ยอดเยี่ยมโดยแท้!กวีบทนี้ เทียบกับหม่านเจียงหงกวีบทนั้นแล้ว ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน!ฮองเฮาหลู่ หลินกุ้ยเฟย ไปจนถึงสนมในวังหลังทั้งหมด ทุกคนล้วนไม่สามารถรักษาความสุขุมเอาไว้ได้ สั่นสะท้านทั่วทั้งสรรพางค์กายดวงจันทราโคจรรอบหอสีชาด ดวงแขสาดประตูบานพระพร่างพราย แสงเพ็ญลอดหน้าต่างค่ำทำประกาย สาดแสงฉายผู้ใดเล่ามิเข้านอนพวกนางตราตรึงใจที่สุด กลับเป็นประโยคนี้!ความอยุติธรรมคือตนเองอยู่อย่างเดียวดายภายในวังหลัง เขียนพรรณนาความจริงต่อความอดกลั้นเพราะความเหงากระนั้นรึ?ถึงขั้นมีสนมยกมือปิดหน้า ร้องไห้ออกมาแล้วเซียวเม่ยเอ๋อร์ตกตะลึงเหม่อไป จับจ้องหลี่หลงหลินตาเขม็งนี่คือปีศาจอะไรกัน!เพียงออกจากปาก ก็คือบทกวีชั่วนิรันดร์!ความสามารถยอดเยี่ยมขั้นนี้ ตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ใครสามารถเทียบได้บ้างเล่า?องค์ชายไร้ประโยชน์ของต้าเซี่ยคนหนึ่ง ก็มีพรสวรรค์ความสามารถเพียงนี้เพียงคิดดูก็รู้ราษฎร์ของต้าเซี่ยคือเสือหมอบมังกรซ่อนเร้น มีคนมากความสามารถมากน้อยเพียงใด?ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือต้องการทำลายต้าเซี่ย ท้าทายอำนาจสามารถทำได้จริงหรือ?“ไม่ได้การ!”“องค์ชายเก้ามีความสามารถเกินไป!”
บทกวีของหลี่หลงหลินกลายเป็นบทกวีชั่วนิรันดร์!ดุจดาวล้อมเดือน กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน!รอจนถึงวันพรุ่งนี้ บทกวีชั่วนิรันดร์นี้ จะต้องเผยแพร่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง ทุกครอบครัวต่างรู้กันอย่างถ้วนทั่ว!เซียวเม่ยเอ๋อร์คล้ายถูกคนเหวี่ยงหมัดแรงๆ ใส่!เจ็บจนไม่สามารถหายใจได้!เดิมทีนางวางแผน ให้หลี่หลงหลินขายหน้า!สรุปคือ กลับช่วยสร้างชื่อเสียงให้เขา!ทว่าเพียงคิดดูก็รู้ หลังผ่านวันนี้ไป ชื่อเสียงของหลี่หลงหลินจะโด่งดังมากเพียงใด?ขโมยไก่ไม่สำเร็จยังเสียข้าวสารอีกด้วย!ตนเองกลับกลายเป็นหินรองเท้าขึ้นสู่ที่สูงของหลี่หลงหลินไปแล้ว!เซียวเม่ยเอ๋อร์คิดว่าตนเองใกล้ทุกข์ใจตายแล้ว พูดกับเซียวเซวียนเช่อน้ำตาคลอหน่วย “ราชครู! ท่านเร่งคิดหาทางเร็วเข้า!”ขณะเดียวกันเซียวเซวียนเช่อเกิดความคิดวู่วามอยากตายขึ้นมา เสียใจภายหลังอย่างมาก!ทั้งๆ ที่ตนเป็นเผ่าหมานอี๋เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้แต่กลับปาไข่กระทบหิน มีวัฒนธรรมเหนือกว่าต้าเซี่ย?นี่ยังมิใช่ว่าป่วยอีกหรือ?อันดับแรกมีตำราพิชัยยุทธ์ ต่อมามีบทกวีพ่ายแพ้อย่างอนาถทั้งสองสนาม!ต้นตอก็คือ ตนเองดูเบามรดกทางวัฒนธรรมของต้าเซี่ยต่ำเกินไป ดูเบาค
