ฉินซูพูดด้วยน้ำเสียงมิพอใจว่า “เมื่อครู่กู้เสวี่ยเจี้ยนก็พูดแล้วมิใช่หรือว่าผู้ที่สังหารเจ้าหน้าที่เมื่อคืนนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนเดียวกันกับผู้ที่วางแผนปลงพระชนม์เสด็จแม่ของข้า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเสด็จแม่ ข้าจะอยู่เฉยได้อย่างไร'""ท่านกล่าวได้มีเหตุผล เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปกับท่านเอง" หลังจากที่ฉงชูโม่พูดเสร็จ เขาก็ออกไปพร้อมกับฉินซูเมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูใหญ่ของศาลต้าหลี่ หวังฉือก็ออกมาต้อนรับ "ข้าน้อยขอคารวะองค์รัชทายาท มิทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา ข้าน้อยจึงมิได้ออกมาต้อนรับ ขอองค์รัชทายาทโปรดอภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ" หวังฉือรู้สึกตกตะลึงระคนดีใจเล็กน้อย เพราะมิคาดคิดว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จมาที่ศาลต้าหลี่ติดกันเช่นนี้ฉินซูยิ้มบาง ๆ และกล่าวว่า "มิต้องมากพิธี ข้าได้ยินมาว่าเมื่อคืนมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตอยู่หลายคน ศพของพวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?" "อยู่ในห้องเก็บศพพ่ะย่ะค่ะ" "ดี พาพวกเราไปดูหน่อย" หวังฉือชะงักเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยความตกใจว่า "องค์รัชทายาทจะไปดูศพหรือพ่ะย่ะค่ะ?" "เหตุใดหรือ มีปัญหาอะไร?" "หามิได้ ๆ พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ข้
ฉินซูเข้าใจเรื่องราวในใจอย่างชัดเจน หลังจากครุ่นคิดเพียงครู่ก็กล่าวว่า "เรื่องของอ๋องหนิงข้าจะไปถามเอง เจ้าให้คนไปสอบถามแถวจุดเกิดเหตุ ดูว่ามีพยานบุคคลพบเห็นอะไรบ้างหรือไม่""ข้าน้อยได้ส่งรองหัวหน้าหลิวไปแล้ว องค์รัชทายาทโปรดวางพระทัย หากมีข่าว ข้าน้อยจะรีบรายงานให้ท่านทราบทันทีพ่ะย่ะค่ะ" ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงออกไปพร้อมกับฉงชูโม่เมื่อออกมาจากศาลต้าหลี่ ฉงชูโม่ก็ถามว่า "องค์รัชทายาท ให้หม่อมฉันไปที่คุกหลวงกับท่านหรือไม่?""มิจำเป็น เจ้าจงไปหาข่าวจากสหายในยุทธภพของเจ้าเถอะ ข้าไปเองได้"เมื่อพูดจบ ฉินซูก็เดินทางไปยังสำนักหอดูดาวหลวงเพียงลำพังคุกหลวงอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักหอดูดาวหลวง ฉินซูต้องการไปสอบถามอ๋องหนิงที่คุกหลวง ในฐานะองค์รัชทายาทย่อมสามารถไปได้โดยตรงแต่ก่อนหน้านั้น เขาต้องการพบหัวหน้าโหรหลวงเพื่อสอบถามเรื่องราวของคดีในอดีตเสียก่อนสำหรับเรื่องที่เสด็จแม่ถูกปลงพระชนม์เมื่อคราวนั้น ฉินซูจำได้เลือนลางมาก และแทบจะจำรายละเอียดส่วนใหญ่มิได้เลยมิแน่ว่าเป็นเพราะตัวเขาในอดีตมิแยแสสิ่งใด หรือเพราะเสพติดสุราและนารีมากจนความทรงจำเสื่อมถอยทหารองครักษ์ที่อยู่หน้
เมื่อเห็นฉินซูมิพูดอะไร เหลยเจิ้นจึงถามว่า "องค์รัชทายาททรงมีข้อสงสัยอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"ฉินซูโบกมือเบา ๆ เปลี่ยนเรื่องและกล่าวว่า "ใต้เท้าเหลย เรื่องคดีเสด็จแม่ถูกปลงพระชนม์เมื่อคราวนั้น สำนักหอดูดาวหลวงของท่านสืบพบเบาะแสอะไรบ้างหรือ?"เหลยเจิ้นถอนหายใจเบา ๆ ก่อนกล่าวว่า "น่าอับอายจริง ๆ หลังเกิดเหตุในตอนนั้น สำนักหอดูดาวหลวงได้สอบสวนทุกคนในตำหนักคุนหนิงแล้ว แต่กลับมิได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น องค์จักรพรรดิที่ทรงพระพิโรธได้สั่งประหารนางกำนัลและขันทีไปหลายคน จนกระทั่งคนที่เคยรับใช้ในตำหนักคุนหนิงในตอนนั้นไม่มีเหลือแม้แต่คนเดียว""ถ้าเช่นนั้น คดีในตอนนั้นก็ปิดมิลงใช่หรือไม่?""ก็มิเชิงพ่ะย่ะค่ะ หลายปีมานี้สำนักหอดูดาวหลวงยังคงสืบสวนคดีนี้อย่างลับ ๆ มาตลอด เพียงแต่ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ยิ่งกว่านั้นองค์จักรพรรดิเองก็ทรงสอบถามถึงคดีนี้อยู่เป็นครั้งคราว"ฉินซูลูบคางของตน ครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนจะถามอย่างมีนัยว่า "ใต้เท้าเหลย ด้วยความสามารถของท่าน หากท่านลอบเข้าไปในวังหลังยามค่ำคืน ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าจะไม่มีใครจับได้?"เหลยเจิ้นมีสีหน้าสงสัย แต่ก็ตอบตามตรงว่า "วังหลังม
เหลยเจิ้นส่ายหัวช้า ๆ "นั่นเป็นไปมิได้ ผู้ที่สามารถเข้าออกวังหลังได้ มิว่าจะเป็นยอดฝีมือที่ราชสำนักจัดตั้ง หรือขันทีนางกำนัล ล้วนแต่มีรายชื่อบันทึกไว้ทั้งสิ้น ล้วนแต่มีการลงทะเบียนไว้ทั้งสิ้น และยังต้องผ่านการตรวจสอบจากสำนักขันทีฝ่ายพิธีการและสำนักหอดูดาวหลวงอย่างเข้มงวด ดังนั้นคนร้ายจึงไม่มีทางแอบอยู่ใต้จมูกข้าน้อยได้แน่พ่ะย่ะค่ะ"ฉินซูขมวดคิ้วและพึมพำว่า "ถ้าเป็นเช่นนี้ การจะสืบหาความจริงในเรื่องราวเมื่อครั้งนั้น คงเป็นเรื่องยากยิ่ง"เหลยเจิ้นถอนหายใจ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ ในยามนั้นข้าน้อยและศาลต้าหลี่พยายามอย่างมากในการสืบสวนคดีนี้ แต่กลับมิพบเบาะแสใด ๆ ยิ่งมิต้องพูดถึงตอนนี้ที่ผ่านมาหลายปีแล้วเลย หากคิดจะสืบคดีครั้งนั้นให้ได้ชัดเจน คงต้องจับตัวคนที่สังหารคนของศาลต้าหลี่เมื่อคืนนี้มาให้ได้ มิเช่นนั้นคงยากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ"กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดขึ้นอย่างเย็นชา "อาจารย์วางใจเถิดเจ้าค่ะ พวกเราสำนักหอดูดาวหลวงและศาลต้าหลี่ต่างทุ่มกำลังกันเต็มที่ หากคนร้ายยังซ่อนตัวอยู่ในเมือง ก็ต้องจับเขาได้แน่นอน"เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินซูอดยิ้มและส่ายหัวมิได้กู้เสวี่ยเจี้ยนเห็นท่าทางของฉินซู จึงขมวดคิ้วถามว่า
