ซูเฟิ่งหลิงในชุดสีขาว มือถือพัด สง่าผ่าเผย เดินเข้าไปในจวี้เป่าไจพวกพนักงานเห็นนาง ตัวแข็งทื่อกลายเป็นเห็น ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นบุรุษที่หล่อเหลายิ่งนัก!เพียงแต่ บุคลิกอ่อนโยนเล็กน้อย!หรือว่ามาจากวังหลวง?เถ้าแก่ซ่งโบกมือ บอกให้พนักงานถอยออกไป เดินมาต้อนรับด้วยตนเองพร้อมกับรอยยิ้ม “คุณชายท่านนี้ หน้าตาไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าใดนัก!”ซูเฟิ่งหลิงกระแอมไอ พูดเสียงทุ้ม “ข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก”เมื่อเถ้าแก่ซ่งได้ฟัง รู้ทันทีว่าชายหนุ่มผู้หล่อเหลาตรงหน้า ไม่ใช่บุรุษอย่างแน่นอนน่าจะเป็นขันทีในวังหลวงด้วยเหตุนี้ เถ้าแก่ซ่งจึงยิ่งให้เกียรติมากขึ้น “เช่นนั้นท่านมาที่ร้านเล็กๆ ของเรา มีธุระใดขอรับ?”ซูเฟิ่งหลิงไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบจี้หยกออกมา “ราคาเดียว หนึ่งแสนตำลึง!”เมื่อเถ้าแก่ซ่งเห็นจี้หยก รูม่านตาหดเล็กจี้หยกนี้ เป็นอัญมณีล้ำค่าจริงๆ!หากอยู่ในยุคที่บ้านเมืองสงบสุข ราคาหนึ่งแสนตำลึงไม่ถือว่าแพงปัญหาคือ เวลานี้บ้านเมืองวุ่นวายบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองให้วัตถุโบราณล้ำค่า บ้านเมืองวุ่นวายทองคำล้ำค่าในยุคสมัยที่บ้านเมืองว้าวุ่นเช่นนี้ ราคาของจี้หยก ลดแล้วลดอีกหนึ่งแสนตำลึง ถือ
เว่ยซวินผายมือ “ลุกขึ้นเถอะ! เถ้าแก่ซ่ง ช่วงนี้จวี้เป่าไจมีของดีอะไรเช่นนั้นหรือ?”เถ้าแก่ซ่งรีบพูด “เรียนพระเก้าพันปี หลายวันก่อนไม่มีของอะไรน่าสนใจขอรับ แต่ว่าวันนี้ มีคนมาที่ร้าน พร้อมกับจี้หยกหนึ่งอัน บอกว่าจะขายหนึ่งแสนตำลึงขอรับ!”เมื่อเว่ยซวินได้ฟัง เขาเด้งตัวลุกขึ้นทันที “จี้หยกหนึ่งอัน ขายหนึ่งแสนตำลึงเช่นนั้นหรือ? เห็นว่าข้าเป็นคนโง่หรือ? นำออกมาเร็วเข้า ให้ข้าดูสิ ว่าเป็นจี้หยกอะไร?”เถ้าแก่ซ่งถือจี้หยกด้วยสองมือ ยื่นไปให้ พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยก็รู้สึกแพงเหมือนกันขอรับ! ดังนั้นจึงตั้งใจจนำมาโดยเฉพาะ ให้พระเก้าพันปีดูขอรับ...”เว่ยซวินมองจี้หยก ตาโตทันทีคนอื่นไม่รู้จักจี้หยกนี้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่เว่ยซวินจะไม่รู้!นี่คืออัญมณีที่ฮ่องเต้หวู่ทรงโปรดปราน ซึ่งพระราชทานให้องค์ชายสี่แล้ว!อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?เถ้าแก่ซ่งเห็นสีหน้าของเว่ยซวินผิดปกติ จึงถามหยั่งเชิง “พระเก้าพันปี ดูเหมือนว่าจี้หยกนี้จะเป็นของราชวงศ์กระมังขอรับ?”เว่ยซวินหัวเราะในลำคอ “นี่คือจี้หยกที่ฝ่าบาทพกติดตัว เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”“ห๊ะ?”เมื่อเถ้าแก่ซ่งได้ยิน คล้ายฟ้าผ่าลงมา ตัวของเขาสั่นเทา “จี้.
“เท่า...เท่าไหร่นะ?”ซูเฟิ่งหลิงนึกสงสัยว่าตนหูฝาดทั้งที่ตนตั้งราคาหนึ่งแสนตำลึง เหตุใดอีกฝ่ายจึงจ่ายเพิ่มอีกห้าหมื่นตำลึง?ใบหน้าเถ้าแก่ซ่งเปื้อนยิ้ม “ท่านไม่ได้หูฝาดขอรับ หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง! อีกห้าหมื่นตำลึง นายท่านของข้าตั้งใจให้...”ซูเฟิ่งหลิงสมองว่างเปล่า กระทั่งได้รับตั๋วเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง ตอนเดินออกไปจากจวี้เป่าไจ นางยังคงมึนงง รู้สึกคล้ายว่าตนกำลังหลับฝันหลี่หลงหลินรอหน้าประตู รีบเดินมาหาทันที “เป็นอย่างไรบ้าง? สำเร็จหรือไม่?”ซูเฟิ่งหลิงราวกับตื่นจากฝัน ดีใจสุดขีด อ้าแขนกอดหลี่หลงหลิน “สำเร็จแล้ว! หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง! เรารวยแล้ว!”ตลาดที่ผู้คนพลุกพล่าน ชายสองคนกอดกัน กล่าวได้ว่าเป็นภาพที่น่าประหลาดผู้คนที่เดินไปมาต่างหันมามองด้วยสายตาประหลาดใจประจวบเหมาะมีคุณชายเสเพลเดินมา จำหลี่หลงหลินได้ พูดด้วยความตกตะลึง “นี่คือองค์องค์ชายเก้าไม่ใช่หรือ?”“ใช่ องค์ชายเก้า!”“ถึงว่า ช่วงนี้ไม่เจอเขาที่สำนักการสังคีต! ที่แท้ เขามีคนโปรดคนใหม่แล้วนี่เอง!”“ในที่สาธารณะ องค์ชายเก้ากอดกับบุรุษ เล่นสนุกเกินไปแล้วจริงๆ!”หลี่หลงหลินหน้าดำคล้ำเครียดซูเฟิ่งหลิง เห็นช
ภายในห้องทรงพระอักษรฮ่องเต้หวู่กำลังตำหนิขุนนางสำนักเลขาธิการ “รู้หรือยังว่าใครคือคนที่เผยแพร่ข่าวลือ บอกว่าทหารรักษาพระองค์แพ้สงคราม ทำให้ทหารของข้าจิตใจหวาดหวั่น?”เหล่าขุนนางก้มหน้าลง ไม่กล้าส่งเสียง ไม่กล้าหายใจเสียงดัง“ไม่เอาไหน!”“ไม่เอาไหนกันหมด!”“หากข่าวลือยังคงแพร่สะพัดอยู่อีก ไม่กล้าคิดถึงผลที่ตามมา!”ฮ่องเต้หวู่ตำหนิแท้จริงแล้ว เขาเองก็รู้ดีแก่ใจเบื้องหลังข่าวลือนี้ จารชนเผ่าหมานเป็นคนเติมเชื้อในกองเพลิงอย่างแน่นอนเวลานี้ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง อยากจะสยบข่าวลือนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้จะจับตัวคนปล่อยข่าวได้แล้ว ประหารชีวิตเขา แต่ก็เพียงระบายโทสะได้เท่านั้นถึงขั้นที่ว่าสำหรับชาวบ้านการอธิบายคือการปิดบัง การปิดบังก็คือความจริง!หากไม่ใช่เพราะทหารรักษาพระองค์แพ้สงครามจริงๆ เหตุใดราชสำนักจึงเคลื่อนไหวรุนแรง ถึงขั้นประหารคนระบายความโกรธเช่นนี้?กล่าวโดยสรุป เป็นแผนการร้ายที่ไม่อาจแก้ไขได้!เวลานี้ เว่ยซวินมาถึงห้องทระพระอักษร พูดเสียงเบา “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่ทอดสายพระเนตรมองเว่ยซวิน พูด “วันนี้เป็นวันหยุดของเจ้าไม่ใช่หรือ ออ
ตึ้ง!ฮ่องเต้หวู่ตบโต๊ะอย่างแรง พระพักตร์มังกรฉายความพิโรธ “เงียบ! พวกเจ้าจะให้ข้าลงโทษผู้ที่ทำคุณงามความดีเช่นนั้นหรือ?”ทำคุณงามความดี?บรรดาขุนนางสีหน้าฉงนองค์ชายเก้าพฤติกรรมสุดโต่ง ชื่อเสียงป่นปี้ ไม่ใกล้เคียงคำว่าทำคุณงามความดีแม้แต่น้อย!ฮ่องเต้หวู่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากไม่ใช่เจ้าเก้า สร้างเรื่องนี้ขึ้น! เกรงว่า ข่าวลือต้าเซี่ยแพ้สงคราม รุนแรงยิ่งกว่านี้!”“ตามคำที่กล่าวว่า สามคนกลายเป็นเสือ!”“เมือข่าวลือถูกพูดมากขึ้น เช่นนั้นก็จะกลายเป็นจริง!”“ไม่เพียงชาวบ้าน พ่อค้าได้ยินข่าวลือ ก็จะแตกตื่น ต่างหนีออกจากเมืองหลวง ลงใต้เพื่อหนีหายนะ!”“สุดท้ายแล้ว ขุนนาง รวมถึงทหาร ก็จะอยู่ในความโกลาหล ต่างพากันหลบหนี!”“ไม่ว่าเจ้าเก้าตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ”“แต่เขาสยบข่าวลือได้แล้ว ทำให้ความตึงเครียดของชาวบ้านเบาบางลง นี่ไม่ใช่เรื่องจริงหรือ?”“นี่ไม่ใช่การทำคุณงามความดีหรอกหรือ?”เหล่าขุนนางเงียบกริบ หมดคำโต้เถียงแม้จะดูเกินจริงไปเสียหน่อยแต่สิ่งที่ฮ่องเต้หวู่ตรัส ก็เป็นความจริงเทียบกับข่าวลือต้าเซี่ยแพ้สงคราม อย่างมากอง์ชายเก้าเพียงเสื่อมเสียชื่อเสีย ทำให้ราชวงศ์ขายหน้า
ลั่วอวี้จู๋คิดอ่านละเอียดรอบคอบ ครั้งนี้ตั้งใจให้หลี่หลงหลินมาแจกจ่ายเงินบำนาญข้อแรก เงินก้อนนี้หลี่หลงหลินเป็นคนหามาได้ เขาจัดการด้วยตนเองก็สมควรแล้วข้อสอง ต่อให้หลี่หลงหลินไม่ได้เรื่องเยี่ยงไร ก็คือองค์ชายเก้า ตัวแทนของฝ่าบาทหลี่หลงหลินพยักหน้า “ในเมื่อให้ข้ามาแจกจ่ายเงินบำนาญ เช่นนั้นรายละเอียดบางส่วน ข้าต้องถามให้ชัดเจน!”ลั่วอวี้จู๋รีบพูด “ย่อมเป็นเช่นนั้น”หลี่หลงหลินเอ่ยถาม “เงินบำนาญของทหารสกุลซูมากน้อยเพียงใด?”ลั่วอวี้จู๋คล่องแคล่วราวนับสมบัติในบ้านของตน เอ่ยตอบ “ยึดตามกฎหมายของต้าเซี่ย แม่ทัพคือแปดร้อยตำลึง! พลทหารหนึ่งร้อยตำลึง! ทหารม้าเจ็ดสิบตำลึง! ทหารราบห้าสิบตำลึง! หากสร้างความดีความชอบทางทหารแล้วล่ะก็ เงินบำนาญเพิ่มอีกต่างหากยี่สิบตำลึง”หลี่หลงหลินเลิกคิ้วขึ้น “ทหารสกุลซูทุกคนล้วนสร้างความดีความชอบ หากคือเจ็ดสิบตำลึงแล้วล่ะก็ นับว่าจำนวนไม่น้อย”ความยากจนมั่งคั่งในต้าเซี่ยแตกต่างกันมากนักตระกูลขุนนางสูงศักดิ์มากอำนาจ หาความสำราญในหอนางโลม ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย หนึ่งคืนก็สามารถจ่ายได้ถึงหมื่นตำลึงส่วนสามัญชนในเมืองหลวง หนึ่งครอบครัวห้าคน ค่าใช้จ่ายหนึ่งเดื
สิ่งที่ลั่วอวี้จู๋พูดก็คือความจริงยุคทองของทหารสกุลซู มีทหารถึงสามหมื่นคน!นั่นก็หมายความว่า ครอบครัวของพวกเขามีมากถึงสามหมื่นครัวเรือนแม้ทุกเดือนทุกครัวเรือนใช้เพียงหนึ่งตำลึง ก็เป็นเงินถึงสามหมื่นตำลึง!แม้สกุลซูยิ่งใหญ่กิจการรุ่งเรือง ก็ไม่สามารถยับยั้งเงินไหลออกสู่ภายนอกได้!ยิ่งไปกว่านั้นหลี่หลงหลินต้องการให้เด็กกำพร้าเข้าสำนักศึกษา นี่คือค่าใช้จ่ายมหาศาลก้อนหนึ่งลั่วอวี้จู๋เคยคำนวณมาก่อน ทุกเดือนต้องแจกจ่ายมากอีกสามหมื่นตำลึง!ภายในมือหลี่หลงหลิน แม้มีเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง มากที่สุดสนับสนุนได้เพียงสามเดือนก็ใกล้หมดแล้วเมื่อนั้นจะทำเช่นไร?เงินบำนาญของราชสำนัก ไม่สามารถแจกจ่ายได้หรือปล่อยให้แม่ม่ายเด็กกำพร้าเหล่านี้ไม่มีที่ซุกหัวนอน เป็นขอทานข้างถนนอย่างนั้นรึ?หลี่หลงหลินยิ้มน้อยๆ พูดเสียงดัง “พี่สะใภ้ใหญ่ ความนัยของข้าคือ เงินเข้าสำนักศึกษานี้ ให้พวกนางรับผิดชอบด้วยตนเอง!”ทันใดนั้น คฤหาสน์สกุลซูก็เงียบกริบสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน รวมอยู่ที่ตัวหลี่หลงหลิน!ถ้อยคำนี้ขององค์ชายเก้า ช่างไม่เข้าใจหัวอกคนยากไร้จริงๆ!แม่ม่ายเด็กกำพร้าเหล่านี้ หนึ่งเดือนมีเพีย
นางฉลาดมากเพียงใด บัดนี้เข้าใจแล้ว หลี่หลงหลินกำลังให้ตนเองเป็นผู้ขันอาสาหลิ่วหรูเยียนรีบก้าวออกมา “อย่างไรเสียข้าก็กำลังว่างงาน สามารถสอนพวกนางใช้เครื่องทอผ้าได้!”หลี่หลงหลินพยักหน้าแล้ว “ในเมื่อสะใภ้สี่กระตือรือร้นถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเรื่องนี้ยกให้เจ้าแล้ว!”ฮูหยินผู้เฒ่าซูไม่ห้าม เห็นชัดว่าอนุญาตเงียบๆ แล้ว“ขอบพระทัยเพคะองค์ชาย...”หลิ่วหรูเยียนหน้าแดงก่ำ กล่าวขอบคุณหลี่หลงหลินเสียงแผ่วได้รับการช่วยเหลือจากหลี่หลงหลิน ความขุ่นเคืองระหว่างหลิ่วหรูเยียนและฮูหยินผู้เฒ่าซูค่อยๆ หายไป เริ่มกลมกลืนเข้ากับสกุลซูครอบครัวใหญ่นี้แล้วความกังวลของนางหมดไป ไม่ต้องหวั่นใจทั้งวี่ทั้งวัน กังวลว่าตนเองจะถูกขับไล่ออกจากบ้าน กลับไปอยู่ในหอคณิกาตกบ่อเพลิงนี้อีกครั้งไม่รู้เพราะเหตุใดหลิ่วหรูเยียนมองเห็นเงาของคุณชายสี่สกุลซูบนตัวหลี่หลงหลินครานั้นคุณชายสี่สกุลซู ช่วยตนเองออกจากบ่อเพลิง...ลั่วอวี้จู๋เริ่มแจกจ่ายเงินบำนาญของเดือนนี้ให้แม่ม่ายเด็กกำพร้าแม่ม่ายยินยอมทำงานให้สกุลซู หลังบันทึกชื่อแซ่เรียบร้อยแล้ว ก็มาพบหลิ่วหรูเยียนที่นั่น สังเกตวิธีทอผ้าของนาง เรียนวิธีใช้งานเครื่องทอผ
องค์หญิงใหญ่ก้าวเข้าไปในตำหนักฉือหนิงแปลกที่ดูเหมือนไม่มีใครในตำหนักรู้จักนางนอกจากหลี่หลงหลินแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทายนางเลยองค์หญิงใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเดิมทีวันนี้นางคิดว่าตัวเองจะเป็นจุดสนใจของทุกคนอย่างน้อยก็น่าจะมีคนเข้ามาพูดคุยกับนางบ้างแต่ตั้งแต่แรก นางก็คิดว่าตัวเองสำคัญเกินไปแล้วหลี่เทียนฉี่กระซิบข้างหูองค์หญิงใหญ่ “องค์หญิงใหญ่ ท่านเห็นหรือไม่ว่าหลี่หลงหลินน่ารังเกียจแค่ไหน!”องค์หญิงใหญ่เหลือบมองเขานางไม่เคยคิดเลยว่า หลี่เทียนฉี่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่คาดหวังของทุกคน ตอนนี้จะกลายเป็นคนไร้ค่าเช่นนี้นางไม่อยากจะยอมรับเลยว่าตัวเองเกิดมาจากท้องแม่เดียวกันกับเขา!แต่หลี่เทียนฉี่พูดถูกอยู่เรื่องหนึ่งหลี่หลงหลินน่ารังเกียจจริงๆเขาไม่เคยมองนางอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำองค์หญิงใหญ่ตวาด “ดูเจ้าสิ ไร้ประโยชน์! ถูกคนไร้ค่าอย่างหลี่หลงหลินแย่งตำแหน่งรัชทายาทไป น่าอับอายขายหน้าจริงๆ!”ยิ่งไปกว่านั้น หลี่หลงหลินยังมีอาจารย์ของฮ่องเต้คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังหลี่เทียนฉี่กล่าว “ท่านอย่าได้ดูแคลนหลี่หลงหลินเชียว เขาไม่ได้เป็นคนที่ดูเผินๆ แล้วจะเข้าใจได้ง่ายๆ หรอก!
นี่คือสงครามที่ไร้ควันปืนหลังจากการทดสอบหลายรอบ องค์หญิงใหญ่ก็รู้ถึงความสามารถของหลี่หลงหลินแล้วเป็นไปตามที่นางคาดไว้ก่อนหน้านี้จริงๆลึกล้ำเกินหยั่งถึงเขาไม่เหมือนกับหลี่เทียนฉี่ ผู้ไร้ประโยชน์ที่ทำอะไรไม่สำเร็จ! บรรยากาศเปลี่ยนไปสายตาขององค์หญิงใหญ่จับจ้องไปที่ซูเฟิ่งหลิง บีบรอยยิ้มปลอมๆ ออกมา “ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ”“ได้ยินชื่อเสียงของพระชายาองค์รัชทายาทมานานแล้ว ว่าเป็นผู้มีชาติตระกูลดี มีฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ กล้าหาญ และเชี่ยวชาญในการต่อสู้”“ได้ยินมาว่าองค์รัชทายาททรงโปรดปรานเรื่องตะวันพันมังกร นึกว่าจะเป็นคนแข็งแกร่ง”“ไม่คิดเลยว่าจะงดงามเช่นนี้”คำพูดไม่กี่คำขององค์หญิงใหญ่ ทำให้บรรยากาศในตำหนักฉือหนิงเปลี่ยนไปในทันทีซูเฟิ่งหลิงไม่สามารถต้านทานได้เลยท้ายที่สุด ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแม้แต่หลี่หลงหลินที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่คิดว่าองค์หญิงใหญ่จะยิ้มเยาะเย้ยถากถางและตรงไปตรงมาเช่นนี้เมื่อเห็นสีหน้าของหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิง หลี่เทียนฉี่ก็รู้สึกสะใจ!บรรยายไม่ถูกเลยว่าชื่นใจแค่ไหน!รู้หรือไม่ว่า ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยได้เปรียบหลี่หลงหลินเลย
“ถวายบังคมองค์รัชทายาท!”เมื่อนางกำนัลและขันทีเห็นหลี่หลงหลิน ต่างรีบวางมือจากงานและคำนับเขาแม้ว่านางกำนัลและขันทีเหล่านี้จะอยู่ในตำหนักฉือหนิง ซึ่งอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางของการต่อสู้ทางการเมืองในวันธรรมดา พวกเขาก็แค่รับใช้ฮองไทเฮา ชีวิตเรียบง่ายยิ่งพวกเขาเข้าไม่ถึงอำนาจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้นเท่านั้น!อยากรับใช้องค์รัชทายาทแม้ในความฝันต้องการสร้างความสัมพันธ์กับเขาท้ายที่สุด เว่ยซวินก็รับใช้ฮ่องเต้หวู่มาตั้งแต่เด็กจนโตมิฉะนั้น เขาจะมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?นางกำนัลและขันทีกระตือรือร้นเป็นพิเศษแต่หลี่หลงหลินไม่สนใจเพราะเขามีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ในใจตั้งแต่มาถึงตำหนักฉือหนิง สายตาของเขาก็มองหาใครบางคนในฝูงชนอยู่ตลอดเวลาต้องการมองหาองค์หญิงไท่ผิงท้ายที่สุดแล้ว ปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดในตอนนี้ก็คือนาง“องค์รัชทายาท ไข่มุกหมิงแห่งทะเลใต้หนึ่งเม็ด!”ขันทีน้อยรายงานของขวัญที่หลี่หลงหลินมอบให้ด้วยเสียงอันดังราวกับกำลังเอาใจหลี่หลงหลินแต่หลี่หลงหลินไม่สนใจ เพียงแต่มองไปที่ซูเฟิ่งหลิงข้างๆ“ช้าแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ”หลี่หลงหลินยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ใ
ไม่มีใครมาต้อนรับนางราวกับว่านางไม่เคยมีตัวตนอยู่มีเพียงลู่ฮองเฮาที่ทรงห่วงใยตน แต่ตอนนี้นางถูกฮ่องเต้หวู่เนรเทศไปยังตำหนักเย็นถูกจำกัดอิสรภาพของนางและจะไม่มาต้อนรับตนเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ องค์หญิงใหญ่ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และระงับความโกรธในใจทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนชั่วที่ยุยงฮ่องเต้หวู่!“องค์ชายเก้า...”องค์หญิงใหญ่พึมพำในปาก ดวงตาของนางฉายแววฆ่าฟันหลังจากเดินทางมาหลายปีนางมิใช่เด็กสาวที่ไร้เดียงสาเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้วการกลับมาครั้งนี้ของนาง ไม่ใช่แค่เพื่อพิสูจน์ตัวเองแต่เพื่อทวงทุกอย่างของนางกลับคืนมาเพื่อให้ขุนนางทั้งราชสำนักยอมสยบต่อนาง!องค์หญิงใหญ่เหลือบมองร่างหลายร่างวูบผ่านข้างรถม้าและหายเข้าไปในกำแพงวังหลวงแม้ว่าพระราชวังต้องห้ามจะเป็นสถานที่ที่มีการป้องกันแน่นหนาที่สุดในต้าเซี่ยแต่สำหรับหน่วยกล้าตายใต้บัญชาของตนแล้ว เรื่องนี้ไม่มีค่าให้กล่าวถึงเลยท้ายที่สุด พวกเขาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการคัดเลือกและฝึกฝนอย่างดีจากแคว้นโวกั๋วคอยคุ้มครองนางโดยเฉพาะหากนางได้รับเวลาและเงินทุนเพียงพอการฝึกฝนทหารฝีมือดีแปดร้อยนาย จะต้องสามารถโค่นล้มการปกครอ
หลังจากอยู่ร่วมกันเช้าค่ำเป็นเวลานานหลี่หลงหลินรู้อุปนิสัยของซูเฟิ่งหลิงแล้วเพียงแต่ปากคมดั่งมีด จิตใจกลับนุ่มเหมือนเต้าหู้เท่านั้นหากตนเองไม่พาซูเฟิ่งหลิงไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเทศกาลโคมไฟ นั่นต่างหากหายนะที่แท้จริง!น่ากลัวว่าต้องถูกทวนเงินแทงจนกลายเป็นตะแกรงร่อน!ดังนั้นตนเองไม่จำเป็นต้องกังวลซูเฟิ่งหลิงเพียงแจ้งนางคร่าวๆ ก็เท่านั้นบัดนี้กังวลที่สุดกลับเป็นองค์หญิงไท่ผิงทั้งหมดล้วนยังไม่มีแผนมนุษย์ทุกคนล้วนหวากหวั่นต่อตำแหน่งอำนาจอยู่ตลอดรอหลี่หลงหลินดึงสติกลับมาได้ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วน้อยๆ “ท่านพูดเถอะวันนั้นข้าใส่เสื้อผ้าเยี่ยงไรถึงจะเหมาะสม?”หลี่หลงหลินครุ่นคิด พูดยิ้มๆ “เมื่อหลายวันก่อนข้าให้พี่สะใภ้สี่ตัดชุดกระโปรงหน้าม้าให้เจ้าแล้วมิใช่หรือ? ทั้งหล่อเหลาทั้งสง่างาม ชวนให้ตกตะลึงทั้งงาน”ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้ายิ้มๆ “ที่แท้ท่านก็เตรียมทั้งหมดไว้พรักพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ฟังท่านแล้วกัน!”......พระราชวังต้องห้ามขบวนรถม้าแล่นอย่างเชื่องช้ามาถึงหน้าประตูเมืองขบวนรถม้าจัดเตรียมไว้อย่างเรียบง่ายมาก ทั้งหมดมีคนไม่ถึงยี่สิบคนแต่หากมีความรู้ย่อมสามารถมองออกว่าขบวน
