เกิดอะไรขึ้น? “องค์รัชทายาทที่รอวันถูกปลดผู้นี้อาศัยอะไรบางอย่างอยู่งั้นหรือ?! ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของชายชุดดำ แล้วเขาก็พลันรู้สึกถึงกระแสลมกระโชกที่ทรงพลังพุ่งข้ามาอย่างรวดเร็ว! “มิดีแล้ว!!” ชายชุดดำร้องในใจ แต่เมื่อคิดจะถอยกลับแล้วหนีไป มันก็สายเกินไปแล้ว! “ฟึ่บ!” หลังจากเสียงดังสนั่น ชายชุดดำก็สลายกลายเป็นหมอกเลือด แม้แต่ดาบใหญ่ในมือก็มิอาจรอดพ้น ฉินซูดึงมือกลับมาแล้วหันไปพูดกับถานเหวยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ใต้เท้าถานกลับไปที่ห้องเถอะ จะได้มิบาดเจ็บจากธนูซุ่มยิง” “อ๋า ?! องค์รัชทายาท ท่าน… ท่านมิเป็นอะไรเลยหรือ?!” “เหตุใดเล่า ข้ามิเป็นไร ใต้เท้าถานผิดหวังมากหรือไร?” ถานเหวยส่งเสียงสะดุ้งทันทีแล้วรีบส่ายหัว “หามิได้ ๆ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ท่านปลอดภัยย่อมดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ในใจของเขารู้สึกสงสัยอย่างยิ่ง ชายชุดดำเมื่อครู่มีพลังที่แข็งแกร่งมาก ว่ากันตามหลักแล้วฉินซูน่าจะหลบมิพ้นถึงจะถูก ทว่าบัดนี้ ฉินซูกลับยืนอยู่ตรงนั้นโดยมิเป็นอะไร ส่วนชายชุดดำผู้นั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย หรือเป็นกู้เสวี่ยเจี้ยนที่บีบให้เขาต้องถอยไป?ใช่แล้ว กู้เส
ฉินซูยกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อยแล้วพลังลมอันรุนแรงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากมือของเขา! “ฟึ่บ!” แขนข้างที่ถือกระบี่ของชายชุดดำแตกสลายกลายเป็นหมอกเลือดทันทีที่เสียงดังขึ้น! ก่อนที่เขาจะได้สติก็รู้สึกถึงความเบาใต้ฝ่าเท้า!กลับกลายเป็นว่าเขาถูกฉินซูจับคอแล้วยกขึ้น! “! ! !”ชายชุดดำมีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด เขาจ้องมองฉินซูอย่างมิอยากจะเชื่อ หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาก็พูดอย่างยากลำบากว่า “เจ้า… เจ้า… ปิดบังฝีมือไว้ลึกจริง ๆ…” ฉินซูถามอีกครั้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “พูด ใครส่งเจ้ามา!” “คะ… คือ…” ชายชุดดำขยับริมฝีปากราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาฉวยโอกาสที่ฉินซูเสียสมาธิ ใช้มือที่เหลืออยู่ข้างหนึ่งหยิบกริชออกมาจากอกเสื้ออย่างรวดเร็วแล้วจ้วงแทงลงไปยังกลางอกของฉินซูโดยมิลังเล ฉินซูเผยสีหน้าดูถูกและมิสนใจที่จะยื่นมือออกไปปิดกั้นเลยด้วยซ้ำ! ในชั่วพริบตา กริชของชายชุดดำหยุดชะงักตรงหน้าอกของฉินซูปลายกริชอยู่ห่างจากหัวใจของฉินซูแค่ครึ่งนิ้วเท่านั้น! ชายชุดดำสะดุ้งแล้วก้มหน้ามองโดยสัญชาตญาณครั้นแล้วก็เห็นว่าด้านหน้าของฉินซูมีเกราะป้องกันบางอย่างปรากฏขึ้นราง ๆ! เมื่อเห็นภ
“เหอะ ๆ หวงเฟิงคือจอมยุทธระดับปฐพีขั้นสูงสุดที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับสวรรค์ หากท่านสามารถสังหารเขาได้ อาจารย์ของหม่อมฉันคงมิต้องส่งหม่อมฉันมาคุ้มกันท่านหรอกกระมังเพคะ?” ฉินซูมิแสดงท่าทีอะไรต่อคำพูดนั้น ในใจของเขานึกขำขึ้นมานิด ๆ เสียด้วยซ้ำ ‘เหตุใดทุกคนถึงคิดว่าข้าต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังด้วยล่ะนี่?’ ‘พวกเขามิเคยสงสัยเลยหรือไรว่าผู้ที่พวกเขาเรียกว่ายอดฝีมือก็คือตัวข้าเอง?’กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดกับตัวเองพร้อมถอนหายใจว่า “ต้องยอมรับเลยว่า ยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังท่านช่างน่าเกรงขามจริง ๆ เขาสามารถจัดการหวงเฟิงได้ในระยะเวลาอันสั้น เขาอยู่ที่ใดแล้วเล่าเพคะ? ให้เขาปรากฏตัวให้เห็นหน่อยเถิด” ฉินซูพูดอย่างจริงจังว่า “เขาไปแล้ว!” “ไปแล้วหรือเพคะ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองไปรอบๆ แล้วบ่นว่า “ท่านช่างกล้าจริง ๆ มิกลัวว่าหวงเฟิงจะมีผู้ช่วยหรือไรกัน” “ถึงหวงเฟิงจะมีผู้ช่วย แต่ข้าก็ยังมีเจ้าอยู่มิใช่หรือไร” กู้เสวี่ยเจี้ยนเหลือบมองฉินซูก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพร้อมถามอย่างหยั่งเชิงว่า “องค์รัชทายาท ในความเห็นของท่าน ใครที่สั่งหวงเฟิงมาลอบสังหารท่านหรือเพคะ?” ฉินซูยักไหล่ “ข้าจะไ
ฉินซูเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าถาน ไฉนจึงตื่นตกใจปานนี้เล่า?” ถานเหวยตีอกชกหัวแล้วพูดว่า “แย่แล้ว องค์รัชทายาท เงินบรรเทาภัยพิบัติ เงินนั่นหายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” “ว่ากระไรนะ! เงินบรรเทาภัยพิบัติหายไปงั้นรึ?!”ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ อุทานด้วยความตกใจก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปในศาลาพักม้าทันทีเมื่อมาถึงห้องโถงด้านข้าง พวกเขาพบว่าเงินช่วยเหลือที่ควรเก็บไว้ในห้องโถงด้านข้างนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย! “หายไปแล้วจริง ๆ นี่มัน นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” “หีบเงินตั้งมากมาย จะหายไปเฉย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขาลงมือกันรวดเร็วเกินไปแล้ว!” ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ ฉินซูยืนมือไพล่หลังแล้วสำรวจห้องโถงด้านข้างเงียบ ๆ จากนั้นมินาน เขาก็มองลึกไปยังหน้าต่างที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่งแล้วลูบคางอย่างครุ่นคิด สวีเซี่ยงเฉียนที่ได้สติจากอาการตกใจ รีบเร่งลูกน้องว่า “เร็วเข้า พวกเจ้ารีบไล่ตามไป มิว่าอย่างไรก็ต้องเอาเงินบรรเทาภัยพิบัติกลับมาให้จงได้!” เหล่าทหารจากกองทัพป้องกันชายแดนได้ยินดังนั้นจึงแยกย้ายออกเป็นหลายกลุ่ม เพื่อออกไปติดตามค้นหาเงินช่วยเหลือ พี่น้องตงฟางไป๋เองก็อยากไปเช่นกัน แต่กลับถูกฉินซูหยุด
ทุกคนขมวดคิ้วแน่นอย่างงงงวย กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “องค์รัชทายาท องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งให้ท่านคุ้มกันเงินบรรเทาภัยพิบัติ บัดนี้เงินหายไปแล้ว สิ่งนี้ถือเป็นความผิดร้ายแรง พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี?” ตงฟางไป่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังหนักแน่นว่า “องค์รัชทายาท ก่อนออกเดินทางท่านรับสั่งให้ข้าน้อยสองคนพี่น้องคุ้มกันเงินบรรเทาภัยพิบัติให้ดี บัดนี้เงินหายไปแล้ว ความรับผิดชอบอยู่ที่ข้าน้อย หากองค์จักรพรรดิพิโรธ ข้าน้อยจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ!” ฉินซูยิ้มอย่างสงบนิ่งและพูดว่า “เรื่องยังมิถึงขั้นนั้น พวกเจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป” “องค์รัชทายาท เงินบรรเทาภัยพิบัติหายไปแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นความผิดขั้นประหารชีวิต อีกทั้งองค์จักรพรรดิจะต้องมิทรงยกโทษให้ท่านง่าย ๆ เป็นแน่ แล้วพวกข้าน้อยจะมิตื่นตกใจได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ตงฟางไป๋พูดพร้อมกระทืบเท้าอย่างร้อนใจ ฉินซูพยักหน้าไปทางสวีเซี่ยงเฉียนพร้อมพูดว่า “ไป ไปพานายสถานีศาลาพักม้าเข้ามา” ถึงแม้ว่าสวีเซี่ยงเฉียนจะงุนงงอยู่สักหน่อย แต่ก็ยังทำตามมินาน นายสถานีศาลาพักม้าก็ถูกพาตัวมา “ข้า… ข้าน้อยคารวะองค์องค์รัชทายา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก้ต่างเผลอก้มหน้ามองโดยมิรู้ตัว สีหน้าของนายสถานีศาลาพักม้าถึงกับ “ฉาบ” ด้วยสีขาวซีดทันที แววตาของเขายังปรากฏร่องรอยตื่นตระหนกชัดเจน! กู้เสวี่ยเจี้ยนก้าวมาด้านหน้าสองสามก้าวแล้วเดินสำรวจภายในห้องโถงด้านข้าง ทุก ๆ ก้าวล้วนแต่ย่ำเท้าลงอย่างแรง หลังจากนั้นมินาน นางก็ขมวดคิ้วเบา ๆ พร้อมเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท ใต้พื้นไม่มีช่องว่างเลยเพคะ” สวีเซี่ยงเฉียนเองก็ลองย่ำพื้นรอบ ๆ เช่นกัน แล้วจึงเอ่ยเสริมว่า “ไม่มีจริง ๆ หากมีห้องหรือช่องลับอยู่ใต้พื้นจริงก็ควรมีเสียงสะท้อนช่องที่กลวงโหว่ถึงจะถูกพ่ะย่ะค่ะ” “พื้นทั่วไป ย่อมเป็นอย่างที่พวกเจ้าพูด ทว่าพวกเจ้าลองดูเถิดว่าพื้นนี้ทำจากไม้อะไร” เมื่อได้ยินฉินซูพูดเช่นนี้ ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ต่างพากันก้มมองพื้น ตงฟางโซ่วหยิบทวนยาวแล้วแทงลงบนพื้นทันที “แกร๊ก!” แผ่นไม้ชิ้นเล็ก ๆ ถูกงัดขึ้นมา ครั้นแล้วก็เห็นว่าตรงกลางของแผ่นไม้ปรากฏสีแดงขึ้นมาจาง ๆ ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ตงฟางโซ่วแทงลงไปเต็มแรง แต่กลับงัดขึ้นมาได้เพียงชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นกู้เสวี่ยเจี้ยร้องอุทานอย่างตกใจว่า “ที่แท้มันคือไม้พะยูง!”
กู้เสวี่ยเจี้ยนรีบมาที่หน้าต่างก่อนมองออกไปด้านนอก หลังจากนั้นสีหน้าของนางเปลี่ยนไปเป็นเลวร้ายราวกับถูกบีบเมื่อสังเกตได้ว่าสีหน้าของนางเปลี่ยนไป ฉินซูจึงเอ่ยถามว่า “เสวี่ยเจี้ยน เจ้ามิเป็นอะไรใช่หรือไม่?” กู้เสวี่ยเจี้ยนตอบกลับด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “หม่อมฉันย่อมมิเป็นอะไร แต่หม่อมฉันพลั้งมือฆ่าขุนนางชั่วไปแล้วเพคะ” “เขาตายแล้วก็แล้วไปเถอะ พวกเจ้ามิเป็นอะไรก็พอแล้ว” โชคดีที่กู้เสวี่ยเจี้ยนร้องเตือนล่วงหน้าทำให้ทุกคนป้องกันไว้ก่อนได้ จึงไม่มีใครถูกลูกธนูลับจนได้รับบาดเจ็บกู้เสวี่ยเจี้ยนเอื้อมมือไปแตะที่จานรองกระถางต้นไม้ จากนั้นเขาก็หมุนมัน“แกร๊ก แกร๊ก…”หลังจากเกิดเสียงดังที่หนักอึ้งขึ้น พื้นของห้องโถงด้านข้างค่อย ๆ เปิดออกท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง ห้องลับที่กว้างสิบจั้งปรากฏขึ้นใต้ห้องโถงด้านข้าง!เงินบรรเทาภัยพิบัติที่หายไปเหล่านั้น เวลานี้ถูกกองไว้กลางห้องลับอยู่เงียบ ๆ ตงฟางไป๋รีบเดินลงไปทันทีและเอื้อมมือออกไปเปิดหีบไม้เพื่อตรวจสอบ ตอนนี้เอง จมูกของฉินซูกระตุกเล็กน้อยแล้วตะโกนว่า “อย่าแตะต้องมัน!” แต่มันสายเกินไปแล้ว!มือของทหารนายหนึ่งได้สัมผัส
ตงฟางไป๋พูดอย่างฮึกเหิมว่า “พวกมันกล้ามาอีกก็ดีสิ ถึงเวลานั้น เราจะจับพวกมันทั้งเป็นแน่นอน!”“ถูกต้อง เป็นเช่นนี้ ก็จะสืบสวนจนรู้ได้ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลัง” ฉินซูกลับโบกมือแล้วเอ่ยว่า “คืนนี้พวกเขาจะมิกลับมาแล้ว!” “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงทรงแน่ใจนักเพคะ?” กู้เสี่วยเจี้ยนสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย ฉินซูยิ้มบาง ๆ และอธิบายว่า “ผู้วางแผนการ ครั้งแรกได้ผล ครั้งที่สองแย่ลงและหมดแรงในครั้งที่สาม พวกมันพ่ายแพ้ไปสองครั้งแล้ว หากมิโง่จริง ๆ คงมิกลับมาตายอีก” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองฉินซูด้วยใบหน้าตกใจแล้วพูดอย่างสงสัยว่า “คำพูดของท่านเหมือนตำราพิชัยสงครามเลยเพคะ หรือว่าองค์รัชทายาททรงเชี่ยวชาญเรื่องการสงครามด้วย?” “รู้แค่เล็กน้อยเท่านั้น เอาเถอะ ข้าง่วงแล้ว พวกเจ้าตามสบาย”ฉินซูยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วหมุนตัวเดินขึ้นชั้นบน ส่วนเซี่ยหลานก็ตามไปติด ๆ กู้เสวี่ยเจี้ยนมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ที่จากไป คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอีกรอบ นางรู้สึกอยู่เสมอว่า ความสัมพันธ์ของฉินซูและเซี่ยหลานนั้นมิธรรมดา แต่กลับไม่มีหลักฐานอะไร นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งให้ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายาม แล้วจึงเ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ
ฉงชูโม่พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้องแล้วเพคะ เรื่องนี้มิใช่แค่ข้าน้อยคนเดียวที่เห็นกับตา ทหารทั้งสามทัพหลายนายก็เห็นเช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดีขึ้นมาทันตาอดีตองค์รัชทายาทสำมะเลเทเมาบัดนี้กลับสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งวรยุทธ์ก็ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง นี่มัน… เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเบื้องหลังฉินซูต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะแต่จากที่เห็นในเวลานี้ ยอดฝีมือที่ว่านั้น แท้จริงแล้วก็คือฉินซูเองกล่าวคือ ฉินซูมิเพียงแต่มีกลยุทธ์ที่เหนือชั้น แต่วรยุทธ์ก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับที่น่าตกตะลึงซ้ำร้ายฉินซูยังจงใจปิดบังวรยุทธ์ของตนอีกด้วย!เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ความระแวงที่ฉินอู๋ต้าวมีต่อฉินซูก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นฉินอู๋ต้าวนิ่งอึ้งไป ฉงชูโม่ก็กล่าวต่ออย่างมีนัยแฝงว่า “ฝ่าบาท ข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาททรงทักษะยอดเยี่ยม เกรงว่าอีกมินานคงจะแพร่สะพัดไปทั่วหลงเฉิงเพคะแต่ก็ดีเหมือนกันเพคะ เหล่าคนชั่วที่คิดจะลอบสังหารองค์รัชทายาทจะได้ประมาณตนก่อนจะลงมือ เช่นนี้แล้ว ก็จะได้มิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาทให้มา
สวี่จิ้นเสนาบดีกรมโยธาธิการกล่าวว่า “องค์รัชทายาท พระองค์ได้นำหนานเยวี่ยทั้งเจ็ดมณฑลสามสิบแปดเมืองมาอยู่ภายใต้ต้าเหยียนของเรา คุณูปการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ สมควรได้รับการประทานเครื่องยศเก้าประการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูส่ายหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าสวี่ ท่านกล่าวผิดแล้ว มีคำกล่าวว่า ใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ บนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นข้ารองพระบาทขององค์จักรพรรดิ ข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ย่อมถือเอาความผาสุกของราษฎรเป็นภารกิจของตน ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นหน้าที่”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูก็ประสานมือคำนับฉินอู๋ต้าวอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ดังนั้นรางวัลอันยิ่งใหญ่อย่างเครื่องยศเก้าประการนี้ลูกมิกล้ารับไว้จริง ๆ หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงก็อุทานด้วยความประหลาดใจอีกครั้งรางวัลอันยิ่งใหญ่เช่นเครื่องยศเก้าประการนี้ องค์รัชทายาทกลับปฏิเสธจริง ๆ หรือ?ต้องเท้าความว่า หากฉินซูในฐานะเป็นองค์รัชทายาทรับรางวัลนี้ ในภายภาคหน้า สถานะความสำคัญของเขาในสายตาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าเหยียนก็แทบจะเทียบเท่ากับฉินอู๋ต้าวผู้เป็นองค์จักรพรรดิได้เลยทีเ