เพียงลงมือก็คือทองคำนับร้อยจิน!หนึ่งจินเท่ากับสิบตำลึง ขนมไหว้พระจันทร์ทองคำตรงหน้า มีมากถึงหนึ่งพันตำลึง?อิงตามราคาทองคำในตอนนี้ สามารถซื้อคฤหาสน์หรูหราไม่เลวหนึ่งหลังภายในเมืองหลวงได้!ของขวัญนี้ล้ำค่ามากจริงๆ!ฮองไทเฮากลับสบถเสียงเย็น พูดอย่างหมิ่นแคลน “เชย!”หลี่หลงหลินชะงัก จากนั้นหลุดหัวเราะเสด็จย่าของตนท่านนี้ แม้อายุมากแล้ว แต่มุมมองทั้งสามกลับมั่นคง ไม่ใช่ผู้ชราเลอะเลือน!ขนมไหว้พระจันทร์ทองคำ?เชยจนทนไม่ไหว!แต่หลี่หลงหลินไม่ยอมรับไม่ได้เชยก็เชยจริง แต่แท้จริงแล้วคือความเรียบง่ายแต่ได้ผลดี!ขอถามบนโลกนี้ ใครบ้างสามารถปฏิเสธขนมไหว้พระจันทร์ทองคำได้?ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์การเงินของต้าเซี่ยในเวลานี้ ไม่สู้ดีมาโดยตลอดมิหนำซ้ำฮ่องเต้หวู่ยังเป็นคนหลงใหลในเงินทองคนหนึ่ง!ขนมไหวพระจันทร์ทองคำล้ำค่าเพียงนี้ ไม่เก็บก็เสียดาย ไม่ต้องการก็เสียเปล่า!ฮ่องเต้หวู่พยักหน้า “ขนมไหว้พระจันทร์ทองคำนี้ จริงใจมากเพียงพอ! แต่น่าเสียดาย ทำได้เพียงมอง ไม่สามารถกินได้! สหายเว่ย เจ้าเก็บแทนฮองไทเฮาเถอะ!”ไม่ว่าอย่างไร ขนมไหว้พระจันทร์ทองคำนี้ ฮ่องเต้หวู่ก็รับไว้แล้ว!เซียวเ
ฮองไทเฮาเข้าใจในทันใด ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา “ที่แท้ก็เป็นขนมไหว้พระจันทร์ที่หลานสะใภ้ทำด้วยตนเอง! ถึงขั้น...ถึงขั้น....”เซียวเม่ยเอ๋อร์ยิ้มเย็น พูดประชด “พูดหนึ่งพันชมหนึ่งหมื่น ก็แค่ขนมไหว้พระจันทร์มิใช่หรือ? ราคาแพงที่สุดก็แค่ยี่สิบสามสิบตำลึง มีอะไรให้เสียดายกัน!”ฮองไทเฮาไม่สบอารมณ์ ถลึงตาใส่เซียวเม่ยเอ๋อร์หนึ่งปราด “เผ่าป่าเถื่อนก็คือเผ่าป่าเถื่อน! แม้ของขวัญเบาแต่น้ำใจหนักหลักการนี้ ก็ไม่เข้าใจหรือ?”เซียวเม่ยเอ๋อร์สำลักจนพูดไม่ออกหลี่หลงหลินยิ้มน้อยๆ พูดว่า “เสด็จย่า ขนมไหว้พระจันทร์นี้ไม่เพียงเป็นน้ำใจของหลานและคนสกุลซู! ยิ่งไปกว่านั้น ราคาก็ไม่ธรรมดา! ขนมไหว้พระจันทร์ทุกอันอย่างน้อยก็ต้องจ่ายหนึ่งร้อยตำลึงพ่ะย่ะค่ะ!”หนึ่งร้อยตำลึง?ทุกคนล้วนสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง ใบหน้าเผยแววเหลือจะเชื่อนี่คือขนมไหว้พระจันทร์อะไร?หนึ่งอันต้องจ่ายหนึ่งร้อยตำลึง?ภายนอกมองไม่ออก หรือว่าไส้ภายในมีของดีอยู่ ซ่อนรังนกหูฉลาม ตับมังกรไขกระดูกหงส์กระนั้น?แต่ ขนมไว้พระจันทร์นี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ต่อให้เป็นรังนกหูฉลาม ก็จ่ายเพียงสามถึงห้าตำลึงเท่านั้น!ภายในขนมไหว้พระจันทร์มิได้ห่อทองเอ
ก็เหมือนอย่างที่ฮองไทเฮาพูด ความหวานพรรค์นี้ ต่อให้เป็นฮ่องเต้หวู่ ก็เพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก!ฮองเฮาหลู่ถือขนมไหว้พระจันทร์ไว้ในมือ อุทานอย่างตกตะลึง “ขนมไหว้พระจันทร์หวานยิ่งนัก! เทียบกับขนมไหว้พระจันทร์ที่ข้าเคยกินมาก่อนเหล่านั้น อร่อยยิ่งกว่า!”