ามิอาจไว้ใจพวกเขาได้” ได้ยินแล้ว สวี่เซี่ยงเฉียนและคนอื่น ๆ ต่างตะลึงจนพูดมิออก คำพูดของตงฟางไป๋นี้ตรงเกินไปสักหน่อย ในขณะที่กู้เสวี่ยเจี้ยนกำลังลังเล ฉินซูก็หยิบลูกกลม ๆ สองลูกออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วส่งให้ เมื่อเห็นลูกเหล็กสองลูกขนาดเท่ากำปั้นของเด็กแล้วกู้เสวี่ยเจี้ยนตกตะลึงแล้วถามว่า “องค์รัชทายาท นี่คืออะไรหรือเพคะ?” ฉินซูยิ้มพลางตอบว่า “นี่คือของดี เจ้าแค่จุดชนวนแล้วโยนขึ้นไปบนเนินเขา” “สิ่งนี้… ได้ผลหรือเพคะ?” “ลองดูก็จะรู้เอง จุดแล้วรีบโยนออกไปเสีย มิเช่นนั้นพวกเราจะโดนลูกหลงไปด้วย” เมื่อเห็นฉินซูทำหน้าจริงจัง กู้เสวี่ยเจี้ยนก็หยิบพับไฟออกมา หลังจากจุดชนวนแล้ว นางก็เหวี่ยงมืออย่างแรง!ลูกทรงกลมสองลูกนั้นถูกโยนขึ้นไปบนเนินเขาทันที ทันใดนั้นมีเสียงประหลาดใจดังขึ้นบนเนินเขา “นี่! พวกมันโยนลูกกลม ๆ นี่ขึ้นมาหาปะไร?!” “ช่างมันสิ ยิงธนูต่อ!” พวกเขากำลังจะยิงธนู
ชายร่างใหญ่มองไปทางฉินซูอย่างหัวแข็งและเย่อหยิ่งหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาจึงได้พูดอย่างมิแยแสว่า “จะฆ่าก็ฆ่าเลย พูดจาไร้สาระหาปะไร!” “คิดว่าข้ามิกล้าฆ่าเจ้างั้นรึ?” ดวงตาของฉินซูเย็นเยือกแล้วกดกริชพระจันทร์แดงในมือลงไปบนคอของชายร่างใหญ่โดยตรง ฉึก!กริชพระจันทร์แดงอันคมกริบบาดเข้าที่คอของชายร่างใหญ่ในพริบตา เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาช้า ๆ! ชายร่างใหญ่สะดุ้งเฮือกและหวาดกลัวขึ้นมาทันที“ท่านขุนนางโปรดไว้ชีวิต พวกเราคือชาวบ้านในละแวกนี้ ช่วงนี้เกิดภัยพิบัติ พวกเราอดอยากไม่มีอันจะกินแล้วจึงจำเป็นต้องร่วมตัวกันลงคะแนนเสียงว่าต้องเลี้ยงปากท้องด้วยการทำเช่นนี้ หวังว่าท่านขุนนางจะเมตตาและปล่อยพวกเราไป” ได้ยินดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงความสงสารและกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ช่างเถิด พวกเขาก็แค่ถูกบีบคั้นจนไม่มีทางเลือก ปล่อยพวกเขาไปเถิดเพคะ” ชายร่างใหญ่ปีติยินดีจนในดวงตาฉายประกายความสำเร็จวาบขึ้นมาเล็กน้อย ฉินซูกลับกลอกตาใส่กู้เสวี่ยเจี้ยนแล้วเหน็บแนมว่า “เขาบอกว่าพวกเขาเป็นชาวบ้าน เจ้าก็เชื่อเขาจริงหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนถามอย่างประหลาดใจว่า “หรือว่ามิใช่?!” ฉินซูส่ายหน้าแล้วเอ่ยกั
