แน่นอนว่า เรื่องที่คลุมเครือและเหตุการณ์ที่ฉินซูฉวยโอกาสใกล้ชิด ฉงชูโม่ก็ละเลยมิได้เล่าถึง ขณะที่ฉงชูโม่เล่า ใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัวเมื่อสวีหลายเห็นเช่นนั้น เขายิ้มบาง ๆ พร้อมพูดเป็นนัยว่า "ดูท่าองค์รัชทายาทจะมิใช่คนเสเพลอย่างที่เล่าลือกันไว้ แถมพระองค์ยังดูจะดีต่อเจ้ามิน้อยเลย""ดีตรงไหนกัน เขาทำทุกอย่างก็เพื่อหวังผลประโยชน์ทั้งนั้น ข้าขี้เกียจจะพูดถึงเขาแล้ว"แม้ปากของฉงชูโม่จะกล่าวด้วยท่าทีมิไยดี แต่เมื่อพูดถึงฉินซู มุมปากของนางกลับยกขึ้นโดยมิรู้ตัว สวีหลายได้แต่ยิ้มส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องทั่วไปกับนางในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น ฉินซูก็กลับเข้ามาจากข้างนอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนหน้านี้ เขาออกไปสูดอากาศแล้วพบว่า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยแอบใส่บางอย่างลงในไหเหล้าเล็ก ๆ ไหหนึ่ง!ทำให้ฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยทำเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์อะไร หรือว่า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยถูกน้องชายคนหนึ่งของเขาซื้อตัวไปแล้ว?คิดเช่นนี้ ฉินซูจึงเกิดความสงสัยและในดวงตา แฝงแววอาฆาตเขาตัดสินใจแล้วว่า หากตู๋กูโฉ่วเยวี่ยคิดจะลงมือกับเขาจริง ๆ ก็อย่าหาว่าเขาไ
ก่อนที่ฉินซูจะพูดจบ ฉงชูโม่ก็ยื่นมือมาหยิกเนื้อส่วนเกินที่เอวของเขาอย่างแรง“โอ๊ยยย!!”ฉินซูร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เสียงเหมือนหมูกำลังถูกเชือด พลางลูบจุดที่ถูกหยิกเนื้อพร้อมกับถามด้วยสีหน้าบูดเบี้ยวว่า “เจ้ามาหยิกข้าด้วยเหตุใดเล่า?”ฉงชูโม่ยกกำปั้นเล็ก ๆ อย่างโอหัง “หากกล้าพูดเหลวไหลอีก หม่อมฉันจะซัดท่านแน่ จะเชื่อหรือไม่ก็ลองดู!” “ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทเชียวนะ...” ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ฮึ! แค่องค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลด อีกอย่าง อย่าลืมสิว่าหม่อมฉันได้รับพระบรมราชานุญาตเป็นพิเศษ หากหม่อมฉันจะตีท่าน หม่อมฉันมิต้องรับผิดชอบอะไรเลยด้วยซ้ำ”ฉินซูใบหน้าเง้างอถมึงทึง ก่อนเอ่ยอย่างจนใจว่า “ก็ได้ ข้ายอมเจ้าก็แล้วกัน” เขาหันไปทางตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพร้อมกับยักไหล่ แสดงให้เห็นว่าเขาทำอะไรมิได้ ส่วนตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจจากนั้น พวกเขาก็เริ่มกินดื่มและพูดคุยกันไปอย่างผ่อนคลายมินานนัก สวีหลายก็ดื่มเหล้าในไหเล็กนั้นจนหมด เขามองไหในมือแล้วกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์ “มิเสียทีที่เป็นสุราสลักบุปผาอายุหลายปีของหอสุราอมตะ แม้จะใส่ยาสลายพลังลงไป แ
