“หม่อมฉันเพิ่งได้รับข่าวมาว่า หลังจากที่ฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนัก พระองค์ทรงเรียกให้หวังฉือนำกู้ตงเฟิงเข้าเฝ้าในยามวิกาล ตรัสว่าจะสอบสวนด้วยพระองค์เอง” “ว่ากระไรนะ? เสด็จพ่อจะทรงสอบสวนกู้ตงเฟิงด้วยพระองค์เองหรือ?” ฉินซูแปลกใจอย่างยิ่ง พร้อมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่มิชอบมาพากล! การสอบสวนคนต้องโทษ ฉินอู๋ต้าวเป็นถึงองค์จักรพรรดิของแผ่นดิน ย่อมมิลงมือด้วยตัวเอง ยกเว้นเสียแต่ว่าจะมีวัตถุประสงค์บางอย่างที่มิสามารถเปิดเผยได้! ฉงชูโม่พยักหน้าอย่างเคร่งเครียด “ใช่แล้ว กู้ตงเฟิงผู้นี้เป็นคนเจ้าเล่ห์นัก หม่อมฉันกลัวว่าฝ่าบาทอาจจะตกหลุมพรางของเขาโดยมิรู้ตัว หม่อมฉันเลยคิดจะเข้าไปเตือน แต่ฝ่าบาททรงมิยอมให้เข้าเฝ้า” เซี่ยหลานมีสีหน้ามึนงง “องค์รัชทายาท ชูโม่ องค์จักรพรรดิก็แค่ทรงสอบสวนนักโทษคนหนึ่งเท่านั้นเองมิใช่หรือ เหตุใดพวกท่านจึงดูเคร่งเครียดกันนัก?” ฉงชูโม่ตอบอย่างมิสบอารมณ์ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์จักรพรรดิทรงเคยสอบสวนอาชญากรด้วยพระองค์เองเมื่อใด? ตอนนี้มิเพียงแต่ทรงสอบสวนเอง แต่ยังมิให้ข้าเข้าเฝ้า เรื่องนี้ชวนให้ขบคิดนัก” “หา? หรือว่าฝ่าบาทจะให้กู้ตงเฟิงรับผิดทั้งหมด ตั้งใจจะปกป้องอ๋อง
ชายชุดดำพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "ที่ข้าช่วยเจ้าไว้ย่อมต้องมีเงื่อนไข แต่เรื่องพวกนี้ไว้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้ว เราค่อยว่ากัน" ในหัวของกู้ตงเฟิงเต็มไปด้วยความคิดที่แล่นไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก แม้แต่ความสามารถของตัวเองยังใช้ได้มิถึงสองส่วน ในเมื่ออีกฝ่ายช่วยเขาไว้ นอกจากจะต้องยอมรับบุญคุณของอีกฝ่ายแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้สามารถใช้กำลังภายในสังหารคนได้จากระยะไกล ความสามารถที่น่ากลัวเช่นนี้ เขาที่บาดเจ็บมิอาจต้านทานได้แน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้น กู้ตงเฟิงจึงถามด้วยความระมัดระวัง "ขอถามท่านผู้มีเกียรติ ท่านมีนามว่าอะไร? และที่นี่คือที่ใด?" "ชื่อของข้าเจ้ามิจำเป็นต้องรู้ ส่วนที่นี่ เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดในใต้หล้า เจ้าเพียงแค่พักฟื้นให้ดี อาหารสามมื้อในแต่ละวันจะมีคนนำมาให้ ยามนี้ดึกมากแล้ว นอนพักเสียเถอะ" หลังจากพูดจบ ชายชุดดำก็เดินออกไปโดยมิหันกลับมา กู้ตงเฟิงได้ยินเสียงทึบดังขึ้น ราวกับเป็นเสียงของประตูหินหนาหนัก เขาพยายามลุกขึ้น หยิบตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะหิน และสำรวจรอบห้องลับที่มืดมิดแห่งนี้ หลังจากจุดไฟในห้องจน