คนยุคสมัยโบราณ ทั้งหมดล้วนชอบกินของหวานยิ่งหวานยิ่งดี ไม่มีวันพูดว่าเลี่ยนหลังเหล่าสนมได้กินขนมไหว้พระจันทร์แล้ว ก็ประเมินออกมาเหมือนกันทั้งหมดองค์ชายสี่หลี่จือไม่ยอมรับ เกิดความคิดอคติอยู่ภายในใจ ชิมขนมไหว้พระจันทร์หนึ่งคำสรุปว่า เขาตกตะลึงพรึงเพริดพูดไม่ออกอยู่นานมีเพียงเซียวเม่ยเอ๋อร์และเซียวเซวียนเช่อสองคน แม้แปลกใจต่อขนมไหว้พระจันทร์นี้ ตกลงรสชาติเป็นเช่นไรแต่เพื่อรักษาหน้าตา พวกเขาทั้งสองทำเพียงแสร้งหมิ่นแคลน!โดยเฉพาะเซียวเม่ยเอ๋อร์ สีหน้าหยิ่งทะนง “ขนมไหว้พระจันทร์ห่วยๆ อะไร? ข้าไม่เสียดายหรอกนะ!”ทีแรกฮองไทเฮาอยากชิมเพียงคำเดียว สรุปคือมิอาจทนไหว กินขนมไหว้พระจันทร์เข้าไปทั้งหมด นี่ถึงพูดว่า “เจ้าเก้า เหตุใดขนมไหว้พระจันทร์หวานเพียงนี้?”“ตกลงเจ้าใส่อะไรลงไปกันแน่?”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ พูดว่า “เสด็จย่า อันที่จ
เซียวเซวียนเช่อขมวดคิ้วแน่น มือสองข้างสั่นเทิ้ม หยิบถุงขึ้นมา เปิดออกเบาๆอาศัยแสงจันทร์บนฟ้า ยังมีแสงโคมไฟในสวนหลวง เซียวเซวียนเช่อมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในถุงได้อย่างชัดเจน รูม่านตาหดลงเหลือเท่าหัวเข็มหมุด“นี่...ก็คือน้ำตาลทรายขาวรึ?”“น้ำตาลมีสีขาวจริงรึ?”เซียวเซวียนเช่อใช้นิ้วจิ้มน้ำตาลทรายขาวเล็กน้อย แตะเข้าปากเบาๆหวาน!หวานมาก!ไม่มีสิ่งใดเจือปน ไม่มีรสชาติอื่นแต่ เซียวเซวียนเช่อกลับอยากร้องไห้แพ้อีกแล้ว!ครั้งนี้ ไม่เพียงเสียหน้าจนหมดสิ้นยังเสียม้าศึกอีกหนึ่งร้อยตัว!แม้พูดว่า ม้าศึกหนึ่งร้อยตัวเดิมทีก็ไม่เพียงพอให้พลิกสถานการณ์ของสงครามได้แต่ทั้งสองแคว้นยังอยู่ในสภาวะสงคราม ม้าศึกเป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดในการวางกลยุทธ์ ราคาสูงยิ่งนัก มีเงินก็ซื้อไม่ได้!เซียวเม่ยเอ๋อร์เห็นสีหน้าผิดปกติของเซียวเซวียนเช่อ รีบหยิบขนมไหว้พระจันทร์มากัดหนึ่งคำ“.....”ทันใดนั้นเซียวเม่ยเอ๋อร์เข้าใจแล้วสนมองค์ชายเหล่านั้น มิได้แสดงละคร!รสชาติของขนมไหว้พระจันทร์นี้ แตกต่างออกไปจริงๆนั่นก็หมายความว่าองค์ชายเก้าสามารถทำน้ำตาลทรายขาวออกมาได้จริง?“น่ารังเกียจนัก!”เซียวเม่ยเ
งานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ จบลงอย่างมีความสุขหลี่หลงหลินโดดเด่น ภายในงานเลี้ยงฮองไทเฮาและฮองเฮาหลู่ พึงพอใจซูเฟิ่งหลิงมากหลังจบงานเลี้ยงหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงไปส่งหลินกุ้ยเฟยที่ตำหนักฉางเล่อ“เฟิ่งหลิง เจ้าไปสนทนากับเสด็จแม่อีกครู่หนึ่งเถอะ!”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “ข้าอยากเดินเล่นภายในตำหนักฉางเล่อ เมื่อครู่กินมากไป ย่อยอาหารสักหน่อย...”เขายังไม่ลืมเรื่องหาผักกาดแดงในตำหนักฉางเล่อแม้โอกาสหาพบไม่มากแต่หากหาพบเล่า?ซูเฟิ่งหลิงอยู่ในงานเลี้ยง สนใจเพียงพูดคุยกับฮองไทเฮาและฮองเฮา มิได้สนทนากับหลินกุ้ยเฟยแม่สามีจริงนางรีบพยักหน้าพูดว่า “ได้!”