แน่นอนว่า เรื่องที่คลุมเครือและเหตุการณ์ที่ฉินซูฉวยโอกาสใกล้ชิด ฉงชูโม่ก็ละเลยมิได้เล่าถึง ขณะที่ฉงชูโม่เล่า ใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัวเมื่อสวีหลายเห็นเช่นนั้น เขายิ้มบาง ๆ พร้อมพูดเป็นนัยว่า "ดูท่าองค์รัชทายาทจะมิใช่คนเสเพลอย่างที่เล่าลือกันไว้ แถมพระองค์ยังดูจะดีต่อเจ้ามิน้อยเลย""ดีตรงไหนกัน เขาทำทุกอย่างก็เพื่อหวังผลประโยชน์ทั้งนั้น ข้าขี้เกียจจะพูดถึงเขาแล้ว"แม้ปากของฉงชูโม่จะกล่าวด้วยท่าทีมิไยดี แต่เมื่อพูดถึงฉินซู มุมปากของนางกลับยกขึ้นโดยมิรู้ตัว สวีหลายได้แต่ยิ้มส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องทั่วไปกับนางในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น ฉินซูก็กลับเข้ามาจากข้างนอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนหน้านี้ เขาออกไปสูดอากาศแล้วพบว่า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยแอบใส่บางอย่างลงในไหเหล้าเล็ก ๆ ไหหนึ่ง!ทำให้ฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยทำเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์อะไร หรือว่า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยถูกน้องชายคนหนึ่งของเขาซื้อตัวไปแล้ว?คิดเช่นนี้ ฉินซูจึงเกิดความสงสัยและในดวงตา แฝงแววอาฆาตเขาตัดสินใจแล้วว่า หากตู๋กูโฉ่วเยวี่ยคิดจะลงมือกับเขาจริง ๆ ก็อย่าหาว่าเขาไ
ก่อนที่ฉินซูจะพูดจบ ฉงชูโม่ก็ยื่นมือมาหยิกเนื้อส่วนเกินที่เอวของเขาอย่างแรง“โอ๊ยยย!!”ฉินซูร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เสียงเหมือนหมูกำลังถูกเชือด พลางลูบจุดที่ถูกหยิกเนื้อพร้อมกับถามด้วยสีหน้าบูดเบี้ยวว่า “เจ้ามาหยิกข้าด้วยเหตุใดเล่า?”ฉงชูโม่ยกกำปั้นเล็ก ๆ อย่างโอหัง “หากกล้าพูดเหลวไหลอีก หม่อมฉันจะซัดท่านแน่ จะเชื่อหรือไม่ก็ลองดู!” “ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทเชียวนะ...” ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ฮึ! แค่องค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลด อีกอย่าง อย่าลืมสิว่าหม่อมฉันได้รับพระบรมราชานุญาตเป็นพิเศษ หากหม่อมฉันจะตีท่าน หม่อมฉันมิต้องรับผิดชอบอะไรเลยด้วยซ้ำ”ฉินซูใบหน้าเง้างอถมึงทึง ก่อนเอ่ยอย่างจนใจว่า “ก็ได้ ข้ายอมเจ้าก็แล้วกัน” เขาหันไปทางตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพร้อมกับยักไหล่ แสดงให้เห็นว่าเขาทำอะไรมิได้ ส่วนตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจจากนั้น พวกเขาก็เริ่มกินดื่มและพูดคุยกันไปอย่างผ่อนคลายมินานนัก สวีหลายก็ดื่มเหล้าในไหเล็กนั้นจนหมด เขามองไหในมือแล้วกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์ “มิเสียทีที่เป็นสุราสลักบุปผาอายุหลายปีของหอสุราอมตะ แม้จะใส่ยาสลายพลังลงไป แ
อีกฝ่ายมิปฏิเสธประโยคหลังและพูดเสียงเรียบ “หลายปีมานี้ข้าพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก ในที่สุดก็พบวิธีฝึกฝนที่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดและพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองต่อไปได้”ฉงชูโม่ถามด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือ? ในเมื่อความแข็งแกร่งของท่านเทียบได้กับระดับสวรรค์ขั้นต้นแล้ว นั่นหมายความว่าใช้เวลาอีกมินานท่านก็จะแข็งแกร่งเทียบเท่าหัวหน้าโหรหลวงตาแก่ตายยากผู้นั้น?”ในภาพจำของฉงชูโม่ คุณสมบัติของสวีหลายนั้นโดดเด่นยากหาใครเปรียบ หากมิใช่เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในตระกูลสวี อีกทั้งเขายังถูกไล่ออกจากสำนักหอดูดาวหลวงและถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวง ตอนนี้เขาคงได้ขึ้นไปอยู่ระดับสวรรค์ขั้นปลายซึ่งเป็นระดับสูงสุดแล้วสวีหลายโบกมือแล้วพูดว่า “ทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เส้นทางการฝึกฝนในตอนนี้ของข้าเป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่งนัก แต่โชคดีที่ไม่มีความขัดแย้งกับวิชายุทธที่ข้าเคยฝึกฝนมาก่อน”ฉงชูโม่พูดด้วยความเสียใจ “พี่สวี ท่านควรบอกเรื่องนี้กับข้าให้เร็วกว่านี้สิ หากข้ารู้มาก่อน ข้าคงจะขอร้องผู้อาวุโสท่านนั้นแก้ไขวิชายุทธที่มิสมบูรณ์ให้ท่าน”“โอ้? ผู้อาวุโสท่านนั้นที่เจ้าพูดถึงคือคนที่แอบช่วยข้าสังหา
ฉงชูโม่ถามด้วยความสับสน “มีเรื่องอันใดอีกหรือเพคะ?”“หูเฟิงกับคนจากสำนักเบญจพิษสมคบคิดกัน ดังนั้นแน่นอนว่าเราต้องจัดการกับเขาก่อน”“อ้อ ใช่สิ หม่อมฉันลืมไปเลย”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยแค่นเสียงเย็นอย่างขุ่นเคือง “หึ ขุนนางชั่วช้าผู้นั้นบังอาจสมรู้ร่วมคิดกับสำนักในยุทธภพ และตั้งใจที่จะปลงพระชนม์องค์รัชทายาท กระบี่แห่งสำนักหอดูดาวหลวงเล่มนี้ของข้าได้รับการออกแบบมาเพื่อสังหารขุนนางชั่วผู้ทรยศโดยเฉพาะ”ฉงชูโม่พูดด้วยความโกรธ “เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางไปยังจวนผู้ว่าการมณฑลกันเถิด!”กลุ่มของพวกเขาออกจากโรงเตี๊ยมและมุ่งหน้าไปยังจวนผู้ว่าการมณฑล……ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหูเฟิงกำลังดื่มชาและฮัมทำนองดนตรีอย่างมีความสุขหูก่วงเผิงถามอย่างมิสบายใจ “ท่านพ่อ คนจากสำนักเบญจพิษเหล่านั้นเชื่อถือได้หรือไม่? พวกเขาจะสามารถจัดการกับฉินซูองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดได้จริงหรือ?”“วางใจเถิด พิษของสำนักเบญจพิษนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในต้าเหยียนของเรา รองเจ้าสำนักเฝิงลงมือด้วยตัวเองเช่นนี้ ไม่มีทางที่องค์รัชทายาทผู้รอวันปลดจะรอดไปได้”“เช่นนั้นก็ดี แต่หลังจากที่ฉินซูตายไป ก็มิรู้ว่าฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งให้องค์ชายองค์ใดเ
“ถูกใส่ร้าย? หึ เจ้าหาข้ออ้างพาข้าออกจากเมือง แล้วคนจากสำนักเบญจพิษก็บังเอิญมาซุ่มโจมตีข้าในป่านอกเมือง ทุกอย่างชัดเจนเพียงนี้ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงบอกว่าตนถูกใส่ร้าย?”หูเฟิงพูดแก้ต่างด้วยความเสียใจ “องค์รัชทายาท นี่… นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ กระหม่อมมิรู้จริง ๆ ว่าคนจากสำนักเบญจพิษทั้งห้าจะพำนักอยู่ในป่า หากรู้มาก่อน ต่อให้มอบความกล้าอีกร้อยเท่า กระหม่อมก็มิกล้าที่จะทำให้องค์รัชทายาทต้องตกอยู่ในอันตรายพ่ะย่ะค่ะ”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยตำหนิด้วยความโกรธ “หัวจะหลุดออกจากบ่าอยู่แล้วก็ยังมิยอมรับ คนจากสำนักเบญจพิษได้สารภาพแล้ว หากเจ้าสารภาพตามความเป็นจริง ทางสำนักหอดูดาวหลวงสามารถลดโทษคนในตระกูลของเจ้าได้ ทว่าหากปฏิเสธที่จะสารภาพ คดีก็จะถูกส่งกลับไปยังราชสำนัก ถึงตอนนั้นเจ้าก็รอโทษตัดหัวประหารเก้าชั่วโคตรได้เลย!”ใบหน้าของหูเฟิงซีดลงทันที เขาทรุดลงกับพื้น เหงื่อเย็นปกคลุมอยู่ทั่วหน้าผากของตนหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถามว่า “องค์รัชทายาท หากกระหม่อมรับสารภาพ ท่านจะปล่อยคนในครอบครัวของกระหม่อมไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะเจรจาต่อรองกับข้ารึ? ถึงแ
เมื่อเห็นฉงชูโม่จ้องมองมาที่เขา ฉินซูก็ลูบจมูกพลางพูดติดตลก “อะไร จิคสำนึกเจ้าตื่นรู้ขึ้นมาแล้วหรือไร?”“ถุย จิตสำนักตื่นขึ้นอะไรกันเล่า พูดอย่างกับว่าหม่อมฉันไร้จิตสำนึกอย่างนั้นแหละ”ฉงชูโม่มองไปที่ฉินซูอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง จากนั้นก็พูดต่อด้วยรอยยิ้มที่สดใสราวกับดอกไม้บาน “ท่านที่มอบของให้หม่อมฉันต่างหากที่มีจิตสำนึก มิเสียแรงเลยที่หม่อมฉันยอมฝ่าฟันความยากลำบากเพื่อปกป้องท่าน”เมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของนาง ฉินซูก็อดยิ้มมิได้ฉงชูโม่เลิกคิ้วแล้วถามว่า “ท่านยิ้มด้วยเหตุใด?”“พูดไปท่านก็มิเข้าใจ พวกเรารีบเดินทางไปยังเมืองหลงเฉิงกันดีกว่าเพคะ”“หึ รีบร้อนเช่นนี้กลัวว่าจะเจอคนรักเก่าเข้าอย่างนั้นรึ? ข้าอยากจะไปช้าลงเสียหน่อย”ฉงชูโม่ดึงบังเหียนม้าเพื่อชะลอความเร็วด้วยความโกรธ พลางมองฉินซูอย่างยั่วยุฉินซูยักไหล่อย่างมิแยแส “มิว่าจะช้าลงสักแค่ไหน ขอเพียงมีเจ้าไปด้วยข้าก็มิรู้สึกเบื่อ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่งดงามของฉงชูโม่ก็ฉายแววภาคภูมิใจออกมาขณะนั้นเองมีม้าสองตัวถูกควบทะยานมาข้างหน้าเมื่อมองดูใกล้ ๆ ปรากฎว่านั่นคือสองพี่น้องตงฟางไป๋และตงฟางโซ่วเมื่อทั้งสองเห็นฉินซูแล
ฉินซูกลอกตาใส่นางแล้วพูดกับสองพี่น้องตงฟางไป๋ “พวกเจ้าสองคนกลับไปที่หลงเฉิงกับข้านี่แหละ เดี๋ยวข้าจะให้ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยคอยชี้แนะพวกเจ้า”“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทสำหรับการสนับสนุนพ่ะย่ะค่ะ!”สองพี่น้องตงฟางไป๋ขี่ม้าติดตามฉินซูและฉงชูโม่ไปยังหลงเฉิงด้วยความยินดี……ห้าวันต่อมาในที่สุดฉินซูและพรรคพวกก็กลับมาถึงหลงเฉิง!หลังจากเข้าไปในเมือง ฉงชูโม่ก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “องค์รัชทายาท จากไปเพียงครึ่งเดือนท่านก็ลืมทิศทางของตำหนักบูรพาไปแล้วหรือเพคะ?”ฉินซูกลอกตาใส่นางแล้วพูดว่า “ใครบอกว่าข้าจะกลับไปที่ตำหนักบูรพา?”“แล้วจะไปที่ใดเพคะ?”“ตามข้ามาเดี๋ยวก็รู้เอง”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามเขาไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นสองพี่น้องตงฟางไป๋เองก็ตามหลังมาอย่างใกล้ชิดครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉงชูโม่มองเห็นจวนโอ่อ่าข้างหน้าที่อยู่มิไกลพลางถามด้วยความประหลาดใจ “องค์รัชทายาท ท่านมาทำอะไรที่จวนอ๋องซิ่นเพคะ?”“แน่นอนว่าข้ามาที่นี่เพื่อก่อเรื่องน่ะสิ คิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อรำลึกถึงวันเก่า ๆ กับเจ้าสี่รึ?”หลังจากที่ฉินซูพูดจบ เขาก็เชิดคางชี้ไปทางตงฟางไป๋และพูดว่า “พวกเจ้าส
เมื่อได้เจอกับอ๋องซิ่น สองพี่น้องตงฟางไป๋ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือจวิ้นอ๋อง หากเขาคิดจะปลิดชีวิตของพวกตนนั้นก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมากขณะที่ตงฟางไป๋กำลังคิดว่าจะพูดอะไร เสียงของฉินซูก็ดังมาจากด้านหลังฝูงชน“ฉินหยาง ข้าเป็นคนสั่งให้พวกเขาทำเช่นนั้นเอง เหตุใดเล่า มิพอใจรึ?”เมื่อได้ยินเสียงของฉินซู บรรดาองครักษ์ก็พากันมามองทีละคนหลังจากที่เห็นว่าคนที่มาคือฉินซู พวกเขาก็กระจายออกเป็นสองฝั่งเพื่อหลีกทางให้โดยสัญชาตญาณฉินหยางประหลาดใจ แม้จะมิน่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย!เหตุใดฉินซูถึงยังมีชีวิตอยู่? สารเลวพวกนั้นจากสำนักเบญจพิษทำงานกันอย่างไร?ใจของฉินหยางตอนนี้อยากจะจับทุกคนในสำนักเบญจพิษมาซักถามเสียให้หมดแม้เขาจะหัวเสีย แต่ก็ประหลาดใจเล็กน้อยแต่เขาก็ยังคงพยายามสงบสติอารมณ์และถามว่า “ท่านส่งคนมาพังประตูจวนอ๋องซิ่นของกระหม่อมโดยไร้เหตุผล องค์รัชทายาททำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูยิ้มเบา ๆ แต่มิตอบอีกฝ่าย เขามองไปยังบุรุษที่สวมเครื่องแบบหัวหน้าองครักษ์แล้วถามว่า “เจ้าเข้าใจกฎเกณฑ์หรือไม่?”หัวหน้าองครักษ์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่