“เจ้าว่ากระไรนะ? พระภิกษุข่มขู่พวกเจ้า เจ้าไปหลอกผีเถอะ คิดว่าพวกเราโง่งั้นรึ?” ชายร่างใหญ่อยากจะร้องแต่ไม่มีน้ำตาและพูดว่า “ทุกคำที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น เป็นเช่นนี้แล้ว พวกเราจะกล้าโกหกได้อย่างไรขอรับ” “ใช่แล้ว ที่รองหัวหน้าพูดเป็นความจริงทั้งหมด หากพวกท่านมิเชื่อ ตามพวกเรากลับไปที่ค่ายป้องกันขวงเฟิงก็จะรู้เอง” “ท่านขุนนาง พระภิกษุรูปนั้นมิใช่คนดีเลย ภายนอกดูใจดีมีเมตตา แต่สิ่งที่เขาทำนั้นโหดร้ายเกินจะรับได้ เขาถึงกับเอาลูกหัวหน้าใหญ่ของพวกเราที่เป็นทารกอายุมิถึงเดือนไปต้มกิน… อ้วก!” ชายหนุ่มพูดมิทันจบก็อาเจียนออกมา ได้ยินคำพูดนี้แล้ว ฉินซูคิ้วขมวดและรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน กินเนื้อมนุษย์ นี่คือสิ่งที่มนุษย์จะทำได้จริงหรือ?เซี่ยหลานและกู้เสวี่ยเจี้ยนรู้สึกชาหนึบที่หนังศีรษะและขนลุกซู่ไปทั้งตัว ตงฟางไป๋กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วเอ่ยว่า “เจ้าพูดจาไร้สาระ พระภิกษุคือผู้ถือศีล จะกินเนื้อได้อย่างไร มิต้องพูดถึงการกินเนื้อคนเลย!” “ท่านขุนนาง ที่พวกเราพูดเป็นความจริงทั้งหมดขอรับ พระภิกษุหัวโล้นนั่นเป็นพระปีศาจ มิเพียงกินทารกเท่านั้น ซ้ำยังแย่งชิงสตรีของหัวหน้าใหญ่
ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “อยู่ไกลจากค่ายป้องกันขวงเฟิงเท่าใด?”สวีเซี่ยงเฉียนหยิบแผนที่ออกมาดูและตอบว่า “องค์รัชทายาท ค่ายป้องกันขวงเฟิงตั้งอยู่บนสันเขาเฮยเฟิง หากเป็นตามนี้มันจะอยู่ห่างออกไปประมาณสี่สิบห้าสิบลี้พ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นก็ตั้งค่ายพักแรมกันเถอะ”เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็มองหน้ากันชั่วขณะกู้เสวี่ยเจี้ยนพูดด้วยความกังวล “หากพวกเราตั้งค่ายพักแรมที่นี่ แล้วพระปีศาจมาพร้อมกับโจรภูเขาเข้าจู่โจมกลางดึก เกรงว่าพวกเราจะประสบความสูญเสียอย่างหนักนะเพคะ”ช่วงกลางดึกก็รบกวนเจ้าเฝ้ายามให้ทีก็แล้วกัน วรยุทธ์เจ้ากล้าแกร่งถึงเพียงนี้ ต่อให้แมลงบินมาก็คงมิอาจหลบพ้นสายตาของเจ้าไปได้”“ท่านยกยอหม่อมฉันมากเสียจริงเพคะ ก็ได้ แต่เพื่อความปลอดภัย หม่อมฉันขอสิ่งของเมื่อครู่อีกสักสองสามลูกนะเพคะ”ฉินซูหยิบสิ่งของดังกล่าวออกมาจากถุงแล้วยัดใส่มือของกู้เสวี่ยเจี้ยนโดยมิพูดอะไรสักคำกู้เสวี่ยเจี้ยนมองลูกกลมเล็ก ๆ ที่ทำจากโลหะในมือของตนอย่างพินิจแล้วประหลาดใจไปชั่วขณะ!“องค์รัชทายาท ลูกกลมสองลูกนี้คือสิ่งใดกันแน่เพคะ? มันดูทรงพลังมาก!”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท เมื่อครู่พวกโจรเหล่านั้นถ
ภายใต้ลมสารทฤดูที่พัดมา เส้นผมยาวของร่างนั้นปลิวไสวอย่างอิสระ เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวราวกับกระดาษ!และมีคราบเลือดสีแดงเข้มที่มุมปากมิเพียงเท่านั้น ยามนี้ก็ยังมีหมอกจาง ๆ กระจายอยู่รอบ ๆ ร่างนั้นเมื่อลมหนาวพัดมาอีกครั้ง ทำเอาทุกคนอดมิได้ที่จะตัวสั่น และหวาดกลัวเป็นอย่างมาก!“แม่เจ้า มีผีจริง ๆ ด้วย!”“มีผี หนีเร็ว!”