ใบหน้าหลินกุ้ยเฟยประดับยิ้มเกลื่อนหน้า รีบจับมือซูเฟิ่งหลิง นั่งภายในลานบ้าน ทางหนึ่งชมจันทร์ ทางหนึ่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระหลี่หลงหลินถือโคมไฟ คล้ายกระรอกก็มิปาน เดินวนไปมาภายในสวนดอกไม้ของตำหนักฉางเล่อ“ไม่มีผักกาดแดง”“ดูท่าแล้วข้าคิดมากเกินไป!”หลี่หลงหลินหาอยู่นาน กลับไม่ได้รับอะไร โมโหมากภายในใจตนเองมิใช่บุตรแห่งโชคชะตาคิดสิ่งใดก็สำเร็จจริงเสียด้วย!ดูท่าแล้วครั้งก่อนสามารถหาต้นจินจี้น่าพบ ก็คือวาสนาระเบิดออกแล้ว!มน
หลี่หลงหลินเห็นหลินกุ้ยเฟยและซูเฟิ่งหลิงตกใจจนใบหน้าเผือดซีด รู้ตัวว่าตนเองเสียสติไป รีบอธิบาย “เสด็จแม่ ท่านชอบปลูกดอกไม้ที่สุด รู้จักสิ่งนี้หรือไม่?”หลินกุ้ยเฟยเดินเข้ามาเพ่งพิศอยู่นาน ตอบตามสัตย์จริง “ไม่รู้จัก!”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “นี่คือของเทพจากโพ้นทะเล ชื่อว่ามันเทศ!”หลินกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ “ของเทพ? หรือหลังกินเข้าไปแล้ว สามารถทำให้คนเป็นอมตะได้?”หลี่หลงหลินส่ายหน้า พูดยิ้มๆ “กลับไม่เป็นเช่นนั้น! แต่ มันสามารถทำให้บ้านเมืองกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง!”หลินกุ้ยเฟยและซูเฟิ่งหลิงได้ยิน ทันใดนั้นหันหน้ามองกันยาอายุวัฒนะทำให้คนเป็นอมตะ พวกนางเคยได้ยินมาก่อนแต่ ยาอายุวัฒนะทำให้บ้านเมืองกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆหลินกุ้ยเฟยถอนหายใจ หันหน้าพูดกับซูเฟิ่งหลิง “เขาเมาแล้ว! พูดเหลวไหล! ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว เจ้าส่งสามีเจ้ากลับไปเถอะ!”สามี?ซูเฟิ่งหลิงได้ยินคำเรียกขานนี้ ตกตะลึงเหม่อไปหลินกุ้ยเฟยถามอย่างแปลกใจ “มีอะไรไม่ถูกหรือ?”ฝ่าบาทพระราชทานงานสมรส วันแต่งงานก็ถูกกำหนดแล้วแม้ซูเฟิ่งหลิงยังไม่แต่งเข้าบ้าน แต่นางกำนัลขันทีล้วนเรียกนางว่าพระ
คนคำนวณ มิอาจสู้ฟ้าลิขิต องค์รัชทายาทก่อกบฏ เป็นเรื่องร้ายแรง ด้วยเหตุบังเอิญหลายประการ แผนการกบฏของหลี่เทียนฉี่ล้มเหลว เสิ่นชิงโจวในฐานะราชครู เป็นอาจารย์ของหลี่เทียนฉี่ ย่อมได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม เสิ่นชิงโจวเตรียมการไว้ ใช้ทรัพยากรมหาศาล ไม่เพียงแต่รักษาชีวิตตนเอง ยังรักษาชีวิตหลี่เทียนฉี่ และฮองเฮาหลู่พระมารดาเอาไว้ได้ และจากเหตุการณ์นี้เอง... ความผิดหวังของเสิ่นชิงโจวที่มีต่อฮ่องเต้หวู่ ก็ถึงขีดสุด มีข่าวลือว่า ฮ่องเต้หวู่ทรงเย็นชา ไร้หัวใจ เหลวไหล! ผู้เป็นจักรพรรดิ ต้องเด็ดขาด ฮ่องเต้หวู่ทรงมีพระทัยอ่อนโยน เป็นคนดี แต่ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่ดี! ทว่า... เสิ่นชิงโจวไม่คาดคิดว่า ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในคุกหลวง นิสัยของฮ่องเต้หวู่ ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป เป็นแข็งกร้าวขึ้นกว่าเดิม? ต้องรู้ว่า... ก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้หวู่มีความเคารพตนอย่างมาก ไม่มีทางตะโกนใส่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตำหนิต่อหน้าธารกำนัล ให้ตนเองหุบปากด้วย สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก ฮ่องเต้หวู่อายุมากแล้ว นิสัยไม่อาจเปลี่ยนได้ในทันที นี่มันตะวันขึ้นทางทิศตะวันตกหรือ? “กระหม่อม ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”
เสิ่นชิงโจวสองมือไพล่หลัง ท่าทางหยิ่งผยอง พยักหน้าเล็กน้อย ถือว่าเป็นการตอบรับ สมกับเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้! สง่าผ่าเผย! ประชาชนนับไม่ถ้วนต่างก็รู้สึกทึ่งในใจ หลี่เทียนฉี่และกลุ่มข้าราชการ ก็มีสีหน้าฮึกเหิม ข้าราชการหลายคนยังคงกังวล เสิ่นชิงโจวถูกขังอยู่ในคุกหลวงเป็นเวลานาน ไม่มีข่าวคราว ถึงจะไม่ตาย ก็อาจจะถูกทรมานจนปางตาย ไร้ซึ่งความเฉียบคม ไม่อาจใช้งานได้ วันนี้ได้เห็น เสิ่นชิงโจวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงแต่มีอารมณ์แจ่มใส แต่ยังคงไว้ซึ่งความหยิ่งทระนง องค์รัชทายาท คราวนี้ ท่านเดินหมากพลาดแล้ว! ท่านจัดการฉินฮั่นหยางและคนอื่นๆ ก็ยังพอมีหวังอยู่บ้าง แต่ท่านกลับให้อาจารย์ของฮ่องเต้ออกจากคุกมาด้วย? ศึกนี้ ท่านแพ้แน่นอน! “หึหึ...” หลี่หลงหลินเผชิญหน้ากับข้อสงสัย ก็หัวเราะเยาะในใจ เสิ่นชิงโจว เจ้าแสร้งทำตัวเป็นผู้สูงส่งเพื่อปลุกขวัญกำลังใจ สร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีน่าเกรงขาม ช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจได้จริงๆ! ทุกสิ่งมีราคา เจ้าโอหัง ไม่เห็นใครในสายตา ราคาของมันคืออะไร? หลี่หลงหลินเงยหน้า มองฮ่องเต้หวู่ เป็นไปตามคาด สีหน้าของฮ่องเต้หวู่ มืดครึ้มราวกับฝน ในดวงต
บนลานหยกขาว เกิดความโกลาหล ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึง มองหลี่หลงหลินอย่างประหลาดใจ เจ้าเก้าจะไต่สวนบัณฑิตสิบคนที่นำโดยฉินฮั่นหยางนั้น ยังอยู่ในการคาดการณ์ของฮ่องเต้หวู่ แต่คาดไม่ถึงว่า... บัณฑิตสิบคนยังไม่พอ หลี่หลงหลินยังจะเพิ่มเสิ่นชิงโจว อาจารย์ของฮ่องเต้เข้ามาอีกคน? เขาละโมบเกินไปแล้ว! ต้องรู้ว่า... อาจารย์ของฮ่องเต้ไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ แม้ว่าเสิ่นชิงโจวจะถูกจับเข้าคุกหลวงเพราะข้อหากบฏ แต่เพราะไม่มีหลักฐาน จะไต่สวนก็ไม่ได้ จะปล่อยก็ไม่ได้ ทำได้เพียงขังไว้! ฮ่องเต้หวู่สีหน้าลังเล มองหลี่หลงหลิน: “เจ้าเก้า เจ้าต้องการไต่สวนเสิ่นชิงโจวจริงๆ หรือ?” บัณฑิตทรงคุณวุฒิสิบคน ก็ยุ่งยากพอแล้ว ยังเพิ่มเสิ่นชิงโจว อาจารย์ของฮ่องเต้เข้ามา เขาคืออดีตราชครูผู้มีอำนาจล้นฟ้า ฮ่องเต้หวู่กลัวว่าหลี่หลงหลินจะรับมือไม่ไหว จึงให้ทางลงแก่เขา หลี่หลงหลินไม่สนใจความหวังดีของฮ่องเต้หวู่ เพียงพยักหน้าอย่างหนักแน่น: “เสด็จพ่อ ครั้งนี้หากไม่กำจัดเสิ่นชิงโจว เกรงว่าจะมีภัยตามมา...” เขาไม่หลีกเลี่ยง สายตาจับจ้องไปที่หลี่เทียนฉี่ หลี่เ