“ให้ข้า?”ภายใต้ท่าทางตกตะลึงของซูเฟิ่งหลิงยังสะท้อนความดีใจอีกสายหนึ่งแต่ความดีใจมลายหายไปอย่างว่องไวนางเอ่ยถามด้วยเสียงเจือความสงสัย “นี่คือของขวัญแต่งงานของพวกเรา?”อีกไม่นานต่อจากนี้ก็คือวันแต่งงานของหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงแม้พูดว่าลั่วอวี้จู๋ใช้จ่ายมือเติบ แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่สามารถยอมรับได้หลี่หลงหลินส่ายหน้า “นี่คือมอบให้พวกเราเป็นของขวัญบรรณาการ”“ของขวัญบรรณาการ?”ซูเฟิ่งหลิงงุนงงมอบให้ใครเล่า?เรื่องอันใด?ย่อมไม่สามารถมอบให้โดยไร้สาเหตุหรอกกระมังหลี่หลงหลินอธิบายเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดให้ซูเฟิ่งหลิงฟังซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วมุ่น “งานเทศกาลโคมไฟ?”ไม่ใช่เพราะซูเฟิ่งหลิงมีความเห็นต่อไทฮองไทเฮาแต่วังหลังซับซ้อน ทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่นภายในใจงานเลี้ยงใหญ่อีกแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น!หลี่หลงหลินพูด “ในเมื่อเป็นราชวงศ์ ก็ต้องให้ความสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงใหญ่ที่เดินทางไปเป็นทูตที่โวกั๋วมานานหลายปีก็จะฉวยโอกาสอยู่ร่วมกันพร้อมหน้านี้กลับมายังต้าเซี่ย”“ถึงตอนนั้นเสด็จพ่อจะต้องให้ความสำคัญต่องานเลี้ยงเทศกาลโคมไฟในครั
ยามนี้ลั่วอวี้จู๋ถูกจ้องจนประหม่า“องค์ชาย เวลาไม่เช้าแล้ว รีบพักผ่อนเถอะ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เกือบจะยามสี่แล้ว หากถูกบ่าวรับใช้พบเข้าจะส่งผลไม่ดีได้”อย่างไรเสียชายหญิงก็อยู่ตามลำพังภายในห้อง ไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืนคนโง่ก็ไม่มีวันเชื่อหรอกว่าจะไม่มีอันใดเกิดขึ้นหลี่หลงหลินรับกล่องไม้ไปแล้วกล่าวขอบคุณ “ยังเป็นพี่สะใภ้ใหญ่คิดรอบคอบ”ใบหน้าลั่วอวี้จู๋สะท้อนความรัก “องค์ชาย ท่านและน้องหญิงเล็กมีชีวิตที่ดีย่อมสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด”บนโลกมนุษย์มีสิ่งใดสำคัญไปกว่ามีบุพเพแต่ไร้วาสนาอีกเล่าหลี่หลงหลินโดดเด่นทั้งรูปโฉมและสติปัญญาแต่ลั่วอวี้จู๋ในฐานะพี่สะใภ้ใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถใช้ชีวิตกับหลี่หลงหลินอย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรมได้ดังนั้นต่อให้นางได้รับชมอยู่วงนอกเห็นเขามีความสุขก็พึงพอใจแล้ว!หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “ท่านดีข้าดีทุกคนดี ทุกคนดี ถึงจะดีอย่างแท้จริง!”พูดจบ เขาหันหลังจากไป กลับเข้าห้องของตน แต่ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าซูเฟิ่งหลิงถึงขั้นอยู่ที่นี่ซูเฟิ่งหลิงหันหน้า สีหน้าเปี่ยมโทสะ “องค์ชาย ดึกเพียงนี้ท่านไปที่ใดมา!”เมื่อวานหลี่หลงหลินไม่ได้กลับตลอดคืนซูเฟิ่งหลิ
แต่กลับตามไปไม่ทัน“ดูท่าแล้วมาหาถูกคนจริงเสียด้วย!”มองผ่านท่าทีตอบสนองเมื่อครู่ของลั่วอวี้จู๋ดูแล้ว ในมือนางจะต้องมีสมบัติล้ำค่าที่สามารถนำออกมาได้แน่เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไปลั่วอวี้จู๋วิ่งกลับมาด้วยความดีใจเต็มเปี่ยมผิวขาวราวกับหิมะมีเหงื่อหอมผุดออกมาปอยผมแนบติดหน้าผากชวนให้หลงใหลหลี่หลงหลินมองไป ได้เห็นลั่วอวี้จู๋ถือกล่องไม้ไว้ในมือรูปลักษณ์ภายนอกธรรรมดาแต่มองผ่านอารมณ์ของลั่วอวี้จู๋ดูแล้วสิ่งนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ลั่วอวี้จู๋พูดอย่างอารมณ์ดี “โชคดีหม่อมฉันหาเจอ หาไม่แล้วจะต้องลืมเจ้าสิ่งนี้ไปแล้วแน่!”หลี่หลงหลินเพิ่งคิดตำหนิที่เมื่อครู่ไม่ให้ตนเองช่วยถือโคมไฟลั่วอวี้จู๋ก็หยิบสมบัติที่อยู่ภายในกล่องไม้ออกมา“นี่คือ?”มองเห็นไข่มุกทรงกลมทอประกายจางๆ ภายในมือลั่วอวี้จู๋ไม่คล้ายเครื่องมือไว้ใช้ส่องสว่างในยุคหลังแสงชนิดนี้คล้ายซึมอยู่ภายในไข่มุกอย่างเป็นธรรมชาติ!“ไข่มุกเรืองแสงแห่งทะเลใต้หรือ?”หลี่หลงหลินเอ่ยถามออกมาลั่วอวี้จู๋สบมองหลี่หลงหลินอย่างแปลกใจ “ท่านรู้จักสิ่งนี้หรือ?”แม้ว่าไม่มีประสบการณ์ แต่ก็ยังรู้จักมาก่อนอย่างไรเสียไข่มุกเรืองแสงแห่งทะเล
ทั้งสองสบตากันลั่วอวี้จู๋หน้าแดงเรื่อ เมื่อครู่สนใจเพียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดเสียใจ ไฉนเลยจะคิดถึงเรื่องนี้!ลูกกระเดือกหลี่หลงหลินเกร็งเล็กน้อย กลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้เรือนร่างของลั่วอวี้จู๋เร่าร้อนถึงเพียงนี้ อกอวบอิ่มดูมีน้ำหนัก ปกติเสื้อผ้าหลวมสายคาดเอวกว้างเหล่านั้นปกปิดเรือนร่างเย้ายวนนี้ไว้จนหมดช่างเสียดายของโดยแท้!ลั่วอวี้จู๋หลบตา เอ่ยเสียงเคร่งขรึม “องค์ชาย หากไม่มีเรื่องใดก็กลับไปก่อนเถอะเพคะ...”บัดนี้ลั่วอวี้จู๋อยากหารูมุดเข้าไปเหลือเกินอยากไล่หลี่หลงหลินออกไปก่อน หาไม่แล้วท่ามกลางบรรยากาศคลุมเครือเช่นนี้จะเกิดเรื่องใดขึ้นนางก็ไม่แน่ใจแล้วหลี่หลงหลินรีบขยับถอยออกไป “หากพี่สะใภ้ไม่พูด ข้าก็เกือบลืมธุระสำคัญไปแล้ว เมื่อครู่ข้าผลักประตูเข้ามา วู่วามจริงๆ ตอนนี้ข้าจะออกไปเคาะประตูใหม่..”สิ้นคำ รีบหันหลังกลับออกไปหลี่หลงหลินรีบเบี่ยงเบนความคิดไปที่อื่น กลัววู่วามขึ้นมาทำลายเรื่องผิดต่อศีลธรรมร้ายแรงลั่วอวี้จู๋ไฉนเลยจะฟังความนัยของหลี่หลงหลินไม่ออกรีบสวมเสื้อผ้าตัวใหญ่ตามปกติ ทำให้บรรยากาศไม่อึดอัดถึงเพียงนั้น“เข้ามาเถอะ”หลี่หลงหลินเคาะประตูเข้ามา บรรยาก