กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส "หม่อมฉันก็แค่เปรียบเปรยเท่านั้น ท่านทรงทราบไว้แค่ว่าห้องขังชั้นสูงนั้นจัดไว้เฉพาะสำหรับเชื้อพระวงศ์ก็พอเพคะ"ฉินซูถามด้วยท่าทางครุ่นคิดว่า "ถ้าเช่นนั้น ห้องขังชั้นสูงนี้ สภาพแวดล้อมย่อมดีกว่าห้องขังธรรมดาใช่หรือไม่?"กู้เสวี่ยเจี้ยนมิได้ตอบตรง ๆ แต่กล่าวอย่างมีนัย "ดีหรือไม่ดี องค์รัชทายาทเสด็จไปดูก็จะทราบเองเพคะ"ฉินซูมิพูดอะไรอีก เดินไปตามทิศทางที่กู้เสวี่ยเจี้ยนชี้ไปมินาน เขาก็มาถึงหน้าห้องขังชั้นสูงภายในห้องขังค่อนข้างมืดสลัว ฉินซูพอมองเห็นว่ามีคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างในกู้เสวี่ยเจี้ยนส่งสัญญาณให้ผู้คุมที่อยู่ข้างประตูด้วยการยกคางขึ้นเล็กน้อยแล้วสั่ง "จุดตะเกียงน้ำมันสิ""ขอรับ!" ผู้คุมจุดเทียนไขเล่มยาวแล้วสอดเข้าไปในห้องขังเมื่อแสงไฟส่องสว่างขึ้น ห้องขังที่เคยมืดมิดก็เริ่มมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในตอนนั้นเอง ฉินซูจึงได้เห็นสภาพของห้องขังชั้นสูงอย่างชัดเจนผนังทั้งสามด้านของห้องขังทำจากหินเย็นเฉียบ พื้นปูด้วยฟางข้าวที่กระจัดกระจายไปทั่ว มุมห้องมีถังไม้สำหรับขับถ่ายตั้งอยู่นอกจากนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดอีกเมื่อเห็นสภาพนี้ ฉินซูอดมิได้ที
ฉินซูหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วหันไปสั่งผู้คุมว่า “เปิดประตู!”“เอ่อ…” ผู้คุมลังเลกู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความสงสัยว่า “องค์รัชทายาท ท่านจะทำอะไรหรือเพคะ?”ฉินซูกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าสั่งอีกครั้ง เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”ผู้คุมตัวสั่นด้วยความกลัว มือเริ่มสั่นสะท้าน รีบเปิดประตูลูกกรงออกฉินซูมิพูดอะไร เดินตรงเข้าไปในห้องขังทันทีเมื่อฉินซูเข้ามา ฉินเซียวก็เอ่ยเย้ยหยันว่า “ฮึ เจ้ารู้ล่วงหน้าแล้วสินะ ถึงได้มาเพื่อทำความเคยชินกับที่นี่...”“เพียะ!”พูดยังมิทันขาด ฉินซูก็ตบหน้าเขาทันทีบนใบหน้าของฉินเซียวปรากฏรอยฝ่ามือสีแดงจัดขึ้นทันทีเขาที่ตกใจกับการโดนตบแบบมิทันตั้งตัวเมื่อได้สติก็ตะโกนด้วยความโมโหว่า “เจ้ากล้าตบข้าเชียวรึ?!”“ก็ตบไปแล้วมิใช่รึ!” สิ้นเสียงของฉินซู เขาก็เงื้อฝ่ามือตบลงไปอีกครั้ง ฉินเซียวรีบหลบตามสัญชาตญาณ!ฝ่าเท้าของเขาส่งแรงลมหมุน ร่างถอยไปสองก้าวอย่างรวดเร็วราวกับภูตผีทว่ายังมิทันจะยืนได้มั่นคง เงาฝ่ามือที่โถมเข้ามาในสายตาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ“เพียะ!” ฝ่ามือของฉินซูฟาดลงบนใบหน้าของเขาเต็มแรงเกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ฉินเซียวเสียหลักล้มลงไปกับพื้นเขาจ้องมองฉิน