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้...” หลี่หลงหลินส่ายหน้า ยิ้มอย่างขมขื่น: “เสด็จพ่อ ลูกยังเยาว์วัย รอได้! แต่ต้าเซี่ยรอได้หรือ? ชาวบ้านที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก รอได้หรือ?” ฮือ! ประชาชนแตกตื่น! ดังที่ฮ่องเต้หวู่เอ่ย หลี่หลงหลินเป็นองค์รัชทายาท ถูกกำหนดให้สืบทอดราชบัลลังก์ ขึ้นครองราชย์ เขาจะรีบร้อนไปไย? เหตุใดเขาจึงต้องกำจัดสำนักปราชญ์? เหตุใดต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งใต้หล้า? หลี่หลงหลินไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่เพื่อพวกเรา ประชาชนทุกคน! ใบหน้าแต่ละคนต่างตกตะลึง ดวงตาแต่ละคู่ เต็มไปด้วยความซาบซึ้งและตื้นตัน ผู้มีอำนาจมักเห็นแก่ตัว ผู้สูงศักดิ์ ล้วนมีนิสัยเหมือนกัน มักจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองก่อน ใครจะมาเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน แม้แต่ขุนนางที่เรียกตัวเองว่าขุนนางตงฉิน อ้างตนว่าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริต มักจะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ประชาชน แท้จริงแล้ว พวกเขาก็ทำเพื่อตนเอง คนเราเกิดมา ก็หนีไม่พ้นชื่อเสียงและลาภยศ ขุนนางตงฉินเหล่านี้ ไม่ได้ต้องการลาภยศ แต่ต้องการชื่อเสียง กล่าวโดยสรุป... ประชาชนสำหรับพวกเขา เป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาชื่อเสียงและลาภยศ เมื่อผลประ
“เสด็จพ่อ!” หลี่หลงหลินถอนหายใจ: “ลูก ตีกลองร้องทุกข์ เป็นเรื่องที่จำใจต้องทำ! เพราะผู้ที่ลูกจะร้องฎีกานั้น แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่อาจทำอะไรได้ ยากจะรับมือ” คำพูดนี้ ทำให้ทั่วทั้งลานหยกขาวเกิดความโกลาหล สีหน้าของฮ่องเต้หวู่มืดครึ้ม อัปลักษณ์ถึงขีดสุด เป็นผู้ใด? ที่ทำให้ข้าไม่อาจทำอะไรได้? เจ้าเก้า เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าประชาชน และเหล่าขุนนาง!ฮ่องเต้หวู่สูดลมหายใจลึก: “องค์รัชทายาท! เจ้าพูดให้ชัดเจน ว่าจะร้องฎีกาผู้ใด และข้าจะรับมือไม่ได้อย่างไร!” หลี่หลงหลินพูดอย่างหนักแน่น: “ผู้ที่ลูกจะร้องฎีกา คือสำนักปราชญ์!” สำนักปราชญ์? ทุกคนมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองหลี่หลงหลินพูดชัดเจน เขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คนหนึ่งหรือสองคน ไม่ใช่เสิ่นชิงโจว ไม่ใช่บัณฑิตทรงคุณวุฒิที่นำโดยฉินฮั่นหยาง แต่เป็นทั้งสำนักปราชญ์ กล่าวคือ... หลี่หลงหลินต้องการสั่นคลอนรากฐานของสำนักปราชญ์! นี่คือการเป็นศัตรูกับบัณฑิตทั้งใต้ทั่วหล้า เป็นศัตรูกับวิถีแห่งปราชญ์! เขาเสียสติไปแล้วหรือ? ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว: “องค์รัชทายาท เจ้า...เจ้าพูดให้ชัดเจน! เจ้าจะร้องฎีกาบั
