ฉงชูโม่ถามด้วยความสับสน “มีเรื่องอันใดอีกหรือเพคะ?”“หูเฟิงกับคนจากสำนักเบญจพิษสมคบคิดกัน ดังนั้นแน่นอนว่าเราต้องจัดการกับเขาก่อน”“อ้อ ใช่สิ หม่อมฉันลืมไปเลย”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยแค่นเสียงเย็นอย่างขุ่นเคือง “หึ ขุนนางชั่วช้าผู้นั้นบังอาจสมรู้ร่วมคิดกับสำนักในยุทธภพ และตั้งใจที่จะปลงพระชนม์องค์รัชทายาท กระบี่แห่งสำนักหอดูดาวหลวงเล่มนี้ของข้าได้รับการออกแบบมาเพื่อสังหารขุนนางชั่วผู้ทรยศโดยเฉพาะ”ฉงชูโม่พูดด้วยความโกรธ “เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางไปยังจวนผู้ว่าการมณฑลกันเถิด!”กลุ่มของพวกเขาออกจากโรงเตี๊ยมและมุ่งหน้าไปยังจวนผู้ว่าการมณฑล……ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหูเฟิงกำลังดื่มชาและฮัมทำนองดนตรีอย่างมีความสุขหูก่วงเผิงถามอย่างมิสบายใจ “ท่านพ่อ คนจากสำนักเบญจพิษเหล่านั้นเชื่อถือได้หรือไม่? พวกเขาจะสามารถจัดการกับฉินซูองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดได้จริงหรือ?”“วางใจเถิด พิษของสำนักเบญจพิษนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในต้าเหยียนของเรา รองเจ้าสำนักเฝิงลงมือด้วยตัวเองเช่นนี้ ไม่มีทางที่องค์รัชทายาทผู้รอวันปลดจะรอดไปได้”“เช่นนั้นก็ดี แต่หลังจากที่ฉินซูตายไป ก็มิรู้ว่าฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งให้องค์ชายองค์ใดเ
“ถูกใส่ร้าย? หึ เจ้าหาข้ออ้างพาข้าออกจากเมือง แล้วคนจากสำนักเบญจพิษก็บังเอิญมาซุ่มโจมตีข้าในป่านอกเมือง ทุกอย่างชัดเจนเพียงนี้ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงบอกว่าตนถูกใส่ร้าย?”หูเฟิงพูดแก้ต่างด้วยความเสียใจ “องค์รัชทายาท นี่… นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ กระหม่อมมิรู้จริง ๆ ว่าคนจากสำนักเบญจพิษทั้งห้าจะพำนักอยู่ในป่า หากรู้มาก่อน ต่อให้มอบความกล้าอีกร้อยเท่า กระหม่อมก็มิกล้าที่จะทำให้องค์รัชทายาทต้องตกอยู่ในอันตรายพ่ะย่ะค่ะ”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยตำหนิด้วยความโกรธ “หัวจะหลุดออกจากบ่าอยู่แล้วก็ยังมิยอมรับ คนจากสำนักเบญจพิษได้สารภาพแล้ว หากเจ้าสารภาพตามความเป็นจริง ทางสำนักหอดูดาวหลวงสามารถลดโทษคนในตระกูลของเจ้าได้ ทว่าหากปฏิเสธที่จะสารภาพ คดีก็จะถูกส่งกลับไปยังราชสำนัก ถึงตอนนั้นเจ้าก็รอโทษตัดหัวประหารเก้าชั่วโคตรได้เลย!”ใบหน้าของหูเฟิงซีดลงทันที เขาทรุดลงกับพื้น เหงื่อเย็นปกคลุมอยู่ทั่วหน้าผากของตนหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถามว่า “องค์รัชทายาท หากกระหม่อมรับสารภาพ ท่านจะปล่อยคนในครอบครัวของกระหม่อมไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะเจรจาต่อรองกับข้ารึ? ถึงแ
เมื่อเห็นฉงชูโม่จ้องมองมาที่เขา ฉินซูก็ลูบจมูกพลางพูดติดตลก “อะไร จิคสำนึกเจ้าตื่นรู้ขึ้นมาแล้วหรือไร?”“ถุย จิตสำนักตื่นขึ้นอะไรกันเล่า พูดอย่างกับว่าหม่อมฉันไร้จิตสำนึกอย่างนั้นแหละ”ฉงชูโม่มองไปที่ฉินซูอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง จากนั้นก็พูดต่อด้วยรอยยิ้มที่สดใสราวกับดอกไม้บาน “ท่านที่มอบของให้หม่อมฉันต่างหากที่มีจิตสำนึก มิเสียแรงเลยที่หม่อมฉันยอมฝ่าฟันความยากลำบากเพื่อปกป้องท่าน”เมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของนาง ฉินซูก็อดยิ้มมิได้ฉงชูโม่เลิกคิ้วแล้วถามว่า “ท่านยิ้มด้วยเหตุใด?”“พูดไปท่านก็มิเข้าใจ พวกเรารีบเดินทางไปยังเมืองหลงเฉิงกันดีกว่าเพคะ”“หึ รีบร้อนเช่นนี้กลัวว่าจะเจอคนรักเก่าเข้าอย่างนั้นรึ? ข้าอยากจะไปช้าลงเสียหน่อย”ฉงชูโม่ดึงบังเหียนม้าเพื่อชะลอความเร็วด้วยความโกรธ พลางมองฉินซูอย่างยั่วยุฉินซูยักไหล่อย่างมิแยแส “มิว่าจะช้าลงสักแค่ไหน ขอเพียงมีเจ้าไปด้วยข้าก็มิรู้สึกเบื่อ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่งดงามของฉงชูโม่ก็ฉายแววภาคภูมิใจออกมาขณะนั้นเองมีม้าสองตัวถูกควบทะยานมาข้างหน้าเมื่อมองดูใกล้ ๆ ปรากฎว่านั่นคือสองพี่น้องตงฟางไป๋และตงฟางโซ่วเมื่อทั้งสองเห็นฉินซูแล
ฉินซูกลอกตาใส่นางแล้วพูดกับสองพี่น้องตงฟางไป๋ “พวกเจ้าสองคนกลับไปที่หลงเฉิงกับข้านี่แหละ เดี๋ยวข้าจะให้ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยคอยชี้แนะพวกเจ้า”“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทสำหรับการสนับสนุนพ่ะย่ะค่ะ!”สองพี่น้องตงฟางไป๋ขี่ม้าติดตามฉินซูและฉงชูโม่ไปยังหลงเฉิงด้วยความยินดี……ห้าวันต่อมาในที่สุดฉินซูและพรรคพวกก็กลับมาถึงหลงเฉิง!หลังจากเข้าไปในเมือง ฉงชูโม่ก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “องค์รัชทายาท จากไปเพียงครึ่งเดือนท่านก็ลืมทิศทางของตำหนักบูรพาไปแล้วหรือเพคะ?”ฉินซูกลอกตาใส่นางแล้วพูดว่า “ใครบอกว่าข้าจะกลับไปที่ตำหนักบูรพา?”“แล้วจะไปที่ใดเพคะ?”“ตามข้ามาเดี๋ยวก็รู้เอง”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามเขาไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นสองพี่น้องตงฟางไป๋เองก็ตามหลังมาอย่างใกล้ชิดครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉงชูโม่มองเห็นจวนโอ่อ่าข้างหน้าที่อยู่มิไกลพลางถามด้วยความประหลาดใจ “องค์รัชทายาท ท่านมาทำอะไรที่จวนอ๋องซิ่นเพคะ?”“แน่นอนว่าข้ามาที่นี่เพื่อก่อเรื่องน่ะสิ คิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อรำลึกถึงวันเก่า ๆ กับเจ้าสี่รึ?”หลังจากที่ฉินซูพูดจบ เขาก็เชิดคางชี้ไปทางตงฟางไป๋และพูดว่า “พวกเจ้าส
เมื่อได้เจอกับอ๋องซิ่น สองพี่น้องตงฟางไป๋ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือจวิ้นอ๋อง หากเขาคิดจะปลิดชีวิตของพวกตนนั้นก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมากขณะที่ตงฟางไป๋กำลังคิดว่าจะพูดอะไร เสียงของฉินซูก็ดังมาจากด้านหลังฝูงชน“ฉินหยาง ข้าเป็นคนสั่งให้พวกเขาทำเช่นนั้นเอง เหตุใดเล่า มิพอใจรึ?”เมื่อได้ยินเสียงของฉินซู บรรดาองครักษ์ก็พากันมามองทีละคนหลังจากที่เห็นว่าคนที่มาคือฉินซู พวกเขาก็กระจายออกเป็นสองฝั่งเพื่อหลีกทางให้โดยสัญชาตญาณฉินหยางประหลาดใจ แม้จะมิน่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย!เหตุใดฉินซูถึงยังมีชีวิตอยู่? สารเลวพวกนั้นจากสำนักเบญจพิษทำงานกันอย่างไร?ใจของฉินหยางตอนนี้อยากจะจับทุกคนในสำนักเบญจพิษมาซักถามเสียให้หมดแม้เขาจะหัวเสีย แต่ก็ประหลาดใจเล็กน้อยแต่เขาก็ยังคงพยายามสงบสติอารมณ์และถามว่า “ท่านส่งคนมาพังประตูจวนอ๋องซิ่นของกระหม่อมโดยไร้เหตุผล องค์รัชทายาททำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูยิ้มเบา ๆ แต่มิตอบอีกฝ่าย เขามองไปยังบุรุษที่สวมเครื่องแบบหัวหน้าองครักษ์แล้วถามว่า “เจ้าเข้าใจกฎเกณฑ์หรือไม่?”หัวหน้าองครักษ์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่
ยังมิทันที่จะพูดจบเขาก็สั่นไปทั้งตัว!เพียงเพราะเขาสังเกตเห็นว่าสายตาของฉินซูที่มองมานั้นเย็นชาผิดปกติและเต็มไปด้วยกลิ่นอายมุ่งสังหารเขาเห็นฉินซูก้มลงไปหยิบก้อนอิฐขึ้นมาจากพื้นหัวใจของฉินหยางเต้นรัว เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ฉิน… องค์รัชทายาท ท่านคิดจะทำอะไร?”ฉินซูมิตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่กลับทุบหัวเข่าของเขาด้วยก้อนอิฐ“กร๊อบ!!”กระดูกเข่าของฉินหยางคงหักไปแล้ว อีกทั้งยังมีเลือดไหลและชิ้นเนื้อปริออกเป็นแผ่น ช่างน่ากลัวเกินกว่าจะมอง!“อ๊าก!!”ฉินหยางระเบิดเสียงกรีดร้องโหยหวนและโมโหอย่างสุดขีดในเวลาเดียวกันฉินซูโน้มตัวมามองอีกฝ่ายอย่างถือตัวและพูดอย่างเย็นชา “หากมีครั้งหน้า ข้าจะฟันเจ้าให้ตายคามือด้วยตัวข้าเอง!”พูดจบ เขาก็ง้างมือฟาดหน้าผากของฉินหยางด้วยก้อนอิฐในมือหน้าผากของอีกฝ่ายปริแตกทันที และมีเลือดไหลออกมาราวกับกระแสน้ำ!เมื่อเห็นภาพนี้ สองพี่น้องตงฟางไป๋ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง องค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมทำร้ายผู้อื่นโดยมิต้องใช้คำพูดใดฉินซูมิหันหลังเดินออกไปโดยมิแม้แต่จะมองฉินหยางฉงชูโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือไปสกัดจุดบ
ห้องทรงพระอักษรในพระราชวังฉินอู๋ต้าวกำลังอ่านฎีกาที่คณะขุนนางเสนอมาเว่ยเจิงขุนนางอาวุโสพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอยู่ทางด้านหนึ่ง “ฝ่าบาท ในครั้งนี้มีการระดมเงินบริจาคได้ทั้งหมดห้าล้านหกแสนตำลึงซึ่งรับมาจากซุยโจว จี้โจว หลงโย่วและพื้นที่อื่น ๆ ด้วยเงินจำนวนนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ประสบภัยทางตอนเหนือผ่านพ้นภัยแล้งไปได้พ่ะย่ะค่ะ”“แล้วผู้ประสบภัยน้ำท่วมทางตอนใต้เล่า? สถานการณ์ของพวกเขาน่าเป็นห่วงมากกว่าทางตอนเหนือเสียอีก”“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย การระดมเงินทุนรอบที่สองได้เริ่มขึ้นแล้ว กระหม่อมเชื่อว่าอีกมินานทางเราจะรวบรวมเงินและเสบียงอาหารได้มากพอที่จะส่งไปทางตอนใต้เพื่อบรรเทาภัยพิบัติพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวพยักหน้าช้า ๆ “เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ดี แต่ต้องใส่ใจกับความเหมาะสม ผู้ที่บริจาคไปแล้วก็อย่าให้พวกเขาบริจาคซ้ำอีก”เว่ยเจิ้งยกมือคำนับรับคำสั่ง “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดทรงวางพระทัย”“ข้าได้ยินมาว่า ตอนที่องค์รัชทายาทเดินทางผ่านอำเภอหล่งเซียงที่อยู่ทางใต้ ราษฎรทุกคนที่นั่นปฏิเสธที่จะบริจาคเงิน ผู้บริจาคเงินจึงมีเพียงผู้ว่าการอำเภอหล่งเซียงและผู้ว่าการมณฑลสุยโจว ม
ฉินซูยิ้มอย่างมิแยแสพลางพูดว่า “หลายวันมานี้ข้าคิดถึงเจ้าจนแทบบ้า ไยเล่า เจ้ามิคิดถึงข้ารึ?”“แน่นอนว่าหม่อมฉันเองก็คิดถึงท่านเพคะ ในเมื่อองค์รัชทายาททรงโปรด หม่อมฉันก็จะปรนนิบัติท่านอย่างดีเพคะ”หลังจากมาถึงบ่อน้ำ หลินชิงเหยาให้ฉินซูนอนเอนในบ่อน้ำอย่างใกล้ชิด จากนั้นนางก็โอบคอของฉินซูและค่อย ๆ นั่งลงด้านนอกตำหนักบูรพาสองพี่น้องตงฟางไป๋กำลังพูดคุยกับองครักษ์ของตำหนักบูรพาเมื่อรู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่องค์รัชทายาทพากลับมา เหล่าองครักษ์ก็อิจฉาเป็นอย่างยิ่งขณะนั้นเอง ม้าเร็วตัวหนึ่งก็มาหยุดอยู่หน้าประตูตำหนักบูรพาหลังจากที่ขันทีผู้นั้นพลิกตัวลงจากม้าแล้วก็ประกาศเสียงดังว่า “ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทไปเข้าเฝ้าที่พระราชวัง มิอนุญาตให้ฝ่าฝืนรับสั่ง!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของบรรดาองครักษ์ก็เปลี่ยนไป และหนึ่งในนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปในตำหนักบุรุษผู้นั้นค้นหาไปทั่วบริเวณตำหนักบูรพา และในที่สุดก็ทราบจากสาวใช้ว่าองค์รัชทายาทอยู่ในบ่อน้ำเขาจึงวิ่งโดยมิหยุดพักจนมาถึงที่หน้าประตูทางเข้าบ่อน้ำและพูดอย่างนอบน้อมว่า “องค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าโดยเร็วที่สุด
หลังจากตรวจนับสิ่งของแล้วก็พบว่าข้าวสารบนเรือมิได้เสียหายมากนักสวีหลายจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วสั่งว่า “รุ่งสางวันพรุ่งก็ไปซื้อข้าวสารในเมืองมาเสริมส่วนที่เสียหายคืนนี้ให้ครบ”ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งตอบรับด้วยความเคารพว่า “รับทราบ!"