บางคนกลัวมากจนกรีดร้องและวิ่งหนีไปเมื่อทหารคนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้น พวกเขาต่างก็วิ่งหนีเตลิดไปด้วยความกลัวสุดขีดแม้แต่กู้เสวี่ยเจี้ยน ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ต่างก็หวาดกลัวมากจนหน้าถอดสีและขยับขามิออกเมื่อเห็นว่าจู่ ๆ ก็เกิดความสับสนวุ่นวาย ฉินซูก็แผดเสียงก้องด้วยโทสะ!“ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้ หากใครกล้าวิ่งหนี กลับไปข้าจะสั่งประหารล้างตระกูลให้หมด!”เมื่อเสียงข่มขู่ของเขาดังขึ้น ทหารที่กำลังหลบหนีก็หยุดชะงักทันทีตงฟางไป๋เองก็ได้สติกลับมาจากความหวาดกลัวเช่นกัน เขารีบชักดาบออกมาก่อนใครและตวาดด้วยความโกรธอย่างกล้าหาญ “นั่นใคร บังอาจนักที่กล้าปลอมเป็นผี!”“ฮือ ๆ ๆ… ข้าตายได้น่าอนาถยิ่งนัก...”เสียงร้องไห้ที่แหลมคมและคลุมเครือดังก้องอยู่ในหูของทุกคน!“ข้าหิวมาก… อยากก
กระแสลมร้ายพัดกิ่งก้านและใบไม้เสียงดังกรอบแกรบ อีกทั้งเหล่าหมอกก็หนาขึ้นเรื่อย ๆทันใดนั้น เงาร่างสีขาวหลายสิบร่างก็ลอยออกมาจากหมอกควัน!เงาร่างเหล่านั้นมีผมยุ่งเหยิงและมีสีหน้าดุร้ายอย่างยิ่งพวกมันเป็นเหมือนวิญญาณไร้ญาติ กำลังล่องลอยไปมาในความว่างเปล่าเสียงร้องไห้โหยหวนดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับอยู่ในอสุรภูมิ ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!เมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น เหล่าทหารก็ตกใจจนล้มลงกับพื้นและไร้ซึ่งความกล้าที่จะหลบหนีเซี่ยหลานตกใจมากจนหน้าซีด จากนั้นนางก็หายใจมิออกและเป็นลมไปแม้แต่กู้เสวี่ยเจี้ยนยอดฝีมือแห่งสำนักหอดูดาวหลวงผู้นี้ก็รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง และมือของนางที่จับด้ามดาบก็สั่นเทาส่วนสองพี่น้องตงฟางไป๋และสวีเซียงเฉียน พวกเขาหวาดกลัวกันมากจนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ด้วยสายตาว่างเปล่าฉินซูขมวดคิ้วและพูดแขวะในใจแต่ละคนดู ๆ แล้วคงจะพึ่งพามิได้ ถึงช่วงเวลาวิกฤติเมื่อไรคงจะต้องพึ่งตัวเองเสียแล้วจากนั้น เขาก็หยิบระเบิดสายฟ้าออกมา จุดชนวนแล้วโยนมันไปทางเงาร่างสีขาวตู้ม–หลังจากเกิดการระเบิดขึ้น ‘เงาผี’ ทั่วท้องฟ้าก็ถูกเป่ากระจายเป็นชิ้น ๆเศษชิ้นส่วนจำนวนมากกร
ส่งผลให้เงากระบี่ที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ถูกปัดเป่ากระจายออกไปม่านตาของกู้เสวี่ยเจี้ยนหดตัว นางจึงใช้ทักษะการเคลื่อนที่จนถึงขั้นสูงสุด โดยการล้อมรอบเย่ชางสิงเอาไว้และแทงดาบออกไปอย่างรวดเร็วทันทีที่ลงมือ พลังระดับปฐพีขั้นกลางก็ถูกปลดปล่อยออกมาขณะเดียวกันเย่ชางสิงก็หลบการโจมตีอย่างใจเย็น ทั้งยังพูดด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก “อายุยังน้อยแต่กลับมีวรยุทธ์ที่กล้าแกร่งเช่นนี้ได้ สาวน้อยเช่นเจ้าถือว่ามีความสามารถและพรสวรรค์มิเลวเลย แต่น่าเสียดายที่เจ้าดันมาพบกับข้าเสียก่อน!”