เหตุใดเขาจึงตีกลองร้องทุกข์ และเหตุใดจึงพาประชาชนมากมายขนาดนี้เข้ามา หรือว่า... ในสมองของหลายคน ปรากฏภาพที่คุ้นเคย ภาพและบรรยากาศตรงหน้า เหมือนกับตอนที่องค์ชายหกหลี่เซวียนนำทหารก่อกบฏ บุกเข้าวังหลวง ต่างกันตรงที่... ตอนที่หลี่เซวียนก่อกบฏ ยังมีหลี่หลงหลิน ซูเฟิ่งหลิง นำทหารพ่ายศึกของตระกูลซูมาพลิกสถานการณ์! แต่ตอนนี้... หลี่หลงหลินกลับพาชาวบ้านบุกเข้าวังหลวง หมายจะก่อกบฏ! ผู้พิชิตมังกร ในที่สุดก็กลายเป็นมังกรเสียเอง! หลี่เทียนฉี่เป็นคนแรกที่ตอบสนอง จึงตะโกนด่า: “องค์รัชทายาท นี่จะก่อกบฏ! เสด็จพ่อ นี่เป็นการกบฏ ถือเป็นความผิดร้ายแรง ไม่อาจให้อภัยได้! ขอเสด็จพ่อทรงมีราชโองการ ปลดหลี่หลงหลินจากตำแหน่งองค์รัชทายาท!” ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างเห็นพ้อง: “ฝ่าบาท การกระทำขององค์รัชทายาท เกินไปแล้ว!” “ที่องค์รัชทายาทเหิมเกริมเช่นนี้ เป็นเพราะฝ่าบาททรงโปรดปรานและตามใจ จนเกิดเรื่องในวันนี้!” “ใช่แล้ว ฝ่าบาท! ครั้งนี้ ต้องลงโทษองค์รัชทายาทอย่างหนัก!” ฮ่องเต้หวู่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยเสียงดังกึกก้อง: “พวกเจ้าทุกคนจงเงียบ! พวกเจ้านี่ช่างด่วนส
ประตูอู่เหมิน ข้างกลองร้องทุกข์ ภายใต้สายตาของชาวบ้านนับพันนับหมื่น หลี่หลงหลินส่งไม้ตีกลองให้ซูเฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างๆ สองมือไพล่หลัง เอ่ยด้วยท่าทางหยิ่งผยอง: “เว่ยกงกง พูดอะไรเช่นนี้ ชาวบ้านตีกลองร้องทุกข์ได้ เหตุใดองค์รัชทายาทจะตีไม่ได้?” เว่ยซวินพูดไม่ออก ยืนงงในสายลม จู่ๆ เขาก็คิดถึงองค์ชายเก้าในอดีต กินดื่มเที่ยวเล่น ฟังดนตรีในหอนางโลม ซ่อนคมอย่างสงบ เป็นขยะที่รอวันตาย แล้วตอนนี้ล่ะ? เรื่องที่หลี่หลงหลินทำ ช่างถี่กระชั้น! จากงานเลี้ยงชมดอกไม้ร้อยบุปผาในคืนส่งท้ายปีเก่า ถึงพิธีสักการะฟ้าดินในวันขึ้นปีใหม่ ช่วงปียังไม่ทันผ่านพ้น หลี่หลงหลินก็มาตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา! นี่จะไม่ให้ใครได้พักผ่อนกันสักวันเลยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น... จุดประสงค์แรกเริ่มของการตั้งกลองร้องทุกข์นี้ ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงตั้งไว้ให้ชาวบ้านที่สิ้นไร้หนทาง ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท จะมีเรื่องอยุติธรรมใด? พระองค์จะมาสร้างเรื่องวุ่นวายอะไร! แม้ในใจเว่ยซวินจะบ่นพึมพำ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม: “องค์รัชทายาท บ่าวพูดผิดไป! กลองร้องทุกข์นี้ ชาวบ้านตีได้ พระองค์ก็ย่อมตีได้ บ่าวจะกลับ
เจิ้งถูฮู่ดวงตาเป็นประกาย หัวเราะเสียงดัง: “ไม่มีประโยชน์หรือ? เจ้าจะไปรู้อะไร! พิธีสักการะฟ้าดิน ไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆ แต่ตอนนี้มีคนตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา!” “เจ้ารู้กฎของกลองร้องทุกข์หรือไม่?” เจิ้งเทียนฉินส่ายหน้า สีหน้ามึนงง พูดตามตรง เขาไม่รู้จริงๆ ในสำนักศึกษา สอนแต่สี่ตำราห้าคัมภีร์ เรียงความของนักปราชญ์ ไม่สอนเรื่องพวกนี้เลย ที่จริง ตอนเด็กเจิ้งเทียนฉินก็เคยถามอาจารย์ว่า กลองร้องทุกข์มีไว้ทำอะไร ผลก็คือ อาจารย์สีหน้ามืดมน แล้วเอาไม้เรียวมาตีมือเขา การตีกลองร้องทุกข์ ในสายตาของสำนักปราชญ์ คือการที่ไพร่ก่อเรื่อง ในสำนักศึกษา สอนวิถีแห่งปราชญ์ ไม่ใช่สอนให้คนเป็นไพร่ เจิ้งถูฮู่ยิ้มพลางอธิบาย: “ตามกฎที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยตั้งไว้! ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง!” “ยิ่งไปกว่านั้น ชาวบ้านมีสิทธิ์เข้าไปในพระราชวังต้องห้าม เพื่อชมการไต่สวน เป็นการแสดงถึงความยุติธรรม!” เจิ้งเทียนฉินตกตะลึง พระราชวังต้องห้าม สำหรับชาวบ้านทุกคนแล้ว เป็นสถานที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เช่นกัน ตอนเด็ก เจิ้งเทียนฉ
กลองร้องทุกข์ กลองนี้คือกลองที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงประดิษฐานไว้หน้าประตูอู่เหมิน หากชาวบ้านได้รับความอยุติธรรม ก็สามารถมาตีกลองร้องทุกข์นี้ เพื่อเป็นการยื่นฎีกา ให้เรื่องราวไปถึงเบื้องพระยุคลบาทได้ ทว่า... นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าเซี่ยมา จำนวนครั้งที่กลองร้องทุกข์ถูกตีนั้น แทบนับครั้งได้ และล้วนเกิดขึ้นในช่วงต้นของการก่อตั้งอาณาจักร ร้อยปีให้หลังมานี้ กลองร้องทุกข์ไม่เคยถูกตีแม้แต่ครั้งเดียว กลายเป็นเพียงของประดับ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? สาเหตุก็แสนง่ายดาย ทุกครั้งที่กลองร้องทุกข์ดังขึ้น หมายความว่ามีคดีใหญ่สะเทือนฟ้าดินอุบัติขึ้น ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง ทั้งยังมีชาวบ้านและขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อแสดงถึงความยุติธรรม นั่นก็หมายความว่า... เมื่อใดก็ตามที่กลองร้องทุกข์ถูกตี ไม่รู้ว่าจะมีขุนนางกี่คนที่ต้องหัวหลุดจากบ่า เลือดนองแผ่นดิน ดังนั้น... เหล่าขุนนางจึงคิดหาวิธี โดยอ้างว่ากลองร้องทุกข์จะรบกวนเบื้องพระยุคลบาท ไม่เพียงแต่ส่งคนไปเฝ้ากลอง ยังซ่อนไม้ตีกลองเอาไว้ นอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข