เหลยเจิ้นส่ายหัวช้า ๆ "นั่นเป็นไปมิได้ ผู้ที่สามารถเข้าออกวังหลังได้ มิว่าจะเป็นยอดฝีมือที่ราชสำนักจัดตั้ง หรือขันทีนางกำนัล ล้วนแต่มีรายชื่อบันทึกไว้ทั้งสิ้น ล้วนแต่มีการลงทะเบียนไว้ทั้งสิ้น และยังต้องผ่านการตรวจสอบจากสำนักขันทีฝ่ายพิธีการและสำนักหอดูดาวหลวงอย่างเข้มงวด ดังนั้นคนร้ายจึงไม่มีทางแอบอยู่ใต้จมูกข้าน้อยได้แน่พ่ะย่ะค่ะ"ฉินซูขมวดคิ้วและพึมพำว่า "ถ้าเป็นเช่นนี้ การจะสืบหาความจริงในเรื่องราวเมื่อครั้งนั้น คงเป็นเรื่องยากยิ่ง"เหลยเจิ้นถอนหายใจ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ ในยามนั้นข้าน้อยและศาลต้าหลี่พยายามอย่างมากในการสืบสวนคดีนี้ แต่กลับมิพบเบาะแสใด ๆ ยิ่งมิต้องพูดถึงตอนนี้ที่ผ่านมาหลายปีแล้วเลย หากคิดจะสืบคดีครั้งนั้นให้ได้ชัดเจน คงต้องจับตัวคนที่สังหารคนของศาลต้าหลี่เมื่อคืนนี้มาให้ได้ มิเช่นนั้นคงยากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ"กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดขึ้นอย่างเย็นชา "อาจารย์วางใจเถิดเจ้าค่ะ พวกเราสำนักหอดูดาวหลวงและศาลต้าหลี่ต่างทุ่มกำลังกันเต็มที่ หากคนร้ายยังซ่อนตัวอยู่ในเมือง ก็ต้องจับเขาได้แน่นอน"เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินซูอดยิ้มและส่ายหัวมิได้กู้เสวี่ยเจี้ยนเห็นท่าทางของฉินซู จึงขมวดคิ้วถามว่า
ฉินซูรู้สึกแปลกใจที่เห็นกู้เสวี่ยเจี้ยนตามมา จึงพูดแหย่ว่า "มิคิดมาก่อนว่าเจ้าที่ดูเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง กลับมีน้ำใจอารีอยู่ภายใน"กู้เสวี่ยเจี้ยนแค่นเสียงเย็นชา "หึ หม่อมฉันแค่กังวลว่าหากท่านทำอะไรผิดพลาดในคุกหลวง องค์จักรพรรดิจะตำหนิสำนักหอดูดาวหลวงของเรา หากมิใช่เพราะเรื่องนี้ หม่อมฉันคงมิยุ่งเกี่ยวด้วยแน่"ฉินซูยิ้มน้อย ๆ แต่มิพูดอะไรต่อคุกหลวงของแคว้นต้าเหยียนเป็นสถานที่คุมขังอาชญากรที่มีโทษหนัก ผู้ที่ถูกขังที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นคนชั่วที่ทำกรรมไว้อย่างโหดร้ายคุกหลวงแห่งนี้มีการป้องกันเข้มงวดแน่นหนา ทุกสิบก้าวมีทหารองครักษ์ประจำการ และที่ประตูใหญ่ยังมีทหารจำนวนมากคุ้มกันอย่างแน่นหนาเมื่อทหารองครักษ์เห็นฉินซูเดินมา พวกเขาต่างตกตะลึงในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ก็รีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน "กระหม่อมขอคารวะองค์รัชทายาท!"ฉินซูเพียงยืนกอดอกและตอบกลับอย่างเรียบเฉย "มิต้องมากพิธี""ขอบพระทัยองค์รัชทายาทำพ่ะย่ะค่ะ"จากนั้นพวกเขาก็ทำความเคารพต่อกู้เสวี่ยเจี้ยนเมื่อเห็นฉินซูจะเข้าไปในคุกหลวง หัวหน้าทหารรักษาการณ์รีบเข้ามาขวางและถามด้วยความเคารพ "องค์รัชท
กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส "หม่อมฉันก็แค่เปรียบเปรยเท่านั้น ท่านทรงทราบไว้แค่ว่าห้องขังชั้นสูงนั้นจัดไว้เฉพาะสำหรับเชื้อพระวงศ์ก็พอเพคะ"ฉินซูถามด้วยท่าทางครุ่นคิดว่า "ถ้าเช่นนั้น ห้องขังชั้นสูงนี้ สภาพแวดล้อมย่อมดีกว่าห้องขังธรรมดาใช่หรือไม่?"กู้เสวี่ยเจี้ยนมิได้ตอบตรง ๆ แต่กล่าวอย่างมีนัย "ดีหรือไม่ดี องค์รัชทายาทเสด็จไปดูก็จะทราบเองเพคะ"ฉินซูมิพูดอะไรอีก เดินไปตามทิศทางที่กู้เสวี่ยเจี้ยนชี้ไปมินาน เขาก็มาถึงหน้าห้องขังชั้นสูงภายในห้องขังค่อนข้างมืดสลัว ฉินซูพอมองเห็นว่ามีคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างในกู้เสวี่ยเจี้ยนส่งสัญญาณให้ผู้คุมที่อยู่ข้างประตูด้วยการยกคางขึ้นเล็กน้อยแล้วสั่ง "จุดตะเกียงน้ำมันสิ""ขอรับ!" ผู้คุมจุดเทียนไขเล่มยาวแล้วสอดเข้าไปในห้องขังเมื่อแสงไฟส่องสว่างขึ้น ห้องขังที่เคยมืดมิดก็เริ่มมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในตอนนั้นเอง ฉินซูจึงได้เห็นสภาพของห้องขังชั้นสูงอย่างชัดเจนผนังทั้งสามด้านของห้องขังทำจากหินเย็นเฉียบ พื้นปูด้วยฟางข้าวที่กระจัดกระจายไปทั่ว มุมห้องมีถังไม้สำหรับขับถ่ายตั้งอยู่นอกจากนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดอีกเมื่อเห็นสภาพนี้ ฉินซูอดมิได้ที
ฉินซูหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วหันไปสั่งผู้คุมว่า “เปิดประตู!”“เอ่อ…” ผู้คุมลังเลกู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความสงสัยว่า “องค์รัชทายาท ท่านจะทำอะไรหรือเพคะ?”ฉินซูกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าสั่งอีกครั้ง เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”ผู้คุมตัวสั่นด้วยความกลัว มือเริ่มสั่นสะท้าน รีบเปิดประตูลูกกรงออกฉินซูมิพูดอะไร เดินตรงเข้าไปในห้องขังทันทีเมื่อฉินซูเข้ามา ฉินเซียวก็เอ่ยเย้ยหยันว่า “ฮึ เจ้ารู้ล่วงหน้าแล้วสินะ ถึงได้มาเพื่อทำความเคยชินกับที่นี่...”“เพียะ!”พูดยังมิทันขาด ฉินซูก็ตบหน้าเขาทันทีบนใบหน้าของฉินเซียวปรากฏรอยฝ่ามือสีแดงจัดขึ้นทันทีเขาที่ตกใจกับการโดนตบแบบมิทันตั้งตัวเมื่อได้สติก็ตะโกนด้วยความโมโหว่า “เจ้ากล้าตบข้าเชียวรึ?!”“ก็ตบไปแล้วมิใช่รึ!” สิ้นเสียงของฉินซู เขาก็เงื้อฝ่ามือตบลงไปอีกครั้ง ฉินเซียวรีบหลบตามสัญชาตญาณ!ฝ่าเท้าของเขาส่งแรงลมหมุน ร่างถอยไปสองก้าวอย่างรวดเร็วราวกับภูตผีทว่ายังมิทันจะยืนได้มั่นคง เงาฝ่ามือที่โถมเข้ามาในสายตาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ“เพียะ!” ฝ่ามือของฉินซูฟาดลงบนใบหน้าของเขาเต็มแรงเกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ฉินเซียวเสียหลักล้มลงไปกับพื้นเขาจ้องมองฉิน
ฉินเซียวทนมิไหวแล้ว อารมณ์ของเขาใกล้จะปะทุเต็มทนกู้เสวี่ยเจี้ยนตะโกนว่า “ฉินเซียว ท่านอย่าได้ตอบโต้ มิเช่นนั้นท่านต้องตายแน่!”ได้ยินดังนั้น หัวใจของฉินเซียวก็พลันผวาหลังจากสงบใจลงได้ เขาก็แอบร้องในใจว่า เกือบไปแล้ว เกือบจะเผยความสามารถออกไปแล้วเมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า เหตุผลที่ฉินซูก้าวร้าวกับตนเพียงนี้ ก็เพื่อบีบให้เขาตอบโต้มิใช่หรือ? หากตอบโต้และทำร้ายองค์รัชทายาท นั่นถือเป็นโทษถึงตายเมื่อถึงเวลานั้น นอกจากผิดฐานกระทำการหลายประการ แม้แต่เสด็จพ่อจะลำเอียงเพียงใด ก็มิอาจปกป้องตนได้คิดได้เช่นนั้น ฉินเซียวจึงพูดอย่างคับแค้นใจว่า “องค์รัชทายาท ต่อให้วันนี้เจ้าตีข้าจนตาย ข้าก็มิรู้ว่ากู้ตงเฟิงอยู่ที่ใด”ฉินซูหันไปมองกู้เสวี่ยเจี้ยนอย่างดุดันอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นด้วยความมิเข้าใจ ถามว่า “ท่านมองหม่อมฉันเช่นนี้ด้วยเหตุใดเล่า?”ฉินซูพูดอย่างเย็นชา “ไม่มีใครชอบสตรีที่สอดยุ่งเรื่องคนอื่นหรอก”ในใจเขารู้สึกเหนื่อยหน่ายนัก เมื่อครู่เกือบจะบีบให้ฉินเซียวลงมือตอบโต้ได้อยู่แล้ว แต่กลับถูกกู้เสวี่ยเจี้ยนขัดขวางเสียก่อนกู้เสวี่ยเจี้ยนส่งเสียงเย้ยหยันด้วยความมิพอใจ โต
ฉินซูจึงยื่นมือไปดึงเข็มเงินออกด้วยท่าทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “พูดมาสิ”ทันทีที่เข็มเงินถูกดึงออก ความเจ็บและคันบนร่างฉินเซียวก็หายไปทันทีเขาหอบหายใจหนัก ใบหน้าซีดเซียว หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเมื่อได้สติ เขาจึงพูดขึ้นว่า “กู้ตงเฟิงมีถ้ำอยู่ที่เขาจิ่งซาน พวกเจ้าอาจจะพบเขาที่นั่น”“ดีมาก หากมิเจอเขา ข้าจะกลับมาอีก”ฉินซูพูดจบก็หันหลังเดินจากไปกู้เสวี่ยเจี้ยนมองฉินเซียวครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวตามไปฉินเซียวหอบหายใจสองสามครั้ง สายตามองตามหลังฉินซูไปด้วยความอาฆาต......นอกคุกหลวงกู้เสวี่ยเจี้ยนตามฉินซูทัน “องค์รัชทายาท ท่านจะไปเขาจิ่งซานเพื่อตามหากู้ตงเฟิงหรือ?”“แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า?”“กู้ตงเฟิงมีฝีมือแข็งแกร่ง แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็มิใช่คู่ต่อสู้ที่ท่านจะรับมือได้ ไหนจะยังมีพวกพ้องของเขาอีก การที่ท่านไปโดยมิคิดให้รอบคอบ มิเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งหรือ?”ฉินซูหรี่ตาลงเล็กน้อย ถามอย่างสนใจยิ่งว่า “มิเช่นนั้นเจ้าตามข้าไปด้วยดีหรือไม่?”“ท่านมิจำเป็นต้องไป อีกประเดี๋ยวหม่อมฉันจะไปรายงานให้อาจารย์ทราบ แล้วจะนำคนจากสำนักหอดูดาวหลวงไปด้วยเพคะ”ทันใดนั้นฉินซูก็ถามขึ้
เหลยเจิ้นคำนับ แล้วหันหลังเดินออกไปฉินอู๋ต้าวจึงสั่งกับเฉาฉุนว่า “ไป เรียกอู๋เชวียมาที่นี่”“รับพระราชบัญชา!”เฉาฉุนรีบก้าวออกไปอย่างรวดเร็วประมาณหนึ่งเค่อให้หลัง ชายคนหนึ่งในชุดเกราะทองคำก็มาถึงห้องทรงพระอักษรบุรุษผู้นี้คิ้วหนา ตากลมโต หุ่นกำยำแข็งแรง ใบหน้าดูเคร่งขรึม!เขาคือหัวหน้าราชองครักษ์ เย่อู๋เชวีย!เมื่อเขาเข้ามาในห้องทรงพระอักษรหลวงแล้ว ก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง“อู๋เชวียถวายบังคมฝ่าบาท!”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด”“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”เมื่อเย่อู๋เชวียยืนขึ้น ก็ถามอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาททรงเรียกข้าน้อยมา มิทราบว่าด้วยเหตุอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินอู๋ต้าวถามอย่างมิแยแสว่า “เรื่องเมื่อห้าปีก่อน นอกจากจื่อซวนที่ตายไปแล้ว ก็ไม่มีใครล่วงรู้รายละเอียดเรื่องภายในตอนนั้นแล้ว ใช่หรือไม่?”ใบหน้าเย่อู๋เชวียเปลี่ยนเล็กน้อย มองไปรอบ ๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ จึงตอบเสียงเบาว่า “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เรื่องนั้นในยามนี้นอกจากฝ่าบาทและข้าน้อยแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้า จะมิทรยศข้าใช่หรือไม่?” ฉินอู๋ต้าวจ้องมองเย่อู๋เชวียอีกฝ่ายพลันวิตกกั
“เวลามิเคยคอยผู้ใด หากมัวรอให้อาจารย์ของเจ้าพาคนมา จะมิสายเกินไปหรือไร”พูดจบ ฉินซูก็สะบัดแส้ควบม้าตรงขึ้นเขาไปกู้เสวี่ยเจี้ยนขมวดคิ้ว ดวงตาแสดงออกถึงความต่อต้านเล็กน้อยอย่างไรก็มาถึงขั้นนี้แล้ว นางจึงทำได้เพียงกัดฟันฝืนตามไปเท่านั้นทางขึ้นภูเขาเป็นทางคดเคี้ยวแคบ ๆ มีไม้พุ่ม และป่าไม้อยู่สองข้างทางบางครั้งก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังออกมาจากภายในป่าเป็นระยะ ๆเมื่อได้ยินเสียงเหล่านั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนจึงกำด้ามกระบี่ของตนแน่นตามสัญชาตญาณ ดวงตาจับจ้องไปมาในพุ่มไม้ทั้งสองข้างอย่างตื่นตัวยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้างดงามของนางยังซีดเล็กน้อย เหงื่อเย็นเริ่มซึมออกมาบนหน้าผากแล้วฉินซูเห็นท่าทีแปลก ๆ ของนาง จึงถามอย่างสงสัยว่า “กู้เสวี่ยเจี้ยน เจ้าตื่นเต้นหาปะไร?”“ตื่นเต้นที่ไหนกันเล่าเพคะ!”แม้กู้เสวี่ยเจี้ยนจะมิอยากยอมรับ แต่มิว่าจะเป็นสีหน้าเครียด ๆ หรือมือที่กำด้ามกระบี่แน่นของนางก็เผยความลับนั้นออกมาอย่างลึกซึ้งฉินซูดูเหมือนจะนึกอะไรออก เขายิ้มที่มุมปากเล็กน้อย“มิใช่ว่าเจ้าเป็นโรคกลัวรูหรอกใช่หรือไม่?”กู้เสวี่ยเจี้ยนอึ้งไป ก่อนถามอย่างสงสัย “โรคกลัวรูคืออะไร?”“ก็เวลาที่เจ้าเห