ฉินซูรู้สึกแปลกใจที่เห็นกู้เสวี่ยเจี้ยนตามมา จึงพูดแหย่ว่า "มิคิดมาก่อนว่าเจ้าที่ดูเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง กลับมีน้ำใจอารีอยู่ภายใน"กู้เสวี่ยเจี้ยนแค่นเสียงเย็นชา "หึ หม่อมฉันแค่กังวลว่าหากท่านทำอะไรผิดพลาดในคุกหลวง องค์จักรพรรดิจะตำหนิสำนักหอดูดาวหลวงของเรา หากมิใช่เพราะเรื่องนี้ หม่อมฉันคงมิยุ่งเกี่ยวด้วยแน่"ฉินซูยิ้มน้อย ๆ แต่มิพูดอะไรต่อคุกหลวงของแคว้นต้าเหยียนเป็นสถานที่คุมขังอาชญากรที่มีโทษหนัก ผู้ที่ถูกขังที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นคนชั่วที่ทำกรรมไว้อย่างโหดร้ายคุกหลวงแห่งนี้มีการป้องกันเข้มงวดแน่นหนา ทุกสิบก้าวมีทหารองครักษ์ประจำการ และที่ประตูใหญ่ยังมีทหารจำนวนมากคุ้มกันอย่างแน่นหนาเมื่อทหารองครักษ์เห็นฉินซูเดินมา พวกเขาต่างตกตะลึงในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ก็รีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน "กระหม่อมขอคารวะองค์รัชทายาท!"ฉินซูเพียงยืนกอดอกและตอบกลับอย่างเรียบเฉย "มิต้องมากพิธี""ขอบพระทัยองค์รัชทายาทำพ่ะย่ะค่ะ"จากนั้นพวกเขาก็ทำความเคารพต่อกู้เสวี่ยเจี้ยนเมื่อเห็นฉินซูจะเข้าไปในคุกหลวง หัวหน้าทหารรักษาการณ์รีบเข้ามาขวางและถามด้วยความเคารพ "องค์รัชท
กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส "หม่อมฉันก็แค่เปรียบเปรยเท่านั้น ท่านทรงทราบไว้แค่ว่าห้องขังชั้นสูงนั้นจัดไว้เฉพาะสำหรับเชื้อพระวงศ์ก็พอเพคะ"ฉินซูถามด้วยท่าทางครุ่นคิดว่า "ถ้าเช่นนั้น ห้องขังชั้นสูงนี้ สภาพแวดล้อมย่อมดีกว่าห้องขังธรรมดาใช่หรือไม่?"กู้เสวี่ยเจี้ยนมิได้ตอบตรง ๆ แต่กล่าวอย่างมีนัย "ดีหรือไม่ดี องค์รัชทายาทเสด็จไปดูก็จะทราบเองเพคะ"ฉินซูมิพูดอะไรอีก เดินไปตามทิศทางที่กู้เสวี่ยเจี้ยนชี้ไปมินาน เขาก็มาถึงหน้าห้องขังชั้นสูงภายในห้องขังค่อนข้างมืดสลัว ฉินซูพอมองเห็นว่ามีคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างในกู้เสวี่ยเจี้ยนส่งสัญญาณให้ผู้คุมที่อยู่ข้างประตูด้วยการยกคางขึ้นเล็กน้อยแล้วสั่ง "จุดตะเกียงน้ำมันสิ""ขอรับ!" ผู้คุมจุดเทียนไขเล่มยาวแล้วสอดเข้าไปในห้องขังเมื่อแสงไฟส่องสว่างขึ้น ห้องขังที่เคยมืดมิดก็เริ่มมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในตอนนั้นเอง ฉินซูจึงได้เห็นสภาพของห้องขังชั้นสูงอย่างชัดเจนผนังทั้งสามด้านของห้องขังทำจากหินเย็นเฉียบ พื้นปูด้วยฟางข้าวที่กระจัดกระจายไปทั่ว มุมห้องมีถังไม้สำหรับขับถ่ายตั้งอยู่นอกจากนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดอีกเมื่อเห็นสภาพนี้ ฉินซูอดมิได้ที
ฉินซูหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วหันไปสั่งผู้คุมว่า “เปิดประตู!”“เอ่อ…” ผู้คุมลังเลกู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความสงสัยว่า “องค์รัชทายาท ท่านจะทำอะไรหรือเพคะ?”ฉินซูกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าสั่งอีกครั้ง เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”ผู้คุมตัวสั่นด้วยความกลัว มือเริ่มสั่นสะท้าน รีบเปิดประตูลูกกรงออกฉินซูมิพูดอะไร เดินตรงเข้าไปในห้องขังทันทีเมื่อฉินซูเข้ามา ฉินเซียวก็เอ่ยเย้ยหยันว่า “ฮึ เจ้ารู้ล่วงหน้าแล้วสินะ ถึงได้มาเพื่อทำความเคยชินกับที่นี่...”“เพียะ!”พูดยังมิทันขาด ฉินซูก็ตบหน้าเขาทันทีบนใบหน้าของฉินเซียวปรากฏรอยฝ่ามือสีแดงจัดขึ้นทันทีเขาที่ตกใจกับการโดนตบแบบมิทันตั้งตัวเมื่อได้สติก็ตะโกนด้วยความโมโหว่า “เจ้ากล้าตบข้าเชียวรึ?!”“ก็ตบไปแล้วมิใช่รึ!” สิ้นเสียงของฉินซู เขาก็เงื้อฝ่ามือตบลงไปอีกครั้ง ฉินเซียวรีบหลบตามสัญชาตญาณ!ฝ่าเท้าของเขาส่งแรงลมหมุน ร่างถอยไปสองก้าวอย่างรวดเร็วราวกับภูตผีทว่ายังมิทันจะยืนได้มั่นคง เงาฝ่ามือที่โถมเข้ามาในสายตาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ“เพียะ!” ฝ่ามือของฉินซูฟาดลงบนใบหน้าของเขาเต็มแรงเกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ฉินเซียวเสียหลักล้มลงไปกับพื้นเขาจ้องมองฉิน
ฉินเซียวทนมิไหวแล้ว อารมณ์ของเขาใกล้จะปะทุเต็มทนกู้เสวี่ยเจี้ยนตะโกนว่า “ฉินเซียว ท่านอย่าได้ตอบโต้ มิเช่นนั้นท่านต้องตายแน่!”ได้ยินดังนั้น หัวใจของฉินเซียวก็พลันผวาหลังจากสงบใจลงได้ เขาก็แอบร้องในใจว่า เกือบไปแล้ว เกือบจะเผยความสามารถออกไปแล้วเมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า เหตุผลที่ฉินซูก้าวร้าวกับตนเพียงนี้ ก็เพื่อบีบให้เขาตอบโต้มิใช่หรือ? หากตอบโต้และทำร้ายองค์รัชทายาท นั่นถือเป็นโทษถึงตายเมื่อถึงเวลานั้น นอกจากผิดฐานกระทำการหลายประการ แม้แต่เสด็จพ่อจะลำเอียงเพียงใด ก็มิอาจปกป้องตนได้คิดได้เช่นนั้น ฉินเซียวจึงพูดอย่างคับแค้นใจว่า “องค์รัชทายาท ต่อให้วันนี้เจ้าตีข้าจนตาย ข้าก็มิรู้ว่ากู้ตงเฟิงอยู่ที่ใด”ฉินซูหันไปมองกู้เสวี่ยเจี้ยนอย่างดุดันอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นด้วยความมิเข้าใจ ถามว่า “ท่านมองหม่อมฉันเช่นนี้ด้วยเหตุใดเล่า?”ฉินซูพูดอย่างเย็นชา “ไม่มีใครชอบสตรีที่สอดยุ่งเรื่องคนอื่นหรอก”ในใจเขารู้สึกเหนื่อยหน่ายนัก เมื่อครู่เกือบจะบีบให้ฉินเซียวลงมือตอบโต้ได้อยู่แล้ว แต่กลับถูกกู้เสวี่ยเจี้ยนขัดขวางเสียก่อนกู้เสวี่ยเจี้ยนส่งเสียงเย้ยหยันด้วยความมิพอใจ โต
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตา”ทั้งสองกล่าวพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูฉินซูจนปัญญา จึงตะโกนเข้าไปในกระโจม “ชูโม่ ให้ข้าเข้าไปเถิด ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังดี ๆ มิได้หรือ?”ทว่าข้างในกลับไร้เสียงตอบรับฉินซูยังคงมิยอมแพ้ กล่าวต่อไป “ชูโม่ เจ้าอย่าหึงหวงนักเลย อย่างน้อยก็ให้ข้าอธิบายสักหน่อยเถิด”เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ทหารยามทั้งสองก็อดมิได้ที่จะสบตากัน!ให้ตายสิ ท่านแม่ทัพใหญ่กับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งเกินคาด!!สีหน้าของพวกเขาทั้งสองฉายแววตกตะลึง ราวกับได้รับข่าวเด็ดข่าวใหญ่ฉินซูเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค ทว่าในกระโจมก็ยังคงไร้เสียงตอบรับเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงหันไปถามทหารยามทั้งสอง “ชูโม่อยู่ข้างในจริง ๆ หรือ?”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปแล้วก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีประตูด้านหลังใช่หรือไม่?”“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”“มิได้การ ชูโม่อาจจะเป็นกระไรไปแล้วก็ได้!”กล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูจึงตะโกนเข้าไปด้านใน “ชูโม่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”ขณะที่ฉินซูกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ทหารยามทั้งสองก็รีบร้องทัดทาน “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ห
ขณะเดียวกันกองหนุนทัพหนานเยวี่ยภายในค่ายทหารแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังบุรุษบนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยใจระทึกบุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะสีเงินยวง ร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผาย!เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย เติ้งหม่าง!สายตาเย็นเยียบของเขากวาดมองไปยังกลุ่มคนทีละคน สุดท้ายจับจ้องที่แม่ทัพน้อยหม่า“หม่าเวย เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”หม่าเวยรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ทว่าอาวุธของต้าเหยียนคราวนี้ร้ายกาจเหลือเกิน โล่เกราะหวายของพวกเราเมื่อเผชิญกับลูกธนูของพวกมันก็มิต่างกระไรจากดินเหนียว ยิงคราเดียวก็ทะลุง่ายดาย!”“ใช่แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ โล่เกราะหวายที่พวกเราเคยภาคภูมิใจนักหนา บัดนี้มิอาจหวังพึ่งได้อีกแล้วขอรับ”“มิเพียงเท่านั้น ทางต้าเหยียนยังใช้อาวุธเพลิงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ของสิ่งนั้นอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก ทหารมิใช่น้อยถูกระเบิดจนร่างแหลกมิเหลือชิ้นดีเลยขอรับ”เมื่อกล่าวถึงระเบิดเพลิง หลายคนยังคงหวาดผวาเติ้งหม่างขมวดคิ้วมุ่น และกล่าวพึมพำ “กองทหารรักษาการณ์เจียวโจวถูกพวกเราโจมตีมาเกือบเดือน บัดนี้จู่ ๆ กลับปรากฏอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี
วาจาล้ำสมัยปานนี้ ตี๋จิ่งผู้นี้คิดได้อย่างไร?มู่หรงจื่อเยียนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ฉินซู ท่านมิเป็นกระไรใช่หรือไม่?”“มิเป็นกระไร ไปเถิด”ขณะมองตามสองร่างหายลับไปจากสายตา สหายของตี๋จิ่งก็อดมิได้ที่จะหวั่นวิตกชายร่างกำยำผู้หนึ่งเอ่ยถาม “พี่ตี๋ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?”“หรือว่าพวกเราฟาดหัวองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนให้สลบ แล้วลักพาตัวกลับเป่ยเยี่ยนดี?”“นั่นสิ หากเป็นเช่นนั้น ท่านหญิงจะได้ตามพวกเรากลับเป่ยเยี่ยนเสียที”ตี๋จิ่งโบกมือ และกล่าวว่า “มิได้ อย่าว่าแต่ท่านหญิงจะยอมให้เราทำหรือไม่เลย ลำพังแค่พวกทหารต้าเหยียนที่ยั้วเยี้ยไปทั่ว พวกเราก็มิมีทางทำสำเร็จแล้ว!”“ก็จริงดังว่า แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”“เฝ้าสังเกตการณ์ไปก่อน อารักขาความปลอดภัยท่านหญิงให้ดี”“ขอรับ”พวกเขาปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ติดตามไปที่พักของฉินซูถูกจัดสรรให้อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งใกล้กับประตูเมืองทางทิศเหนือที่นี่ห่างจากประตูเมืองทิศใต้ประมาณเจ็ดแปดลี้ จึงมิต้องกังวลว่าจะถูกผลกระทบจากไฟสงครามเมื่อเข้าสู่โรงเตี๊ยมและปิดประตูลง มู่หรงจื่อเยียนก็อดรนทนรอมิไหว โผเข้ากอดคอฉินซู นางเขย่งปลา
ฉินซูเองก็ประหลาดใจมิต่างกัน เมื่อเห็นสายตาของฉงชูโม่ เขาก็รู้สึกจนปัญญาในใจลอบคิดว่าคนที่มาหาตนนั้นจะเป็นใครกันแน่หรือจะเป็นเซี่ยหลาน หรือว่าหลินชิงเหยา?แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นไปมิได้ เพราะทั้งสองคนเคยรับปากตนว่าจะคอยเขากลับไปอยู่ที่ตำหนักบูรพาเมื่อเห็นฉินซูเงียบไปมิพูดจา ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ "ฉินซู ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่หม่อมฉันมิอยู่ในเมืองหลวง พระองค์จะสำราญบานใจมิน้อยเลยกระมังเพคะ!"ฉินซูกล่าวอย่างใจเย็น "ข้าเปล่านะ""เปล่าหรือ? แล้วสตรีที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใครกัน?""ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้""คนผู้นั้นระบุชื่อเจาะจงว่าจะมาพบองค์รัชทายาท จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้อย่างไร ไปเถิด ไปดูกันดีกว่าว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากที่ใด"เมื่อฉงชูโม่กล่าวจบก็เดินนำออกจากกระโจมบัญชาการไปก่อนฉินซูเดินตามไปด้วยความกระวนกระวายใจเดินไปได้มิไกล ฉินซูก็ถึงกับชะงักเท้าอยู่กับที่ จ้องมองหญิงงามที่อยู่เบื้องหน้ามิไกลอย่างเหม่อลอยเมื่อฉงชูโม่เห็นคนผู้นี้ ก็ขมวดคิ้วถาม "มู่หรงจื่อเยียน? ท่านเป็นถึงท่านหญิงแห่งเป่ยเยี่ยน มายังสนามรบต้าเหยียนด้วย
เมื่อนางกล่าวจบ พลธนูเหล่านั้นก็โห่ร้องขึ้นพร้อมเพรียงกัน "องค์รัชทายาททรงเกรียงไกร!""องค์รัชทายาททรงเกรียงไกร!!"ช่วงเวลาที่ผ่านมา ธนูของพวกเขายิงมิทะลุเกราะหวายของกองทัพหนานเยวี่ย จึงบังเกิดคับแค้นในใจอย่างแสนสาหัสวันนี้สังหารกองทัพหนานเยวี่ยไปมากมายถึงเพียงนี้ ระบายความอัดอั้นในใจออกไปจนหมดสิ้นเมื่อเห็นทุกคนชื่นชมฉินซูจนสุดขั้วหัวใจ สีหน้าของพวกหูก่วงเซิงก็ดูแปลกไปบ้าง แต่ก็มิได้กล่าวสิ่งใด"องค์รัชทายาท ธนูนี้เรียกว่ากระไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"ตงฟางไป๋ชิงตอบเสียก่อน "นี่คือธนูทดกำลัง เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ กรมโยธาธิการเร่งกันทำขึ้นทั้งวันทั้งคืนกว่าจะทำออกมาได้หลายร้อยคันเพื่อให้พระองค์ทรงนำมามอบให้พวกท่านใช้""กระไรนะ?! องค์รัชทายาทเป็นผู้ทรงออกแบบเองหรือ?""องค์รัชทายาททรงเป็นเทพเจ้าจริง ๆ ถึงกับทรงออกแบบสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ออกมาได้!""ใช่แล้ว ธนูนี้มิต้องออกแรงแขน ทว่าพลานุภาพกลับร้ายแรงกว่าธนูที่พวกเราเคยใช้มาหลายเท่าตัว สุดยอดจริง ๆ""แล้วระเบิดไม้ไผ่นั่นเล่า? ก็เป็นผลงานขององค์รัชทายาทเช่นกันหรือ?""ถูกต้องแล้ว ของสิ่งนี้เรียกว่าระเบิดสายฟ้า อานุภาพข
ด้วยอานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า สถานการณ์การรบก็กลายเป็นการรุกไล่ฝ่ายเดียว!กองทัพหนานเยวี่ยแทบจะไร้พลังต้านทาน ได้แต่ถอยร่นกลับไปอย่างมิคิดชีวิตหูก่วงเซิงบุกตะลุยอยู่ครู่หนึ่งก็สังหารศัตรูจนเลือดขึ้นตา คลั่งด้วยความตื่นเต้นจนหัวเราะเสียงดังอย่างประหลาด!เขาร้องตะโกนใส่ตงฟางไป๋เสียงดัง "สหายตงฟาง อาวุธระเบิดพวกนั้น พวกท่านยังมีเหลืออีกเท่าไร?""เหลือเฟือ!"ตงฟางไป๋กล่าวพร้อมตบถุงผ้าตุง ๆ บนอานม้า!"ดี เช่นนั้นพวกเรามาฆ่าพวกเดนมนุษย์พวกนี้ให้สิ้นกันเถอะ!""ข้าก็คิดเช่นนั้น พวกเราคุ้มกันปีกข้าง พวกท่านบุกตะลุยไปเลย!""ดี ลุย!"ทั้งสองตกลงกันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย บุกตะลุยใส่กองทัพหนานเยวี่ยอีกครั้งเนื่องจากเหตุผลเรื่องอ๋องฉู่ แม้ว่าในใจหูก่วงเซิงจะดูหมิ่นฉินซู แต่เมื่อมีอาวุธทรงพลานุภาพเหล่านี้หนุนหลัง เขาก็ยิ่งรุกไล่สังหารศัตรูอย่างฮึกเหิมความรู้สึกที่ได้บดขยี้ศัตรูในแนวรบนั้น ช่างสะใจอย่างหาใดเปรียบเห็นเพียงหอกในมือของเขาฟาดฟันผ่าดงทหาร ข้าศึกล้มตายด้วยน้ำมือของเขาจำนวนนับมิถ้วนลูกน้องของเขาเองก็สังหารศัตรูจนเลือดขึ้นตาเช่นกัน ร่างกายทุกส่วนอาบไปด้วยเลือดสด ๆ ของ