ฉินซูยกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อยแล้วพลังลมอันรุนแรงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากมือของเขา! “ฟึ่บ!” แขนข้างที่ถือกระบี่ของชายชุดดำแตกสลายกลายเป็นหมอกเลือดทันทีที่เสียงดังขึ้น! ก่อนที่เขาจะได้สติก็รู้สึกถึงความเบาใต้ฝ่าเท้า!กลับกลายเป็นว่าเขาถูกฉินซูจับคอแล้วยกขึ้น! “! ! !”ชายชุดดำมีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด เขาจ้องมองฉินซูอย่างมิอยากจะเชื่อ หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาก็พูดอย่างยากลำบากว่า “เจ้า… เจ้า… ปิดบังฝีมือไว้ลึกจริง ๆ…” ฉินซูถามอีกครั้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “พูด ใครส่งเจ้ามา!” “คะ… คือ…” ชายชุดดำขยับริมฝีปากราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาฉวยโอกาสที่ฉินซูเสียสมาธิ ใช้มือที่เหลืออยู่ข้างหนึ่งหยิบกริชออกมาจากอกเสื้ออย่างรวดเร็วแล้วจ้วงแทงลงไปยังกลางอกของฉินซูโดยมิลังเล ฉินซูเผยสีหน้าดูถูกและมิสนใจที่จะยื่นมือออกไปปิดกั้นเลยด้วยซ้ำ! ในชั่วพริบตา กริชของชายชุดดำหยุดชะงักตรงหน้าอกของฉินซูปลายกริชอยู่ห่างจากหัวใจของฉินซูแค่ครึ่งนิ้วเท่านั้น! ชายชุดดำสะดุ้งแล้วก้มหน้ามองโดยสัญชาตญาณครั้นแล้วก็เห็นว่าด้านหน้าของฉินซูมีเกราะป้องกันบางอย่างปรากฏขึ้นราง ๆ! เมื่อเห็นภ
“เหอะ ๆ หวงเฟิงคือจอมยุทธระดับปฐพีขั้นสูงสุดที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับสวรรค์ หากท่านสามารถสังหารเขาได้ อาจารย์ของหม่อมฉันคงมิต้องส่งหม่อมฉันมาคุ้มกันท่านหรอกกระมังเพคะ?” ฉินซูมิแสดงท่าทีอะไรต่อคำพูดนั้น ในใจของเขานึกขำขึ้นมานิด ๆ เสียด้วยซ้ำ ‘เหตุใดทุกคนถึงคิดว่าข้าต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังด้วยล่ะนี่?’ ‘พวกเขามิเคยสงสัยเลยหรือไรว่าผู้ที่พวกเขาเรียกว่ายอดฝีมือก็คือตัวข้าเอง?’กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดกับตัวเองพร้อมถอนหายใจว่า “ต้องยอมรับเลยว่า ยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังท่านช่างน่าเกรงขามจริง ๆ เขาสามารถจัดการหวงเฟิงได้ในระยะเวลาอันสั้น เขาอยู่ที่ใดแล้วเล่าเพคะ? ให้เขาปรากฏตัวให้เห็นหน่อยเถิด” ฉินซูพูดอย่างจริงจังว่า “เขาไปแล้ว!” “ไปแล้วหรือเพคะ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองไปรอบๆ แล้วบ่นว่า “ท่านช่างกล้าจริง ๆ มิกลัวว่าหวงเฟิงจะมีผู้ช่วยหรือไรกัน” “ถึงหวงเฟิงจะมีผู้ช่วย แต่ข้าก็ยังมีเจ้าอยู่มิใช่หรือไร” กู้เสวี่ยเจี้ยนเหลือบมองฉินซูก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพร้อมถามอย่างหยั่งเชิงว่า “องค์รัชทายาท ในความเห็นของท่าน ใครที่สั่งหวงเฟิงมาลอบสังหารท่านหรือเพคะ?” ฉินซูยักไหล่ “ข้าจะไ
ฉินซูเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าถาน ไฉนจึงตื่นตกใจปานนี้เล่า?” ถานเหวยตีอกชกหัวแล้วพูดว่า “แย่แล้ว องค์รัชทายาท เงินบรรเทาภัยพิบัติ เงินนั่นหายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” “ว่ากระไรนะ! เงินบรรเทาภัยพิบัติหายไปงั้นรึ?!”ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ อุทานด้วยความตกใจก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปในศาลาพักม้าทันทีเมื่อมาถึงห้องโถงด้านข้าง พวกเขาพบว่าเงินช่วยเหลือที่ควรเก็บไว้ในห้องโถงด้านข้างนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย! “หายไปแล้วจริง ๆ นี่มัน นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” “หีบเงินตั้งมากมาย จะหายไปเฉย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขาลงมือกันรวดเร็วเกินไปแล้ว!” ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ ฉินซูยืนมือไพล่หลังแล้วสำรวจห้องโถงด้านข้างเงียบ ๆ จากนั้นมินาน เขาก็มองลึกไปยังหน้าต่างที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่งแล้วลูบคางอย่างครุ่นคิด สวีเซี่ยงเฉียนที่ได้สติจากอาการตกใจ รีบเร่งลูกน้องว่า “เร็วเข้า พวกเจ้ารีบไล่ตามไป มิว่าอย่างไรก็ต้องเอาเงินบรรเทาภัยพิบัติกลับมาให้จงได้!” เหล่าทหารจากกองทัพป้องกันชายแดนได้ยินดังนั้นจึงแยกย้ายออกเป็นหลายกลุ่ม เพื่อออกไปติดตามค้นหาเงินช่วยเหลือ พี่น้องตงฟางไป๋เองก็อยากไปเช่นกัน แต่กลับถูกฉินซูหยุด
ทุกคนขมวดคิ้วแน่นอย่างงงงวย กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “องค์รัชทายาท องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งให้ท่านคุ้มกันเงินบรรเทาภัยพิบัติ บัดนี้เงินหายไปแล้ว สิ่งนี้ถือเป็นความผิดร้ายแรง พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี?” ตงฟางไป่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังหนักแน่นว่า “องค์รัชทายาท ก่อนออกเดินทางท่านรับสั่งให้ข้าน้อยสองคนพี่น้องคุ้มกันเงินบรรเทาภัยพิบัติให้ดี บัดนี้เงินหายไปแล้ว ความรับผิดชอบอยู่ที่ข้าน้อย หากองค์จักรพรรดิพิโรธ ข้าน้อยจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ!” ฉินซูยิ้มอย่างสงบนิ่งและพูดว่า “เรื่องยังมิถึงขั้นนั้น พวกเจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป” “องค์รัชทายาท เงินบรรเทาภัยพิบัติหายไปแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นความผิดขั้นประหารชีวิต อีกทั้งองค์จักรพรรดิจะต้องมิทรงยกโทษให้ท่านง่าย ๆ เป็นแน่ แล้วพวกข้าน้อยจะมิตื่นตกใจได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ตงฟางไป๋พูดพร้อมกระทืบเท้าอย่างร้อนใจ ฉินซูพยักหน้าไปทางสวีเซี่ยงเฉียนพร้อมพูดว่า “ไป ไปพานายสถานีศาลาพักม้าเข้ามา” ถึงแม้ว่าสวีเซี่ยงเฉียนจะงุนงงอยู่สักหน่อย แต่ก็ยังทำตามมินาน นายสถานีศาลาพักม้าก็ถูกพาตัวมา “ข้า… ข้าน้อยคารวะองค์องค์รัชทายา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก้ต่างเผลอก้มหน้ามองโดยมิรู้ตัว สีหน้าของนายสถานีศาลาพักม้าถึงกับ “ฉาบ” ด้วยสีขาวซีดทันที แววตาของเขายังปรากฏร่องรอยตื่นตระหนกชัดเจน! กู้เสวี่ยเจี้ยนก้าวมาด้านหน้าสองสามก้าวแล้วเดินสำรวจภายในห้องโถงด้านข้าง ทุก ๆ ก้าวล้วนแต่ย่ำเท้าลงอย่างแรง หลังจากนั้นมินาน นางก็ขมวดคิ้วเบา ๆ พร้อมเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท ใต้พื้นไม่มีช่องว่างเลยเพคะ” สวีเซี่ยงเฉียนเองก็ลองย่ำพื้นรอบ ๆ เช่นกัน แล้วจึงเอ่ยเสริมว่า “ไม่มีจริง ๆ หากมีห้องหรือช่องลับอยู่ใต้พื้นจริงก็ควรมีเสียงสะท้อนช่องที่กลวงโหว่ถึงจะถูกพ่ะย่ะค่ะ” “พื้นทั่วไป ย่อมเป็นอย่างที่พวกเจ้าพูด ทว่าพวกเจ้าลองดูเถิดว่าพื้นนี้ทำจากไม้อะไร” เมื่อได้ยินฉินซูพูดเช่นนี้ ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ต่างพากันก้มมองพื้น ตงฟางโซ่วหยิบทวนยาวแล้วแทงลงบนพื้นทันที “แกร๊ก!” แผ่นไม้ชิ้นเล็ก ๆ ถูกงัดขึ้นมา ครั้นแล้วก็เห็นว่าตรงกลางของแผ่นไม้ปรากฏสีแดงขึ้นมาจาง ๆ ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ตงฟางโซ่วแทงลงไปเต็มแรง แต่กลับงัดขึ้นมาได้เพียงชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นกู้เสวี่ยเจี้ยร้องอุทานอย่างตกใจว่า “ที่แท้มันคือไม้พะยูง!”