พูดจบ ร่างของเขาก็หายไปอย่างน่าประหลาดในพริบตาเมื่อเห็นภาพนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็อดมิได้ที่จะตะลึงไปชั่วขณะเย่ชางสิงเร็วเกินไป แม้พลังวรยุทธ์ของนางจะอยู่ที่ระดับปฐพีขั้นกลาง แต่กลับมิสามารถมองเห็นได้ชัด!ขณะที่นางกำลังตกตะลึง ริมฝีปากของฉินซูก็ขยับเล็กน้อย ทว่าเขามิได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมา!แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงของคนชราดังขึ้นในหูของกู้เสวี่ยเจี้ยน!“กระโดดไปข้างหน้าไปสองครั้ง ถอยทิศใต้สามก้าว แล้วฟันเฉียงลงไป!”เมื่อได้ยินเสียงแปลก ๆ นี้ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ตกใจ!นี่คือวิชาแห่งกระแสจิต หากกำลังภายในมิได้อยู่ในระดับสู
กู้เสวี่ยเจี้ยนที่ได้ยินเสียงนั้นก็เคลื่อนไหว!ท่าย่างของนางสง่างาม อีกทั้งกระบี่ของนางก็ทรงพลังหลังจากขยับไปมิกี่ก้าว กระบี่ยาวในมือของนางก็พุ่งตรงไปที่เย่ชางสิง!รวดเร็วมากจนเรียกได้ว่าเร็วปานสายฟ้า!หางตาของเย่ชางสิงกระตุกเบา ๆ ด้วยการขยับปลายเท้าเพียงนิด เขาก็เอนตัวไปด้านหลังและตีลังกาดีดตัวขึ้นจากพื้นออกไปได้ขณะเดียวกัน เสียงคนชราลึกลับยังคงก้องอยู่ในหูของกู้เสวี่ยเจี้ยนภายใต้การชี้แนะของบุคคลลึกลับผู้นี้ ทุกครั้งที่กู้เสวี่ยเจี้ยนใช้กระบี่นางจะสามารถโจมตีไปที่จุดตายด้านหน้าของเย่ชางสิงได้อย่างคาดมิถึงเย่ชางสิงที่ถูกบีบบังคับจนทำอะไรมิได้ จำต้องโต้กลับด้วยไม้เท้าหัวมังกรการโจมตีของเขาทรงพลังและรุนแรงนัก ปราณบริสุทธิ์อันแข็งแกร่งของเขาส่งแรงกดดันมหาศาลไปที่กู้เสวี่ยเจี้ยนทว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนก็อาศัยคำชี้แนะของบุคคลลึกลับและวิชาก้าวย่างแปดทิศที่เกือบจะสมบูรณ์แบบของนางเพื่อหลบหลีกจากการบุกในแต่ละครั้งของเย่ชางสิง อีกทั้งยังโจมตีกลับได้อีกด้วยเช่นนี้เอง กู้เสวี่ยเจี้ยนที่เดิมทีมิได้มีวรยุทธ์ที่เหนือกว่า จึงต่อสู้กับเย่ชางสิงได้อย่างสูสี!ทว่าเมื่อเทียบกับความนิ่งของกู้
ครู่ต่อมา สายสืบสองคนที่เติ้งหม่างส่งไปก็กลับมา”ท่านแม่ทัพใหญ่ กองทหารม้ากลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ อีกทั้งพวกท่านรองแม่ทัพหม่าดูท่าทางจะถูกพวกมันจับเป็นได้แล้วขอรับ”“เจ้าว่ากระไรนะ?”เติ้งหม่างเผยสีหน้าประหลาดใจ แล้วเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “หม่าเวยเจ้าคนไร้ประโยชน์ โดนฝ่ายตรงข้ามจับกุมตัวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ มันน่าโมโหนัก!”“ท่านแม่ทัพใหญ่ เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ?”“เตรียมรับมือ จริงสิ ทางนั้นมีกำลังพลเท่าใด?”“คาดคะเนราว ๆ พันนายขอรับ”เติ้งหม่างยิ่งงุนงงกว่าเดิม นึกว่าตนเองหูฝาดไป จึงไต่ถามอีกครั้ง “เจ้าว่ามีเท่าใดนะ?”“ประ… ประมาณพันนายขอรับ”“แค่พันนาย? พวกเจ้ามิได้ตาลายมองผิดไปใช่หรือไม่?”“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ คนของฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมิมากจริง ๆ ขอรับ แต่เบื้องหลังของพวกมันมีทหารหนุนหรือไม่นั้นยังมิอาจทราบได้”“ไปสืบต่อ ส่วนคนอื่น ๆ เตรียมพร้อมรับมือ!”“ขอรับ!”สายสืบหลายคนจึงมุ่งหน้าไปยังเบื้องหน้าอีกคราตามบัญชาของเติ้งหม่างส่วนคนอื่น ๆ ซุ่มซ่อนตัวอยู่ตามแนวป่าละเมาะสองข้างทางมินานนัก เสียงควบม้าก็ใกล้เข้ามา ปรากฏในสายตาของเติ้งหม่างและคนอ
ต่อมา พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองฝั่งเหนือโดยมิรอช้าเมื่อสอบถาม ก็ได้ล่วงรู้ว่าหูก่วงเซิงนำทัพออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือไปจริง ๆในกระโจมนอกประตูเมืองฝั่งเหนือ มิปรากฏร่างของหูก่วงเซิงและทหารม้าของเขาฉินซูหรี่ตา และพึมพำ “เจ้าสารเลวหูก่วงเซิงนี่ ท่าทางจะนำทัพไปลอบโจมตีกองทัพหนานเยวี่ยจริง ๆ”“เช่นนั้นจะทำเช่นไรดี? หูก่วงเซิงมีทหารม้าเพียงหนึ่งพันนาย หากปราศจากการสนับสนุนจากธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า พวกเขาไปก็มีแต่ตายเปล่า!”“เรียกระดมพลเสีย เตรียมออกนอกเมืองไปช่วยเหลือ”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉงชูโม่ก็มองฉินซูด้วยความประหลาดใจฝ่ายหลังขมวดคิ้วถาม “ไยจึงมองข้าเช่นนั้น?”“หามิได้ แค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น”“แปลกใจกระไร?”ฉงชูโม่อธิบาย “หูก่วงเซิงเป็นคนสนิทของอ๋องฉู่ ทั้งยังมิพอใจในตัวท่านเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้เขากำลังประสบเคราะห์ภัย ทว่าท่านกลับตัดสินใจที่จะออกไปช่วยเหลือโดยมิลังเล หม่อมฉันจึงรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย”ฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ “หูก่วงเซิงเป็นคนของอ๋องฉู่ก็จริง ทว่าในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นทหารหาญแห่งต้าเหยียนของข้า ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร”“พระทัยที่กว้างขวางของท
ฉงชูโม่มองซ้ายขวาแล้วกล่าว “บางทีอาจจะกลับค่ายทหารไปแล้วกระมัง เขาเป็นคนของอ๋องฉู่ การที่เห็นท่านสร้างความดีความชอบ คงรู้สึกมิพอใจอยู่บ้าง มิใช่เรื่องแปลกเพคะ”“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”ฉินซูเหลือบมองเหล่าทหารที่กำลังกินดื่มอย่างสำราญ จึงเอ่ยถาม “เจ้าคงมิได้ให้ทหารทั้งหมดเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองชัยกระมัง?”“มิได้เพคะ นี่เป็นเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือล้วนเตรียมพร้อมอยู่แล้ว”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่ป่านนี้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่มีข่าวคราวมาจากทางคลังอาวุธเล่า?”ฉินซูขมวดคิ้ว รู้สึกถึงความผิดปกติฉงชูโม่จึงสั่งทหารข้างกาย “เจ้าจงไปดูลาดเลาที่คลังอาวุธทีว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่”“ขอรับ!”ทหารผู้นั้นรีบเร่งไปยังทิศทางคลังอาวุธมินานนัก เขาก็กลับมา“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ที่คลังอาวุธเป็นปกติดีขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉงชูโม่จึงอดมิได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น“แปลกจริง เป็นไปได้อย่างไรที่เติ้งหม่างจะอดทนได้ถึงขั้นนี้ มิส่งคนมาขโมยธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า?”“เป็นไปมิได้ เขารู้ว่าคืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย การป้องกันเมืองจึงหย่อนยานลง หากเขามิมาในคืนนี้ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้แ
หูก่วงเซิงหัวเราะเยาะ “ลำพังพวกเจ้าเพียงหยิบมือนี้น่ะหรือ? หึ ๆ ช่างประมาณตนสูงเสียจริง!”กำแพงเมืองเจียวโจวสูงหกถึงเจ็ดจั้ง เขามิคิดว่าหม่าเวยและคนเหล่านี้จะสามารถปีนขึ้นไปได้หม่าเวยกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “อย่างน้อยก่อนที่จะปะทะเข้ากับพวกเจ้า พวกเราก็ยังคงมั่นใจมากทีเดียว”“ฮ่า ๆ พวกโง่เขลาเอ๋ย เอาเถอะ ในเมื่อความดีความชอบมาประเคนให้ถึงปากประตูแล้ว มิรับไว้คงน่าเสียดายแย่ ใครก็ได้!”“ขอรับ!”“ปิดปากพวกมันทั้งหมด แล้วส่งคนสองสามคนไปเฝ้าพวกมันในป่าให้ดี!”“ท่านแม่ทัพหู ในเมื่อพวกมันเป็นสายสืบของหนานเยวี่ย ไฉนมิควบคุมตัวพวกมันกลับเมือง ไปส่งให้ท่านแม่ทัพใหญ่จัดการเล่าขอรับ?”หูก่วงเซิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “นำคนกลับไปยามนี้ แล้วพวกเราจะลอบโจมตีกองทัพหนานเยวี่ยต่อหรือไม่?”“จริงด้วย พวกมันถูกพวกเรามัดไว้แล้ว ไม่มีทางหลบหนีไปได้ ส่งคนไปเฝ้าพวกมันไว้ก็พอ รอจนกระทั่งพวกเราได้ชัยกลับมา ค่อยคุมตัวคนพวกนี้กลับเมือง เช่นนี้จะได้ความดีความชอบเพิ่มขึ้นอีกอย่างไรเล่า!”ดวงตาของหม่าเวยกลอกไปมา เอ่ยปากกล่าว “ท่าน… ท่านแม่ทัพหู ท่านแน่ใจหรือว่าจะลอบโจมตีกองทัพหนานเยวี่ยของพวกเรา?”“หากเป็นเช่
“ท่านแม่ทัพหู แผนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือแล้วอ้อมไปอีกหน่อย ก็ลอบโจมตีทัพหนานเยวี่ยได้เหมือนเดิม!”“ไป เร่งฝีเท้า!”ดังนั้น กองทหารของพวกเขาจึงเดินทางมายังใต้ประตูเมืองฝั่งเหนือแม่ทัพรักษาการณ์ที่นี่เห็นหูก่วงเซิงและพวก จึงไต่ถาม “ท่านแม่ทัพหู นี่พวกท่านจะทำการใด?”“ในเมืองผู้คนพลุกพล่านเกินไป พวกเราจะออกไปพักผ่อนนอกเมืองสักหน่อย วันพรุ่งพวกเราจะย้ายค่ายทหารไปตั้งไว้นอกเมืองฝั่งเหนือเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการฝึกทหาร”เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาการณ์ก็โบกมือให้คนเปิดประตูเมืองจะตำหนิว่าเขาประมาทเกินไปก็มิได้ ท้ายที่สุดแล้วนอกเมืองทางฝั่งเหนือยังมีทหารประจำการอยู่เป็นจำนวนมิน้อย ทหารที่เข้าออกประตูเมืองทางฝั่งเหนือจึงมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมหลังจากที่ออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น หูก่วงเซิงจึงนำกองทัพทหารม้าพันนายมุ่งหน้าลงใต้!ขณะเดียวกันนอกประตูเมืองเจียวโจวทางฝั่งใต้ เงาร่างสิบกว่าร่างพุ่งออกมาจากป่าละเมาะห่างออกไปมิไกลนักพวกเขามีท่าทางคล่องแคล่ว เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ฝั่งหนึ่งหลังจากที่สังเกตการณ์บนกำแพงเมืองอยู่ครู่หน
“ท่านแม่ทัพหู กองทัพหนานเยวี่ยแตกพ่ายในวันนี้ บัดนี้คงอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่เป็นแน่ หากพวกเรานำทัพไปลอบโจมตี อย่างไรก็ต้องสำเร็จ! ถึงเวลานั้นหากสำเร็จ ท่านแม่ทัพใหญ่จะเอาผิดพวกเราที่ยกทัพไปโดยพลการได้อย่างไร?”ชายร่างกำยำอีกด้านกล่าวสำทับ “รองแม่ทัพหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ทัพหู พวกเราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมาถึงเจียวโจวก็มิใช่อื่นใด นอกเสียจากเพื่อสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นพวกเราสร้างความดีความชอบในเจียวโจวมากเท่าไร พระเกียรติของท่านอ๋องฉู่ในราชสำนักก็จะยิ่งสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ล้วนเพื่อท่านอ๋องฉู่ทั้งสิ้น!”“ถูกต้อง พวกเราคือคนของท่านอ๋องฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมมิอาจตำหนิพวกเราที่ออกรบโดยพลการได้ ท่านแม่ทัพหู ท่านรีบตัดสินใจเถิด โอกาสมิคอยท่า เวลามิหวนคืน!”“ท่านแม่ทัพหู คนขององค์รัชทายาทออกนอกเมืองไปครึ่งชั่วยามแล้ว หากพวกเรามิรีบเร่งติดตามไป เกรงว่าน้ำแกงก็มิได้ซด อย่าหวังจะได้กินเนื้อเลยขอรับ!”ด้วยคำยุยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาของหูก่วงเซิงก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น!เขาพยักหน้าหนักแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้เหล่าสหายทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม อีกห
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม