ฉงชูโม่พูดด้วยความเสียดายว่า “สอบสวนมิได้แล้ว พวกเขาตายหมดแล้ว”นางคาดการณ์ไว้ว่า อ๋องหนิงคงจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ นางก็จำเป็นต้องทบทวนเรื่องนี้ใหม่อีกครั้งหรือว่าพวกทหารจากจวนอ๋องหนิงที่ชื่อเฉินอันคนนั้น จะเป็นตัวปลอมจริง ๆ?ฉินหยางถามขึ้นว่า “ชูโม่ ตอนนั้นเจ้ากับองค์รัชทายาทออกเดินทางไปศาลาสิบลี้พร้อมกันหรือไม่?”ฉงชูโม่ส่ายหน้า “มิใช่เพคะ หม่อมฉันออกเดินทางไปก่อน ตอนที่รถม้าของเฉินหลิวอ๋องถูกลอบโจมตี องค์รัชทายาทเพิ่งจะมาถึงศาลาสิบลี้”ฉินหยางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แสดงท่าทีเหมือนมองเห็นความจริงทั้งหมดเขาหันไปมองฉินอู๋ต้าวแล้วกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “เสด็จพ่อ ฟังจากบทสนทนาของพวกเขาแล้ว ลูกก็พอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มิแน่ใจว่าควรพูดออกไปหรือไม่”ฉินอู๋ต้าวตรัสตำหนิว่า “มีอะไรจะพูดก็พูดมา อย่ามาเล่นลิ้นต่อหน้าข้า!”ฉินหงรู้สึกมิพอใจทันที ในใจเดิมทีอยากจะอวดความสามารถ แต่มิคิดว่าจะโดนตำหนิเช่นนี้เขาเหลือบมองฉินซูอย่างมิพอใจ ก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า “เสด็จพ่อ ความจริงก็ชัดเจนแล้ว องค์รัชทายาทเป็นผู้สั่งให้คนไปลอบสังหารน้องหก”“ก่อนลงมือ เขากลัว
ฉินหยางมีท่าทางมั่นใจ มิเกรงกลัวใด ๆ พูดเย็นชาออกมา “ถึงข้าไม่มีหลักฐาน แต่สำนักหอดูดาวหลวงสามารถตรวจสอบได้ ด้วยความสามารถของสำนักหอดูดาวหลวง แน่นอนว่าพวกเขาจะหาความจริงออกมาได้แน่นอน ถึงเวลานั้นก็จะรู้เองว่า สิ่งที่ข้าคาดเดานั้นจริงหรือไม่”ฉินอู๋ต้าวหันไปมองเหลยเจิ้น ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "สืบสวนเรื่องนี้โดยด่วน มิว่ามันจะเกี่ยวข้องกับผู้ใด ข้า… ต้องการเพียงความจริง!""กระหม่อมรับพระบัญชา!" เหลยเจิ้นก้มหน้ารับคำสั่งด้วยความเคารพท่ามกลางฝูงชน ฉินเซียวเริ่มกระวนกระวายหากสำนักหอดูดาวหลวงเข้ามาทำการสืบสวนจริง ๆ ในกรณีนั้นการสืบสาวมาถึงตัวเขาก็เป็รนเรื่องของเวลาเท่านั้นเมื่อนึกถึงจุดนี้ เขาก็หันไปส่งสัญญาณด้วยสายตาให้ขันทีน้อยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆขันทีคนนั้นเข้าใจเจตนาในทันทีและรีบถอยออกไปมินานหลังจากนั้น ขันทีน้อยคนนั้นก็กลับเข้ามาอีกครั้ง ก่อนคุกเข่าลงและรายงานด้วยความเคารพว่า "กราบทูลฝ่าบาท มีคนจากภายนอกเข้ามาคนหนึ่ง เขากล่าวว่าเขาต้องการมอบตัวสารภาพผิดพ่ะย่ะค่ะ""มอบตัวสารภาพผิดหรือ?""พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท คนผู้นั้นอ้างว่ารู้ความจริงเกี่ยวกับเหตุลอบสังหารเฉิน
ฉินหงพูดด้วยใบหน้าเศร้าใจ "เสด็จพี่รัชทายาท ถึงน้องหกจะเคยทำผิด เขามิควรส่งคนไปลอบสังหารท่านก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ถูกเนรเทศไปจากเมืองหลวงและได้รับโทษตามสมควรแล้ว เหตุใดท่านยังต้องการเอาชีวิตเขาอีก?"เหล่าองค์ชายคนอื่น ๆ ก็เริ่มกล่าวตำหนิติเตียนไปตาม ๆ กันองค์ชายแปดพูดด้วยใบหน้าที่มิเชื่อว่า "เสด็จพี่ ๆ ทั้งหลาย เรื่องราวยังมิกระจ่างชัด ท่านทั้งหลายก็กล่าวโทษเสด็จพี่ใหญ่เสียแล้ว ข้าเชื่อว่าเสด็จพี่ใหญ่ต้องถูกใส่ความแน่นอน เขาจะทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร ข้ามิเชื่อ ไม่มีทางเป็นไปได้!"ฉินหยางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "น้องแปด เจ้าอายุยังน้อย เมื่อเจ้าโตขึ้น เจ้าจะเข้าใจเองว่าคนเรายามต้องการรักษาอำนาจของตน สามารถโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงใด""แต่เสด็จพี่รัชทายาทจะลงมือกับน้องชายของตนได้อย่างไร?" องค์ชายแปดมองไปยังหลี่ซานกุ้ยและถามเสียงดัง "เจ้าคนสารเลว รีบพูดมา ผู้ใดเป็นคนสั่งเจ้าให้ใส่ร้ายเสด็จพี่รัชทายาทของข้า?"หลี่ซานกุ้ยสั่นสะท้านพลางส่ายหัว "ไม่มีใครสั่งข้าน้อยพ่ะย่ะค่ะ ที่ข้าน้อยกล่าวไปล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"ฉินอู๋ต้าวกล่าวด้วยเสียงเย็น
ชายวัยกลางคนคนนี้คือผู้ดูแลจวนอ๋องหนิง นามว่าโจวฟาง ! ทันทีที่เขาถูกนำตัวเข้ามา เขาก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมร้องขอชีวิต "ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทำเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะองค์รัชทายาทบีบบังคับ ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"จักรพรรดิฉินอู๋เต้ายังมิทันได้เอื้อนเอ่ย ฉินเซียวก็โกรธจนเตะโจวฟางล้มลงไปกับพื้นและตะโกนด่า "เจ้าเดรัจฉาน! หาเรื่องให้ข้าจริง ๆ โชคดีที่เมื่อวานเสด็จพ่อมีพระบัญชาอื่น มิเช่นนั้นหากข้าส่งทหารไปยังศาลาสิบลี้จริง ตอนนี้ข้อหาลอบสังหารฉินเหยี่ยนคงจะตกอยู่กับข้าแล้ว เจ้ามันสมควรตาย!"เขาตะโกนด่าทอพร้อมทั้งกระทืบโจวฟางซ้ำ ๆ เพียงชั่วอึดใจ โจวฟางก็ถูกเตะจนทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยเท้า ใบหน้าฟกช้ำบวมเป่งโจวฟางร่ำไห้สะอึกสะอื้นพลางกล่าวว่า "ท่านอ๋องหนิง กระหม่อมก็จนปัญญาจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทส่งคนไปจับตัวครอบครัวกระหม่อมไว้ บอกว่าหากกระหม่อมมิทำตามที่สั่ง องค์รัชทายาทจะฆ่าครอบครัวกระหม่อมทุกคน กระหม่อมจึงต้องทำตามอย่างไม่มีทางเลือกพ่ะย่ะค่ะ"ฉินหยางอดใจมิไหวกล่าวขึ้นบ้าง "เสด็จพ่อ บัดนี้ทุกอย่างกระจ่างแล้ว แถมยังมีพยานยืนยันอีกด้วย ขอเสด็จพ่อ
คำพูดของฉินซูทำให้ฉินหงชะงัก ทำเขาถึงกับพูดมิออก เขารู้ดีว่าฉินซูพูดถูก เรื่องสำคัญเช่นนี้ เป็นใครก็คงมิทิ้งหลักฐานชัดเจนถึงเพียงนี้ได้ฉินซูยังคงกล่าวต่อ “จดหมายฉบับนี้ยังมีตราประทับของข้าอีกต่างหาก หรือกลัวว่าคนอื่นจะมิรู้ว่านี่เป็นฝีมือข้าหรืออย่างไร? หลักฐานเช่นนี้ดูจงใจเกินไปหน่อยกระมัง?”ฉินหงแสดงอาการลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดต่อ “หึ ตอนนั้นท่านคงกังวลจนมิทันได้คิดถึงรายละเอียดพวกนี้ ตอนนี้พยานและหลักฐานมีครบแล้ว เป็นท่านแน่ ท่านสังหารน้องหก มิว่าจะแก้ตัวอย่างไร ท่านก็หนีความจริงมิพ้น! เสด็จพ่อ กระหม่อมขอให้มีการไต่สวนสามสำนัก เพื่อตรวจสอบความผิดของฉินซูด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”หลังจากที่ฉินหยางกล่าวจบ หวังฉือ ตุลาการศาลต้าหลี่ก็ออกมากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า การพิจารณาคดีองค์รัชทายาทเช่นนี้มิใช่เรื่องล้อเล่น หากไม่มีหลักฐานที่แน่นหนา การสั่งไต่สวนสามสำนักจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ขอฝ่าบาททรงตรึกตรองให้ดีด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เนี่ยหง ผู้ตรวจการจากสำนักผู้ตรวจการก็เสริมว่า “กระหม่อมเห็นด้วยกับหวังฉือ ข้อมูลที่เรามีในตอนนี้ยังมิมากพอที่จะดำเนินการตรวจสอบคดีอง
จากนั้นหลี่ซานกุ้ยก็ตัวสั่น และเลือดสีดำที่มีกลิ่นเหม็นก็ไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเขามิคิดเลยว่าเขาจะกินยาพิษปลิดชีพตนในที่เกิดเหตุ!เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองไปที่เหลยเจิ้นทันทีในพริบตาเดียว เขาก็รีบรุดมาตรวจดูหลี่ซานกุ้ยจากนั้นเขาก็ถอนหายใจและส่ายหัวเบา ๆ ไปทางฉินอู๋ต้าวฉินซูกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ความจริงได้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า หลี่ซานกุ้ยจ่ายเงินติดสินบนสวีฉง และหลังจากที่ได้ตราประทับของลูกไป เขาก็นำไปประทับตราจดหมายดังกล่าวตอนนี้เมื่อเห็นว่าการกระทำของตนถูกเปิดเผย เขาจึงฆ่าตัวตาย พฤติกรรมดังกล่าวก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้เป็นการเสกสรรปั้นเรื่องที่ไม่มีมูลขึ้นมา ขอเสด็จพ่อโปรดทรงให้ความเป็นธรรมแก่ลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวคาดมิถึงว่าหลี่ซานกุ้ยจะเลือกปลิดชีพตนเช่นนี้เขาโบกมือแล้วพูดว่า “นำร่างของหลี่ซานกุ้ยออกไป และทำการสืบสวนอย่างละเอียด หาตัวคนบงการ ข้าอยากจะเห็นนักว่า ใครที่มันคอยยุยงสร้างเรื่องอยู่เบื้องหลัง!”“รับพระราชบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ราชองครักษ์ลากร่างอันไร้วิญญาณของหลี่ซานกุ้ยออกไปฉินหยางนึกฉุนเฉียวอยู่ในใจ โอกาสอั
หนึ่งเค่อต่อมาเซี่ยหลานได้มาถึงพระตำหนักจินหลวนก่อนหน้านั้น นางได้ยินมาว่า ฉินซูเป็นผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังของการสังหารเฉินหลิวอ๋อง ดังนั้นนางจึงรีบมารออยู่ด้านนอกประตูตำหนักเพราะนางเชื่อมั่นว่า ฉินซูไม่มีทางทำเช่นนั้นได้หลังจากถูกเรียกตัวไปที่พระตำหนักจินหลวน นางก็นึกสงสัยและมิเข้าใจว่า เหตุใดองค์จักรพรรดิถึงยอมให้เรียกนางเข้ามาในเวลานี้แต่หลังจากที่เห็นว่าฉินซูมิได้รับบาดเจ็บ นางที่เป็นกังวลก็รู้สึกโล่งใจพลางถอนหายใจยาวนางถวายคำนับฉินอู๋ต้าวและพูดด้วยความนอบน้อม “เซี่ยหลานขอถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”ฉินอู๋ต้าวพูดอย่างจนใจ “ขุนนางเซี่ย ตอนนี้เจ้าเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาทแล้ว ต่อไปเวลามาพบข้าให้เจ้าพูดคำแทนตัวเองเป็นขุนนาง จำไว้ด้วยเข้าใจหรือไม่?”เซี่ยหลานพยักหน้าอย่างเก้อเขิน “หม่อมฉัน… ข้าน้อยจำไว้แล้วเพคะ”จากนั้น ฉินอู๋ต้าวก็พูดกับฉินซู “เซี่ยหลานมาแล้ว เจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาได้เลย”ฉินซูยิ้มพลางมองเซี่ยหลานแล้วถามว่า “เซี่ยหลาน เมื่อวานช่วงต้นยามซื่อเจ้าทำอะไรอยู่? และอยู่กับผู้ใด?”หลังจากได้ยินคำถาม เซี่ยหลานก็นึกย้อนถึงความทรงจำในตอนนั้นมินาน ใบหน้างามของนางก็
ฉงชูโม่ยังกล่าวอีกว่า “ฝ่าบาท สิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสนั้นเป็นความจริงอย่างแน่นอนเพคะ ท่านอ๋องหนิง นั่นคือช่วงที่ท่านเสด็จมามิใช่หรือเพคะ?”แม้ฉินเซียวอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อมีคนมากมายที่เห็นเขามาที่หน้าประตูตำหนักบูรพา ซึ่งย่อมมิสามารถปฏิเสธได้ เขาจึงต้องพยักหน้าฉินซูพูดเสียงดัง “ข้อเท็จจริงก็เป็นที่แน่ชัดแล้ว โจวฟางโกหกมาตั้งแต่ต้น! เจ้ากล้าใส่ร้ายข้าต่อหน้าธารกำนัลได้อย่างไร โจวฟาง เจ้าควรจะมีความผิดในฐานอะไรดี?!”โจวฟางตื่นตระหนกอย่างยิ่งและรีบมองไปที่ฉินเซียวเพื่อขอความช่วยเหลือฉินเซียวโมโหอย่างอัดอั้น ในใจสบถสาปแช่งบรรพบุรุษของโจวฟางไปสิบแปดชั่วโคตร‘ให้ตายเถอะ จนป่านนี้ก็ยังจะหันมาขอความช่วยเหลือจากข้า นี่มันเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าข้าเป็นคนสั่งการเจ้ามิใช่รึ?’เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉินเซียวก็เตะโจวฟางล้มลงกับพื้นและพูดด้วยความโกรธว่า “สารเลว บังอาจใส่ร้ายองค์รัชทายาท บอกมา ผู้ใดสั่งการเจ้ากันแน่ พูดความจริงมาเดี๋ยวนี้ หากเจ้ากล้าเล่นลิ้นอีกละก็ เมื่อถึงตอนที่ข้อกล่าวหาได้รับการพิสูจน์แล้ว เจ้าก็จะได้รับโทษประหารล้างตระกูล หากเจ้ามิคิดถึงตัวเอง ก็คิดถึงญาติโกโหติกาของเจ้าเสียเถอะ