ฉินเหยี่ยนคิดอย่างไรก็คิดมิตก จู่ ๆ เขาก็หันไปมองตงฟางไป๋และถามว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่เจ้าว่าพวกเขาคือคนของอ๋องหนิง ใช่หรือไม่?”“ตอนที่พวกเราออกนอกเมืองมาพร้อมแม่ทัพใหญ่ฉง คนพวกนั้นก็โผล่มาพอดี ตอนนั้นพวกเขากล่าวอ้างว่าตนเป็นทหารในสังกัดของจวนอ๋องหนิง”“ถ้าเช่นนั้น รีบตรวจดูว่าบนร่างพวกเขามีป้ายของจวนอ๋องหนิงหรือไม่!”ตงฟางไป๋โบกมือให้เหล่าทหาร พวกเขาจึงเริ่มค้นหาบนร่างของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นแต่เพียงครู่เดียว พวกเขาก็มิพบอะไรเลยฉงชูโม่โกรธจัดและกล่าวว่า “ตงฟางไป๋ เจ้าคุ้มกันองค์รัชทายาทกลับไป ข้าจะไปถามอ๋องหนิงให้รู้เรื่อง!”เมื่อนางพูดจบก็ทำท่าจะจากไป แต่ฉินซูกลับเรียกนางเอาไว้ก่อน“ชูโม่ ช้าก่อน!”“องค์รัชทายาทมีรับสั่งอะไรอีกหรือเพคะ?”“เจ้าบุกไปถามตรง ๆ เช่นนั้น หากอ๋องหนิงยอมรับ ก็นับว่าแปลกแล้ว”ฉงชูโม่ครุ่นคิดเล็กน้อย นางเห็นด้วยจึงถามว่า “เช่นนั้นในความเห็นของท่าน เราควรทำอย่างไรต่อไป?”ฉินซูคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่คนร้ายโจมตีแล้วรีบหนีไปโดยมิลังเล เพราะมันคิดว่าฉินเหยี่ยนตายแล้ว ดังนั้นเราจะใช้แผนลวง รอจนข่าวการตายของฉินเหยี่ยนล่วงไปถึงหลงเฉิง แ
ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย “ก็อาจจะใช่ ข้ามิค่อยสบายใจนัก จึงแอบตามมาด้วย เจ้าลองเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นให้ข้าฟังหน่อยเถอะ ข้าจะได้ดูว่ามีจุดอ่อนใดที่พวกเขาเผยไต๋ออกมาบ้างหรือไม่”ฉงชูโม่จึงเล่าถึงการลอบโจมตีของชายชุดขาวให้ฟังอย่างละเอียดเมื่อนางพูดจบ ตงฟางไป๋ก็เสริมว่า “หลังจากที่แม่ทัพฉงไล่ตามชายชุดขาวไปแล้ว เฉินอันและพรรคพวกก็เข้าโจมตีพวกเราทันที หม่อมฉันคิดว่าพวกเขาต้องเป็นพวกเดียวกันแน่!”แต่ฉินซูปฏิเสธ “ไม่หรอก หากพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน วิธีที่ดีที่สุดคือต้องให้เฉินอันและพรรคพวกโจมตีเราก่อน เพื่อให้พวกเจ้าติดพันอยู่กับการต่อสู้ เมื่อมัวต่อสู้จนชุลมุน แล้วชายชุดขาวค่อยออกมาจากป่ามาโจมตีทีหลัง เช่นนั้นจะมีโอกาสสำเร็จมากกว่าและสมเหตุสมผลกว่าด้วย”ตงฟางไป๋ประหลาดใจ “ถ้าเช่นนั้น พวกเขาเป็นคนละพวกกัน ไม่สิ ดูแล้วน่าจะมีถึงสามกลุ่ม!”“สามกลุ่ม? เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฉงชูโม่ถามด้วยความงุนงง“อ้อ เดิมทีกระหม่อมก็ยังมิรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่หลังจากที่ได้ฟังคำวิเคราะห์ขององค์รัชทายาทแล้ว คนที่ออกมาโจมตีกระหม่อมคือชายชุดดำ เขามิใช่พวกเดียวกับเฉินอัน แต่เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง”“เจ้าว่ากระไ
“หลิวเว่ย รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ ถวายบังคมองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” “ขอถวายบังคมองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูเลิกคิ้วเล็กน้อย ถามขึ้นว่า "ใต้เท้าหลิว เหตุใดพวกท่านจึงมาที่นี่ได้?"หลิวเว่ยตอบกลับอย่างนอบน้อม "กระหม่อมได้รับรายงานว่ามีผู้วางแผนลอบสังหารเฉินหลิวอ๋องที่ศาลาสิบลี้แห่งนี้ กระหม่อมจึงนำคนเร่งรุดมาทันที มิทราบว่าองค์รัชทายาทได้พบเจอพวกโจรบ้างหรือมิพ่ะย่ะค่ะ?""พวกเจ้ามาช้าไปแล้ว ฉินเหยี่ยนถูกลอบสังหารเสียชีวิตไปแล้ว พวกโจรชั่วส่วนใหญ่หลบหนีไปได้ ที่เหลือก็ถูกสังหารทั้งหมด"เมื่อได้ยินคำนี้ สีหน้าของหลิวเว่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาเดินไปสำรวจที่รถม้าที่เสียหายและพินิจอย่างละเอียดเมื่อเห็นศพของฉินเหยี่ยนและชายารองข้างกาย เขาจึงกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจว่า "องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ การลอบสังหารเฉินหลิวอ๋องเป็นเรื่องใหญ่หลวงนัก กระหม่อมต้องรีบนำความกลับไปรายงานต่อศาลต้าหลี่ เพื่อให้ตุลาการศาลต้าหลี่ทูลเรื่องที่เกิดขึ้นต่อองค์จักรพรรดิ องค์รัชทายาท กระหม่อมของทูลลา""ได้ พวกท่านไปเถอะ" ฉินซูตอบอย่างมิใส่ใจ“ขอองค์รัชทายาททรงพระเจริญ”หลิวเว่ยคำนับแล้วขึ้นม้ากลับไปทางเดิมพร้อมกับเหล่
“ไม่มีปัญหา อีกหนึ่งชั่วยามข้าจะให้คนจัดส่งไปให้เจ้า”“ฮ่าฮ่า ขอบพระทัยไว้ณที่นี้ มิเสียแรงที่กระหม่อมทุ่มเทเพื่อท่านไปมากมาย”หลังจากที่ชายชุดดำกล่าวจบ เขาก็เดินไปกดบางกลไกที่ข้างชั้นหนังสือเสียงกึกก้องดังขึ้น พร้อมกับที่ผนังค่อย ๆ แยกออกทั้งสองข้าง เผยให้เห็นทางเดินทอดยาวลงไปเบื้องยาวชายชุดดำเคลื่อนตัวหายเข้าไปในทางเดินนั้นทันทีฉินเซียวออกจากห้องตำรา แล้วเรียกลูกน้องคนสนิทมาพบ ก่อนสั่งการว่า “หาสตรีบริสุทธิ์มาสิบคน อย่าทิ้งร่องรอยไว้เด็ดขาด”“ท่านอ๋องโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”......ในโรงเตี๊ยมเทียนเว่ยมู่หรงจื่อเยียนและมู่หรงฟู่ กำลังรับประทานอาหารเย็นทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างมู่หรงฟู่สะดุ้งด้วยความตกใจ พอเห็นชัดเจนจึงร้องออกมาว่า “จื่อชิน! เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ?!”“พี่จื่อชิน ท่านบาดเจ็บหนักหรือ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”เมื่อเห็นแขนเสื้อข้างซ้ายของหนานกงจื่อชินถูกย้อมด้วยเลือดจนชุ่ม มู่หรงจื่อเยียนทั้งตกใจและกังวล รีบเดินไปพยุงให้เขานั่งลงหนานกงจื่อชินโบกมือเบา ๆ แล้วพูดว่า “มิเป็นไร แค่บาดแผลภายนอกเท่
ครู่ต่อมา เสียงของเฉาฉุนก็ดังมาจากข้างใน “ทูลฝ่าบาท ตุลาการศาลต้าหลี่ หวังฉือ ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”หวังฉือจัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย แล้วก้าวเดินเข้ามาอย่างมั่นคงเขาคำนับรีบตามธรรมเนียม และเริ่มกล่าวทันทีว่า “ฝ่าบาท เกิดเหตุใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เฉินหลิวอ๋องพร้อมทั้งพระชายารองถูกลอบปลงพระชนม์ระหว่างเดินทางผ่านศาลาสิบลี้พ่ะย่ะค่ะ...”“ว่ากระไรนะ!!”ฉินอู๋ต้าวผุดกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ใคร! ใครมันช่างบังอาจถึงเพียงนี้ กล้าลอบสังหารบุตรของข้าเชียวรึ?!”หวังฉือรีบตอบด้วยความหวาดกลัวว่า “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ ยามที่คนของศาลต้าหลี่ไปถึงยังศาลาสิบลี้ เฉินหลิวอ๋องก็ถูกปลงพระชนม์ลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ และพระศพก็ได้ถูกทหารที่ติดตามองค์รัชทายาทคุ้มครองนำกลับมา จากคำบอกเล่าขององค์รัชทายาท...”เขายังมิทันพูดจนจบประโยค ฉินอู๋ต้าวก็ขัดขึ้นทันที “เจ้าว่าอย่างไรนะ? องค์รัชทายาทก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือ?”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ได้ยินว่า องค์รัชทายาทยังพากองทหารจากตำหนักบูรพาไปด้วย”“องค์รัชทายาทพากองทหารไปยังศาลาสิบลี้ หรือว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าจะมีการลอบสังหารฉินเหยี่ยน? หรือว่
ภายในท้องพระโรงพระตำหนักจินหลวนฉินอู๋ต้าวนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าเคร่งขรึมราวกับน้ำแข็ง ดวงตาที่ลึกล้ำและเย็นชานั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำความโกรธที่ปะทุขึ้นทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกเล็กน้อยฉินอู๋ต้าวนั่งนิ่งบนบัลลังก์ มิเอ่ยปากแม้สักคำ สายตาจับจ้องไปยังด้านนอกท้องพระโรงอย่างมิลดละคล้ายกับว่ากำลังรออะไรบางอย่างอยู่...บรรยากาศในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความอึดอัด ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ทั้งหลายไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากขึ้นก่อนแม้กระทั่งเว่ยเจิงแห่งสำนักขุนนางใหญ่ และเหลยเจิ้นผู้เป็นเจ้าสำนักหอดูดาวหลวงต่างก็เลือกที่จะนิ่งเงียบขณะนั้น เสียงที่ยังฟังดูอ่อนเยาว์เสียงหนึ่งก็ทำลายความเงียบในท้องพระโรงลง“เสด็จพ่อ ลูกได้ยินว่าพี่หกถูกลอบสังหาร เรื่องนี้จริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ผู้ถามคือ ฉินอี้ องค์ชายลำดับที่แปดในองค์จักรพรรดิหลังจากที่เขาเอ่ยถามจบ ฉินหงก็ถามขึ้นต่อว่า “เสด็จพ่อ ทรงพระกรุณาตรัสอะไรบ้างเถิด น้องหกของพวกเราเป็นอย่างไรกันแน่?” “เสด็จพ่อ แม้น้องหกจะถูกลดฐานันดรเหลือเพียงตำแหน่งเฉินหลิวอ๋อง แต่เขายังเป็นโอรสของท่าน และเป็นน้องของพวกเราด้วย หากเขาตาย
จากนั้น “ร่าง”ของฉินเหยี่ยนก็ถูกหามเข้ามาในขณะนี้เขานอนอยู่บนเปลที่ทำขึ้นอย่างง่าย ๆ ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อยบาดแผลที่หน้าอกของเขาถูกเย็บเรียบร้อยแล้ว ด้วยวิธีการเฉพาะตัวของฉินซู ทำให้ไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติได้ฉินอู๋ต้าวเดินลงมาจากบันไดหยก เอื้อมมือไปสัมผัสที่มือของฉินเหยี่ยนเมื่อสัมผัสได้ถึงมืออันเย็นเฉียบไร้ชีวิตของฉินเหยี่ยน สีหน้าของเขาก็มืดมนลงไปอีกฉินหง ฉินหยางและคนอื่น ๆ ต่างก็แสดงท่าทางเศร้าสลด ราวกับมิอาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ไหว“พี่หก ท่านตายอย่างน่าอนาถเหลือเกิน...” ฉินอี้ องค์ชายแปดกล่าวด้วยความสะอื้นไห้ฉินอู๋ต้าวหันไปตวาดถามฉินซูว่า “พูดมา! ฉินเหยี่ยนตายอย่างไร?”“เหตุการณ์เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ...” ฉินซูเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างสุขุมมิเปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อยหลังจากฟังเรื่องราวจบ ฉินอู๋ต้าวก็ถามต่อด้วยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าไปที่ศาลาสิบลี้เพื่อช่วยชีวิตฉินเหยี่ยน แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีคนจะลอบทำร้ายเขา?”ฉินหยางรีบพูดขึ้นก่อน “เสด็จพ่อ นี่มันชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? องค์รัชทายาทพอถูกเปิดโปง ก็เลยอ้างว่าจะ
ฉงชูโม่พูดด้วยความเสียดายว่า “สอบสวนมิได้แล้ว พวกเขาตายหมดแล้ว”นางคาดการณ์ไว้ว่า อ๋องหนิงคงจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ นางก็จำเป็นต้องทบทวนเรื่องนี้ใหม่อีกครั้งหรือว่าพวกทหารจากจวนอ๋องหนิงที่ชื่อเฉินอันคนนั้น จะเป็นตัวปลอมจริง ๆ?ฉินหยางถามขึ้นว่า “ชูโม่ ตอนนั้นเจ้ากับองค์รัชทายาทออกเดินทางไปศาลาสิบลี้พร้อมกันหรือไม่?”ฉงชูโม่ส่ายหน้า “มิใช่เพคะ หม่อมฉันออกเดินทางไปก่อน ตอนที่รถม้าของเฉินหลิวอ๋องถูกลอบโจมตี องค์รัชทายาทเพิ่งจะมาถึงศาลาสิบลี้”ฉินหยางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แสดงท่าทีเหมือนมองเห็นความจริงทั้งหมดเขาหันไปมองฉินอู๋ต้าวแล้วกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “เสด็จพ่อ ฟังจากบทสนทนาของพวกเขาแล้ว ลูกก็พอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มิแน่ใจว่าควรพูดออกไปหรือไม่”ฉินอู๋ต้าวตรัสตำหนิว่า “มีอะไรจะพูดก็พูดมา อย่ามาเล่นลิ้นต่อหน้าข้า!”ฉินหงรู้สึกมิพอใจทันที ในใจเดิมทีอยากจะอวดความสามารถ แต่มิคิดว่าจะโดนตำหนิเช่นนี้เขาเหลือบมองฉินซูอย่างมิพอใจ ก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า “เสด็จพ่อ ความจริงก็ชัดเจนแล้ว องค์รัชทายาทเป็นผู้สั่งให้คนไปลอบสังหารน้องหก”“ก่อนลงมือ เขากลัว
ฉินอู๋ต้าวยังมิทันได้แสดงท่าที หวังฉือก็โต้แย้งขึ้นมาทันควัน “ข้าน้อยมิเข้าใจคำพูดของอ๋องซิ่น ยามนี้ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทเลย แล้วเหตุใดท่านจึงต้องให้องค์จักรพรรดิทรงพิจารณาให้รอบคอบด้วยหรือ?”“นั่นสิ เป่ยเยี่ยนเดิมทีก็มีความตั้งใจจะล่วงล้ำพรมแดนของราชวงศ์ต้าเหยียนมาตลอด ยามนี้ยังมิได้มีการระดมทัพเลย แต่ท่านอ๋องซิ่นกลับกลัวแล้ว หากวันหนึ่งเป่นเยี่ยนระดมทัพขึ้นมาจริง ๆ ท่านจะมิสนับสนุนให้องค์จักรพรรดิแบ่งดินแดนให้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินหยางถูกหวังฉือและเนี่ยหงโต้กลับจนหน้าซีดในที่สุดบัดนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่า หวังฉือและเนี่ยหง ทั้งสองเป็นขุนนางระดับสองที่กลายเป็นคนของฉินซูไปแล้วเขาเกิดความสงสัย ฉินซูเป็นองค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลด เขามีดีอะไรที่ทำให้ทั้งสองคนนั้นยอมรับเขาเป็นผู้นำ?แต่เมื่อเผชิญกับคำซักถามอย่างเข้มงวดของหวังฉือและเนี่ยหง เขาก็มิอาจอุบเงียบเอาไว้ได้ จึงแค่นเสียงเย็นชา"หึ! ข้าในฐานะจวิ้นอ๋องแห่งราชวงศ์ต้าเหยียน ต่อให้วันข้างหน้าสงครามปะทุขึ้นอีกครั้ง ก็ย่อมไม่มีทางให้เสด็จพ่อยอมสละดินแดนเพื่อขอสันติภาพ เพียงแต่ยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเร
ข่าวที่ว่าฉินซูได้สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์นั้นแพร่กระจายราวกับไฟป่า ก่อให้เกิดความปั่นป่วนทั้งในและนอกเมืองหลงเฉิงผู้คนต่างพูดถึงเรื่องนี้ทุกมื้อหลังอาหารบางคนยกย่องฉินซูว่าเขาทำให้ต้าเหยียนมีเกียรติบางคนถึงกับแอบส่ายหัว แม้ว่าฉินซูจะเป็นรัชทายาท ทว่าการสังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์โดยไร้เหตุผลนั้นคงมิเป็นที่ยอมรับของราชสำนักเป่ยเยี่ยนและหอดารารักษ์ จากนี้ไปฉินซูองค์รัชทายาทผู้นี้อาจไม่มีวันมีชีวิตที่สงบสุขอีกต่อไปคนที่รู้สึกประหลาดใจที่สุดคงเป็นมู่หรงจื่อเยียนหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ ใจนางก็เกิดความสงสัยว่า คนที่ฆ่าหนานกงจื่อชินคือฉินซูจริง ๆ หรือ?แต่ฉินซูเก่งแค่วิชาตัวเบาเท่านั้น แล้วเขาจะสังหารหนานกงจื่อชินได้อย่างไร?ทว่าเมื่อนึกถึงเมื่อยามหลังจากที่ออกมาจากดินแดนแห่งความฝันนั้น ฉินซูเอาชนะอันธพาลเหล่านั้นได้ในพริบตา นางก็ตระหนักว่าความแข็งแกร่งของฉินซูนั้นมิธรรมดาเมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รีบสงบสติอารมณ์ และบังคับให้ตัวเองใจเย็นลงหากมู่หรงฟู่รู้ว่าฉินซูมีฝีมือที่เหนือชั้นเช่นนี้ สถานการณ์ของฉินซูคงจะอันตรายอย่างมากต่อมา มู่หรงจื่อเยียนเลือกที่จะ
ฉินหงมองเนื้อหาในจดหมายเพียงครู่เดียว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป!เขากล่าวเสียงทุ้มหนัก "เตรียมเกี้ยว ข้าจะไปจวนอ๋องซิ่น แล้วก็แจ้งให้ใต้เท้าหลินและใต้เท้าเซี่ยมาประชุมที่จวนอ๋องซิ่นด้วย!""พ่ะย่ะค่ะ!"สองเค่อต่อมาฉินหงพร้อมด้วยหลินซีและคนอื่น ๆ ก็มารวมตัวกันที่จวนอ๋องซิ่นฉินหยางถามอย่างสงสัย "น้องสี่ ดึกป่านนี้พวกเจ้ายังมากัน มีข่าวดีอะไรจากทางคูมู่หรือ?""ยังติดต่อคูมู่มิได้ แต่เสด็จพี่สาม พวกท่านลองดูนี่ก่อน"ฉินหงพูดพลางวางจดหมายฉบับนั้นลงบนโต๊ะฉินหยาง หลินซีและคนอื่น ๆ เข้ามาอ่านข้อความบนจดหมายโดยพร้อมเพรียงหลังจากได้อ่านแล้ว เซี่ยเหอก็เอ่ยขึ้นอย่างตกใจ "ว่ากระไรนะ? ฉินซูสังหารศิษย์เอกของหอดารารักษ์?!"ฉินหยางถามด้วยสีหน้าฉงน "น้องสี่ แน่ใจหรือว่าข่าวนี้เป็นความจริง?""น่าจะมิใช่เรื่องเท็จ ศิษย์เอกของหอดารารักษ์มีฐานะสูงส่งในแคว้นเป่ยเยี่ยน ผู้ใดจะกล้าพูดเล่นเกี่ยวกับเรื่องนี้""แต่ศิษย์เอกอย่างหนานกงจื่อชินมีพลังแข็งแกร่งนัก องค์รัชทายาทจะสังหารเขาได้อย่างไร?"หลินซีเองก็กล่าวเสริมขึ้นเช่นกัน "ใช่แล้ว แม้กู้เสวี่ยเจี้ยนแห่งสำนักหอดูดาวหลวงจะติดตามองค์รัชทายาทไปทางเหนือด้วยแต่ด้ว
นางพูดด้วยเสียงสะอื้นพร้อมถามกลับว่า "เสด็จพี่หมายความว่าอย่างไร? หรือท่านคิดว่าหม่อมฉันเป็นคนฆ่าพี่จื่อชินเช่นนั้นหรือ?"ซือคงเหยียนรีบพูดขึ้น "องค์ชาย ท่านหญิงจื่อเยียนมีใจรักใคร่กับจื่อชิน นางจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร? การตายของจื่อชินถือเป็นการกระทบกระเทือนใจอย่างใหญ่หลวงต่อนาง โปรดอย่าได้สงสัยในตัวนางเลยพ่ะย่ะค่ะ"มู่หรงฟู่ครุ่นคิดแล้วเห็นด้วย จากนั้นก็สงบอารมณ์ลงเขาพูดอย่างจริงจัง "จื่อเยียน ข้าหาได้มีเจตนาสงสัยเจ้าไม่ แต่เจ้าต้องบอกความจริงเกี่ยวกับการตายของจื่อชิน มิเช่นนั้นพวกเราจะล้างแค้นให้เขาได้อย่างไร?"“หม่อมฉันมิรู้จริง ๆ เดิมทีพี่จื่อชินได้ขวางเส้นทางของฉินซูไว้ในป่า หม่อมฉันกังวลว่า คนของฉินซูจะรู้เรื่องนี้เข้า จึงขอร้องพี่จื่อชินว่าอย่าทำอะไรวู่วาม สุดท้ายเขาก็ฟาดข้าจนหมดสติไปพอฟื้นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ใต้หน้าผา หม่อมฉันปีนขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วหาม้าตัวหนึ่งขี่กลับมา ส่วนเรื่องอื่นหม่อมฉันมิรู้จริง ๆ”หลังจากฟังคำพูดของมู่หรงจื่อเยียนแล้ว สีหน้าของมู่หรงฟู่และซือคงเหยียนก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้นผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงฟู่ก็เอ่ยขึ้นเสียงหนักอึ้ง "
มู่หรงจื่อเยียนตกตะลึง ก่อนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ "เสด็จพี่ พี่จื่อชินเขายังมิได้กลับมาหรอกหรือ?"“ไม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น? พวกเจ้ามิได้กลับมาด้วยกันหรอกหรือ?”“เป็นไปมิได้ หากพูดตามเหตุผล เขาควรจะกลับมาเร็วกว่าหม่อมฉันสิ หรือว่าระหว่างจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงทำให้เขากลับมาล่าช้า?”มู่หรงจื่อเยียนครุ่นคิดในใจ ตนและฉินซูติดอยู่ในดินแดนแห่งความฝันนานขนาดนั้น หนานกงจื่อชินก็น่าจะกลับมาตั้งนานแล้วถึงจะถูกหรือว่า เขาจะยังตามหาตนอยู่ที่บริเวณขอบผานั่น?มู่หรงฟู่มองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า "ที่นี่เต็มไปด้วยสายลับ เข้าไปคุยข้างในดีกว่า"มู่หรงจื่อเยียนพยักหน้าเห็นด้วย และเดินตามมู่หรงฟู่เข้าไปข้างในทันทีที่นางนั่งลง มู่หรงฟู่ก็ถามขึ้นด้วยความร้อนใจ "เป็นอย่างไรบ้าง? ทำสำเร็จหรือไม่? ฉินซูถูกกำจัดเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?"มู่หรงจื่อเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า "มิสำเร็จ ตอนที่พี่จื่อชินกำลังจะลงมือก็มีกลุ่มปีศาจภูเขาเข้ามาก่อกวน ต่อมา… หม่อมฉันก็พลัดหลงกับเขา ส่วนเรื่องหลังจากนั้น หม่อมฉันก็มิรู้แล้ว”มู่หรงฟู่ขมวดคิ้วรู้สึกว่า คำพูดของมู่หรงจื่อเยียนดูมิค่อยสมเหตุสมผลกันเขาขมวดคิ้วแ
ส่วนครอบครัวและคนสนิทของทั่วป๋าชื่อทั้งหมดถูกตวนมู่สั่งคนไปจัดการประหารจนหมดสิ้นแล้วอีกทั้งตวนมู่ยังได้แต่งตั้งคนสนิทของตนขึ้นมาควบคุมกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ภายในชนเผ่าฉินซูพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ตวนมู่ทำงานอย่างเฉียบขาด รวดเร็ว สามารถรวบรวมกำลังอำนาจของตนได้ภายในเวลาอันสั้นเพียงนี้ อีกทั้งยังกล้าหาญ นับว่าเป็นบุคคลที่ทำการใหญ่ได้ทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงถามอย่างสงสัย "ตวนมู่ ชนเผ่าโครยอของเจ้ามีทหารเพียงสองหมื่นนายเท่านั้น แต่ทั่วป๋าชื่อเอาความกล้าจากที่ใดมาคิดสังหารข้ากัน"“องค์รัชทายาท ก่อนที่ท่านจะเสด็จมา ทั่วป๋าชื่อได้รับจดหมายจากผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ในนั้นมีการสัญญาว่า ขอเพียงทั่วป๋าชื่อสามารถกำจัดองค์รัชทายาทได้ วันหน้าเมื่อผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะมอบเมืองให้ชนเผ่าโครยอของเราสองสามเมืองเพื่อฟื้นฟูชนเผ่าพ่ะย่ะค่ะ”“ผู้สูงศักดิ์? คือผู้ใด?”“เรื่องนี้ ทั่วป๋าชื่อมิได้บอกอย่างชัดเจน เขาบอกเพียงว่าเป็นหนึ่งในพระโอรสขององค์จักรพรรดิ อ้อ ใช่แล้ว จดหมายฉบับนั้นน่าจะอยู่ในห้องตำราของทั่วป๋าชื่อ ข้าน้อยจะไปค้นหามาให้พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่ตวนมู่พูดจ
ฉินซูโบกมือแล้วตะโกนสั่งกับทหารผู้นั้น "ไป นำตัวตวนมู่หาให้ข้า!"“รับพระบัญชา!”ทหารผู้นั้นรับคำอย่างนอบน้อมแล้วนำคนอีกสองคนเดินอย่างรวดเร็วไปยังคุกเพียงชั่วครู่ ตวนมู่ก็ถูกนำตัวมาในตอนนี้ เขาถูกใส่โซ่ตรวนที่มือและเท้า ดูคล้ายกับนักโทษอย่างไรอย่างนั้นฉินซูเลิกคิ้ว พลันถามว่า "ตวนมู่ ข้าได้ยินมาว่า ทั่วป๋าชื่อสั่งให้เจ้าฆ่าข้า มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?"ตวนมู่กวาดสายตามองสถานการณ์ภายในลาน เมื่อเห็นเศษแขนขาที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ม่านตาของเขาก็หดตัวในฉับพลันความคิดในหัวของเขาแล่นอย่างรวดเร็ว มินานก็วิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าได้เมื่อตั้งสติได้ เขาจึงรีบเอ่ยตอบ "องค์รัชทายาท เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงมิทำตามคำสั่งของเขา?”“องค์รัชทายาท ท่านคือรัชทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งแผ่นดิน หากลงมือกับท่านก็เท่ากับการก่อกบฏ เป็นที่สาปแช่งทั้งฟ้าดิน ข้าน้อยยอมตายเสียดีกว่าทำเรื่องที่ไร้ความจงรักภักดีและอกตัญญูเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”คำพูดของตวนมู่แฝงความมิจริงใจอยู่บ้าง แต่เขารู้ดีว่าบัดนี้ฉินซูได้กุมอำนาจในสถานการณ์นี้ไว้แล้วดังนั้นหากมิแสดงความจงรักภักดีเสียตอนนี้แล
ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่พูดมิกี่คำก็สามารถทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนหันดาบมาทำร้ายตนได้ นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง!อูมู่โกรธจนตัวสั่น เขาตะโกนสั่งกลุ่มพลธนูของเขาว่า "ยิงธนู ฆ่าพวกทรยศพวกนี้ให้หมด!"ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!ลูกธนูนับสิบพุ่งทะลวงกลางอากาศไปอย่างรวดเร็วทหารที่ทรยศเหล่านั้นส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่ถูกยิงจนเต็มไปด้วยลูกธนูล้มลงไปนอนในแอ่งเลือดอูมู่ตวาดลั่น "เห็นหรือยัง นี่คือจุดจบของคนทรยศ ใครกล้าชี้ดาบใส่คนในเผ่าตนอีก ข้าจะฆ่ามันมิปรานี!"เมื่อเห็นดังนั้น เหล่าทหารก็พากันหวาดกลัวจนมิกล้าขยับตัว“นี่ ข้ามอบของดีให้พวกเจ้า!”เสียงหัวเราะเย้ยหยันของฉินซูดังขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นก็โยนบางสิ่งไปยังตำแหน่งของกลุ่มพลธนูเหล่านั้นอูมู่ซึ่งมีปฏิกิริยารวดเร็ว คว้ามันไว้ในมือทันที!เมื่อมองดูชัด ๆ จึงพบว่ามันคือลูกเหล็กกลม ๆ ลูกหนึ่ง!ปลายด้านบนของลูกกลมยังคงพ่นควันโชยออกมาเขามองดูสิ่งของแปลกประหลาดในมือ และกำลังจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงนสงสัยแต่ยังมิทันที่จะได้ถาม ก็ได้ยินเสียง…ตูม เสียงครึกโครมดังสนั่น ลูกกลมในมือของอูมู่ระเบิดอย่างรุนแรง!ร่างของอูมู่ถูกระเบ
ถานเหวยโกรธจนกัดฟันกรอด พลันตะโกนด่าด้วยความโมโห "ทั่วป๋าชื่อ เจ้านี่ช่างบ้าบิ่น การลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทคือโทษประหารล้างชั่วโคตร! หากพวกเจ้ากล้าก่อเรื่องในวันนี้ ก็จงรอรับมือกองทัพจากราชสำนักที่จะมากวาดล้างพวกเจ้าทั้งเผ่าโครยอให้สิ้นซากได้เลย!”“หึ ในเมื่อข้ากล้าลงมือ ข้าก็เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้หมดแล้ว เจ้าคิดว่ามีใครในพวกเจ้าในวันนี้จะหนีรอดไปได้หรือ?”อูมู่ยังหัวเราะเยาะหยัน "เพียงแค่พวกเราฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด องค์จักรพรรดิจะมีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือพวกเรา?"“ใช่แล้ว แถบพื้นที่ฉงซานมีสัตว์ร้ายอาละวาดหนัก ถึงตอนนั้นทุกคนคงคิดว่ารัชทายาทผู้ตกอับถูกสัตว์ร้ายฆ่าตาย ใครเล่าจะสงสัยมาถึงพวกเราชนเผ่าโครยอ?”กานรุ่ยสีหน้าเคร่งขรึม และเอ่ยเสียงเบา "องค์รัชทายาท พวกเขาพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ เมื่อพวกเขากล้าลงมือ แสดงว่าต้องวางแผนไว้อย่างรัดกุมแล้ว อีกเดี๋ยวท่านโปรดหาโอกาสหลบหนี พวกเราจะยอมสละชีวิตเพื่อเปิดทางให้เองพ่ะย่ะค่ะ"หลังจากพูดจบ เขาก็ชักดาบออกจากฝักเหล่าทหารที่ติดตามต่างก็ชักกระบี่ออกมาเช่นกันด้วยท่าทีพร้อมสละชีวิตทั่วป๋าชื่อตะโกนเสียงดัง "ฉินซู ยังมิรีบปลิดชีพตนอีกรึ จ