ฉงชูโม่กำลังจะกล่าวต่อ แต่กลับสังเกตเห็นว่าฉินซูกำลังส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัยจากนั้นเสียงของฉินซูก็ดังขึ้นในหูของนาง “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลักฐานสำคัญหายไป”ฉินซูใช้วิชาแห่งกระแสจิต ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตได้นอกจากฉงชูโม่เมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินซู แววตาของฉงชูโม่ก็พลันไหววูบ จากนั้นจึงกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะกล่าวทูลแล้วเพคะ”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองฉงชูโม่ด้วยความสงสัยผาดหนึ่งแล้วหันไปมองฉินซูแทน“องค์รัชทายาท รายงานเรื่องคลังหลวงของหนานเยวี่ยหน่อยซิ”“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูประสานมือแล้วพูดต่อ “ทูลเสด็จพ่อ ในการตรวจค้นคลังหลวงของหนานเยวี่ยครั้งนี้ ลูกพบผ้าไหมแพรพรรณสูงค่ามากมายนับมิถ้วน เงินแท้รวมทั้งสิ้นสิบสามล้านกว่าตำลึง ทองคำสองล้านตำลึง เสบียงอาหารก็มีมากถึงเกือบแสนต้านพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงจากทั้งหมดในพระนามของเสด็จพ่อ เพื่อใช้เป็นรางวัลแก่ทหารทั้งสามทัพ ส่วนพืชพรรณธัญหารก็ได้สั่งให้คนนำกลับไปเก็บไว้ที่เจียวโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่
ฉินอู๋ต้าวผงกศีรษะให้ฉินอวี่เล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ ในเมื่อชูโม่เข้าใจตัวเจ้าผิดไป เจ้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเถิด”“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวี่ประสานมือคำนับ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ชูโม่ ตอนที่ลงใต้ไปยังเจียวโจว ยามนั้นข้าประมาทเลินเล่อ ถูกคนสนิทขโมยตราประจำตัวไป ภายหลังจึงได้ทราบว่าเจ้าคนสารเลวนั่นถูกเติ้งหม่างซื้อตัวไปนานแล้วแม้แต่หูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ก็ยังแปรพักตร์ไปเข้าข้างหนานเยวี่ย กว่าข้าจะรู้ตัวทัพหนานเยวี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองเจียวโจวแล้วด้วยความจำเป็น ข้าจึงต้องถอยกลับมาก่อน จากนั้นก็เดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงหลงเฉิงก็รีบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบในทันที”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็แค่นยิ้มหยันทันที “ท่านอ๋องฉู่ ท่านทรงคิดว่าแค่โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนสนิทขอท่านแล้วเรื่องก็จะจบลงง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”ฉินอวี่โต้กลับว่า “สิ่งที่ตัวข้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง จะเรียกว่าโยนความผิดได้อย่างไร?”ฉงชูโม่มิได้โต้เถียงกับเขาต่อ แต่หันไปกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ฝ่าบาท ที่ทะเลตงไห่ ท่านอ๋องฉู่...”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้าม