เขาวางชามโจ๊กลงทันทีแล้วถามว่า "ศพอยู่ที่ใด?" "อยู่ที่ตรอกเติงเจี่ย" เหลยเจิ้นเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตะโกนไปยังหอสูงใกล้เคียงว่า "เสวี่ยเจี้ยน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รีบตามอาจารย์ไปที่ตรอกเติงเจี่ย!" เพียงชั่วครู่ ร่างในชุดขาวร่างหนึ่งก็พุ่งลงมาจากหอสูง หญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาว อายุราวยี่สิบสามหรือยี่สิบสี่ปี งดงามดุจดอกท้อ แต่เยือกเย็นดุงน้ำแข็ง นางคือศิษย์คนที่สามของเหลยเจิ้น นามว่ากู้เสวี่ยเจี้ยน นางคารวะอาจารย์ก่อน แล้วถามว่า "อาจารย์ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?" เหลยเจิ้นตอบอย่างสั้น ๆ ว่า "คนของศาลต้าหลี่ตายอยู่ที่ตรอกเติงเจี่ย ใกล้กำแพงวัง!" ใบหน้าของกู้เสวี่ยเจี้ยนเต็มไปด้วยความตกใจ นางจึงกลับไปหยิบถุงผ้าสีดำจากในห้องแล้วรีบตามอาจารย์ออกจากสำนักหอดูดาวหลวง แล้วตรงไปยังตรอกเติงเจี่ยทันที …… ที่ตรอกเติงเจี่ย บนพื้นเย็นเฉียบ มีศพเจ็ดศพนอนกระจัดกระจายอยู่เมื่อเห็นเหลยเจิ้นมาถึง บรรดาทหารองครักษ์ต่างก้มลงคารวะ เหลยเจิ้นถามเสียงเข้มว่า "พบอะไรบ้าง?" "เรียนท่านหัวหน้าโหรหลวง ศพเหล่านี้มีเพียงแค่รอยแผลที่หน้าผาก ไม่มีบาดแผลอื่นใด ดูเหมือน
เขารู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของไอสังหารจากตัวเหลยเจิ้น บรรดาทหารองครักษ์ต่างหันหน้าหนีไปด้วยความหวาดกลัว มิกล้ามองตรงไปยังเขาส่วนใบหน้าของกู้เสวี่ยเจี้ยนก็แสดงถึงความเคร่งเครียด พร้อมกับแฝงแววเศร้าหมองอยู่บนคิ้ว ผ่านไปครู่ใหญ่ เหลยเจิ้นหรี่ตาลงแล้วพูดด้วยเสียงเย็นยะเยือกว่า "ในที่สุด ฆาตกรเมื่อครั้งนั้นก็โผล่ออกมาอีกครั้งแล้ว!" ในขณะนั้น หวังฉือหัวหน้าศาลต้าหลี่ก็มาถึงเมื่อเห็นศพบนพื้น ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างยิ่ง พลางกล่าวอย่างโกรธแค้นว่า "ใครกันที่บังอาจถึงขนาดสังหารคนของศาลต้าหลี่ใกล้กำแพงวังหลวง!" เหลยเจิ้นถามขึ้นว่า "ใต้เท้าหวัง เหตุใดคนของท่านถึงมาอยู่ที่ตรอกเติงเจี่ยเมื่อคืน?" "เรียนท่านหัวหน้าโหรหลวง เมื่อคืนฝ่าบาทมีพระบัญชาจะสอบสวนนักโทษด้วยพระองค์เอง ข้าน้อยจึงส่งคนของข้าน้อยมาส่งนักโทษ แต่มิคิดเลยว่าคนของข้าน้อยจะถูกลอบสังหารจนหมดสิ้น!" "ฝ่าบาทจะสอบสวนอาชญากรด้วยพระองค์เอง? นี่มันเรื่องอันใดกัน?" เหลยเจิ้นรู้สึกแปลกใจ หวังฉือจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟังคร่าว ๆหลังจากฟังเรื่องราวจบ เหลยเจิ้นขมวดคิ้วเข้าหากันโดยมิรู้ตัว "ชื่อเสียง
เหลยเจิ้นกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท การป้องกันของเมืองหลงเฉิงแน่นหนายิ่ง ทั่วทั้งเมืองมีจุดเฝ้ายามทุกสิบก้าว และทหารลาดตระเวนทุกห้าก้าว แม้ว่าพวกพ้องของกู้ตงเฟิงจะมีฝีมือเก่งกล้าเพียงใด ก็ยากที่จะหลบหนีออกไปได้โดยไร้ร่องรอย หากด่านป้องกันต่าง ๆ ยังไม่มีรายงานใด ๆ แสดงว่ากู้ตงเฟิงน่าจะยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองพ่ะย่ะค่ะ” “ที่เจ้าว่ามาก็มีเหตุผล เช่นนั้นก็ให้จัดการตามที่ใต้เท้าหวังเสนอมา ทั้งปิดล้อมและตรวจสอบอย่างเข้มงวด” “ฝ่าบาท กระหม่อมมีอีกเรื่องต้องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าของเหลยเจิ้นดูเคร่งเครียด ฉินอู๋ต้าวก็ขยับตัวตั้งท่าจริงจังแล้วถามว่า “เรื่องใดหรือ?” “ลักษณะการตายของเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่นั้นคล้ายกับกรณีของฮองเฮาและซวนเอ๋อร์ในอดีต กระหม่อมสงสัยว่าผู้ที่ช่วยกู้ตงเฟิงไปนั้นอาจเป็นคนเดียวกับที่สังหารฮองเฮาและซวนเอ๋อร์ในตอนนั้นพ่ะย่ะค่ะ!” “เจ้าพูดจริงหรือ?!”ฉินอู๋ต้าวเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝาดอย่างโกรธจัด เหลยเจิ้นพยักหน้าอย่างจริงจัง “พวกเจ้าหน้าที่ล้วนถูกสังหารด้วยปราณดัชนีที่รุนแรง อีกทั้งบาดแผลยังมีร่องรอยของการถูกเผาไหม้ ซึ่งเหมือนกับกรณีของฮองเฮ
ฉงชูโม่พยักหน้าเล็กน้อยและอธิบายว่า “นางมีนามว่ากู้เสวี่ยเจี้ยน เป็นศิษย์คนที่สามของหัวหน้า นอกจากจะมีฝีมือการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม นางยังเชี่ยวชาญด้านการชันสูตรศพอีกด้วย” เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินซูก็ถึงกับตกตะลึง เขาแทบมิอยากเชื่อว่า สตรีผู้เลอโฉมเช่นนี้ จะมีความสามารถในการชันสูตรศพ! กู้เสวี่ยเจี้ยนค้อมตัวเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ขอถวายคำนับองค์รัชทายาทเพคะ” ฉินซูโบกมือ “มิต้องมากพิธีนัก เช้านี้เจ้าคงยังมิได้ดืนข้าวเช้าใช่หรือไม่? มาร่วมกินกับพวกเราสิ” เมื่อเห็นว่าหมู่ชูโม่และคนอื่น ๆ กำลังนั่งกินอาหารร่วมกับฉินซู กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ถึงกับหยุดนิ่งไปชั่วครู่ องค์รัชทายาทผู้สูงส่ง ไฉนมานั่งกินข้าวร่วมกับฉงชูโม่ซึ่งเป็นข้าราชบริพารเช่นนี้ได้? หากมิเห็นด้วยตาตัวเอง นางคงมิเชื่อเลยว่านี่คือเรื่องจริง! เมื่อได้เห็นหลินชิงเหยาและเซี่ยหลานที่มีความงามเทียบเคียงตน กู้เสวี่ยเจี้ยนก็อดมิได้ที่จะรู้สึกดูแคลนในใจ ดูท่าองค์รัชทายาทผู้นี้คงยังมิเปลี่ยนนิสัยจริง ๆ ทั้งวันคงลุ่มหลงอยู่กับสตรีงาม ๆ พวกนี้ ด้วยนิสัยที่ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานเช่นนี้ จึงมิน่าแปลกใจที่องค์จักรพรรดิจะตัดสิน
กู้เสวี่ยเจี้ยนพยักหน้าอย่างช้า ๆ แล้วกล่าวต่อว่า “บาดแผลของเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่นั้นเหมือนกับบาดแผลของฮองเฮาและศิษย์น้องหญิงขอข้าน้อยอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นพวกเราจึงสงสัยว่า คนที่โจมตีเจ้าหน้าที่เมื่อคืน คือตัวการที่สังหารฮองเฮาและซวนเอ๋อร์ในอดีตเพคะ!” “ว่ากระไรนะ?! ฮองเฮาถูกลอบสังหารอย่างนั้นหรือ?” “มิใช่สิ ตอนนั้นในวังกล่าวว่าฮองเฮาสิ้นพระชนม์เพราะพระอาการประชวรสะสมมิใช่หรือ?” หลินชิงเหยาและเซี่ยหลานต่างมีสีหน้าตกตะลึง ฉงชูโม่จึงอธิบายว่า “ในเวลานั้น ฝ่าบาททรงพิจารณาถึงสถานการณ์โดยรวม จึงมิได้เปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงในการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮา พวกเจ้ารู้เรื่องนี้แล้วก็อย่าได้แพร่งพรายออกไปข้างนอกเด็ดขาด” “พวกเรามิกล้าบอกใครแม้แต่ครึ่งคำแน่” “ใช่ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับของราชวงศ์ พวกเราจะไปพูดพล่อย ๆ ได้อย่างไร” หลินชิงเหยาและเซี่ยหลานต่างแสดงสีหน้าตื่นตกใจ เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉินซูก็ปลอบว่า “ในเมื่อฆาตกรในอดีตอาจกลับมาอีกครั้ง การสืบสวนเรื่องนี้คงทำให้สาเหตุการตายของเสด็จแม่ถูกเปิดเผยออกมา ดังนั้นพวกเจ้ามิต้องกังวลใจมากนักหรอก” ได้ยินเช่นนี้ หลินชิงเหย
ฉินซูพูดด้วยน้ำเสียงมิพอใจว่า “เมื่อครู่กู้เสวี่ยเจี้ยนก็พูดแล้วมิใช่หรือว่าผู้ที่สังหารเจ้าหน้าที่เมื่อคืนนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนเดียวกันกับผู้ที่วางแผนปลงพระชนม์เสด็จแม่ของข้า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเสด็จแม่ ข้าจะอยู่เฉยได้อย่างไร'""ท่านกล่าวได้มีเหตุผล เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปกับท่านเอง" หลังจากที่ฉงชูโม่พูดเสร็จ เขาก็ออกไปพร้อมกับฉินซูเมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูใหญ่ของศาลต้าหลี่ หวังฉือก็ออกมาต้อนรับ "ข้าน้อยขอคารวะองค์รัชทายาท มิทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา ข้าน้อยจึงมิได้ออกมาต้อนรับ ขอองค์รัชทายาทโปรดอภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ" หวังฉือรู้สึกตกตะลึงระคนดีใจเล็กน้อย เพราะมิคาดคิดว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จมาที่ศาลต้าหลี่ติดกันเช่นนี้ฉินซูยิ้มบาง ๆ และกล่าวว่า "มิต้องมากพิธี ข้าได้ยินมาว่าเมื่อคืนมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตอยู่หลายคน ศพของพวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?" "อยู่ในห้องเก็บศพพ่ะย่ะค่ะ" "ดี พาพวกเราไปดูหน่อย" หวังฉือชะงักเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยความตกใจว่า "องค์รัชทายาทจะไปดูศพหรือพ่ะย่ะค่ะ?" "เหตุใดหรือ มีปัญหาอะไร?" "หามิได้ ๆ พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ข้
ฉินซูรับจดหมายมาเปิดดู สีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวดูอัปลักษณ์เกินบรรยายเนื้อความในจดหมายเขียนว่า 'องค์รัชทายาทผู้รอวันปลด ข้ายังมีธุระด่วนต้องกลับเป่ยเยี่ยน ไม่มีเวลาเล่นแมวไล่จับหนูกับเจ้า ข้าจับตัวเด็กสาวจากสำนักหอดูดาวหลวงไว้แล้ว ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน หากเจ้ามิปรากฏตัวที่หอดารารักษ์ภายในเวลานั้น ก็เตรียมเก็บศพเด็กคนนั้นได้เลย!'ลงนาม ซ่างกวนอวิ๋นซี!หลังจากที่ฉินซูอ่านจดหมายจบ พ่อค้าคนนั้นก็ยื่นกระบี่ยาวให้เห็นเพียงปลอกกระบี่ประดับด้วยอัญมณีเจ็ดเม็ดเรียงกันเป็นรูปกลุ่มดาวหมีใหญ่!