เขารู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของไอสังหารจากตัวเหลยเจิ้น บรรดาทหารองครักษ์ต่างหันหน้าหนีไปด้วยความหวาดกลัว มิกล้ามองตรงไปยังเขาส่วนใบหน้าของกู้เสวี่ยเจี้ยนก็แสดงถึงความเคร่งเครียด พร้อมกับแฝงแววเศร้าหมองอยู่บนคิ้ว ผ่านไปครู่ใหญ่ เหลยเจิ้นหรี่ตาลงแล้วพูดด้วยเสียงเย็นยะเยือกว่า "ในที่สุด ฆาตกรเมื่อครั้งนั้นก็โผล่ออกมาอีกครั้งแล้ว!" ในขณะนั้น หวังฉือหัวหน้าศาลต้าหลี่ก็มาถึงเมื่อเห็นศพบนพื้น ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างยิ่ง พลางกล่าวอย่างโกรธแค้นว่า "ใครกันที่บังอาจถึงขนาดสังหารคนของศาลต้าหลี่ใกล้กำแพงวังหลวง!" เหลยเจิ้นถามขึ้นว่า "ใต้เท้าหวัง เหตุใดคนของท่านถึงมาอยู่ที่ตรอกเติงเจี่ยเมื่อคืน?" "เรียนท่านหัวหน้าโหรหลวง เมื่อคืนฝ่าบาทมีพระบัญชาจะสอบสวนนักโทษด้วยพระองค์เอง ข้าน้อยจึงส่งคนของข้าน้อยมาส่งนักโทษ แต่มิคิดเลยว่าคนของข้าน้อยจะถูกลอบสังหารจนหมดสิ้น!" "ฝ่าบาทจะสอบสวนอาชญากรด้วยพระองค์เอง? นี่มันเรื่องอันใดกัน?" เหลยเจิ้นรู้สึกแปลกใจ หวังฉือจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟังคร่าว ๆหลังจากฟังเรื่องราวจบ เหลยเจิ้นขมวดคิ้วเข้าหากันโดยมิรู้ตัว "ชื่อเสียง
เหลยเจิ้นกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท การป้องกันของเมืองหลงเฉิงแน่นหนายิ่ง ทั่วทั้งเมืองมีจุดเฝ้ายามทุกสิบก้าว และทหารลาดตระเวนทุกห้าก้าว แม้ว่าพวกพ้องของกู้ตงเฟิงจะมีฝีมือเก่งกล้าเพียงใด ก็ยากที่จะหลบหนีออกไปได้โดยไร้ร่องรอย หากด่านป้องกันต่าง ๆ ยังไม่มีรายงานใด ๆ แสดงว่ากู้ตงเฟิงน่าจะยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองพ่ะย่ะค่ะ” “ที่เจ้าว่ามาก็มีเหตุผล เช่นนั้นก็ให้จัดการตามที่ใต้เท้าหวังเสนอมา ทั้งปิดล้อมและตรวจสอบอย่างเข้มงวด” “ฝ่าบาท กระหม่อมมีอีกเรื่องต้องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าของเหลยเจิ้นดูเคร่งเครียด ฉินอู๋ต้าวก็ขยับตัวตั้งท่าจริงจังแล้วถามว่า “เรื่องใดหรือ?” “ลักษณะการตายของเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่นั้นคล้ายกับกรณีของฮองเฮาและซวนเอ๋อร์ในอดีต กระหม่อมสงสัยว่าผู้ที่ช่วยกู้ตงเฟิงไปนั้นอาจเป็นคนเดียวกับที่สังหารฮองเฮาและซวนเอ๋อร์ในตอนนั้นพ่ะย่ะค่ะ!” “เจ้าพูดจริงหรือ?!”ฉินอู๋ต้าวเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝาดอย่างโกรธจัด เหลยเจิ้นพยักหน้าอย่างจริงจัง “พวกเจ้าหน้าที่ล้วนถูกสังหารด้วยปราณดัชนีที่รุนแรง อีกทั้งบาดแผลยังมีร่องรอยของการถูกเผาไหม้ ซึ่งเหมือนกับกรณีของฮองเฮ
ฉงชูโม่พยักหน้าเล็กน้อยและอธิบายว่า “นางมีนามว่ากู้เสวี่ยเจี้ยน เป็นศิษย์คนที่สามของหัวหน้า นอกจากจะมีฝีมือการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม นางยังเชี่ยวชาญด้านการชันสูตรศพอีกด้วย” เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินซูก็ถึงกับตกตะลึง เขาแทบมิอยากเชื่อว่า สตรีผู้เลอโฉมเช่นนี้ จะมีความสามารถในการชันสูตรศพ! กู้เสวี่ยเจี้ยนค้อมตัวเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ขอถวายคำนับองค์รัชทายาทเพคะ” ฉินซูโบกมือ “มิต้องมากพิธีนัก เช้านี้เจ้าคงยังมิได้ดืนข้าวเช้าใช่หรือไม่? มาร่วมกินกับพวกเราสิ” เมื่อเห็นว่าหมู่ชูโม่และคนอื่น ๆ กำลังนั่งกินอาหารร่วมกับฉินซู กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ถึงกับหยุดนิ่งไปชั่วครู่ องค์รัชทายาทผู้สูงส่ง ไฉนมานั่งกินข้าวร่วมกับฉงชูโม่ซึ่งเป็นข้าราชบริพารเช่นนี้ได้? หากมิเห็นด้วยตาตัวเอง นางคงมิเชื่อเลยว่านี่คือเรื่องจริง! เมื่อได้เห็นหลินชิงเหยาและเซี่ยหลานที่มีความงามเทียบเคียงตน กู้เสวี่ยเจี้ยนก็อดมิได้ที่จะรู้สึกดูแคลนในใจ ดูท่าองค์รัชทายาทผู้นี้คงยังมิเปลี่ยนนิสัยจริง ๆ ทั้งวันคงลุ่มหลงอยู่กับสตรีงาม ๆ พวกนี้ ด้วยนิสัยที่ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานเช่นนี้ จึงมิน่าแปลกใจที่องค์จักรพรรดิจะตัดสิน
กู้เสวี่ยเจี้ยนพยักหน้าอย่างช้า ๆ แล้วกล่าวต่อว่า “บาดแผลของเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่นั้นเหมือนกับบาดแผลของฮองเฮาและศิษย์น้องหญิงขอข้าน้อยอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นพวกเราจึงสงสัยว่า คนที่โจมตีเจ้าหน้าที่เมื่อคืน คือตัวการที่สังหารฮองเฮาและซวนเอ๋อร์ในอดีตเพคะ!” “ว่ากระไรนะ?! ฮองเฮาถูกลอบสังหารอย่างนั้นหรือ?” “มิใช่สิ ตอนนั้นในวังกล่าวว่าฮองเฮาสิ้นพระชนม์เพราะพระอาการประชวรสะสมมิใช่หรือ?” หลินชิงเหยาและเซี่ยหลานต่างมีสีหน้าตกตะลึง ฉงชูโม่จึงอธิบายว่า “ในเวลานั้น ฝ่าบาททรงพิจารณาถึงสถานการณ์โดยรวม จึงมิได้เปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงในการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮา พวกเจ้ารู้เรื่องนี้แล้วก็อย่าได้แพร่งพรายออกไปข้างนอกเด็ดขาด” “พวกเรามิกล้าบอกใครแม้แต่ครึ่งคำแน่” “ใช่ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับของราชวงศ์ พวกเราจะไปพูดพล่อย ๆ ได้อย่างไร” หลินชิงเหยาและเซี่ยหลานต่างแสดงสีหน้าตื่นตกใจ เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉินซูก็ปลอบว่า “ในเมื่อฆาตกรในอดีตอาจกลับมาอีกครั้ง การสืบสวนเรื่องนี้คงทำให้สาเหตุการตายของเสด็จแม่ถูกเปิดเผยออกมา ดังนั้นพวกเจ้ามิต้องกังวลใจมากนักหรอก” ได้ยินเช่นนี้ หลินชิงเหย
ฉินซูพูดด้วยน้ำเสียงมิพอใจว่า “เมื่อครู่กู้เสวี่ยเจี้ยนก็พูดแล้วมิใช่หรือว่าผู้ที่สังหารเจ้าหน้าที่เมื่อคืนนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนเดียวกันกับผู้ที่วางแผนปลงพระชนม์เสด็จแม่ของข้า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเสด็จแม่ ข้าจะอยู่เฉยได้อย่างไร'""ท่านกล่าวได้มีเหตุผล เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปกับท่านเอง" หลังจากที่ฉงชูโม่พูดเสร็จ เขาก็ออกไปพร้อมกับฉินซูเมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูใหญ่ของศาลต้าหลี่ หวังฉือก็ออกมาต้อนรับ "ข้าน้อยขอคารวะองค์รัชทายาท มิทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา ข้าน้อยจึงมิได้ออกมาต้อนรับ ขอองค์รัชทายาทโปรดอภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ" หวังฉือรู้สึกตกตะลึงระคนดีใจเล็กน้อย เพราะมิคาดคิดว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จมาที่ศาลต้าหลี่ติดกันเช่นนี้ฉินซูยิ้มบาง ๆ และกล่าวว่า "มิต้องมากพิธี ข้าได้ยินมาว่าเมื่อคืนมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตอยู่หลายคน ศพของพวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?" "อยู่ในห้องเก็บศพพ่ะย่ะค่ะ" "ดี พาพวกเราไปดูหน่อย" หวังฉือชะงักเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยความตกใจว่า "องค์รัชทายาทจะไปดูศพหรือพ่ะย่ะค่ะ?" "เหตุใดหรือ มีปัญหาอะไร?" "หามิได้ ๆ พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ข้
ฉินซูเข้าใจเรื่องราวในใจอย่างชัดเจน หลังจากครุ่นคิดเพียงครู่ก็กล่าวว่า "เรื่องของอ๋องหนิงข้าจะไปถามเอง เจ้าให้คนไปสอบถามแถวจุดเกิดเหตุ ดูว่ามีพยานบุคคลพบเห็นอะไรบ้างหรือไม่""ข้าน้อยได้ส่งรองหัวหน้าหลิวไปแล้ว องค์รัชทายาทโปรดวางพระทัย หากมีข่าว ข้าน้อยจะรีบรายงานให้ท่านทราบทันทีพ่ะย่ะค่ะ" ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงออกไปพร้อมกับฉงชูโม่เมื่อออกมาจากศาลต้าหลี่ ฉงชูโม่ก็ถามว่า "องค์รัชทายาท ให้หม่อมฉันไปที่คุกหลวงกับท่านหรือไม่?""มิจำเป็น เจ้าจงไปหาข่าวจากสหายในยุทธภพของเจ้าเถอะ ข้าไปเองได้"เมื่อพูดจบ ฉินซูก็เดินทางไปยังสำนักหอดูดาวหลวงเพียงลำพังคุกหลวงอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักหอดูดาวหลวง ฉินซูต้องการไปสอบถามอ๋องหนิงที่คุกหลวง ในฐานะองค์รัชทายาทย่อมสามารถไปได้โดยตรงแต่ก่อนหน้านั้น เขาต้องการพบหัวหน้าโหรหลวงเพื่อสอบถามเรื่องราวของคดีในอดีตเสียก่อนสำหรับเรื่องที่เสด็จแม่ถูกปลงพระชนม์เมื่อคราวนั้น ฉินซูจำได้เลือนลางมาก และแทบจะจำรายละเอียดส่วนใหญ่มิได้เลยมิแน่ว่าเป็นเพราะตัวเขาในอดีตมิแยแสสิ่งใด หรือเพราะเสพติดสุราและนารีมากจนความทรงจำเสื่อมถอยทหารองครักษ์ที่อยู่หน้
เมื่อเห็นฉินซูมิพูดอะไร เหลยเจิ้นจึงถามว่า "องค์รัชทายาททรงมีข้อสงสัยอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"ฉินซูโบกมือเบา ๆ เปลี่ยนเรื่องและกล่าวว่า "ใต้เท้าเหลย เรื่องคดีเสด็จแม่ถูกปลงพระชนม์เมื่อคราวนั้น สำนักหอดูดาวหลวงของท่านสืบพบเบาะแสอะไรบ้างหรือ?"เหลยเจิ้นถอนหายใจเบา ๆ ก่อนกล่าวว่า "น่าอับอายจริง ๆ หลังเกิดเหตุในตอนนั้น สำนักหอดูดาวหลวงได้สอบสวนทุกคนในตำหนักคุนหนิงแล้ว แต่กลับมิได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น องค์จักรพรรดิที่ทรงพระพิโรธได้สั่งประหารนางกำนัลและขันทีไปหลายคน จนกระทั่งคนที่เคยรับใช้ในตำหนักคุนหนิงในตอนนั้นไม่มีเหลือแม้แต่คนเดียว""ถ้าเช่นนั้น คดีในตอนนั้นก็ปิดมิลงใช่หรือไม่?""ก็มิเชิงพ่ะย่ะค่ะ หลายปีมานี้สำนักหอดูดาวหลวงยังคงสืบสวนคดีนี้อย่างลับ ๆ มาตลอด เพียงแต่ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ยิ่งกว่านั้นองค์จักรพรรดิเองก็ทรงสอบถามถึงคดีนี้อยู่เป็นครั้งคราว"ฉินซูลูบคางของตน ครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนจะถามอย่างมีนัยว่า "ใต้เท้าเหลย ด้วยความสามารถของท่าน หากท่านลอบเข้าไปในวังหลังยามค่ำคืน ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าจะไม่มีใครจับได้?"เหลยเจิ้นมีสีหน้าสงสัย แต่ก็ตอบตามตรงว่า "วังหลังม
เหลยเจิ้นส่ายหัวช้า ๆ "นั่นเป็นไปมิได้ ผู้ที่สามารถเข้าออกวังหลังได้ มิว่าจะเป็นยอดฝีมือที่ราชสำนักจัดตั้ง หรือขันทีนางกำนัล ล้วนแต่มีรายชื่อบันทึกไว้ทั้งสิ้น ล้วนแต่มีการลงทะเบียนไว้ทั้งสิ้น และยังต้องผ่านการตรวจสอบจากสำนักขันทีฝ่ายพิธีการและสำนักหอดูดาวหลวงอย่างเข้มงวด ดังนั้นคนร้ายจึงไม่มีทางแอบอยู่ใต้จมูกข้าน้อยได้แน่พ่ะย่ะค่ะ"ฉินซูขมวดคิ้วและพึมพำว่า "ถ้าเป็นเช่นนี้ การจะสืบหาความจริงในเรื่องราวเมื่อครั้งนั้น คงเป็นเรื่องยากยิ่ง"เหลยเจิ้นถอนหายใจ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ ในยามนั้นข้าน้อยและศาลต้าหลี่พยายามอย่างมากในการสืบสวนคดีนี้ แต่กลับมิพบเบาะแสใด ๆ ยิ่งมิต้องพูดถึงตอนนี้ที่ผ่านมาหลายปีแล้วเลย หากคิดจะสืบคดีครั้งนั้นให้ได้ชัดเจน คงต้องจับตัวคนที่สังหารคนของศาลต้าหลี่เมื่อคืนนี้มาให้ได้ มิเช่นนั้นคงยากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ"กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดขึ้นอย่างเย็นชา "อาจารย์วางใจเถิดเจ้าค่ะ พวกเราสำนักหอดูดาวหลวงและศาลต้าหลี่ต่างทุ่มกำลังกันเต็มที่ หากคนร้ายยังซ่อนตัวอยู่ในเมือง ก็ต้องจับเขาได้แน่นอน"เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินซูอดยิ้มและส่ายหัวมิได้กู้เสวี่ยเจี้ยนเห็นท่าทางของฉินซู จึงขมวดคิ้วถามว่า
“ท่านแม่ทัพหู แผนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือแล้วอ้อมไปอีกหน่อย ก็ลอบโจมตีทัพหนานเยวี่ยได้เหมือนเดิม!”“ไป เร่งฝีเท้า!”ดังนั้น กองทหารของพวกเขาจึงเดินทางมายังใต้ประตูเมืองฝั่งเหนือแม่ทัพรักษาการณ์ที่นี่เห็นหูก่วงเซิงและพวก จึงไต่ถาม “ท่านแม่ทัพหู นี่พวกท่านจะทำการใด?”“ในเมืองผู้คนพลุกพล่านเกินไป พวกเราจะออกไปพักผ่อนนอกเมืองสักหน่อย วันพรุ่งพวกเราจะย้ายค่ายทหารไปตั้งไว้นอกเมืองฝั่งเหนือเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการฝึกทหาร”เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาการณ์ก็โบกมือให้คนเปิดประตูเมืองจะตำหนิว่าเขาประมาทเกินไปก็มิได้ ท้ายที่สุดแล้วนอกเมืองทางฝั่งเหนือยังมีทหารประจำการอยู่เป็นจำนวนมิน้อย ทหารที่เข้าออกประตูเมืองทางฝั่งเหนือจึงมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมหลังจากที่ออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น หูก่วงเซิงจึงนำกองทัพทหารม้าพันนายมุ่งหน้าลงใต้!ขณะเดียวกันนอกประตูเมืองเจียวโจวทางฝั่งใต้ เงาร่างสิบกว่าร่างพุ่งออกมาจากป่าละเมาะห่างออกไปมิไกลนักพวกเขามีท่าทางคล่องแคล่ว เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ฝั่งหนึ่งหลังจากที่สังเกตการณ์บนกำแพงเมืองอยู่ครู่หน
“ท่านแม่ทัพหู กองทัพหนานเยวี่ยแตกพ่ายในวันนี้ บัดนี้คงอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่เป็นแน่ หากพวกเรานำทัพไปลอบโจมตี อย่างไรก็ต้องสำเร็จ! ถึงเวลานั้นหากสำเร็จ ท่านแม่ทัพใหญ่จะเอาผิดพวกเราที่ยกทัพไปโดยพลการได้อย่างไร?”ชายร่างกำยำอีกด้านกล่าวสำทับ “รองแม่ทัพหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ทัพหู พวกเราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมาถึงเจียวโจวก็มิใช่อื่นใด นอกเสียจากเพื่อสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นพวกเราสร้างความดีความชอบในเจียวโจวมากเท่าไร พระเกียรติของท่านอ๋องฉู่ในราชสำนักก็จะยิ่งสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ล้วนเพื่อท่านอ๋องฉู่ทั้งสิ้น!”“ถูกต้อง พวกเราคือคนของท่านอ๋องฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมมิอาจตำหนิพวกเราที่ออกรบโดยพลการได้ ท่านแม่ทัพหู ท่านรีบตัดสินใจเถิด โอกาสมิคอยท่า เวลามิหวนคืน!”“ท่านแม่ทัพหู คนขององค์รัชทายาทออกนอกเมืองไปครึ่งชั่วยามแล้ว หากพวกเรามิรีบเร่งติดตามไป เกรงว่าน้ำแกงก็มิได้ซด อย่าหวังจะได้กินเนื้อเลยขอรับ!”ด้วยคำยุยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาของหูก่วงเซิงก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น!เขาพยักหน้าหนักแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้เหล่าสหายทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม อีกห
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตา”ทั้งสองกล่าวพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูฉินซูจนปัญญา จึงตะโกนเข้าไปในกระโจม “ชูโม่ ให้ข้าเข้าไปเถิด ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังดี ๆ มิได้หรือ?”ทว่าข้างในกลับไร้เสียงตอบรับฉินซูยังคงมิยอมแพ้ กล่าวต่อไป “ชูโม่ เจ้าอย่าหึงหวงนักเลย อย่างน้อยก็ให้ข้าอธิบายสักหน่อยเถิด”เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ทหารยามทั้งสองก็อดมิได้ที่จะสบตากัน!ให้ตายสิ ท่านแม่ทัพใหญ่กับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งเกินคาด!!สีหน้าของพวกเขาทั้งสองฉายแววตกตะลึง ราวกับได้รับข่าวเด็ดข่าวใหญ่ฉินซูเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค ทว่าในกระโจมก็ยังคงไร้เสียงตอบรับเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงหันไปถามทหารยามทั้งสอง “ชูโม่อยู่ข้างในจริง ๆ หรือ?”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปแล้วก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีประตูด้านหลังใช่หรือไม่?”“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”“มิได้การ ชูโม่อาจจะเป็นกระไรไปแล้วก็ได้!”กล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูจึงตะโกนเข้าไปด้านใน “ชูโม่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”ขณะที่ฉินซูกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ทหารยามทั้งสองก็รีบร้องทัดทาน “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ห
ขณะเดียวกันกองหนุนทัพหนานเยวี่ยภายในค่ายทหารแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังบุรุษบนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยใจระทึกบุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะสีเงินยวง ร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผาย!เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย เติ้งหม่าง!สายตาเย็นเยียบของเขากวาดมองไปยังกลุ่มคนทีละคน สุดท้ายจับจ้องที่แม่ทัพน้อยหม่า“หม่าเวย เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”หม่าเวยรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ทว่าอาวุธของต้าเหยียนคราวนี้ร้ายกาจเหลือเกิน โล่เกราะหวายของพวกเราเมื่อเผชิญกับลูกธนูของพวกมันก็มิต่างกระไรจากดินเหนียว ยิงคราเดียวก็ทะลุง่ายดาย!”“ใช่แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ โล่เกราะหวายที่พวกเราเคยภาคภูมิใจนักหนา บัดนี้มิอาจหวังพึ่งได้อีกแล้วขอรับ”“มิเพียงเท่านั้น ทางต้าเหยียนยังใช้อาวุธเพลิงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ของสิ่งนั้นอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก ทหารมิใช่น้อยถูกระเบิดจนร่างแหลกมิเหลือชิ้นดีเลยขอรับ”เมื่อกล่าวถึงระเบิดเพลิง หลายคนยังคงหวาดผวาเติ้งหม่างขมวดคิ้วมุ่น และกล่าวพึมพำ “กองทหารรักษาการณ์เจียวโจวถูกพวกเราโจมตีมาเกือบเดือน บัดนี้จู่ ๆ กลับปรากฏอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี
วาจาล้ำสมัยปานนี้ ตี๋จิ่งผู้นี้คิดได้อย่างไร?มู่หรงจื่อเยียนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ฉินซู ท่านมิเป็นกระไรใช่หรือไม่?”“มิเป็นกระไร ไปเถิด”ขณะมองตามสองร่างหายลับไปจากสายตา สหายของตี๋จิ่งก็อดมิได้ที่จะหวั่นวิตกชายร่างกำยำผู้หนึ่งเอ่ยถาม “พี่ตี๋ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?”“หรือว่าพวกเราฟาดหัวองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนให้สลบ แล้วลักพาตัวกลับเป่ยเยี่ยนดี?”“นั่นสิ หากเป็นเช่นนั้น ท่านหญิงจะได้ตามพวกเรากลับเป่ยเยี่ยนเสียที”ตี๋จิ่งโบกมือ และกล่าวว่า “มิได้ อย่าว่าแต่ท่านหญิงจะยอมให้เราทำหรือไม่เลย ลำพังแค่พวกทหารต้าเหยียนที่ยั้วเยี้ยไปทั่ว พวกเราก็มิมีทางทำสำเร็จแล้ว!”“ก็จริงดังว่า แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”“เฝ้าสังเกตการณ์ไปก่อน อารักขาความปลอดภัยท่านหญิงให้ดี”“ขอรับ”พวกเขาปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ติดตามไปที่พักของฉินซูถูกจัดสรรให้อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งใกล้กับประตูเมืองทางทิศเหนือที่นี่ห่างจากประตูเมืองทิศใต้ประมาณเจ็ดแปดลี้ จึงมิต้องกังวลว่าจะถูกผลกระทบจากไฟสงครามเมื่อเข้าสู่โรงเตี๊ยมและปิดประตูลง มู่หรงจื่อเยียนก็อดรนทนรอมิไหว โผเข้ากอดคอฉินซู นางเขย่งปลา
ฉินซูเองก็ประหลาดใจมิต่างกัน เมื่อเห็นสายตาของฉงชูโม่ เขาก็รู้สึกจนปัญญาในใจลอบคิดว่าคนที่มาหาตนนั้นจะเป็นใครกันแน่หรือจะเป็นเซี่ยหลาน หรือว่าหลินชิงเหยา?แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นไปมิได้ เพราะทั้งสองคนเคยรับปากตนว่าจะคอยเขากลับไปอยู่ที่ตำหนักบูรพาเมื่อเห็นฉินซูเงียบไปมิพูดจา ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ "ฉินซู ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่หม่อมฉันมิอยู่ในเมืองหลวง พระองค์จะสำราญบานใจมิน้อยเลยกระมังเพคะ!"ฉินซูกล่าวอย่างใจเย็น "ข้าเปล่านะ""เปล่าหรือ? แล้วสตรีที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใครกัน?""ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้""คนผู้นั้นระบุชื่อเจาะจงว่าจะมาพบองค์รัชทายาท จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้อย่างไร ไปเถิด ไปดูกันดีกว่าว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากที่ใด"เมื่อฉงชูโม่กล่าวจบก็เดินนำออกจากกระโจมบัญชาการไปก่อนฉินซูเดินตามไปด้วยความกระวนกระวายใจเดินไปได้มิไกล ฉินซูก็ถึงกับชะงักเท้าอยู่กับที่ จ้องมองหญิงงามที่อยู่เบื้องหน้ามิไกลอย่างเหม่อลอยเมื่อฉงชูโม่เห็นคนผู้นี้ ก็ขมวดคิ้วถาม "มู่หรงจื่อเยียน? ท่านเป็นถึงท่านหญิงแห่งเป่ยเยี่ยน มายังสนามรบต้าเหยียนด้วย