ตลอดคืนที่เหลือ สวีหลายทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าด้วยตัวเองโชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นอีกจนถึงรุ่งเช้าหลังจากที่ไปซื้อข้าวในเมืองกลับมาได้แล้ว เรือสินค้าก็ออกเดินทางต่อไปและมุ่งหน้าล่องใต้ไปตามแม่น้ำ……ในเวลาเดียวกันห่างออกไปทางทิศตะวันออกของเมืองหลงเฉิงราวหลายสิบลี้ อารามลอยฟ้าเสวียนคงบนภูเขาอันซานร่างสองร่างปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูวัดในสภาพค่อนข้างอิดโรยคนหนึ่งเป็นพระธุดงค์รูปร่างกำย ใบหน้าฉายแววเคร่งเครียดราวกับมีความแค้นฝังลึก มือถือไม้เท้าปราบมารอีกคนหนึ่งเป็นผู้เฒ่าอายุเกินหกสิบปี สวมชุดคลุมสีดำ ผมยุ่งเหยิงปล่อยกระเซอะกระเซิง มือถือไม้เท้าหัวมังกรปรากฏว่าพวกเขาก็คือคู่มู่และเย่ชางสิง!ทั้งสองเดินทางอยู่หลายวัน กว่าจะกลับมาถึงอารามลอยฟ้าเสวียนคงนักพรตที่กำลังกวาดลานวัดก็คำนับคูมู่แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “ศิษย์คารวะอา
จูฟางพูดด้วยสีหน้าขมขื่น "ข้ามิรู้จริง ๆ ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร..."“มิรู้แม้แต่ตัวตนของคนบอกข่าว เจ้าก็ยังเชื่อคำพูดเขาอย่างนั้นรึ?”“ท่านจอมยุทธ์ พวกเราเป็นโจรสลัด ได้ยินข่าวเช่นนี้ก็อดที่จะเชื่อมิได้อยู่แล้ว และเมื่อเรือของพวกท่านเทียบท่า คนของเราก็เห็นว่าบนเรือขนข้าวสารไว้จริง ๆ เราจึงกล้าลงมือเสี่ยงเช่นนี้”สวีหลายถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก "แล้วเจ้าจะหาตัวคนที่ปล่อยข่าวลือนั่นได้หรือไม่?"จูฟางได้แต่ยกมืออย่างจนใจ "ท่านจอมยุทธ์ คนผู้นั้นหายตัวไปนานแล้ว ข้าจะไปตามหาได้อย่างไร?"“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ให้เก็บเจ้าเอาไว้!”สวีหลายขยับกระบี่ในมือ แผลยาวบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนลำคอของจูฟาง เลือดสดไหลรินออกมามิหยุด!จูฟางตกใจจนขาสั่น ปัสสาวะรดกางเกงด้วยความหวาดกลัว!เขารีบพูดขึ้น "โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดท่านจอมยุทธ์! ข้าจะหาตัวคนผู้นั้นมาให้ มิว่าจะยากเย็นเพียงใด ขอแค่ท่านไว้ชีวิตข้าเท่านั้น!""ดีมาก!"สวีหลายเก็บกระบี่ก่อนจะยื่นมือไปจับคางของจูฟาง และยัดยาสองเม็ดเข้าไปในปากจูฟางพยายามดิ้นรน แต่กลับเผลอกลืนยานั้นลงไปโดยมิตั้งใจเมื่อเห็นเช่นนั้น สวีหลายก็ปล่อยตัวเขาสีหน้าขอ
”ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!”หัวลูกศรลุกเป็นไฟพุ่งแหวกอากาศตรงไปยังเรือสินค้าดอกแล้วดอกเล่าในชั่วพริบตา กระสอบข้าวที่กองอยู่บนเรือก็ลุกไหม้ขึ้นทันที“มิดีแล้ว! พวกมันจุดไฟเผา รีบดับไฟเร็วเข้า!”เฉิงผิงตะโกนเสียงดัง พร้อมทั้งคว้าโล่หวายขึ้นมาแล้วพุ่งไปดับไฟเป็นคนแรกเมื่อเห็นเช่นนั้น คนอื่น ๆ ก็รีบเข้ามาช่วยดับไฟกันอย่างเร่งด่วนแต่ในเวลานี้ ลูกธนูเพลิงยังคงพุ่งมามิหยุด เมื่อพวกเขาดับไฟที่จุดหนึ่งได้ อีกจุดหนึ่งก็ลุกไหม้ขึ้นมาอีกเมื่อเห็นฉากนี้ สายตาของสวีหลายก็ฉายแววอาฆาตรุนแรง!ก่อนออกเดินทาง เขาได้สัญญากับฉินซูเอาไว้ว่า ตราบใดที่ตนยังอยู่ ข้าวจะต้องปลอดภัย!หากปล่อยให้พวกโจรจุดไฟต่อไป ข้าวจำนวนแปดพันต้านนี้จะต้องถูกเผาจนมิเหลือแน่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ชักกระบี่ยาวออกมาจากฝัก พร้อมพูดเสียงหนักแน่นว่า “เฉิงผิง เจ้าคอยดูแลเรือสินค้าให้ดี ข้าจะลงไปฆ่าพวกมันเอง!”พูดจบ ร่างของเขาก็ขยับพลิ้วไหว กระโดดเพียงมิกี่ครั้งก็ลงไปถึงตลิ่งแม่น้ำกระบี่ในมือของเขากระตุกเบา ๆ ก่อนจะพุ่งตรงเข้าหาพวกโจรด้วยความรวดเร็วเฉิงอิงที่อยู่บนเรือเห็นเช่นนั้นก็คว้ากระบี่ขึ้นมา แล้วกระโดดลงไปช่วยทันทีอย่
“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ สถานการณ์ภัยพิบัติในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง?”“กราบทูลองค์รัชทายาท หลังจากที่เสบียงข้าวมาถึงเมื่อสองวันที่แล้ว ราษฎรในเมืองก็ได้รับข้าวแล้ว เมื่อรวมกับเสบียงข้าวที่องค์รัชทายาททรงนำมาในคราวนี้ก็เพียงพอที่จะช่วยให้ราษฎรพ้นวิกฤตในปีนี้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ"ฉินซูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "เช่นนี้ก็ดี รีบนำทางพ่อค้าข้าวเข้าไปในคลัง ข้าขอบอกไว้ก่อน หากผู้ใดที่กล้าปล้นข้าวหรือยักยอกไปแม้เพียงเล็กน้อย ข้าจะประหารโดยมิละเว้น!"ผู้ว่าการอำเภอและคนอื่น ๆ ต่างสะดุ้งตกใจแล้วรีบบอกว่ามิกล้าจากนั้นถานเหวยก็เริ่มควบคุมการเก็บข้าวสารเข้าคลัง ส่วนพวกฉินซูก็ไปพักผ่อน……ภายในเขตเหยี่ยนโจวเรือสินค้าลำหนึ่งจอดเทียบท่าที่ท่าเรือในยามราตรีที่มีแสงจันทร์สว่างจ้า เรือสินค้าลำนี้ที่มีขนาดใหญ่สะดุดตาและโดดเด่นท่ามกลางเรือเล็ก ๆ ที่จอดอยู่เรือสินค้าลำนี้เต็มไปด้วยข้าว และในห้องเก็บสินค้าของท้องเรือยังมีการเก็บเงินหลายสิบหีบไว้อีกด้วยเรือสินค้าลำนี้เป็นเรือที่สวีหลายและพรรคพวกอยู่ในเวลานี้ สวีหลายกำลังเดินสำรวจบนเรือร่วมกับเฉิงอิงและคนอื่น ๆหลังจากยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดปกติบนเรือ เฉิงอิ
ฉินซูยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า "หากเจ้ากล้าป่าวประกาศ ข้าก็จะเอาเรื่องของเราสองคนไปพูดเช่นกัน!"“เมื่อครู่ยังบอกเองว่า ถ้ำแห่งนี้คือความลับของเราสองคน แต่ตอนนี้กลับเอามาใช้ข่มขู่หม่อมฉัน ช่างไร้ยางอายนัก!”“เหอะ ๆ ข้ามิได้หมายถึงเรื่องนี้ แต่หมายถึงตอนที่เราอยู่ในห้องนอนของเฉินหว่านเอ๋อร์...“ฉินซูพูดพลางตบมือสองสามครั้งใบหน้าของกู้เสวี่ยเจี้ยนพลันแดงก่ำ นางโมโหจนขาดสติ ยกฝ่ามือฟาดใส่ฉินซูทันทีคนหลังหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็วพลางพูดแก้ตัว "ไยเจ้าจึงโหดร้ายขนาดนี้? ข้าก็แค่พูดเล่น อีกอย่าง เป็นเจ้าที่พูดว่าจะเผยความลับของข้าก่อนมิใช่รึ!"กู้เสวี่ยเจี้ยนหยุดเคลื่อนไหวแล้วกล่าวเสียงดุ "หากท่านยังพูดถึงเรื่องคืนนั้นอีก หม่อมฉันจะตัดลิ้นท่านให้สุนัขกินเสีย!"“คืนนั้นเจ้าก็ดูจะเพลิดเพลินดี ไยต้องขัดขืนขนาดนี้ด้วยเล่า หรือว่า… เป็นเพราะข้าหยาบคายเกินไป?”ฉินซูพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางอยากรู้ความจริงจนกู้เสวี่ยเจี้ยนโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “คนสารเลว! หม่อมฉันให้ท่านเลิกพูดแล้ว ท่านยังจะมิหยุดใช่หรือไม่ คิดว่าหม่อมฉันมิกล้าตัดลิ้นท่านจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”นางพูดพร้อมชักกระบี่ยาวออก
กู้เสวี่ยเจี้ยนส่งเสียงตอบเบา ๆ แล้วพูดขึ้น "อาจารย์ของหม่อมฉันชอบออกสำรวจถ้ำในหุบเขาลึกอยู่เสมอ หากเขารู้ว่ามีถ้ำเช่นนี้อยู่ที่นี่ เกรงว่าเขาคงจะต้องตื่นเต้นมากแน่ ๆ!”ฉินซูสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนจะถามว่า "เหตุใดอาจารย์ของเจ้าถึงชอบสำรวจถ้ำบนหุบเขาลึกหรือ?"“แน่นอนว่าก็เพื่อค้นหาสมบัติเพคะ ของโบราณตำรับตำราส่วนใหญ่ที่เขามีล้วนได้มาจากถ้ำในป่าลึกทั้งนั้น”หลังจากฟังคำพูดของกู้เสวี่ยเจี้ยน ฉินซูก็ยังคงนิ่งเงียบ แต่ในใจกลับเกิดข้อสันนิษฐานขึ้นมาหัวหน้าโหรหลวงมีฝีมือเก่งกาจปานนั้น อีกทั้งยังชอบสำรวจถ้ำลึกลับในป่าเขา หรือว่า...เขาจะเป็นผู้ฝึกตน?เมื่อนึกได้ดังนั้น ฉินซูจึงกล่าวกำชับด้วยท่าทีจริงจังว่า "กู้เสวี่ยเจี้ยน ข้าว่ามิควรบอกเรื่องนี้ให้อาจารย์ของเจ้ารู้จะดีกว่า"กู้เสวี่ยเจี้ยน ขมวดคิ้วพลางถามด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใดเล่า?"ฉินซูอธิบายอย่างจริงจัง "มิต้องพูดถึงความชันของหน้าผาแห่งนี้ที่มักจะมีปีศาจภูเขาออกมาเพ่นพ่านหรอก แค่ปีศาจตัวนั้นก็ขนลุกมากแล้ว มันมีพลังแข็งแกร่งปานนั้น ต่อให้เป็นอาจารย์ของเจ้าก็คงมิได้ผลอะไรดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นในถ้ำนี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากหินเรืองแสงใน
ฉินซูเดินเข้าไปในถ้ำตามทางที่ทอดยาวออกไป หลังจากเดินไปได้มิไกลก็พบว่า มีบันไดที่ทอดตัวลงไปยังเบื้องล่างบันไดนั้นลึกจนมองมิเห็นจุดสิ้นสุด ฉินซูจึงจุดพับไฟและอาศัยแสงสลัวนั้นค่อย ๆ เดินลงไปตามขั้นบันไดหลังจากเดินไปราวสองเค่อ เขาก็มาถึงถ้ำอีกแห่งหนึ่งตรงมุมของถ้ำมีเงาร่างของสตรีนางหนึ่งกำลังจดจ่อมองดูสิ่งของในกล่องที่อยู่เบื้องหน้าเมื่อเห็นคนผู้นี้ ฉินซู่ก็ถอนหายใจยาว "กู้เสวี่ยเจี้ยน เจ้า..."ยังมิทันที่เขาจะพูดจบ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็สะดุ้งตกใจจนเผลอปล่อยพับไฟในมือร่วงลงพื้นหลังจากกู้เสวี่ยเจี้ยนตั้งสติได้ นางก็ตบหน้าอกเบา ๆ แล้วพูดอย่างโมโห "ท่านทำหม่อมฉันตกใจแทบตาย! มิรู้หรือว่าการทำให้คนตกใจอาจหัวใจวายตายได้จริง ๆ!"ฉินซูกลอกตาใส่นาง "แค่นี้ข้าก็ทำให้เจ้ากลัวแล้วรึ? แม้แต่ชำแหละศพเจ้าก็ยังมิกลัวเลยมิใช่หรือ?"“ศพมันพูดมิได้เสียหน่อย!”กู้เสวี่ยเจี้ยนโต้กลับแล้วจึงถามด้วยความประหลาดใจ "ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? นอกจากนี้ตกลงมาจากหน้าผาสูงขนาดนั้น ท่านมิเป็นอะไรเลยหรือ?!"“เจ้าคงหวังอยากให้ข้าเป็นอะไรไปหรือไร? ข้าลงมาเพื่อตามหาเจ้าต่างหาก”ขณะที่ฉินซูพูดอยู่ เขาก็สังเกตเห็น
ซ่างกวนอวิ๋นซีโบกเรียวงามเบา ๆ ทันใดนั้นจี้หยกขาวก็ตกลงในมือของซือคงเหยียนจี้หยกนี้ดูเรียบง่ายมาก และเต็มไปด้วยอักขระลึกลับล้ำลึก ซึ่งมองดูเพียงครั้งเดียวก็รู้ได้ทันทีว่ามิใช่ของธรรมดาซือคงเหยียนตื่นเต้นจนมือสั่น เขารีบเก็บจี้หยกเข้าไปในอกเสื้อของเขาอย่างระมัดระวังจากนั้นเขาก็โค้งคำนับด้วยความซาบซึ้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก"หลังจากกล่าวลาซ่างกวนอวิ๋นซีแล้วซือคงเหยียนก็ควบม้าเร็วและมุ่งหน้าลงใต้สู่ต้าเหยียน!……ในเวลาเดียวกันฉินซูมาถึงเนินเขาหลัวเฟิงแล้วส่วนมู่หรงจื่อเยียนก็เดินทางกลับไปที่เมืองหลงเฉิงก่อนเมื่อเห็นฉินซูกลับมาอย่างปลอดภัย หัวใจที่เป็นกังวลของเซี่ยหลานก็เบาลงด้วยความโล่งใจนางถามด้วยความเป็นห่วงว่า “องค์รัชทายาท เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”“ข้าสบายดี” ฉินซูเหลือบมองสำรวจทุกคนรอบตัว และพบว่ามีเพียงทหารสองสามนายที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย นอกนั้นทุกคนปลอดภัยดีเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนถามว่า “กู้เสวี่ยอยู่ที่ไหน?”“นางไปตามหาท่านเพคะ เหตุใดกัน ท่านมิได้พบกับนางหรือ?”เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยหลาน ก็พลันหนักอึ้งขึ้นทันที "เจ้าหมายถึง นางกลับ
เป่ยเยี่ยน บริเวณใกล้เขตพระราชสถานส่วนนอก มีอาคารสูงตระหง่านกว่ายี่สิบจั้งตั้งอยู๋เหนือประตูใหญ่แขวนแผ่นป้ายที่จักรพรรดิเป่ยเยี่ยนประทานให้ บนป้ายแกะสลักตัวอักษรใหญ่ที่งดงามและทรงพลัง ‘หอดารารักษ์’ในขณะนั้น ภายในเรือนปีกข้างของหอดารารักษ์ มีชายชราในชุดเต๋ากำลังนั่งสมาธิฝึกจิตเพียงเห็นเขามีผมขาวดั่งนกกระเรียน แต่ใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์ รอบกายมีหมอกบางเบาปกคลุม ท่าทางดูราวกับเซียนสิ่งนี้เกิดจากพลังลมปราณที่แผ่ออกมา แสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งและแข็งแกร่งของกำลังภายในของเขาได้อย่างชัดเจนเขาคือหนึ่งในแปดผู้อาวุโสของหอดารารักษ์ มีนามว่าซือคงเหยียนหนานกงจื่อชินก็คือศิษย์เอกของเขา!ในขณะนั้นเอง ชายหนุ่มในชุดขาวผู้มีสีหน้าหวาดหวั่นได้เดินเข้ามาและโค้งคำนับต่อซือคงเหยียนอย่างนอบน้อม“ท่านผู้อาวุโสซือคง ท่านเจ้าสำนักเชิญท่านไปที่หอวิญญาณขอรับ”หมอกบางรอบกายซือคงเหยียนพลันเคลื่อนไหว มันก็แทรกซึมกลับเข้าไปในร่างของเขาเขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาอันลึกล้ำส่องประกายแสงพุ่งออกมาวูบหนึ่ง!จากนั้นเขาก็เหลือบมองชายหนุ่มในชุดขาวและถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ "เหตุใดเจ้าสำนักจึงเรียกข้าให้ไปที่หอวิญญ