อีกฝ่ายมิปฏิเสธประโยคหลังและพูดเสียงเรียบ “หลายปีมานี้ข้าพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก ในที่สุดก็พบวิธีฝึกฝนที่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดและพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองต่อไปได้”ฉงชูโม่ถามด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือ? ในเมื่อความแข็งแกร่งของท่านเทียบได้กับระดับสวรรค์ขั้นต้นแล้ว นั่นหมายความว่าใช้เวลาอีกมินานท่านก็จะแข็งแกร่งเทียบเท่าหัวหน้าโหรหลวงตาแก่ตายยากผู้นั้น?”ในภาพจำของฉงชูโม่ คุณสมบัติของสวีหลายนั้นโดดเด่นยากหาใครเปรียบ หากมิใช่เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในตระกูลสวี อีกทั้งเขายังถูกไล่ออกจากสำนักหอดูดาวหลวงและถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวง ตอนนี้เขาคงได้ขึ้นไปอยู่ระดับสวรรค์ขั้นปลายซึ่งเป็นระดับสูงสุดแล้วสวีหลายโบกมือแล้วพูดว่า “ทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เส้นทางการฝึกฝนในตอนนี้ของข้าเป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่งนัก แต่โชคดีที่ไม่มีความขัดแย้งกับวิชายุทธที่ข้าเคยฝึกฝนมาก่อน”ฉงชูโม่พูดด้วยความเสียใจ “พี่สวี ท่านควรบอกเรื่องนี้กับข้าให้เร็วกว่านี้สิ หากข้ารู้มาก่อน ข้าคงจะขอร้องผู้อาวุโสท่านนั้นแก้ไขวิชายุทธที่มิสมบูรณ์ให้ท่าน”“โอ้? ผู้อาวุโสท่านนั้นที่เจ้าพูดถึงคือคนที่แอบช่วยข้าสังหา
ฉงชูโม่ถามด้วยความสับสน “มีเรื่องอันใดอีกหรือเพคะ?”“หูเฟิงกับคนจากสำนักเบญจพิษสมคบคิดกัน ดังนั้นแน่นอนว่าเราต้องจัดการกับเขาก่อน”“อ้อ ใช่สิ หม่อมฉันลืมไปเลย”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยแค่นเสียงเย็นอย่างขุ่นเคือง “หึ ขุนนางชั่วช้าผู้นั้นบังอาจสมรู้ร่วมคิดกับสำนักในยุทธภพ และตั้งใจที่จะปลงพระชนม์องค์รัชทายาท กระบี่แห่งสำนักหอดูดาวหลวงเล่มนี้ของข้าได้รับการออกแบบมาเพื่อสังหารขุนนางชั่วผู้ทรยศโดยเฉพาะ”ฉงชูโม่พูดด้วยความโกรธ “เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางไปยังจวนผู้ว่าการมณฑลกันเถิด!”กลุ่มของพวกเขาออกจากโรงเตี๊ยมและมุ่งหน้าไปยังจวนผู้ว่าการมณฑล……ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหูเฟิงกำลังดื่มชาและฮัมทำนองดนตรีอย่างมีความสุขหูก่วงเผิงถามอย่างมิสบายใจ “ท่านพ่อ คนจากสำนักเบญจพิษเหล่านั้นเชื่อถือได้หรือไม่? พวกเขาจะสามารถจัดการกับฉินซูองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดได้จริงหรือ?”“วางใจเถิด พิษของสำนักเบญจพิษนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในต้าเหยียนของเรา รองเจ้าสำนักเฝิงลงมือด้วยตัวเองเช่นนี้ ไม่มีทางที่องค์รัชทายาทผู้รอวันปลดจะรอดไปได้”“เช่นนั้นก็ดี แต่หลังจากที่ฉินซูตายไป ก็มิรู้ว่าฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งให้องค์ชายองค์ใดเ
“ถูกใส่ร้าย? หึ เจ้าหาข้ออ้างพาข้าออกจากเมือง แล้วคนจากสำนักเบญจพิษก็บังเอิญมาซุ่มโจมตีข้าในป่านอกเมือง ทุกอย่างชัดเจนเพียงนี้ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงบอกว่าตนถูกใส่ร้าย?”หูเฟิงพูดแก้ต่างด้วยความเสียใจ “องค์รัชทายาท นี่… นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ กระหม่อมมิรู้จริง ๆ ว่าคนจากสำนักเบญจพิษทั้งห้าจะพำนักอยู่ในป่า หากรู้มาก่อน ต่อให้มอบความกล้าอีกร้อยเท่า กระหม่อมก็มิกล้าที่จะทำให้องค์รัชทายาทต้องตกอยู่ในอันตรายพ่ะย่ะค่ะ”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยตำหนิด้วยความโกรธ “หัวจะหลุดออกจากบ่าอยู่แล้วก็ยังมิยอมรับ คนจากสำนักเบญจพิษได้สารภาพแล้ว หากเจ้าสารภาพตามความเป็นจริง ทางสำนักหอดูดาวหลวงสามารถลดโทษคนในตระกูลของเจ้าได้ ทว่าหากปฏิเสธที่จะสารภาพ คดีก็จะถูกส่งกลับไปยังราชสำนัก ถึงตอนนั้นเจ้าก็รอโทษตัดหัวประหารเก้าชั่วโคตรได้เลย!”ใบหน้าของหูเฟิงซีดลงทันที เขาทรุดลงกับพื้น เหงื่อเย็นปกคลุมอยู่ทั่วหน้าผากของตนหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถามว่า “องค์รัชทายาท หากกระหม่อมรับสารภาพ ท่านจะปล่อยคนในครอบครัวของกระหม่อมไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะเจรจาต่อรองกับข้ารึ? ถึงแ
เมื่อเห็นฉงชูโม่จ้องมองมาที่เขา ฉินซูก็ลูบจมูกพลางพูดติดตลก “อะไร จิคสำนึกเจ้าตื่นรู้ขึ้นมาแล้วหรือไร?”“ถุย จิตสำนักตื่นขึ้นอะไรกันเล่า พูดอย่างกับว่าหม่อมฉันไร้จิตสำนึกอย่างนั้นแหละ”ฉงชูโม่มองไปที่ฉินซูอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง จากนั้นก็พูดต่อด้วยรอยยิ้มที่สดใสราวกับดอกไม้บาน “ท่านที่มอบของให้หม่อมฉันต่างหากที่มีจิตสำนึก มิเสียแรงเลยที่หม่อมฉันยอมฝ่าฟันความยากลำบากเพื่อปกป้องท่าน”เมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของนาง ฉินซูก็อดยิ้มมิได้ฉงชูโม่เลิกคิ้วแล้วถามว่า “ท่านยิ้มด้วยเหตุใด?”“พูดไปท่านก็มิเข้าใจ พวกเรารีบเดินทางไปยังเมืองหลงเฉิงกันดีกว่าเพคะ”“หึ รีบร้อนเช่นนี้กลัวว่าจะเจอคนรักเก่าเข้าอย่างนั้นรึ? ข้าอยากจะไปช้าลงเสียหน่อย”ฉงชูโม่ดึงบังเหียนม้าเพื่อชะลอความเร็วด้วยความโกรธ พลางมองฉินซูอย่างยั่วยุฉินซูยักไหล่อย่างมิแยแส “มิว่าจะช้าลงสักแค่ไหน ขอเพียงมีเจ้าไปด้วยข้าก็มิรู้สึกเบื่อ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่งดงามของฉงชูโม่ก็ฉายแววภาคภูมิใจออกมาขณะนั้นเองมีม้าสองตัวถูกควบทะยานมาข้างหน้าเมื่อมองดูใกล้ ๆ ปรากฎว่านั่นคือสองพี่น้องตงฟางไป๋และตงฟางโซ่วเมื่อทั้งสองเห็นฉินซูแล
ฉินซูกลอกตาใส่นางแล้วพูดกับสองพี่น้องตงฟางไป๋ “พวกเจ้าสองคนกลับไปที่หลงเฉิงกับข้านี่แหละ เดี๋ยวข้าจะให้ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยคอยชี้แนะพวกเจ้า”“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทสำหรับการสนับสนุนพ่ะย่ะค่ะ!”สองพี่น้องตงฟางไป๋ขี่ม้าติดตามฉินซูและฉงชูโม่ไปยังหลงเฉิงด้วยความยินดี……ห้าวันต่อมาในที่สุดฉินซูและพรรคพวกก็กลับมาถึงหลงเฉิง!หลังจากเข้าไปในเมือง ฉงชูโม่ก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “องค์รัชทายาท จากไปเพียงครึ่งเดือนท่านก็ลืมทิศทางของตำหนักบูรพาไปแล้วหรือเพคะ?”ฉินซูกลอกตาใส่นางแล้วพูดว่า “ใครบอกว่าข้าจะกลับไปที่ตำหนักบูรพา?”“แล้วจะไปที่ใดเพคะ?”“ตามข้ามาเดี๋ยวก็รู้เอง”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามเขาไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นสองพี่น้องตงฟางไป๋เองก็ตามหลังมาอย่างใกล้ชิดครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉงชูโม่มองเห็นจวนโอ่อ่าข้างหน้าที่อยู่มิไกลพลางถามด้วยความประหลาดใจ “องค์รัชทายาท ท่านมาทำอะไรที่จวนอ๋องซิ่นเพคะ?”“แน่นอนว่าข้ามาที่นี่เพื่อก่อเรื่องน่ะสิ คิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อรำลึกถึงวันเก่า ๆ กับเจ้าสี่รึ?”หลังจากที่ฉินซูพูดจบ เขาก็เชิดคางชี้ไปทางตงฟางไป๋และพูดว่า “พวกเจ้าส
เมื่อได้เจอกับอ๋องซิ่น สองพี่น้องตงฟางไป๋ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือจวิ้นอ๋อง หากเขาคิดจะปลิดชีวิตของพวกตนนั้นก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมากขณะที่ตงฟางไป๋กำลังคิดว่าจะพูดอะไร เสียงของฉินซูก็ดังมาจากด้านหลังฝูงชน“ฉินหยาง ข้าเป็นคนสั่งให้พวกเขาทำเช่นนั้นเอง เหตุใดเล่า มิพอใจรึ?”เมื่อได้ยินเสียงของฉินซู บรรดาองครักษ์ก็พากันมามองทีละคนหลังจากที่เห็นว่าคนที่มาคือฉินซู พวกเขาก็กระจายออกเป็นสองฝั่งเพื่อหลีกทางให้โดยสัญชาตญาณฉินหยางประหลาดใจ แม้จะมิน่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย!เหตุใดฉินซูถึงยังมีชีวิตอยู่? สารเลวพวกนั้นจากสำนักเบญจพิษทำงานกันอย่างไร?ใจของฉินหยางตอนนี้อยากจะจับทุกคนในสำนักเบญจพิษมาซักถามเสียให้หมดแม้เขาจะหัวเสีย แต่ก็ประหลาดใจเล็กน้อยแต่เขาก็ยังคงพยายามสงบสติอารมณ์และถามว่า “ท่านส่งคนมาพังประตูจวนอ๋องซิ่นของกระหม่อมโดยไร้เหตุผล องค์รัชทายาททำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูยิ้มเบา ๆ แต่มิตอบอีกฝ่าย เขามองไปยังบุรุษที่สวมเครื่องแบบหัวหน้าองครักษ์แล้วถามว่า “เจ้าเข้าใจกฎเกณฑ์หรือไม่?”หัวหน้าองครักษ์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่
ฉินซูเดินเข้าไปในถ้ำตามทางที่ทอดยาวออกไป หลังจากเดินไปได้มิไกลก็พบว่า มีบันไดที่ทอดตัวลงไปยังเบื้องล่างบันไดนั้นลึกจนมองมิเห็นจุดสิ้นสุด ฉินซูจึงจุดพับไฟและอาศัยแสงสลัวนั้นค่อย ๆ เดินลงไปตามขั้นบันไดหลังจากเดินไปราวสองเค่อ เขาก็มาถึงถ้ำอีกแห่งหนึ่งตรงมุมของถ้ำมีเงาร่างของสตรีนางหนึ่งกำลังจดจ่อมองดูสิ่งของในกล่องที่อยู่เบื้องหน้าเมื่อเห็นคนผู้นี้ ฉินซู่ก็ถอนหายใจยาว "กู้เสวี่ยเจี้ยน เจ้า..."ยังมิทันที่เขาจะพูดจบ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็สะดุ้งตกใจจนเผลอปล่อยพับไฟในมือร่วงลงพื้นหลังจากกู้เสวี่ยเจี้ยนตั้งสติได้ นางก็ตบหน้าอกเบา ๆ แล้วพูดอย่างโมโห "ท่านทำหม่อมฉันตกใจแทบตาย! มิรู้หรือว่าการทำให้คนตกใจอาจหัวใจวายตายได้จริง ๆ!"ฉินซูกลอกตาใส่นาง "แค่นี้ข้าก็ทำให้เจ้ากลัวแล้วรึ? แม้แต่ชำแหละศพเจ้าก็ยังมิกลัวเลยมิใช่หรือ?"“ศพมันพูดมิได้เสียหน่อย!”กู้เสวี่ยเจี้ยนโต้กลับแล้วจึงถามด้วยความประหลาดใจ "ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? นอกจากนี้ตกลงมาจากหน้าผาสูงขนาดนั้น ท่านมิเป็นอะไรเลยหรือ?!"“เจ้าคงหวังอยากให้ข้าเป็นอะไรไปหรือไร? ข้าลงมาเพื่อตามหาเจ้าต่างหาก”ขณะที่ฉินซูพูดอยู่ เขาก็สังเกตเห็น
ซ่างกวนอวิ๋นซีโบกเรียวงามเบา ๆ ทันใดนั้นจี้หยกขาวก็ตกลงในมือของซือคงเหยียนจี้หยกนี้ดูเรียบง่ายมาก และเต็มไปด้วยอักขระลึกลับล้ำลึก ซึ่งมองดูเพียงครั้งเดียวก็รู้ได้ทันทีว่ามิใช่ของธรรมดาซือคงเหยียนตื่นเต้นจนมือสั่น เขารีบเก็บจี้หยกเข้าไปในอกเสื้อของเขาอย่างระมัดระวังจากนั้นเขาก็โค้งคำนับด้วยความซาบซึ้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก"หลังจากกล่าวลาซ่างกวนอวิ๋นซีแล้วซือคงเหยียนก็ควบม้าเร็วและมุ่งหน้าลงใต้สู่ต้าเหยียน!……ในเวลาเดียวกันฉินซูมาถึงเนินเขาหลัวเฟิงแล้วส่วนมู่หรงจื่อเยียนก็เดินทางกลับไปที่เมืองหลงเฉิงก่อนเมื่อเห็นฉินซูกลับมาอย่างปลอดภัย หัวใจที่เป็นกังวลของเซี่ยหลานก็เบาลงด้วยความโล่งใจนางถามด้วยความเป็นห่วงว่า “องค์รัชทายาท เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”“ข้าสบายดี” ฉินซูเหลือบมองสำรวจทุกคนรอบตัว และพบว่ามีเพียงทหารสองสามนายที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย นอกนั้นทุกคนปลอดภัยดีเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนถามว่า “กู้เสวี่ยอยู่ที่ไหน?”“นางไปตามหาท่านเพคะ เหตุใดกัน ท่านมิได้พบกับนางหรือ?”เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยหลาน ก็พลันหนักอึ้งขึ้นทันที "เจ้าหมายถึง นางกลับ
เป่ยเยี่ยน บริเวณใกล้เขตพระราชสถานส่วนนอก มีอาคารสูงตระหง่านกว่ายี่สิบจั้งตั้งอยู๋เหนือประตูใหญ่แขวนแผ่นป้ายที่จักรพรรดิเป่ยเยี่ยนประทานให้ บนป้ายแกะสลักตัวอักษรใหญ่ที่งดงามและทรงพลัง ‘หอดารารักษ์’ในขณะนั้น ภายในเรือนปีกข้างของหอดารารักษ์ มีชายชราในชุดเต๋ากำลังนั่งสมาธิฝึกจิตเพียงเห็นเขามีผมขาวดั่งนกกระเรียน แต่ใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์ รอบกายมีหมอกบางเบาปกคลุม ท่าทางดูราวกับเซียนสิ่งนี้เกิดจากพลังลมปราณที่แผ่ออกมา แสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งและแข็งแกร่งของกำลังภายในของเขาได้อย่างชัดเจนเขาคือหนึ่งในแปดผู้อาวุโสของหอดารารักษ์ มีนามว่าซือคงเหยียนหนานกงจื่อชินก็คือศิษย์เอกของเขา!ในขณะนั้นเอง ชายหนุ่มในชุดขาวผู้มีสีหน้าหวาดหวั่นได้เดินเข้ามาและโค้งคำนับต่อซือคงเหยียนอย่างนอบน้อม“ท่านผู้อาวุโสซือคง ท่านเจ้าสำนักเชิญท่านไปที่หอวิญญาณขอรับ”หมอกบางรอบกายซือคงเหยียนพลันเคลื่อนไหว มันก็แทรกซึมกลับเข้าไปในร่างของเขาเขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาอันลึกล้ำส่องประกายแสงพุ่งออกมาวูบหนึ่ง!จากนั้นเขาก็เหลือบมองชายหนุ่มในชุดขาวและถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ "เหตุใดเจ้าสำนักจึงเรียกข้าให้ไปที่หอวิญญ
เมื่อนั้นนางจึงพบว่า ตนและฉินซูได้ออกจากเส้นทางหน้าผาแคบ ๆ นั้นแล้ว และยืนอยู่บนทุ่งหญ้าราบเรียบหลังจากยืนยันว่าพ้นภัยแล้ว มู่หรงจื่อเยียนก็ถอนหายใจยาว“ไปเถอะ ตามทางนี้ เราน่าจะกลับไปยังถนนหลวงได้”ฉินซูจับมือมู่หรงจื่อเยียน แล้วเดินเข้าไปในป่าหลังจากเดินผ่านป่าเล็ก ๆ ไปพวกเขาก็กลับเข้าถนนสายหลักได้สำเร็จขณะนั้นผู้คนที่สัญจรบนถนนหลวงต่างชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นชายและหญิงคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากป่าในกลุ่มนั้นมีชายหนุ่มบางคนที่มีลักษณะมิน่าไว้วางใจ เมื่อเห็นใบหน้างดงามของมู่หรงจื่อเยียน ก็เกิดความคิดมิดีขึ้นทันที!พวกเขาถูมือและเดินเข้าไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้าเมื่อเห็นท่าทางที่มุ่งร้ายของพวกเขา มู่หรงจื่อเยียนจึงหลบอยู่ด้านหลังฉินซูอย่างหวาด ๆฉินซูหรี่ตามองพิจารณาคนเหล่านั้นเล็กน้อย เขาเอ่ยถามอย่างสบาย ๆ "พวกเจ้าทั้งหลาย คิดจะทำอะไร?"“เจ้าหนู ไสหัวไปซะ มิอย่างนั้นอย่าหาว่าพวกข้ามิเกรงใจ!”“ถูกต้อง ถ้ามิอยากตาย ก็ส่งสาวน้อยมากเสน่ห์คนนี้มาให้เราแต่โดยดี มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราโหดเหี้ยมไร้ปรานี!"พวกเขาทำหน้าตาน่ากลัวราวกับปีศาจ พยายามข่มขู่ฉินซูให้ล่าถอย
ดวงตางดงามของมู่หรงจื่อเยียนเป็นประกาย นางยินดีแทนฉินซูด้วยใจจริงในความเห็นของนาง หากผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเช่นฉินซูสามารถบรรลุเคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้ จะต้องกลายเป็นเสือติดปีกแน่ และจะผู้เลิศทั้งศาสตร์บุ๋นและบู๊อย่างแท้จริงฉินซูเก็บม้วนหยกจารึกอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงพามู่หรงจื่อเยียนเดินไปยังทางออกด้านนอกทางออกมีหน้าผาอีกแห่งหนึ่งเนื่องจากแสงจากทางออกสว่างจ้าเกินไป มู่หรงจื่อเยียนจึงมิได้สังเกตเห็นว่ามีหุบเหวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางเลยแม้แต่น้อย!ต้องขอบคุณมือและดวงตาที่ว่องไวของฉินซู จึงสามารถดึงนางกลับมาได้เมื่อมองไปที่เหวลึกนั้น มู่หรงจื่อเยียนก็แอบรำพึงในใจว่า เกือบไปแล้ว นางตกใจจนเหงื่อเย็นชุ่มร่างหลังจากตั้งสติได้แล้ว นางก็พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ "สถานที่ที่เราอยู่ตอนนี้ก็เป็นเหวลึก แต่บัดนี้กลับมีเหวลึกอยู่ใต้เท้าของเราอีก ภูมิแคว้นที่นี่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว"ฉินซูก้มมองลงไป เห็นหุบเหวขนาดใหญ่ที่มีรอยแยกเป็นเส้นยาวอยู่ใต้หน้าผา!หุบเหวนั้นด้านบนกว้างด้านล่างแคบ โดยที่ผนังทั้งสองด้านนั้นเรียบผิดปกติ ทอดยาวจากตะวันออกไปยังตะวันตกเขามองอย่างละ
ทันใดนั้นมู่หรงจื่อเยียนก็เข้าใจเจตนาของฉินซู และไล่ตามกวางน้อยสองตัวนั้นไปพร้อมกับเขาสิ่งที่เห็นคือกวางน้อยสองตัวนั้นวิ่งไปยังน้ำตกที่อยู่มิไกลเมื่อมาถึงเบื้องหน้าน้ำตก พวกมันมิได้หยุดชะงักลงแต่กลับกระโจนเข้าไปทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้นฉินซูก็อุ้มมู่หรงจื่อเยียนขึ้นมาด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย เขาสะกิดปลายเท้ากับพื้นเบาๆ ก่อนร่างทั้งสองจะพุ่งไปยังน้ำตกราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากสายเพียงชั่วพริบตา ทั้งสองก็ทะลุผ่านน้ำตกและลงพื้นอย่างมั่นคงมู่หรงจื่อเยียนตะลึงงัน!นางมองไปยังฉินซูอย่างตกใจและสับสนด้วยดวงตางดงาม เอ่ยถาม “ฉินซู ท่านใช้วิชาตัวเบาได้เก่งกาจเพียงนี้ได้อย่างไร?!”ฉินซูยิ้มหยักยิ้ม “ข้ามิได้เก่งกาจแค่วิชาตัวเบาหรอก ไปเถอะ กวางน้อยสองตัวนั้นวิ่งเข้าไปในถ้ำนี้ ทางออกน่าจะอยู่ที่นี่”เมื่อนั้นมู่หรงจื่อเยียนจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าด้านหลังน้ำตกนี้มีถ้ำอยู่นี่เอง!นางเดินตามฉินซูเข้าไปในถ้ำส่วนยอดของถ้ำมีรอยแยกขนาดมิเล็กมิใหญ่ แสงแดดรำไรส่องผ่านรอยแยกลงมายังพื้นดิน จึงมองเห็นสภาพภายในถ้ำได้อย่างชัดเจนแทนที่จะบอกว่าเป็นถ้ำ เรียกว่าเป็นทางเดินกว้าง ๆ คงจะเหมาะสมกว่าเห็นได้ชัดว่า
อีกครึ่งชั่วยามต่อมาฉินซูและมู่หรงจื่อเยียนก็กอดกันแน่นอย่างพึงพอใจภาพบรรยากาศนี้เหมือนกับความสุขสงบในวสันตฤดู ร่างกายเมามายด้วยความหลงใหล จนมิสามารถขยับตัวได้เมื่อเห็นความสุขบนใบหน้าของมู่หรงจื่อเยียน ฉินซูคิดว่าใช้ ‘ความสุขสงบในวสันตฤดู ร่างกายเมามายด้วยความหลงใหล จนมิสามารถขยับตัวได้’ มาอธิบายจะดูเหมาะสมกว่าเขารู้สึกสะเทือนอารมณ์ที่จู่ ๆ ก็ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับมู่หรงจื่อเยียน ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆเมื่อเห็นสีหน้าของเขา มู่หรงจื่อเยียนก็พูดติดตลก “อะไรกัน ท่านคิดว่า หม่อมฉันมิคู่ควรกับองค์รัชทายาทเช่นท่านหรือ? บิดาของหม่อมฉันเป็นอ๋องแห่งเป่ยเยี่ยน และหม่อมฉันเองก็มีศักดิ์เป็นถึงท่านหญิง”ฉินซูพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ามิได้คิดเช่นนั้น ข้าก็แค่ปลงว่าชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่มิสามารถคาดเดาได้ ใครจะไปคิดว่า หลังจากกินผลไม้ไปแค่สองสามลูก จะทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น”“ฉินซู ท่านได้หม่อมฉันแล้วคงมิคิดจะทอดทิ้งกันหรอกใช่หรือไม่?”ดวงตาที่คู่สวยของมู่หรงจื่อเยียนเคล้าไปด้วยน้ำตา มีท่าทางเศร้าโศกเป็นอย่างมากฉินซูใจอ่อนยวบพลางรีบพูดปลอบ “มิใช่แน่นอน หากเจ้าเต็มใจที่จะอยู่กับข้า ข
เมื่อเห็นเขากลับมาพร้อมกับปลาไนตัวใหญ่หลายตัว ใบหน้าของมู่หรงจื่อเยียนก็เต็มไปด้วยความชื่นชม“ฉินซู สุดยอดมาก ท่านจับปลาได้เร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ!”“มิเท่าไรหรอก”ฉินซูยิ้มอย่างถ่อมตัวพลางย่างปลาบนไฟสักพักเนื้อปลาก็ถูกย่างจนร้อนและส่งกลิ่นหอมทำให้มู่หรงจื่อเยียนอยากอาหารมากกว่าเดิมและอดมิได้ที่จะกลืนน้ำลาย หลังจากที่ย่างปลาเสร็จ ทั้งสองก็แทบรอมิไหวที่จะได้กินปลาไนเนื้อปลามีรสหวานและเหนียวหนึบ อร่อยมากแม้จะมิได้ปรุงรสในมิช้า มู่หรงจื่อเยียนก็แทะปลาจนหมด จากนั้นก็เรอออกมาด้วยความพึงพอใจหลังจากอิ่มแล้วนางก็ยิ้มเบา ๆ พลางเดินไปยังบริเวณที่อยู่มิไกลเมื่อกลับมา นางก็มาพร้อมกับผลไม้สีแดงก่ำหลายลูกอยู่ในมือผลไม้นี้ดูเหมือนลูกท้อ แต่มีสีแดงสดแม้กระทั่งก่อนกินก็ยังได้กลิ่นหอมฉุยโชยมาฉินซูถามอย่างสงสัย “นี่คือผลไม้อะไรหรือ?”“หม่อมฉันก็มิรู้ นี่เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้เห็นผลไม้ชนิดนี้”มู่หรงจื่อเยียนพูดพลางกัดผลไม้ไปหนึ่งคำฉินซูขมวดคิ้วและพูดว่า “มิรู้ว่ามันเป็นผลไม้ชนิดไหนแต่เจ้าก็ยังกล้ากินเข้าไปน่ะหรือ มิกลัวถูกพิษหรืออย่างไร?”“กลัวอะไร กวางน้อยสองตัวตรงนั้นก็กำ
นั่นคือหุบเขาที่ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขารอบด้าน!ท้องฟ้าสีครามที่มีแสงแดดอบอุ่น เมฆขาวลอยเด่นอยู่บนอากาศ ในหุบเขามีเนินเขาสีหยกที่เต็มไปด้วยหญ้าเขียวขจี!บนหญ้าอันเขียวชอุ่มมีดอกไม้หลากสีสันออกดอกบานสะพรั่งลำห้วยกว้างประมาณสิบศอกไหลคดเคี้ยวผ่านผืนหญ้าไปน้ำในลำห้วยใสราวกับกระจกจนเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ใต้ผืนน้ำสายน้ำไหลเชี่ยว ฝูงผึ้งและผีเสื้อพากันโบยบินร่ายรำทำให้ที่นี่เป็นดั่งดินแดนสวรรค์ก็มิปานเมื่อเห็นทิวทัศน์ตรงหน้า มู่หรงจื่อเยียนก็ขยี้ตาอย่างแรง!“โอ้สวรรค์ นี่ข้ามิได้ฝันไปใช่ไหม ข้างนอกเข้าสู่เหมันตฤดูแล้ว แต่ที่นี่กลับดูเหมือนอยู่ในวสันตฤดู!”ฉินซูเองก็ประหลาดใจไปชั่วขณะเช่นกัน ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ ดินแดนแห่งความฝันคงเป็นเช่นนี้สินะมู่หรงจื่อเยียนโน้มตัวไปเด็ดดอกไม้สีแดงมาดอมดม ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยอาการเคลิบเคลิ้ม“หอมยิ่งนัก”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็ส่งยิ้มหวานดูเหมือนมิว่าจะอยู่ในยุคไหน สตรีก็ชอบดอกไม้กันหมดสินะเขามองไปรอบ ๆ และหลังจากแน่ใจว่าไม่มีอันตรายที่อาจเกิดขึ้นแล้ว เขาก็ผ่อนคลายความระแวงลงจากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่เพื่อมองทัศนียภาพโดยร