ที่ปลายด้ามกระบี่ยังมีน้ำเต้าหยกขาวเล็ก ๆ สองลูกห้อยอยู่ เป็นกระบี่ประจำตัวของกู้เสวี่ยเจี้ยน!ฉินซูถามด้วยเสียงเคร่งขรึม "คนที่ให้เจ้าส่งจดหมาย ตอนนี้อยู่ที่ใด?""เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน คนผู้นั้นให้เงินข้าสิบตำลึง ฝากข้าให้นำจดหมายและกระบี่เล่มนี้มาให้ท่าน พอนางให้ของกับข้าแล้วก็ขี่ม้าไปทางเหนือ บอกว่าจะกลับเป่ยเยี่ยน"เมื่อได้ยินพ่อค้าพูดเช่นนี้ สีหน้าของฉินซูก็นิ่งขรึมราวกับน้ำนิ่งกู้เสวี่ยเจี้ยนถูกซ่างกวนอวิ๋นซีจับตัวไปแล้ว แถมยังถูกพาตัวกลับเป่ยเยี่ยน!เขามิคาดคิดว่าเจ้าสำนักหอดารารักษ์จะใช้
ซ่างกวนอวิ๋นซีเหลือบมองด้านหลังของฉินซูแวบหนึ่ง จากนั้นหลับตาลงอีกครั้ง ตั้งใจใช้พลังฝ่าผนึกในร่างกายผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูปซ่างกวนอวิ๋นซีลืมตาขึ้นทันที มองไปยังทิศทางที่ฉินซูจากไปด้วยสายตาคมกริบจากนั้นร่างของนางก็วูบหายไป เพียงพริบตาก็ไปปรากฏบนต้นไม้ใหญ่ด้านหน้าเมื่อมองไปรอบ ๆ บริเวณนี้ ไม่มีแม้แต่เงาของฉินซู!นางแค่นเสียงเย็นชา กล่าวด้วยจิตสังหารแรงกล้า "องค์รัชทายาทผู้รอวันปลด ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะหนีไปได้ถึงไหน!"พูดจบ นางก็กระโจนขึ้นไล่ตามไปข้างหน้าทันทีเวลาเดียวกันนั้นเอง ฉินซูวิ่งหนีจนสุดกำลัง มาถึงบริเวณรอบนอกของป่าเขาหยิบหน้ากากหนังบางเบาราวปีกแมลงทับออกมาจากอกเสื้อ สวมครอบใบหน้าอย่างคล่องแคล่วจากนั้นก็รีบกลับด้านเสื้อคลุม สวมใหม่อีกครั้ง พลิกโฉมกลายเป็นชายชราในชุดคลุมสีดำเมื่อมาถึงถนนหลวง เขาชะลอฝีเท้าลง เดินปะปนไปกับผู้คนบนท้องถนนมินานนักร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีก็พุ่งออกมาจากป่า!เมื่อมาถึงถนนหลวง นางกวาดสายตาคมกริบไปตามผู้คนบนถนนเมื่อแน่ใจว่าไม่มีฉินซูอยู่ในนั้น นางก็กระโจนขึ้นเวหาติดตามไปข้างหน้ารอจนกระทั่งนางหายลับไปสุดสายตา ฉินซูที่ปลอมเป็นชายชราใน
เมื่อได้ยินคำพูดของซ่างกวนอวิ๋นซี ฉินซูก็มีหน้าเคร่งเครียดทันที!เขาคิดในใจว่า ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนอยู่ดี ๆ จะให้ไปเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์แห่งหอดารารักษ์ของเจ้าด้วยเหตุใด?เห็นข้าโง่หรือไร!เขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด "เจ้าอย่ามาล้อเล่น ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ไม่มีทางไปเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์ของเป่ยเยี่ยนพวกเจ้าได้หรอก""พูดให้ถูกคือ บุตรแห่งนักปราชญ์แห่งหอดารารักษ์ต่างหาก!""หอดารารักษ์ของเจ้าก็เป็นของเป่ยเยี่ยน ข้ามิยอมรับอยู่แล้ว!"ซ่างกวนอวิ๋นซีส่งเสียงหึ กล่าวอย่างหยิ่งผยอง "เจ้าคิดว่า เจ้ามีสิทธิ์ปฏิเสธหรือ เมื่อข้าฝ่าผนึกในร่างกายได้ การจับเจ้ากลับไปก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก""วันนี้ข้าขอพูดไว้ตรงนี้ เจ้าต้องเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์แห่งหอดารารักษ์ มิอยากเป็นก็ต้องเป็น!"นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว แสดงออกถึงความแข็งแกร่ง!มุมปากของฉินซูกระตุกเล็กน้อย หมดคำจะพูดหากซ่างกวนอวิ๋นซีฝ่าผนึกได้จริงและฟื้นพลังที่แข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัวนั้นกลับมา เขาก็ไม่มีทางต่อต้านได้ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเผชิญหน้ากับวรยุทธ์อันแท้จริง จะรักษาชีวิตไว้ได้หรือไม่
"เจ้าคนลามก เจ้าอย่าได้ใจไป ข้าฟื้นพลังกลับมาได้เมื่อใด ข้าจะทำให้เจ้าอยากตายก็ตายมิได้ อยากอยู่ก็อยู่มิได้!""ขอร้องล่ะ ข้ามิได้ตั้งใจสังหารหนานกงจื่อชินกับซือคงเหยียนอะไรนั่นเสียหน่อย เจ้ามิอยากรู้เรื่องราวเบื้องหลังหรือ?""มิว่าอย่างไร ก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่เจ้าสังหารพวกเขามิได้ ดังนั้นข้าต้องสังหารเจ้า!"ฉินซูหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าว "แต่ตอนนี้เจ้าสังหารข้ามิได้ ขืนต่อสู้กันต่อไปก็มีแต่จะบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย สู้พวกเราถอยกันคนละก้าวดีกว่าหรือไม่?"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีก็กระโดดถอยหลังหลุดออกจากวงล้อมการต่อสู้หลังจากทรงตัวได้ นางถามเสียงแข็ง "ถอยกันคนละก้าวอย่างไร? หรือเจ้าจะยอมจำนน กลับไปหอดารารักษ์กับข้าเพื่อรับโทษ?""เฮ้อ ตอนนี้เจ้าก็ทำอะไรข้ามิได้ แล้วเหตุใดจึงคิดว่าข้าจะกลับไปกับเจ้า? ช่างเป็นคนอกโตแต่ไร้สมองเสียจริง!""เจ้า!! ไร้ยางอาย!"ซ่างกวนอวิ๋นซีโกรธจนถ่มน้ำลาย"หึ ๆ เจ้าอย่าโกรธไปเลย หญิงงามเช่นเจ้า หากโกรธจะหมดสวยหนา ต้องชมเลยว่ารูปร่างหน้าตาของเจ้าถือว่าโดดเด่นที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา โดยเฉพาะรูปร่างนี้ สุดยอด หากได้ร่วมค่ำคืนกับตัวข้าสัก
จบเห่แล้ว!กู้เสวี่ยเจี้ยนหน้าซีดเผือด หัวใจดิ่งวูบลงสู่ก้นบึ้ง!แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีร่างหนึ่งวาบผ่านมาอยู่ตรงหน้านาง ฉินซูยืนขวางนางไว้!เห็นเพียงฉินซูตบฝ่ามือออกไป!ในวินาทีต่อมา กระแสพลังฝ่ามือแข็งแกร่งสองสายก็ปะทะกันอย่างรุนแรง“เปรี้ยง!!”กระแสพลังฝ่ามือระเบิดออก ปราณบริสุทธิ์บ้าคลั่งกลายเป็นปราณวายุม้วนตัว พุ่งออกไปรอบด้านต้นไม้ใหญ่บริเวณใกล้เคียงถูกกดจนล้มลงไปอีกเป็นจำนวนมาก!กู้เสวี่ยเจี้ยนเองก็ถูกคลื่นพลังอันบ้าคลั่งนี้ผลักให้ถอยร่นไปเรื่อย ๆ เช่นกัน!หากไม่มีฉินซูคอยปกป้องป่านนี้นางคงถูกพัดกระเด็นไปแล้วแต่ถึงกระนั้น ภายใต้แรงกดดันของปราณวายุที่น่าสะพรึงกลัวนี้ ร่างของฉินซูก็ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างห้ามมิได้สุดท้ายจึงไปพิงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งจึงทรงตัวอยู่ได้"เอ๋?!"ฉินซูอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ เพราะเขาพบว่าซ่างกวนอวิ๋นซีที่อยู่ตรงข้ามก็ถอยหลังไปสองก้าวเช่นกัน!สิ่งนี้ทำให้เขางุนงงมากเมื่อครู่ซ่างกวนอวิ๋นซีแสดงพลังอันน่าตกใจเช่นนี้ออกมา เหตุใดบัดนี้ถึงอ่อนแอลงเช่นนี้?ฝั่งซ่างกวนอวิ๋นซีเริ่มหงุดหงิด ด้วยความโมโหนางจึงกระทืบเท้าลงบนพื้นพุ่งเข้าหาฉินซูราว
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็สะบัดข้อมือ ปราณแห่งกระบี่คมกริบก็ฟันเข้าที่ต้นไม้ใหญ่ข้าง ๆ'โครม!'ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นล้มลง ฝุ่นฟุ้งกระจายเป็นวงกว้างแล้วฉินซูก็อุ้มนางวิ่งไป ส่วนนางก็คอยใช้ปราณแห่งกระบี่ฟันต้นไม้ข้างทางเป็นระยะเช่นนี้ไปตลอดทางผ่านไปกว่าหนึ่งเค่อ ในที่สุดก็มองมิเห็นร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีไล่ตามหลังมาแล้วเมื่อเห็นดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ถอนหายใจโล่งอกแต่ในขณะนั้น ฉินซูกลับหยุดลงกู้เสวี่ยเจี้ยนเร่งเร้า "ฉินซู เจ้าหยุดทำไม รีบไปสิ พวกเราอุตส่าห์หนีนางพ้นแล้วนะ"ฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น "พวกเราหนีนางมิพ้น""กระไรนะ?!"กู้เสวี่ยเจี้ยนชะงักไป จากนั้นจึงเอี้ยวศีรษะไปมองเห็นสตรีผู้งามสง่าราวกับเทพธิดา ยืนอยู่มิไกลพร้อมด้วยปราณสังหาร!นั่นคือซ่างกวนอวิ๋นซีในตอนนี้ผมเผ้านางกระเซิงเล็กน้อย ผ้าคลุมหน้าหายไปไหนมิอาจทราบได้ ฉินซูและกู้เสวี่ยเจี้ยนจึงได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางใบหน้าที่งดงามเกินต้านทานของซ่างกวนอวิ๋นซี ยังดูดีกว่าหงฉู่ม่อได้ชื่อว่างามที่สุดในต้าเหยียนอยู่เพียงเล็กน้อย!"เอ่อ เจ้าเป็นเจ้าสำนักหอดารารักษ์จริง ๆ หรือ?"ฉินซูอดถามอีกครั้งมิได้ เพราะซ่า
เมื่อเห็นหยกครึ่งซีกนี้ ดวงตาของซ่างกวนอวิ๋นซีก็หดเล็กลง ใบหน้างดงามฉายแววตกใจ!หยกนี้เป็นหยกที่นางมอบให้ซือคงเหยียนเมื่อครานั้นพลังที่อยู่ภายในนั้นเทียบเท่ากับการลงมือของนางหนึ่งครั้งหลังจากฉินซูขว้างหยกนี้ออกไป พลันอุ้มกู้เสวี่ยเจี้ยนขึ้นมา แล้วร่างก็วูบหายไปในป่าเขาใช้ปราณบริสุทธิ์ในร่างกายอย่างเต็มที่ ความเร็วของเขาเร็วมากจนน่าตกตะลึงในขณะเดียวกันหลังจากที่หยกนั้นชนเข้ากับฝ่ามือลวงตาน่าสะพรึงกลัวนั้น มันก็แตกออกพลังอันน่าพรั่นพรึงระดับเดียวกันก็ปะทุออกมาจากภายในตู้ม...เสียงดังสนั่นหวั่นไหวระเบิดออก พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ปรากฏรอยแตกคล้ายใยแมงมุมมากมายภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ ทำให้กลางลำต้นของต้นไม้เกือบทั้งหมดในรัศมีหลายลี้หักลง!โครม!จากป่าที่อยู่ไกลออกไปนั้นมีนกจำนวนนับมิถ้วนบินหนีออกกระจัดกระจายไปทุกทิศทางส่วนฉินซูและกู้เสวี่ยเจี้ยนหลบพ้นจากรัศมีของแรงระเบิดไปอย่างฉิวเฉียดเมื่อเห็นป่าด้านหลังถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ตกใจจนพูดมิออกฉินซูเองก็รู้สึกเสียวสันหลังมิแพ้กันแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้คิดมาก พลันใช้ปราณทั้งหมดไปกับวิชาตัวเบ
เมื่อเห็นภาพนั้นฉินซูก็ขมวดคิ้ว รู้สึกได้ถึงลางร้ายซ่างกวนอวิ๋นซีส่งเสียงหึ "เจ้าฉินซู เจ้าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลด กล้าสังหารบุตรแห่งนักปราชญ์และผู้อาวุโสหอดารารักษ์ของข้า วันนี้ ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยเลือด ตอบแทนด้วยชีวิต!"เมื่อสิ้นเสียง กลิ่นอายสังหารน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากร่างของนางจากนั้นนางก็สะบัดสองนิ้ว ลำแสงกระบี่ราวกับจับต้องได้สายหนึ่งก็พุ่งตรงมาหาฉินซูฉินซูผลักกู้เสวี่ยเจี้ยนออกไป จากนั้นก็กำหมัดกระแทกออกทันใดเงาหมัดแฝงด้วยปราณวายุอันพลุ่งพล่านพุ่งเข้าปะทะกับปราณแห่งกระบี่ของซ่างกวนอวิ๋นซีตูม...หลังจากเสียงระเบิดดังขึ้น ฉินซูและซ่างกวนอวิ๋นซีก็ถอยหลังไปคนละก้าว!เมื่อเห็นดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็อ้าปากค้างจนกรามแทบหลุด!ซ่างกวนอวิ๋นซีเป็นถึงเจ้าสำนักหอดารารักษ์ วรยุทธ์ของนางกล้าแกร่ง เกรงว่าจะมิด้อยไปกว่าหัวหน้าโหรหลวงทีเดียวแต่บัดนี้ฉินซูกลับต่อสู้กับนางได้อย่างสูสี แล้วจะมิให้นางตกใจได้อย่างไร!นางย่อมมิรู้ว่า ตอนนี้พลังในร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีถูกหัวหน้าโหรหลวงสะกดเอาไว้ วรยุทธ์จึงอยู่ที่ระดับสวรรค์ขั้นสูงสุดเท่านั้นส่วนฉินซูขมวดคิ้วและรู้สึกงุนงงเล็ก
"ว่ากระไรนะ? เจ้าสำนักหอดารารักษ์?!"ฉินซูเบิกตากว้าง แทบมิเชื่อสายตา!ไฉนเจ้าสำนักหอดารารักษ์จึงได้อ่อนเยาว์เช่นนี้?ในดวงตาคู่สวยของซ่างกวนอวิ๋นซีเผยความประหลาดใจ นางเหลือบมองกู้เสวี่ยเจี้ยนเมื่อเห็นลายปักกลุ่มดาวหมีใหญ่ที่ปักอยู่บนชุดของนาง ก็แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา "ตาเจ้ายังพอมีแววอยู่บ้าง มิเสียทีที่เป็นศิษย์ของตาเฒ่าเหลยเจิ้นนั่น!"กู้เสวี่ยเจี้ยนหัวใจเย็นวาบ รีบกระซิบบอกกับฉินซู "เจ้าสำนักหอดารารักษ์มีพลังลึกล้ำเกินหยั่งถึง ควานหาทั่วต้าเหยียน มีเพียงอาจารย์ของหม่อมฉันเท่านั้นที่ต้านทานนางได้ ท่านหนีไปเถิด หม่อมฉันจะพยายามถ่วงเวลานางไว้ให้นานที่สุด"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูก็เผยรอยยิ้มขมขื่นตั้งแต่ที่ซ่างกวนอวิ๋นซีปรากฏตัว เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันรุนแรงที่แผ่ซ่านมาจากนางนี่แสดงให้เห็นว่า พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งจนน่าตกใจกู้เสวี่ยเจี้ยนต้องการถ่วงเวลานางก็มิต่างกระไรจากเรื่องเพ้อฝันเมื่อเห็นฉินซูนิ่งเฉย กู้เสวี่ยเจี้ยนก็เร่งเร้าอย่างร้อนรน "ไยท่านยังยืนอยู่อีก รีบไปเร็วเข้า"ฉินซูส่ายหน้าอย่างจนปัญญา "เจ้าถ่วงเวลานางมิได้หรอก อีกทั้งเป้าหมายของนางคือข้า เจ้าหลบไป