แม้จะเผชิญกับหลักฐานที่มิสามารถหักล้างได้ ฉินเซียวก็ยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับผิด “เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้าย ลูกถูกใส่ร้ายจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“มีพยานหลักฐานครบถ้วน ทั้งยังถูกจับได้คาหนังคาเขา เรื่องมาถึงขั้นนี้แต่ก็ยังพูดว่าถูกใส่ร้าย เหอะ ๆ ฉินเซียวเอ๋ยฉินเซียว เจ้าทำให้ข้าขายหน้าจนมิเหลือชิ้นดีแล้ว!”ฉินอู๋ต้าวโกรธมากจนแทบอยากจะหักขาทั้งสองข้างของฉินเซียวทิ้งไปเสียขณะนั้น หวังฉือก็สาวเท้าเดินกลับมา“ฝ่าบาท กระหม่อมพบศพแห้งสามศพที่ห้องลับในห้องตำราของท่านอ๋องหนิง เมื่อดูจากเสื้อผ้าที่ศพสวมอยู่ ร่างเหล่านั้นคือศพของหญิงสาวสามคนพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวและคนอื่น ๆ มองศพแห้งและรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมากฉินอู๋ต้าวตะโกนถามฉินเซียว “ไอ้ลูกทรพี บอกข้ามาซิ เหตุใดพวกนางถึงได้มีสภาพเช่นนี้?”“เอ่อ...คือ…” ฉินเซียวลังเล และสุดท้ายก็กัดฟันพูดว่า “เสด็จพ่อ ลูกมิรู้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”ขณะนั้น หญิงสาวคนหนึ่งก็ชี้ไปที่กู่ตงเฟิงด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ฝ่าบาท เป็นเขาเพคะ ปีศาจเฒ่าเป็นคนสูบเนื้อและเลือดของพวกนางไปจนแห้งเพคะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของฉินอู๋ต้าวก็เปล่งประกายด้วยความยินดี!สายตาที่เขามองไปยังก
เฉาฉุนเอื้อมมือไปถอดมงกุฎอ๋องของฉินเซียวออกอย่างระมัดระวังจากนั้นราชองครักษ์สองนายก็เดินขึ้นมาข้างหน้าและคุมตัวฉินเซียวออกไป“เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้าย ขอเสด็จพ่อโปรดคลี่คลายเรื่องราวให้กระจ่างแจ้งด้วยพ่ะย่ะค่ะ…” เสียงพูดปกป้องตัวเองของฉินเซียวค่อย ๆ ไกลออกไปฉินอู๋ต้าวเมินเฉยต่อเสียงนั้น แล้วหันมาพูดกับหวังฉือ “ส่วนเจ้าปีศาจนี้ให้คุมตัวไปขังไว้ในเรือนจำศาลต้าหลี่ของเจ้าเป็นการชั่วคราว หากจับขังไว้ด้วยกันกับฉินเซียว เกรงว่าพวกเขาจะสมรู้ร่วมคิดกันให้การเท็จ”หวังฉือตอบรับสั่งด้วยความเคารพและส่งคนไปลากตัวกู่ตงเฟิงออกไปทันทีฉินอู๋ต้าวมองไปที่ฉินซูและถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “องค์รัชทายาท เมื่อครู่ชูโม่บอกว่าเจ้าพานางมาที่นี่เพื่อสอบถามฉินเซียว แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหญิงสาวเหล่านี้ถูกขังอยู่ในจวนอ๋องหนิง?”“ทูลเสด็จพ่อ วันนี้ลูกหาพยานจนเจอพ่ะย่ะค่ะ นางเห็นเหตุการณ์ลักพาตัวหญิงสาวนางหนึ่ง และป้ายอาญาสิทธิ์ก็ตกมาจากคนที่ลักพาตัว ตามคำอธิบายของนาง ป้ายอาญาสิทธิ์นั้นเห็นได้ชัดว่ามาจากจวนอ๋องหนิง ดังนั้น ลูกจึงพาชูโม่มาพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองฉินซูอย่างลึกซึ้งและ
ในจวนอ๋องซิ่น หลังได้ฟังคำพูดของหยางลี่ ฉินหยางก็ถามอย่างตกใจ "เจ้าพูดจริงหรือ? เจ้าว่าอ๋องหนิงพ่ายแพ้ให้กับองค์รัชทายาทจริง ๆ หรือ?!"หยางลี่ตอบอย่างหนักแน่น "เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ในตอนนั้นก็ดูเหมือนว่าองค์จักรพรรดิจะมีท่าทีเอนเอียงไปทางอ๋องหนิงอยู่ แต่ทนคำค้านของหวังฉือและองค์รัชทายาทไม่ไหว ทำให้องค์จักรพรรดิต้องถอดมงกุฏอ๋องของอ๋องหนิงออก ถอดมงกุฏอ๋องและส่งตัวเขาเข้าคุกหลวงเพื่อรอการสอบสวน" ดวงตาของฉินหยางเป็นประกาย ก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจ"ฮ่าฮ่า เจ้าฉินเซียวช่างไร้ประโยชน์นัก ก่อนหน้านี้ทำเป็นวางท่า ข้ายังนึกว่าเขาเก่งนักหนา สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้แก่องค์รัชทายาท ช่างน่าหัวเราะนัก!""ท่านอ๋อง ถึงอ๋องหนิงจะล้มไปอีกคนแล้ว เส้นทางการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทของท่านก็เหลือศัตรูน้อยลงอีกหนึ่ง แม้เรื่องนี้จะน่ายินดี แต่ก็ยิ่งต้องระวังองค์รัชทายาทให้มากขึ้น"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินหยางก็หยุดหัวเราะทันทีเขาครุ่นคิด "เจ้าหกและฉินเซียวต่างพ่ายแพ้ให้องค์รัชทายาทไปทีละคน เห็นทีว่าข่าวลือคงจะไม่เกินจริง องค์รัชทายาทต้องมีคนคอยชี้นำจากเบื้องหลัง! ใต้เท้าหยาง เราต้องหาวิธีกำจัดคนผู้นั้น มิฉะ
“หม่อมฉันเพิ่งได้รับข่าวมาว่า หลังจากที่ฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนัก พระองค์ทรงเรียกให้หวังฉือนำกู้ตงเฟิงเข้าเฝ้าในยามวิกาล ตรัสว่าจะสอบสวนด้วยพระองค์เอง” “ว่ากระไรนะ? เสด็จพ่อจะทรงสอบสวนกู้ตงเฟิงด้วยพระองค์เองหรือ?” ฉินซูแปลกใจอย่างยิ่ง พร้อมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่มิชอบมาพากล! การสอบสวนคนต้องโทษ ฉินอู๋ต้าวเป็นถึงองค์จักรพรรดิของแผ่นดิน ย่อมมิลงมือด้วยตัวเอง ยกเว้นเสียแต่ว่าจะมีวัตถุประสงค์บางอย่างที่มิสามารถเปิดเผยได้! ฉงชูโม่พยักหน้าอย่างเคร่งเครียด “ใช่แล้ว กู้ตงเฟิงผู้นี้เป็นคนเจ้าเล่ห์นัก หม่อมฉันกลัวว่าฝ่าบาทอาจจะตกหลุมพรางของเขาโดยมิรู้ตัว หม่อมฉันเลยคิดจะเข้าไปเตือน แต่ฝ่าบาททรงมิยอมให้เข้าเฝ้า” เซี่ยหลานมีสีหน้ามึนงง “องค์รัชทายาท ชูโม่ องค์จักรพรรดิก็แค่ทรงสอบสวนนักโทษคนหนึ่งเท่านั้นเองมิใช่หรือ เหตุใดพวกท่านจึงดูเคร่งเครียดกันนัก?” ฉงชูโม่ตอบอย่างมิสบอารมณ์ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์จักรพรรดิทรงเคยสอบสวนอาชญากรด้วยพระองค์เองเมื่อใด? ตอนนี้มิเพียงแต่ทรงสอบสวนเอง แต่ยังมิให้ข้าเข้าเฝ้า เรื่องนี้ชวนให้ขบคิดนัก” “หา? หรือว่าฝ่าบาทจะให้กู้ตงเฟิงรับผิดทั้งหมด ตั้งใจจะปกป้องอ๋อง
ชายชุดดำพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "ที่ข้าช่วยเจ้าไว้ย่อมต้องมีเงื่อนไข แต่เรื่องพวกนี้ไว้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้ว เราค่อยว่ากัน" ในหัวของกู้ตงเฟิงเต็มไปด้วยความคิดที่แล่นไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก แม้แต่ความสามารถของตัวเองยังใช้ได้มิถึงสองส่วน ในเมื่ออีกฝ่ายช่วยเขาไว้ นอกจากจะต้องยอมรับบุญคุณของอีกฝ่ายแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้สามารถใช้กำลังภายในสังหารคนได้จากระยะไกล ความสามารถที่น่ากลัวเช่นนี้ เขาที่บาดเจ็บมิอาจต้านทานได้แน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้น กู้ตงเฟิงจึงถามด้วยความระมัดระวัง "ขอถามท่านผู้มีเกียรติ ท่านมีนามว่าอะไร? และที่นี่คือที่ใด?" "ชื่อของข้าเจ้ามิจำเป็นต้องรู้ ส่วนที่นี่ เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดในใต้หล้า เจ้าเพียงแค่พักฟื้นให้ดี อาหารสามมื้อในแต่ละวันจะมีคนนำมาให้ ยามนี้ดึกมากแล้ว นอนพักเสียเถอะ" หลังจากพูดจบ ชายชุดดำก็เดินออกไปโดยมิหันกลับมา กู้ตงเฟิงได้ยินเสียงทึบดังขึ้น ราวกับเป็นเสียงของประตูหินหนาหนัก เขาพยายามลุกขึ้น หยิบตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะหิน และสำรวจรอบห้องลับที่มืดมิดแห่งนี้ หลังจากจุดไฟในห้องจน