ฉินเซียวทนมิไหวแล้ว อารมณ์ของเขาใกล้จะปะทุเต็มทนกู้เสวี่ยเจี้ยนตะโกนว่า “ฉินเซียว ท่านอย่าได้ตอบโต้ มิเช่นนั้นท่านต้องตายแน่!”ได้ยินดังนั้น หัวใจของฉินเซียวก็พลันผวาหลังจากสงบใจลงได้ เขาก็แอบร้องในใจว่า เกือบไปแล้ว เกือบจะเผยความสามารถออกไปแล้วเมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า เหตุผลที่ฉินซูก้าวร้าวกับตนเพียงนี้ ก็เพื่อบีบให้เขาตอบโต้มิใช่หรือ? หากตอบโต้และทำร้ายองค์รัชทายาท นั่นถือเป็นโทษถึงตายเมื่อถึงเวลานั้น นอกจากผิดฐานกระทำการหลายประการ แม้แต่เสด็จพ่อจะลำเอียงเพียงใด ก็มิอาจปกป้องตนได้คิดได้เช่นนั้น ฉินเซียวจึงพูดอย่างคับแค้นใจว่า “องค์รัชทายาท ต่อให้วันนี้เจ้าตีข้าจนตาย ข้าก็มิรู้ว่ากู้ตงเฟิงอยู่ที่ใด”ฉินซูหันไปมองกู้เสวี่ยเจี้ยนอย่างดุดันอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นด้วยความมิเข้าใจ ถามว่า “ท่านมองหม่อมฉันเช่นนี้ด้วยเหตุใดเล่า?”ฉินซูพูดอย่างเย็นชา “ไม่มีใครชอบสตรีที่สอดยุ่งเรื่องคนอื่นหรอก”ในใจเขารู้สึกเหนื่อยหน่ายนัก เมื่อครู่เกือบจะบีบให้ฉินเซียวลงมือตอบโต้ได้อยู่แล้ว แต่กลับถูกกู้เสวี่ยเจี้ยนขัดขวางเสียก่อนกู้เสวี่ยเจี้ยนส่งเสียงเย้ยหยันด้วยความมิพอใจ โต
ฉินซูจึงยื่นมือไปดึงเข็มเงินออกด้วยท่าทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “พูดมาสิ”ทันทีที่เข็มเงินถูกดึงออก ความเจ็บและคันบนร่างฉินเซียวก็หายไปทันทีเขาหอบหายใจหนัก ใบหน้าซีดเซียว หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเมื่อได้สติ เขาจึงพูดขึ้นว่า “กู้ตงเฟิงมีถ้ำอยู่ที่เขาจิ่งซาน พวกเจ้าอาจจะพบเขาที่นั่น”“ดีมาก หากมิเจอเขา ข้าจะกลับมาอีก”ฉินซูพูดจบก็หันหลังเดินจากไปกู้เสวี่ยเจี้ยนมองฉินเซียวครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวตามไปฉินเซียวหอบหายใจสองสามครั้ง สายตามองตามหลังฉินซูไปด้วยความอาฆาต......นอกคุกหลวงกู้เสวี่ยเจี้ยนตามฉินซูทัน “องค์รัชทายาท ท่านจะไปเขาจิ่งซานเพื่อตามหากู้ตงเฟิงหรือ?”“แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า?”“กู้ตงเฟิงมีฝีมือแข็งแกร่ง แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็มิใช่คู่ต่อสู้ที่ท่านจะรับมือได้ ไหนจะยังมีพวกพ้องของเขาอีก การที่ท่านไปโดยมิคิดให้รอบคอบ มิเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งหรือ?”ฉินซูหรี่ตาลงเล็กน้อย ถามอย่างสนใจยิ่งว่า “มิเช่นนั้นเจ้าตามข้าไปด้วยดีหรือไม่?”“ท่านมิจำเป็นต้องไป อีกประเดี๋ยวหม่อมฉันจะไปรายงานให้อาจารย์ทราบ แล้วจะนำคนจากสำนักหอดูดาวหลวงไปด้วยเพคะ”ทันใดนั้นฉินซูก็ถามขึ้
เหลยเจิ้นคำนับ แล้วหันหลังเดินออกไปฉินอู๋ต้าวจึงสั่งกับเฉาฉุนว่า “ไป เรียกอู๋เชวียมาที่นี่”“รับพระราชบัญชา!”เฉาฉุนรีบก้าวออกไปอย่างรวดเร็วประมาณหนึ่งเค่อให้หลัง ชายคนหนึ่งในชุดเกราะทองคำก็มาถึงห้องทรงพระอักษรบุรุษผู้นี้คิ้วหนา ตากลมโต หุ่นกำยำแข็งแรง ใบหน้าดูเคร่งขรึม!เขาคือหัวหน้าราชองครักษ์ เย่อู๋เชวีย!เมื่อเขาเข้ามาในห้องทรงพระอักษรหลวงแล้ว ก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง“อู๋เชวียถวายบังคมฝ่าบาท!”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด”“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”เมื่อเย่อู๋เชวียยืนขึ้น ก็ถามอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาททรงเรียกข้าน้อยมา มิทราบว่าด้วยเหตุอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินอู๋ต้าวถามอย่างมิแยแสว่า “เรื่องเมื่อห้าปีก่อน นอกจากจื่อซวนที่ตายไปแล้ว ก็ไม่มีใครล่วงรู้รายละเอียดเรื่องภายในตอนนั้นแล้ว ใช่หรือไม่?”ใบหน้าเย่อู๋เชวียเปลี่ยนเล็กน้อย มองไปรอบ ๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ จึงตอบเสียงเบาว่า “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เรื่องนั้นในยามนี้นอกจากฝ่าบาทและข้าน้อยแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้า จะมิทรยศข้าใช่หรือไม่?” ฉินอู๋ต้าวจ้องมองเย่อู๋เชวียอีกฝ่ายพลันวิตกกั
“เวลามิเคยคอยผู้ใด หากมัวรอให้อาจารย์ของเจ้าพาคนมา จะมิสายเกินไปหรือไร”พูดจบ ฉินซูก็สะบัดแส้ควบม้าตรงขึ้นเขาไปกู้เสวี่ยเจี้ยนขมวดคิ้ว ดวงตาแสดงออกถึงความต่อต้านเล็กน้อยอย่างไรก็มาถึงขั้นนี้แล้ว นางจึงทำได้เพียงกัดฟันฝืนตามไปเท่านั้นทางขึ้นภูเขาเป็นทางคดเคี้ยวแคบ ๆ มีไม้พุ่ม และป่าไม้อยู่สองข้างทางบางครั้งก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังออกมาจากภายในป่าเป็นระยะ ๆเมื่อได้ยินเสียงเหล่านั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนจึงกำด้ามกระบี่ของตนแน่นตามสัญชาตญาณ ดวงตาจับจ้องไปมาในพุ่มไม้ทั้งสองข้างอย่างตื่นตัวยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้างดงามของนางยังซีดเล็กน้อย เหงื่อเย็นเริ่มซึมออกมาบนหน้าผากแล้วฉินซูเห็นท่าทีแปลก ๆ ของนาง จึงถามอย่างสงสัยว่า “กู้เสวี่ยเจี้ยน เจ้าตื่นเต้นหาปะไร?”“ตื่นเต้นที่ไหนกันเล่าเพคะ!”แม้กู้เสวี่ยเจี้ยนจะมิอยากยอมรับ แต่มิว่าจะเป็นสีหน้าเครียด ๆ หรือมือที่กำด้ามกระบี่แน่นของนางก็เผยความลับนั้นออกมาอย่างลึกซึ้งฉินซูดูเหมือนจะนึกอะไรออก เขายิ้มที่มุมปากเล็กน้อย“มิใช่ว่าเจ้าเป็นโรคกลัวรูหรอกใช่หรือไม่?”กู้เสวี่ยเจี้ยนอึ้งไป ก่อนถามอย่างสงสัย “โรคกลัวรูคืออะไร?”“ก็เวลาที่เจ้าเห
เห็นดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนจึงกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “เป็นไปได้ ท่านรออยู่ที่นี่ หม่อมฉันจะเข้าไปดูเอง”พูดจบ นางก็ใช้วิชาตัวเบา กระโดดมิกี่ครั้งก็ลงมาถึงหน้าปากถ้ำอย่างมั่นคงนางชำเลืองมองเข้าไปในถ้ำ มือข้างหนึ่งจับกระบี่ ส่วนอีกข้างถือพับไฟ ค่อย ๆ เดินเข้าไปภายใต้แสงไฟสลัวของพับไฟ กู้เสวี่ยเจี้ยนเห็นตะเกียงน้ำมันที่ติดอยู่บนผนังตรงมุมปากทางเข้าเมื่อจุดตะเกียงน้ำมันแล้ว ภายในถ้ำก็สว่างขึ้นในทันที“ถึงขนาดมีตะเกียงน้ำมันด้วย ดูท่าว่าที่นี่คงเป็น…”เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้กู้เสวี่ยเจี้ยนตกใจสะดุ้งนางหันไปมองก็พลันตีอกตัวเองและตำหนิว่า “ท่านคิดจะทำให้หม่อมฉันตกใจตายหรืออย่างไร? มาถึงแล้วก็มิบอกกันสักคำ”ฉินซูถามอย่างตกตะลึง “มิใช่อย่างนั้น ข้าปีนมาเสียงดังขนาดนี้ เจ้ามิได้ยินหรือ?”“เมื่อกี้ท่านปีนขึ้นมาจริง ๆ หรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนเบิกตากว้างด้วยความมิเชื่อ“มิเช่นนั้นข้าจะทำอย่างไรเล่า ข้าไม่มีวรยุทธ์ ทำได้เพียงต้องปีนขึ้นมา”พูดจบ ฉินซูก็กวาดสายตามองรอบ ๆ ถ้ำมินานหลังจากนั้น เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นเนื่องจากภายในถ้ำนี้มีเพียงกำแพงหินขรุขระ นอกจากปากทางเข้าก็ไม่มีเ
กู้เสวี่ยเจี้ยนก้มหน้าลงมองบาดแผลโดยมิรู้ตัว รู้สึกหน้ามืดเวียนศีรษะ จากนั้นก็เอนตัวล้มลงไปข้างหลังอย่างมิสามารถควบคุมได้ฉินซูก้าวพรวดเดียวเข้าไปโอบประคองนางไว้ แล้วอุ้มนางไปยังเตียงหินที่มุมห้องนี่เป็นครั้งแรกที่กู้เสวี่ยเจี้ยนถูกบุรุษอุ้มไว่เช่นนี้ แก้มของนางจึงขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอายนางพยายามดิ้นและกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ฉินซู ท่านคิดจะทำอะไร ปล่อยหม่อมฉันลงเดี๋ยวนี้”ฉินซูวางนางลงบนเตียงหิน กล่าวด้วยสีหน้าขึงขังว่า “ข้าจะช่วยดึงลูกธนูออกให้ เจ้าต้องอดทนหน่อย”“มิ… มิต้อง หม่อมฉันทำเองได้”กู้เสวี่ยเจี้ยนพูด พลางพยายามจะยกมือขึ้น แต่ในยามนั้น นางก็ต้องตกใจเมื่อค้นพบว่า ตนมิเหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกมือ ร่างทั้งร่างอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงฉินซูเห็นดังนั้นก็บ่นอย่างมิสบอารมณ์ “ในยามคับขันเช่นนี้แล้วยังจะมาห่วงเรื่องชายหญิงมิสมควรใกล้ชิดกันอะไรกันอยู่ได้ หากมิรีบถอนพิษออกอีก ชีวิตเจ้าจะรักษาไว้มิได้แล้ว”กู้เสวี่ยเจี้ยนรู้ในข้อนี้ดี จึงจำต้องพยักหน้า “เช่นนั้นท่านก็ทำเถิด แต่อย่าได้คิดล่วงเกินหม่อมฉัน มิเช่นนั้น หม่อมฉันจะตัดมือท่านแน่!”ฉินซูชำเลืองมองนาง แต่ก็มิได
ฉินซูรับจดหมายมาเปิดดู สีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวดูอัปลักษณ์เกินบรรยายเนื้อความในจดหมายเขียนว่า 'องค์รัชทายาทผู้รอวันปลด ข้ายังมีธุระด่วนต้องกลับเป่ยเยี่ยน ไม่มีเวลาเล่นแมวไล่จับหนูกับเจ้า ข้าจับตัวเด็กสาวจากสำนักหอดูดาวหลวงไว้แล้ว ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน หากเจ้ามิปรากฏตัวที่หอดารารักษ์ภายในเวลานั้น ก็เตรียมเก็บศพเด็กคนนั้นได้เลย!'ลงนาม ซ่างกวนอวิ๋นซี!หลังจากที่ฉินซูอ่านจดหมายจบ พ่อค้าคนนั้นก็ยื่นกระบี่ยาวให้เห็นเพียงปลอกกระบี่ประดับด้วยอัญมณีเจ็ดเม็ดเรียงกันเป็นรูปกลุ่มดาวหมีใหญ่!ที่ปลายด้ามกระบี่ยังมีน้ำเต้าหยกขาวเล็ก ๆ สองลูกห้อยอยู่ เป็นกระบี่ประจำตัวของกู้เสวี่ยเจี้ยน!ฉินซูถามด้วยเสียงเคร่งขรึม "คนที่ให้เจ้าส่งจดหมาย ตอนนี้อยู่ที่ใด?""เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน คนผู้นั้นให้เงินข้าสิบตำลึง ฝากข้าให้นำจดหมายและกระบี่เล่มนี้มาให้ท่าน พอนางให้ของกับข้าแล้วก็ขี่ม้าไปทางเหนือ บอกว่าจะกลับเป่ยเยี่ยน"เมื่อได้ยินพ่อค้าพูดเช่นนี้ สีหน้าของฉินซูก็นิ่งขรึมราวกับน้ำนิ่งกู้เสวี่ยเจี้ยนถูกซ่างกวนอวิ๋นซีจับตัวไปแล้ว แถมยังถูกพาตัวกลับเป่ยเยี่ยน!เขามิคาดคิดว่าเจ้าสำนักหอดารารักษ์จะใช้
ซ่างกวนอวิ๋นซีเหลือบมองด้านหลังของฉินซูแวบหนึ่ง จากนั้นหลับตาลงอีกครั้ง ตั้งใจใช้พลังฝ่าผนึกในร่างกายผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูปซ่างกวนอวิ๋นซีลืมตาขึ้นทันที มองไปยังทิศทางที่ฉินซูจากไปด้วยสายตาคมกริบจากนั้นร่างของนางก็วูบหายไป เพียงพริบตาก็ไปปรากฏบนต้นไม้ใหญ่ด้านหน้าเมื่อมองไปรอบ ๆ บริเวณนี้ ไม่มีแม้แต่เงาของฉินซู!นางแค่นเสียงเย็นชา กล่าวด้วยจิตสังหารแรงกล้า "องค์รัชทายาทผู้รอวันปลด ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะหนีไปได้ถึงไหน!"พูดจบ นางก็กระโจนขึ้นไล่ตามไปข้างหน้าทันทีเวลาเดียวกันนั้นเอง ฉินซูวิ่งหนีจนสุดกำลัง มาถึงบริเวณรอบนอกของป่าเขาหยิบหน้ากากหนังบางเบาราวปีกแมลงทับออกมาจากอกเสื้อ สวมครอบใบหน้าอย่างคล่องแคล่วจากนั้นก็รีบกลับด้านเสื้อคลุม สวมใหม่อีกครั้ง พลิกโฉมกลายเป็นชายชราในชุดคลุมสีดำเมื่อมาถึงถนนหลวง เขาชะลอฝีเท้าลง เดินปะปนไปกับผู้คนบนท้องถนนมินานนักร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีก็พุ่งออกมาจากป่า!เมื่อมาถึงถนนหลวง นางกวาดสายตาคมกริบไปตามผู้คนบนถนนเมื่อแน่ใจว่าไม่มีฉินซูอยู่ในนั้น นางก็กระโจนขึ้นเวหาติดตามไปข้างหน้ารอจนกระทั่งนางหายลับไปสุดสายตา ฉินซูที่ปลอมเป็นชายชราใน
เมื่อได้ยินคำพูดของซ่างกวนอวิ๋นซี ฉินซูก็มีหน้าเคร่งเครียดทันที!เขาคิดในใจว่า ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนอยู่ดี ๆ จะให้ไปเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์แห่งหอดารารักษ์ของเจ้าด้วยเหตุใด?เห็นข้าโง่หรือไร!เขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด "เจ้าอย่ามาล้อเล่น ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ไม่มีทางไปเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์ของเป่ยเยี่ยนพวกเจ้าได้หรอก""พูดให้ถูกคือ บุตรแห่งนักปราชญ์แห่งหอดารารักษ์ต่างหาก!""หอดารารักษ์ของเจ้าก็เป็นของเป่ยเยี่ยน ข้ามิยอมรับอยู่แล้ว!"ซ่างกวนอวิ๋นซีส่งเสียงหึ กล่าวอย่างหยิ่งผยอง "เจ้าคิดว่า เจ้ามีสิทธิ์ปฏิเสธหรือ เมื่อข้าฝ่าผนึกในร่างกายได้ การจับเจ้ากลับไปก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก""วันนี้ข้าขอพูดไว้ตรงนี้ เจ้าต้องเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์แห่งหอดารารักษ์ มิอยากเป็นก็ต้องเป็น!"นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว แสดงออกถึงความแข็งแกร่ง!มุมปากของฉินซูกระตุกเล็กน้อย หมดคำจะพูดหากซ่างกวนอวิ๋นซีฝ่าผนึกได้จริงและฟื้นพลังที่แข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัวนั้นกลับมา เขาก็ไม่มีทางต่อต้านได้ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเผชิญหน้ากับวรยุทธ์อันแท้จริง จะรักษาชีวิตไว้ได้หรือไม่
"เจ้าคนลามก เจ้าอย่าได้ใจไป ข้าฟื้นพลังกลับมาได้เมื่อใด ข้าจะทำให้เจ้าอยากตายก็ตายมิได้ อยากอยู่ก็อยู่มิได้!""ขอร้องล่ะ ข้ามิได้ตั้งใจสังหารหนานกงจื่อชินกับซือคงเหยียนอะไรนั่นเสียหน่อย เจ้ามิอยากรู้เรื่องราวเบื้องหลังหรือ?""มิว่าอย่างไร ก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่เจ้าสังหารพวกเขามิได้ ดังนั้นข้าต้องสังหารเจ้า!"ฉินซูหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าว "แต่ตอนนี้เจ้าสังหารข้ามิได้ ขืนต่อสู้กันต่อไปก็มีแต่จะบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย สู้พวกเราถอยกันคนละก้าวดีกว่าหรือไม่?"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีก็กระโดดถอยหลังหลุดออกจากวงล้อมการต่อสู้หลังจากทรงตัวได้ นางถามเสียงแข็ง "ถอยกันคนละก้าวอย่างไร? หรือเจ้าจะยอมจำนน กลับไปหอดารารักษ์กับข้าเพื่อรับโทษ?""เฮ้อ ตอนนี้เจ้าก็ทำอะไรข้ามิได้ แล้วเหตุใดจึงคิดว่าข้าจะกลับไปกับเจ้า? ช่างเป็นคนอกโตแต่ไร้สมองเสียจริง!""เจ้า!! ไร้ยางอาย!"ซ่างกวนอวิ๋นซีโกรธจนถ่มน้ำลาย"หึ ๆ เจ้าอย่าโกรธไปเลย หญิงงามเช่นเจ้า หากโกรธจะหมดสวยหนา ต้องชมเลยว่ารูปร่างหน้าตาของเจ้าถือว่าโดดเด่นที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา โดยเฉพาะรูปร่างนี้ สุดยอด หากได้ร่วมค่ำคืนกับตัวข้าสัก
จบเห่แล้ว!กู้เสวี่ยเจี้ยนหน้าซีดเผือด หัวใจดิ่งวูบลงสู่ก้นบึ้ง!แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีร่างหนึ่งวาบผ่านมาอยู่ตรงหน้านาง ฉินซูยืนขวางนางไว้!เห็นเพียงฉินซูตบฝ่ามือออกไป!ในวินาทีต่อมา กระแสพลังฝ่ามือแข็งแกร่งสองสายก็ปะทะกันอย่างรุนแรง“เปรี้ยง!!”กระแสพลังฝ่ามือระเบิดออก ปราณบริสุทธิ์บ้าคลั่งกลายเป็นปราณวายุม้วนตัว พุ่งออกไปรอบด้านต้นไม้ใหญ่บริเวณใกล้เคียงถูกกดจนล้มลงไปอีกเป็นจำนวนมาก!กู้เสวี่ยเจี้ยนเองก็ถูกคลื่นพลังอันบ้าคลั่งนี้ผลักให้ถอยร่นไปเรื่อย ๆ เช่นกัน!หากไม่มีฉินซูคอยปกป้องป่านนี้นางคงถูกพัดกระเด็นไปแล้วแต่ถึงกระนั้น ภายใต้แรงกดดันของปราณวายุที่น่าสะพรึงกลัวนี้ ร่างของฉินซูก็ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างห้ามมิได้สุดท้ายจึงไปพิงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งจึงทรงตัวอยู่ได้"เอ๋?!"ฉินซูอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ เพราะเขาพบว่าซ่างกวนอวิ๋นซีที่อยู่ตรงข้ามก็ถอยหลังไปสองก้าวเช่นกัน!สิ่งนี้ทำให้เขางุนงงมากเมื่อครู่ซ่างกวนอวิ๋นซีแสดงพลังอันน่าตกใจเช่นนี้ออกมา เหตุใดบัดนี้ถึงอ่อนแอลงเช่นนี้?ฝั่งซ่างกวนอวิ๋นซีเริ่มหงุดหงิด ด้วยความโมโหนางจึงกระทืบเท้าลงบนพื้นพุ่งเข้าหาฉินซูราว
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็สะบัดข้อมือ ปราณแห่งกระบี่คมกริบก็ฟันเข้าที่ต้นไม้ใหญ่ข้าง ๆ'โครม!'ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นล้มลง ฝุ่นฟุ้งกระจายเป็นวงกว้างแล้วฉินซูก็อุ้มนางวิ่งไป ส่วนนางก็คอยใช้ปราณแห่งกระบี่ฟันต้นไม้ข้างทางเป็นระยะเช่นนี้ไปตลอดทางผ่านไปกว่าหนึ่งเค่อ ในที่สุดก็มองมิเห็นร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีไล่ตามหลังมาแล้วเมื่อเห็นดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ถอนหายใจโล่งอกแต่ในขณะนั้น ฉินซูกลับหยุดลงกู้เสวี่ยเจี้ยนเร่งเร้า "ฉินซู เจ้าหยุดทำไม รีบไปสิ พวกเราอุตส่าห์หนีนางพ้นแล้วนะ"ฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น "พวกเราหนีนางมิพ้น""กระไรนะ?!"กู้เสวี่ยเจี้ยนชะงักไป จากนั้นจึงเอี้ยวศีรษะไปมองเห็นสตรีผู้งามสง่าราวกับเทพธิดา ยืนอยู่มิไกลพร้อมด้วยปราณสังหาร!นั่นคือซ่างกวนอวิ๋นซีในตอนนี้ผมเผ้านางกระเซิงเล็กน้อย ผ้าคลุมหน้าหายไปไหนมิอาจทราบได้ ฉินซูและกู้เสวี่ยเจี้ยนจึงได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางใบหน้าที่งดงามเกินต้านทานของซ่างกวนอวิ๋นซี ยังดูดีกว่าหงฉู่ม่อได้ชื่อว่างามที่สุดในต้าเหยียนอยู่เพียงเล็กน้อย!"เอ่อ เจ้าเป็นเจ้าสำนักหอดารารักษ์จริง ๆ หรือ?"ฉินซูอดถามอีกครั้งมิได้ เพราะซ่า
เมื่อเห็นหยกครึ่งซีกนี้ ดวงตาของซ่างกวนอวิ๋นซีก็หดเล็กลง ใบหน้างดงามฉายแววตกใจ!หยกนี้เป็นหยกที่นางมอบให้ซือคงเหยียนเมื่อครานั้นพลังที่อยู่ภายในนั้นเทียบเท่ากับการลงมือของนางหนึ่งครั้งหลังจากฉินซูขว้างหยกนี้ออกไป พลันอุ้มกู้เสวี่ยเจี้ยนขึ้นมา แล้วร่างก็วูบหายไปในป่าเขาใช้ปราณบริสุทธิ์ในร่างกายอย่างเต็มที่ ความเร็วของเขาเร็วมากจนน่าตกตะลึงในขณะเดียวกันหลังจากที่หยกนั้นชนเข้ากับฝ่ามือลวงตาน่าสะพรึงกลัวนั้น มันก็แตกออกพลังอันน่าพรั่นพรึงระดับเดียวกันก็ปะทุออกมาจากภายในตู้ม...เสียงดังสนั่นหวั่นไหวระเบิดออก พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ปรากฏรอยแตกคล้ายใยแมงมุมมากมายภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ ทำให้กลางลำต้นของต้นไม้เกือบทั้งหมดในรัศมีหลายลี้หักลง!โครม!จากป่าที่อยู่ไกลออกไปนั้นมีนกจำนวนนับมิถ้วนบินหนีออกกระจัดกระจายไปทุกทิศทางส่วนฉินซูและกู้เสวี่ยเจี้ยนหลบพ้นจากรัศมีของแรงระเบิดไปอย่างฉิวเฉียดเมื่อเห็นป่าด้านหลังถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ตกใจจนพูดมิออกฉินซูเองก็รู้สึกเสียวสันหลังมิแพ้กันแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้คิดมาก พลันใช้ปราณทั้งหมดไปกับวิชาตัวเบ
เมื่อเห็นภาพนั้นฉินซูก็ขมวดคิ้ว รู้สึกได้ถึงลางร้ายซ่างกวนอวิ๋นซีส่งเสียงหึ "เจ้าฉินซู เจ้าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลด กล้าสังหารบุตรแห่งนักปราชญ์และผู้อาวุโสหอดารารักษ์ของข้า วันนี้ ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยเลือด ตอบแทนด้วยชีวิต!"เมื่อสิ้นเสียง กลิ่นอายสังหารน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากร่างของนางจากนั้นนางก็สะบัดสองนิ้ว ลำแสงกระบี่ราวกับจับต้องได้สายหนึ่งก็พุ่งตรงมาหาฉินซูฉินซูผลักกู้เสวี่ยเจี้ยนออกไป จากนั้นก็กำหมัดกระแทกออกทันใดเงาหมัดแฝงด้วยปราณวายุอันพลุ่งพล่านพุ่งเข้าปะทะกับปราณแห่งกระบี่ของซ่างกวนอวิ๋นซีตูม...หลังจากเสียงระเบิดดังขึ้น ฉินซูและซ่างกวนอวิ๋นซีก็ถอยหลังไปคนละก้าว!เมื่อเห็นดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็อ้าปากค้างจนกรามแทบหลุด!ซ่างกวนอวิ๋นซีเป็นถึงเจ้าสำนักหอดารารักษ์ วรยุทธ์ของนางกล้าแกร่ง เกรงว่าจะมิด้อยไปกว่าหัวหน้าโหรหลวงทีเดียวแต่บัดนี้ฉินซูกลับต่อสู้กับนางได้อย่างสูสี แล้วจะมิให้นางตกใจได้อย่างไร!นางย่อมมิรู้ว่า ตอนนี้พลังในร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีถูกหัวหน้าโหรหลวงสะกดเอาไว้ วรยุทธ์จึงอยู่ที่ระดับสวรรค์ขั้นสูงสุดเท่านั้นส่วนฉินซูขมวดคิ้วและรู้สึกงุนงงเล็ก
"ว่ากระไรนะ? เจ้าสำนักหอดารารักษ์?!"ฉินซูเบิกตากว้าง แทบมิเชื่อสายตา!ไฉนเจ้าสำนักหอดารารักษ์จึงได้อ่อนเยาว์เช่นนี้?ในดวงตาคู่สวยของซ่างกวนอวิ๋นซีเผยความประหลาดใจ นางเหลือบมองกู้เสวี่ยเจี้ยนเมื่อเห็นลายปักกลุ่มดาวหมีใหญ่ที่ปักอยู่บนชุดของนาง ก็แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา "ตาเจ้ายังพอมีแววอยู่บ้าง มิเสียทีที่เป็นศิษย์ของตาเฒ่าเหลยเจิ้นนั่น!"กู้เสวี่ยเจี้ยนหัวใจเย็นวาบ รีบกระซิบบอกกับฉินซู "เจ้าสำนักหอดารารักษ์มีพลังลึกล้ำเกินหยั่งถึง ควานหาทั่วต้าเหยียน มีเพียงอาจารย์ของหม่อมฉันเท่านั้นที่ต้านทานนางได้ ท่านหนีไปเถิด หม่อมฉันจะพยายามถ่วงเวลานางไว้ให้นานที่สุด"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูก็เผยรอยยิ้มขมขื่นตั้งแต่ที่ซ่างกวนอวิ๋นซีปรากฏตัว เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันรุนแรงที่แผ่ซ่านมาจากนางนี่แสดงให้เห็นว่า พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งจนน่าตกใจกู้เสวี่ยเจี้ยนต้องการถ่วงเวลานางก็มิต่างกระไรจากเรื่องเพ้อฝันเมื่อเห็นฉินซูนิ่งเฉย กู้เสวี่ยเจี้ยนก็เร่งเร้าอย่างร้อนรน "ไยท่านยังยืนอยู่อีก รีบไปเร็วเข้า"ฉินซูส่ายหน้าอย่างจนปัญญา "เจ้าถ่วงเวลานางมิได้หรอก อีกทั้งเป้าหมายของนางคือข้า เจ้าหลบไป