กู้เสวี่ยเจี้ยนรีบมาที่หน้าต่างก่อนมองออกไปด้านนอก หลังจากนั้นสีหน้าของนางเปลี่ยนไปเป็นเลวร้ายราวกับถูกบีบเมื่อสังเกตได้ว่าสีหน้าของนางเปลี่ยนไป ฉินซูจึงเอ่ยถามว่า “เสวี่ยเจี้ยน เจ้ามิเป็นอะไรใช่หรือไม่?” กู้เสวี่ยเจี้ยนตอบกลับด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “หม่อมฉันย่อมมิเป็นอะไร แต่หม่อมฉันพลั้งมือฆ่าขุนนางชั่วไปแล้วเพคะ” “เขาตายแล้วก็แล้วไปเถอะ พวกเจ้ามิเป็นอะไรก็พอแล้ว” โชคดีที่กู้เสวี่ยเจี้ยนร้องเตือนล่วงหน้าทำให้ทุกคนป้องกันไว้ก่อนได้ จึงไม่มีใครถูกลูกธนูลับจนได้รับบาดเจ็บกู้เสวี่ยเจี้ยนเอื้อมมือไปแตะที่จานรองกระถางต้นไม้ จากนั้นเขาก็หมุนมัน“แกร๊ก แกร๊ก…”หลังจากเกิดเสียงดังที่หนักอึ้งขึ้น พื้นของห้องโถงด้านข้างค่อย ๆ เปิดออกท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง ห้องลับที่กว้างสิบจั้งปรากฏขึ้นใต้ห้องโถงด้านข้าง!เงินบรรเทาภัยพิบัติที่หายไปเหล่านั้น เวลานี้ถูกกองไว้กลางห้องลับอยู่เงียบ ๆ ตงฟางไป๋รีบเดินลงไปทันทีและเอื้อมมือออกไปเปิดหีบไม้เพื่อตรวจสอบ ตอนนี้เอง จมูกของฉินซูกระตุกเล็กน้อยแล้วตะโกนว่า “อย่าแตะต้องมัน!” แต่มันสายเกินไปแล้ว!มือของทหารนายหนึ่งได้สัมผัส
ตงฟางไป๋พูดอย่างฮึกเหิมว่า “พวกมันกล้ามาอีกก็ดีสิ ถึงเวลานั้น เราจะจับพวกมันทั้งเป็นแน่นอน!”“ถูกต้อง เป็นเช่นนี้ ก็จะสืบสวนจนรู้ได้ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลัง” ฉินซูกลับโบกมือแล้วเอ่ยว่า “คืนนี้พวกเขาจะมิกลับมาแล้ว!” “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงทรงแน่ใจนักเพคะ?” กู้เสี่วยเจี้ยนสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย ฉินซูยิ้มบาง ๆ และอธิบายว่า “ผู้วางแผนการ ครั้งแรกได้ผล ครั้งที่สองแย่ลงและหมดแรงในครั้งที่สาม พวกมันพ่ายแพ้ไปสองครั้งแล้ว หากมิโง่จริง ๆ คงมิกลับมาตายอีก” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองฉินซูด้วยใบหน้าตกใจแล้วพูดอย่างสงสัยว่า “คำพูดของท่านเหมือนตำราพิชัยสงครามเลยเพคะ หรือว่าองค์รัชทายาททรงเชี่ยวชาญเรื่องการสงครามด้วย?” “รู้แค่เล็กน้อยเท่านั้น เอาเถอะ ข้าง่วงแล้ว พวกเจ้าตามสบาย”ฉินซูยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วหมุนตัวเดินขึ้นชั้นบน ส่วนเซี่ยหลานก็ตามไปติด ๆ กู้เสวี่ยเจี้ยนมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ที่จากไป คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอีกรอบ นางรู้สึกอยู่เสมอว่า ความสัมพันธ์ของฉินซูและเซี่ยหลานนั้นมิธรรมดา แต่กลับไม่มีหลักฐานอะไร นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งให้ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายาม แล้วจึงเ
เมื่อเห็นฉินซูชื่นชมตนเช่นนี้ เซี่ยหลานก็ยิ้มหน้าบานด้วยความปีติยินดีทันที นางมองฉินซูอย่างเสน่หา ถึงแม้จะมิพูด แต่สิ่งที่อยู่ในใจก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนจนเกินบรรยายแล้ว ฉินซูค่อย ๆ โอบนางเข้ามาในอ้อมแขนพร้อมกับจูบเบาที่ริมฝีปากสีชมพูเล็ก ๆ ของนาง ทว่ายังมิทันที่เซี่ยหลานจะตอบสนอง เขาก็ปล่อยมือ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น เซี่ยหลานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ฉินซูมองนางอย่างช่วยมิได้ก่อนจะโน้มตัวกระซิบเบา ๆ ข้างหูว่า “ตอนนี้กู้เสวี่ยเจี้ยนกำลังแอบฟังอยู่ข้าง ๆ หากเจ้ามิว่าอะไร ข้าก็จะ…” ยังมิทันที่เขาจะพูดจบ เซี่ยหลานรีบผละตัวออกจากอ้อมแขนของเขาแล้วกระซิบด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เช่นนั้นก็ช่างเถิดเพคะ หม่อมฉันจะกลับไปนอนแล้ว” หลังจากพูดจบ ทันใดนั้นเซี่ยหลานก็เอ่ยเสียงดังว่า “องค์รัชทายาท ดึกมากแล้ว รีบพักผ่อนเถิดเพคะ” หลังจากนั้นนางก็หันหลังเดินออกไป แล้วยังปิดประตูลงอย่างแรง เมื่อเห็นฉากนี้ ฉินซูอดยิ้มบาง ๆ มิได้ ในสายตาของเขา การกระทำของเซี่ยหลานดูเหมือนจะชัดเจนเกินไปว่าไม่มีอะไรผิดปกติแล้วก็มิรู้ด้วยว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนจะคิดเช่นไร เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอนกายนอนลงบนเตียงพลางมองเ
“ท่านแม่ทัพหู แผนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือแล้วอ้อมไปอีกหน่อย ก็ลอบโจมตีทัพหนานเยวี่ยได้เหมือนเดิม!”“ไป เร่งฝีเท้า!”ดังนั้น กองทหารของพวกเขาจึงเดินทางมายังใต้ประตูเมืองฝั่งเหนือแม่ทัพรักษาการณ์ที่นี่เห็นหูก่วงเซิงและพวก จึงไต่ถาม “ท่านแม่ทัพหู นี่พวกท่านจะทำการใด?”“ในเมืองผู้คนพลุกพล่านเกินไป พวกเราจะออกไปพักผ่อนนอกเมืองสักหน่อย วันพรุ่งพวกเราจะย้ายค่ายทหารไปตั้งไว้นอกเมืองฝั่งเหนือเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการฝึกทหาร”เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาการณ์ก็โบกมือให้คนเปิดประตูเมืองจะตำหนิว่าเขาประมาทเกินไปก็มิได้ ท้ายที่สุดแล้วนอกเมืองทางฝั่งเหนือยังมีทหารประจำการอยู่เป็นจำนวนมิน้อย ทหารที่เข้าออกประตูเมืองทางฝั่งเหนือจึงมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมหลังจากที่ออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น หูก่วงเซิงจึงนำกองทัพทหารม้าพันนายมุ่งหน้าลงใต้!ขณะเดียวกันนอกประตูเมืองเจียวโจวทางฝั่งใต้ เงาร่างสิบกว่าร่างพุ่งออกมาจากป่าละเมาะห่างออกไปมิไกลนักพวกเขามีท่าทางคล่องแคล่ว เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ฝั่งหนึ่งหลังจากที่สังเกตการณ์บนกำแพงเมืองอยู่ครู่หน
“ท่านแม่ทัพหู กองทัพหนานเยวี่ยแตกพ่ายในวันนี้ บัดนี้คงอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่เป็นแน่ หากพวกเรานำทัพไปลอบโจมตี อย่างไรก็ต้องสำเร็จ! ถึงเวลานั้นหากสำเร็จ ท่านแม่ทัพใหญ่จะเอาผิดพวกเราที่ยกทัพไปโดยพลการได้อย่างไร?”ชายร่างกำยำอีกด้านกล่าวสำทับ “รองแม่ทัพหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ทัพหู พวกเราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมาถึงเจียวโจวก็มิใช่อื่นใด นอกเสียจากเพื่อสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นพวกเราสร้างความดีความชอบในเจียวโจวมากเท่าไร พระเกียรติของท่านอ๋องฉู่ในราชสำนักก็จะยิ่งสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ล้วนเพื่อท่านอ๋องฉู่ทั้งสิ้น!”“ถูกต้อง พวกเราคือคนของท่านอ๋องฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมมิอาจตำหนิพวกเราที่ออกรบโดยพลการได้ ท่านแม่ทัพหู ท่านรีบตัดสินใจเถิด โอกาสมิคอยท่า เวลามิหวนคืน!”“ท่านแม่ทัพหู คนขององค์รัชทายาทออกนอกเมืองไปครึ่งชั่วยามแล้ว หากพวกเรามิรีบเร่งติดตามไป เกรงว่าน้ำแกงก็มิได้ซด อย่าหวังจะได้กินเนื้อเลยขอรับ!”ด้วยคำยุยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาของหูก่วงเซิงก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น!เขาพยักหน้าหนักแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้เหล่าสหายทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม อีกห
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตา”ทั้งสองกล่าวพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูฉินซูจนปัญญา จึงตะโกนเข้าไปในกระโจม “ชูโม่ ให้ข้าเข้าไปเถิด ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังดี ๆ มิได้หรือ?”ทว่าข้างในกลับไร้เสียงตอบรับฉินซูยังคงมิยอมแพ้ กล่าวต่อไป “ชูโม่ เจ้าอย่าหึงหวงนักเลย อย่างน้อยก็ให้ข้าอธิบายสักหน่อยเถิด”เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ทหารยามทั้งสองก็อดมิได้ที่จะสบตากัน!ให้ตายสิ ท่านแม่ทัพใหญ่กับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งเกินคาด!!สีหน้าของพวกเขาทั้งสองฉายแววตกตะลึง ราวกับได้รับข่าวเด็ดข่าวใหญ่ฉินซูเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค ทว่าในกระโจมก็ยังคงไร้เสียงตอบรับเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงหันไปถามทหารยามทั้งสอง “ชูโม่อยู่ข้างในจริง ๆ หรือ?”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปแล้วก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีประตูด้านหลังใช่หรือไม่?”“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”“มิได้การ ชูโม่อาจจะเป็นกระไรไปแล้วก็ได้!”กล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูจึงตะโกนเข้าไปด้านใน “ชูโม่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”ขณะที่ฉินซูกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ทหารยามทั้งสองก็รีบร้องทัดทาน “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ห
ขณะเดียวกันกองหนุนทัพหนานเยวี่ยภายในค่ายทหารแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังบุรุษบนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยใจระทึกบุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะสีเงินยวง ร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผาย!เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย เติ้งหม่าง!สายตาเย็นเยียบของเขากวาดมองไปยังกลุ่มคนทีละคน สุดท้ายจับจ้องที่แม่ทัพน้อยหม่า“หม่าเวย เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”หม่าเวยรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ทว่าอาวุธของต้าเหยียนคราวนี้ร้ายกาจเหลือเกิน โล่เกราะหวายของพวกเราเมื่อเผชิญกับลูกธนูของพวกมันก็มิต่างกระไรจากดินเหนียว ยิงคราเดียวก็ทะลุง่ายดาย!”“ใช่แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ โล่เกราะหวายที่พวกเราเคยภาคภูมิใจนักหนา บัดนี้มิอาจหวังพึ่งได้อีกแล้วขอรับ”“มิเพียงเท่านั้น ทางต้าเหยียนยังใช้อาวุธเพลิงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ของสิ่งนั้นอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก ทหารมิใช่น้อยถูกระเบิดจนร่างแหลกมิเหลือชิ้นดีเลยขอรับ”เมื่อกล่าวถึงระเบิดเพลิง หลายคนยังคงหวาดผวาเติ้งหม่างขมวดคิ้วมุ่น และกล่าวพึมพำ “กองทหารรักษาการณ์เจียวโจวถูกพวกเราโจมตีมาเกือบเดือน บัดนี้จู่ ๆ กลับปรากฏอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี
วาจาล้ำสมัยปานนี้ ตี๋จิ่งผู้นี้คิดได้อย่างไร?มู่หรงจื่อเยียนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ฉินซู ท่านมิเป็นกระไรใช่หรือไม่?”“มิเป็นกระไร ไปเถิด”ขณะมองตามสองร่างหายลับไปจากสายตา สหายของตี๋จิ่งก็อดมิได้ที่จะหวั่นวิตกชายร่างกำยำผู้หนึ่งเอ่ยถาม “พี่ตี๋ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?”“หรือว่าพวกเราฟาดหัวองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนให้สลบ แล้วลักพาตัวกลับเป่ยเยี่ยนดี?”“นั่นสิ หากเป็นเช่นนั้น ท่านหญิงจะได้ตามพวกเรากลับเป่ยเยี่ยนเสียที”ตี๋จิ่งโบกมือ และกล่าวว่า “มิได้ อย่าว่าแต่ท่านหญิงจะยอมให้เราทำหรือไม่เลย ลำพังแค่พวกทหารต้าเหยียนที่ยั้วเยี้ยไปทั่ว พวกเราก็มิมีทางทำสำเร็จแล้ว!”“ก็จริงดังว่า แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”“เฝ้าสังเกตการณ์ไปก่อน อารักขาความปลอดภัยท่านหญิงให้ดี”“ขอรับ”พวกเขาปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ติดตามไปที่พักของฉินซูถูกจัดสรรให้อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งใกล้กับประตูเมืองทางทิศเหนือที่นี่ห่างจากประตูเมืองทิศใต้ประมาณเจ็ดแปดลี้ จึงมิต้องกังวลว่าจะถูกผลกระทบจากไฟสงครามเมื่อเข้าสู่โรงเตี๊ยมและปิดประตูลง มู่หรงจื่อเยียนก็อดรนทนรอมิไหว โผเข้ากอดคอฉินซู นางเขย่งปลา
ฉินซูเองก็ประหลาดใจมิต่างกัน เมื่อเห็นสายตาของฉงชูโม่ เขาก็รู้สึกจนปัญญาในใจลอบคิดว่าคนที่มาหาตนนั้นจะเป็นใครกันแน่หรือจะเป็นเซี่ยหลาน หรือว่าหลินชิงเหยา?แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นไปมิได้ เพราะทั้งสองคนเคยรับปากตนว่าจะคอยเขากลับไปอยู่ที่ตำหนักบูรพาเมื่อเห็นฉินซูเงียบไปมิพูดจา ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ "ฉินซู ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่หม่อมฉันมิอยู่ในเมืองหลวง พระองค์จะสำราญบานใจมิน้อยเลยกระมังเพคะ!"ฉินซูกล่าวอย่างใจเย็น "ข้าเปล่านะ""เปล่าหรือ? แล้วสตรีที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใครกัน?""ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้""คนผู้นั้นระบุชื่อเจาะจงว่าจะมาพบองค์รัชทายาท จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้อย่างไร ไปเถิด ไปดูกันดีกว่าว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากที่ใด"เมื่อฉงชูโม่กล่าวจบก็เดินนำออกจากกระโจมบัญชาการไปก่อนฉินซูเดินตามไปด้วยความกระวนกระวายใจเดินไปได้มิไกล ฉินซูก็ถึงกับชะงักเท้าอยู่กับที่ จ้องมองหญิงงามที่อยู่เบื้องหน้ามิไกลอย่างเหม่อลอยเมื่อฉงชูโม่เห็นคนผู้นี้ ก็ขมวดคิ้วถาม "มู่หรงจื่อเยียน? ท่านเป็นถึงท่านหญิงแห่งเป่ยเยี่ยน มายังสนามรบต้าเหยียนด้วย