เขาวางชามโจ๊กลงทันทีแล้วถามว่า "ศพอยู่ที่ใด?" "อยู่ที่ตรอกเติงเจี่ย" เหลยเจิ้นเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตะโกนไปยังหอสูงใกล้เคียงว่า "เสวี่ยเจี้ยน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รีบตามอาจารย์ไปที่ตรอกเติงเจี่ย!" เพียงชั่วครู่ ร่างในชุดขาวร่างหนึ่งก็พุ่งลงมาจากหอสูง หญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาว อายุราวยี่สิบสามหรือยี่สิบสี่ปี งดงามดุจดอกท้อ แต่เยือกเย็นดุงน้ำแข็ง นางคือศิษย์คนที่สามของเหลยเจิ้น นามว่ากู้เสวี่ยเจี้ยน นางคารวะอาจารย์ก่อน แล้วถามว่า "อาจารย์ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?" เหลยเจิ้นตอบอย่างสั้น ๆ ว่า "คนของศาลต้าหลี่ตายอยู่ที่ตรอกเติงเจี่ย ใกล้กำแพงวัง!" ใบหน้าของกู้เสวี่ยเจี้ยนเต็มไปด้วยความตกใจ นางจึงกลับไปหยิบถุงผ้าสีดำจากในห้องแล้วรีบตามอาจารย์ออกจากสำนักหอดูดาวหลวง แล้วตรงไปยังตรอกเติงเจี่ยทันที …… ที่ตรอกเติงเจี่ย บนพื้นเย็นเฉียบ มีศพเจ็ดศพนอนกระจัดกระจายอยู่เมื่อเห็นเหลยเจิ้นมาถึง บรรดาทหารองครักษ์ต่างก้มลงคารวะ เหลยเจิ้นถามเสียงเข้มว่า "พบอะไรบ้าง?" "เรียนท่านหัวหน้าโหรหลวง ศพเหล่านี้มีเพียงแค่รอยแผลที่หน้าผาก ไม่มีบาดแผลอื่นใด ดูเหมือน
เขารู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของไอสังหารจากตัวเหลยเจิ้น บรรดาทหารองครักษ์ต่างหันหน้าหนีไปด้วยความหวาดกลัว มิกล้ามองตรงไปยังเขาส่วนใบหน้าของกู้เสวี่ยเจี้ยนก็แสดงถึงความเคร่งเครียด พร้อมกับแฝงแววเศร้าหมองอยู่บนคิ้ว ผ่านไปครู่ใหญ่ เหลยเจิ้นหรี่ตาลงแล้วพูดด้วยเสียงเย็นยะเยือกว่า "ในที่สุด ฆาตกรเมื่อครั้งนั้นก็โผล่ออกมาอีกครั้งแล้ว!" ในขณะนั้น หวังฉือหัวหน้าศาลต้าหลี่ก็มาถึงเมื่อเห็นศพบนพื้น ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างยิ่ง พลางกล่าวอย่างโกรธแค้นว่า "ใครกันที่บังอาจถึงขนาดสังหารคนของศาลต้าหลี่ใกล้กำแพงวังหลวง!" เหลยเจิ้นถามขึ้นว่า "ใต้เท้าหวัง เหตุใดคนของท่านถึงมาอยู่ที่ตรอกเติงเจี่ยเมื่อคืน?" "เรียนท่านหัวหน้าโหรหลวง เมื่อคืนฝ่าบาทมีพระบัญชาจะสอบสวนนักโทษด้วยพระองค์เอง ข้าน้อยจึงส่งคนของข้าน้อยมาส่งนักโทษ แต่มิคิดเลยว่าคนของข้าน้อยจะถูกลอบสังหารจนหมดสิ้น!" "ฝ่าบาทจะสอบสวนอาชญากรด้วยพระองค์เอง? นี่มันเรื่องอันใดกัน?" เหลยเจิ้นรู้สึกแปลกใจ หวังฉือจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟังคร่าว ๆหลังจากฟังเรื่องราวจบ เหลยเจิ้นขมวดคิ้วเข้าหากันโดยมิรู้ตัว "ชื่อเสียง
เหลยเจิ้นกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท การป้องกันของเมืองหลงเฉิงแน่นหนายิ่ง ทั่วทั้งเมืองมีจุดเฝ้ายามทุกสิบก้าว และทหารลาดตระเวนทุกห้าก้าว แม้ว่าพวกพ้องของกู้ตงเฟิงจะมีฝีมือเก่งกล้าเพียงใด ก็ยากที่จะหลบหนีออกไปได้โดยไร้ร่องรอย หากด่านป้องกันต่าง ๆ ยังไม่มีรายงานใด ๆ แสดงว่ากู้ตงเฟิงน่าจะยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองพ่ะย่ะค่ะ” “ที่เจ้าว่ามาก็มีเหตุผล เช่นนั้นก็ให้จัดการตามที่ใต้เท้าหวังเสนอมา ทั้งปิดล้อมและตรวจสอบอย่างเข้มงวด” “ฝ่าบาท กระหม่อมมีอีกเรื่องต้องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าของเหลยเจิ้นดูเคร่งเครียด ฉินอู๋ต้าวก็ขยับตัวตั้งท่าจริงจังแล้วถามว่า “เรื่องใดหรือ?” “ลักษณะการตายของเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่นั้นคล้ายกับกรณีของฮองเฮาและซวนเอ๋อร์ในอดีต กระหม่อมสงสัยว่าผู้ที่ช่วยกู้ตงเฟิงไปนั้นอาจเป็นคนเดียวกับที่สังหารฮองเฮาและซวนเอ๋อร์ในตอนนั้นพ่ะย่ะค่ะ!” “เจ้าพูดจริงหรือ?!”ฉินอู๋ต้าวเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝาดอย่างโกรธจัด เหลยเจิ้นพยักหน้าอย่างจริงจัง “พวกเจ้าหน้าที่ล้วนถูกสังหารด้วยปราณดัชนีที่รุนแรง อีกทั้งบาดแผลยังมีร่องรอยของการถูกเผาไหม้ ซึ่งเหมือนกับกรณีของฮองเฮ
“ท่านแม่ทัพหู แผนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือแล้วอ้อมไปอีกหน่อย ก็ลอบโจมตีทัพหนานเยวี่ยได้เหมือนเดิม!”“ไป เร่งฝีเท้า!”ดังนั้น กองทหารของพวกเขาจึงเดินทางมายังใต้ประตูเมืองฝั่งเหนือแม่ทัพรักษาการณ์ที่นี่เห็นหูก่วงเซิงและพวก จึงไต่ถาม “ท่านแม่ทัพหู นี่พวกท่านจะทำการใด?”“ในเมืองผู้คนพลุกพล่านเกินไป พวกเราจะออกไปพักผ่อนนอกเมืองสักหน่อย วันพรุ่งพวกเราจะย้ายค่ายทหารไปตั้งไว้นอกเมืองฝั่งเหนือเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการฝึกทหาร”เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาการณ์ก็โบกมือให้คนเปิดประตูเมืองจะตำหนิว่าเขาประมาทเกินไปก็มิได้ ท้ายที่สุดแล้วนอกเมืองทางฝั่งเหนือยังมีทหารประจำการอยู่เป็นจำนวนมิน้อย ทหารที่เข้าออกประตูเมืองทางฝั่งเหนือจึงมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมหลังจากที่ออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น หูก่วงเซิงจึงนำกองทัพทหารม้าพันนายมุ่งหน้าลงใต้!ขณะเดียวกันนอกประตูเมืองเจียวโจวทางฝั่งใต้ เงาร่างสิบกว่าร่างพุ่งออกมาจากป่าละเมาะห่างออกไปมิไกลนักพวกเขามีท่าทางคล่องแคล่ว เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ฝั่งหนึ่งหลังจากที่สังเกตการณ์บนกำแพงเมืองอยู่ครู่หน
“ท่านแม่ทัพหู กองทัพหนานเยวี่ยแตกพ่ายในวันนี้ บัดนี้คงอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่เป็นแน่ หากพวกเรานำทัพไปลอบโจมตี อย่างไรก็ต้องสำเร็จ! ถึงเวลานั้นหากสำเร็จ ท่านแม่ทัพใหญ่จะเอาผิดพวกเราที่ยกทัพไปโดยพลการได้อย่างไร?”ชายร่างกำยำอีกด้านกล่าวสำทับ “รองแม่ทัพหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ทัพหู พวกเราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมาถึงเจียวโจวก็มิใช่อื่นใด นอกเสียจากเพื่อสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นพวกเราสร้างความดีความชอบในเจียวโจวมากเท่าไร พระเกียรติของท่านอ๋องฉู่ในราชสำนักก็จะยิ่งสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ล้วนเพื่อท่านอ๋องฉู่ทั้งสิ้น!”“ถูกต้อง พวกเราคือคนของท่านอ๋องฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมมิอาจตำหนิพวกเราที่ออกรบโดยพลการได้ ท่านแม่ทัพหู ท่านรีบตัดสินใจเถิด โอกาสมิคอยท่า เวลามิหวนคืน!”“ท่านแม่ทัพหู คนขององค์รัชทายาทออกนอกเมืองไปครึ่งชั่วยามแล้ว หากพวกเรามิรีบเร่งติดตามไป เกรงว่าน้ำแกงก็มิได้ซด อย่าหวังจะได้กินเนื้อเลยขอรับ!”ด้วยคำยุยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาของหูก่วงเซิงก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น!เขาพยักหน้าหนักแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้เหล่าสหายทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม อีกห
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตา”ทั้งสองกล่าวพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูฉินซูจนปัญญา จึงตะโกนเข้าไปในกระโจม “ชูโม่ ให้ข้าเข้าไปเถิด ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังดี ๆ มิได้หรือ?”ทว่าข้างในกลับไร้เสียงตอบรับฉินซูยังคงมิยอมแพ้ กล่าวต่อไป “ชูโม่ เจ้าอย่าหึงหวงนักเลย อย่างน้อยก็ให้ข้าอธิบายสักหน่อยเถิด”เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ทหารยามทั้งสองก็อดมิได้ที่จะสบตากัน!ให้ตายสิ ท่านแม่ทัพใหญ่กับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งเกินคาด!!สีหน้าของพวกเขาทั้งสองฉายแววตกตะลึง ราวกับได้รับข่าวเด็ดข่าวใหญ่ฉินซูเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค ทว่าในกระโจมก็ยังคงไร้เสียงตอบรับเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงหันไปถามทหารยามทั้งสอง “ชูโม่อยู่ข้างในจริง ๆ หรือ?”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปแล้วก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีประตูด้านหลังใช่หรือไม่?”“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”“มิได้การ ชูโม่อาจจะเป็นกระไรไปแล้วก็ได้!”กล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูจึงตะโกนเข้าไปด้านใน “ชูโม่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”ขณะที่ฉินซูกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ทหารยามทั้งสองก็รีบร้องทัดทาน “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ห
ขณะเดียวกันกองหนุนทัพหนานเยวี่ยภายในค่ายทหารแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังบุรุษบนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยใจระทึกบุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะสีเงินยวง ร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผาย!เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย เติ้งหม่าง!สายตาเย็นเยียบของเขากวาดมองไปยังกลุ่มคนทีละคน สุดท้ายจับจ้องที่แม่ทัพน้อยหม่า“หม่าเวย เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”หม่าเวยรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ทว่าอาวุธของต้าเหยียนคราวนี้ร้ายกาจเหลือเกิน โล่เกราะหวายของพวกเราเมื่อเผชิญกับลูกธนูของพวกมันก็มิต่างกระไรจากดินเหนียว ยิงคราเดียวก็ทะลุง่ายดาย!”“ใช่แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ โล่เกราะหวายที่พวกเราเคยภาคภูมิใจนักหนา บัดนี้มิอาจหวังพึ่งได้อีกแล้วขอรับ”“มิเพียงเท่านั้น ทางต้าเหยียนยังใช้อาวุธเพลิงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ของสิ่งนั้นอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก ทหารมิใช่น้อยถูกระเบิดจนร่างแหลกมิเหลือชิ้นดีเลยขอรับ”เมื่อกล่าวถึงระเบิดเพลิง หลายคนยังคงหวาดผวาเติ้งหม่างขมวดคิ้วมุ่น และกล่าวพึมพำ “กองทหารรักษาการณ์เจียวโจวถูกพวกเราโจมตีมาเกือบเดือน บัดนี้จู่ ๆ กลับปรากฏอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี
วาจาล้ำสมัยปานนี้ ตี๋จิ่งผู้นี้คิดได้อย่างไร?มู่หรงจื่อเยียนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ฉินซู ท่านมิเป็นกระไรใช่หรือไม่?”“มิเป็นกระไร ไปเถิด”ขณะมองตามสองร่างหายลับไปจากสายตา สหายของตี๋จิ่งก็อดมิได้ที่จะหวั่นวิตกชายร่างกำยำผู้หนึ่งเอ่ยถาม “พี่ตี๋ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?”“หรือว่าพวกเราฟาดหัวองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนให้สลบ แล้วลักพาตัวกลับเป่ยเยี่ยนดี?”“นั่นสิ หากเป็นเช่นนั้น ท่านหญิงจะได้ตามพวกเรากลับเป่ยเยี่ยนเสียที”ตี๋จิ่งโบกมือ และกล่าวว่า “มิได้ อย่าว่าแต่ท่านหญิงจะยอมให้เราทำหรือไม่เลย ลำพังแค่พวกทหารต้าเหยียนที่ยั้วเยี้ยไปทั่ว พวกเราก็มิมีทางทำสำเร็จแล้ว!”“ก็จริงดังว่า แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”“เฝ้าสังเกตการณ์ไปก่อน อารักขาความปลอดภัยท่านหญิงให้ดี”“ขอรับ”พวกเขาปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ติดตามไปที่พักของฉินซูถูกจัดสรรให้อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งใกล้กับประตูเมืองทางทิศเหนือที่นี่ห่างจากประตูเมืองทิศใต้ประมาณเจ็ดแปดลี้ จึงมิต้องกังวลว่าจะถูกผลกระทบจากไฟสงครามเมื่อเข้าสู่โรงเตี๊ยมและปิดประตูลง มู่หรงจื่อเยียนก็อดรนทนรอมิไหว โผเข้ากอดคอฉินซู นางเขย่งปลา
ฉินซูเองก็ประหลาดใจมิต่างกัน เมื่อเห็นสายตาของฉงชูโม่ เขาก็รู้สึกจนปัญญาในใจลอบคิดว่าคนที่มาหาตนนั้นจะเป็นใครกันแน่หรือจะเป็นเซี่ยหลาน หรือว่าหลินชิงเหยา?แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นไปมิได้ เพราะทั้งสองคนเคยรับปากตนว่าจะคอยเขากลับไปอยู่ที่ตำหนักบูรพาเมื่อเห็นฉินซูเงียบไปมิพูดจา ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ "ฉินซู ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่หม่อมฉันมิอยู่ในเมืองหลวง พระองค์จะสำราญบานใจมิน้อยเลยกระมังเพคะ!"ฉินซูกล่าวอย่างใจเย็น "ข้าเปล่านะ""เปล่าหรือ? แล้วสตรีที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใครกัน?""ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้""คนผู้นั้นระบุชื่อเจาะจงว่าจะมาพบองค์รัชทายาท จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้อย่างไร ไปเถิด ไปดูกันดีกว่าว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากที่ใด"เมื่อฉงชูโม่กล่าวจบก็เดินนำออกจากกระโจมบัญชาการไปก่อนฉินซูเดินตามไปด้วยความกระวนกระวายใจเดินไปได้มิไกล ฉินซูก็ถึงกับชะงักเท้าอยู่กับที่ จ้องมองหญิงงามที่อยู่เบื้องหน้ามิไกลอย่างเหม่อลอยเมื่อฉงชูโม่เห็นคนผู้นี้ ก็ขมวดคิ้วถาม "มู่หรงจื่อเยียน? ท่านเป็นถึงท่านหญิงแห่งเป่ยเยี่ยน มายังสนามรบต้าเหยียนด้วย