งานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ จบลงอย่างมีความสุขหลี่หลงหลินโดดเด่น ภายในงานเลี้ยงฮองไทเฮาและฮองเฮาหลู่ พึงพอใจซูเฟิ่งหลิงมากหลังจบงานเลี้ยงหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงไปส่งหลินกุ้ยเฟยที่ตำหนักฉางเล่อ“เฟิ่งหลิง เจ้าไปสนทนากับเสด็จแม่อีกครู่หนึ่งเถอะ!”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “ข้าอยากเดินเล่นภายในตำหนักฉางเล่อ เมื่อครู่กินมากไป ย่อยอาหารสักหน่อย...”เขายังไม่ลืมเรื่องหาผักกาดแดงในตำหนักฉางเล่อแม้โอกาสหาพบไม่มากแต่หากหาพบเล่า?ซูเฟิ่งหลิงอยู่ในงานเลี้ยง สนใจเพียงพูดคุยกับฮองไทเฮาและฮองเฮา มิได้สนทนากับหลินกุ้ยเฟยแม่สามีจริงนางรีบพยักหน้าพูดว่า “ได้!”ใบหน้าหลินกุ้ยเฟยประดับยิ้มเกลื่อนหน้า รีบจับมือซูเฟิ่งหลิง นั่งภายในลานบ้าน ทางหนึ่งชมจันทร์ ทางหนึ่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระหลี่หลงหลินถือโคมไฟ คล้ายกระรอกก็มิปาน เดินวนไปมาภายในสวนดอกไม้ของตำหนักฉางเล่อ“ไม่มีผักกาดแดง”“ดูท่าแล้วข้าคิดมากเกินไป!”หลี่หลงหลินหาอยู่นาน กลับไม่ได้รับอะไร โมโหมากภายในใจตนเองมิใช่บุตรแห่งโชคชะตาคิดสิ่งใดก็สำเร็จจริงเสียด้วย!ดูท่าแล้วครั้งก่อนสามารถหาต้นจินจี้น่าพบ ก็คือวาสนาระเบิดออกแล้ว!มน
หลี่หลงหลินเห็นหลินกุ้ยเฟยและซูเฟิ่งหลิงตกใจจนใบหน้าเผือดซีด รู้ตัวว่าตนเองเสียสติไป รีบอธิบาย “เสด็จแม่ ท่านชอบปลูกดอกไม้ที่สุด รู้จักสิ่งนี้หรือไม่?”หลินกุ้ยเฟยเดินเข้ามาเพ่งพิศอยู่นาน ตอบตามสัตย์จริง “ไม่รู้จัก!”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “นี่คือของเทพจากโพ้นทะเล ชื่อว่ามันเทศ!”หลินกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ “ของเทพ? หรือหลังกินเข้าไปแล้ว สามารถทำให้คนเป็นอมตะได้?”หลี่หลงหลินส่ายหน้า พูดยิ้มๆ “กลับไม่เป็นเช่นนั้น! แต่ มันสามารถทำให้บ้านเมืองกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง!”หลินกุ้ยเฟยและซูเฟิ่งหลิงได้ยิน ทันใดนั้นหันหน้ามองกันยาอายุวัฒนะทำให้คนเป็นอมตะ พวกนางเคยได้ยินมาก่อนแต่ ยาอายุวัฒนะทำให้บ้านเมืองกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆหลินกุ้ยเฟยถอนหายใจ หันหน้าพูดกับซูเฟิ่งหลิง “เขาเมาแล้ว! พูดเหลวไหล! ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว เจ้าส่งสามีเจ้ากลับไปเถอะ!”สามี?ซูเฟิ่งหลิงได้ยินคำเรียกขานนี้ ตกตะลึงเหม่อไปหลินกุ้ยเฟยถามอย่างแปลกใจ “มีอะไรไม่ถูกหรือ?”ฝ่าบาทพระราชทานงานสมรส วันแต่งงานก็ถูกกำหนดแล้วแม้ซูเฟิ่งหลิงยังไม่แต่งเข้าบ้าน แต่นางกำนัลขันทีล้วนเรียกนางว่าพระ
สายตาหลี่หลงหลินจับจ้องโจ๊กในมือซูเฟิ่งหลิง พูดเสียงสั่น “เจ้าคงมิได้...เอามันเทศไปต้มโจ๊กกระมัง?”วันปกติ ล้วนเป็นหลี่หลงหลินแกล้งซูเฟิ่งหลิง นั่นนางก็หาทางทำให้อารมณ์ดีพบแล้วซูเฟิ่งหลิงเห็นท่าทางตกตะลึงพรึงเพริดของหลี่หลงหลิน ทันใดนั้นนึกสนุกขึ้นมา “ใช่แล้ว! ท่านมิใช่พูดว่า มันเทศนั้นคือยาอายุวัฒนะอะไรหรอกหรือ? ข้าช่วยท่านต้มโจ๊ก ดูๆ ท่าน ตกลงจะมีชีวิตอมตะจริงหรือไม่!”เพียะ!หลี่หลงหลินโมโหมาก ปัดโจ๊กในมือซูเฟิ่งหลิงจนตกลงพื้น ตะคอกออกมา “หญิงฟุ่มเฟือย! นั่นคือมันเทศเชียวนะ ของเทพที่สามารถช่วยราษฎร์ต้าเซี่ยได้หลายร้อยล้านคน!”“เจ้ากลับทำลายลงเช่นนี้...”ซูเฟิ่งหลิงอึ้งงันอยู่กับที่ สีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดเดิมทีนางคิดว่า เมื่อวานหลี่หลงหลินเมาสุรา พูดเหลวไหลก็เท่านั้นคิดไม่ถึงจะโกรธมากเพียงนี้!หรือว่ามันเทศนั้น จะเป็นของเทพจริง?หากเป็นก่อนหน้านี้ ซูเฟิ่งหลิงไม่มีวันเชื่อพืชที่ไม่รู้จักหนึ่งอัน สามารถช่วยชีวิตคนนับร้อยล้านได้กระนั้นรึ?นี่ไร้สาระเกินไปแล้ว!แต่ หลังผ่านหลายเรื่องไป ซูเฟิ่งหลิงก็เกิดความเชื่อใจบางอย่างต่อหลี่หลงหลิน!ต่อให้คำพูดของเขาเหลือจะเชื่อเยี่
นี่คือมันเทศเพียงหนึ่งเดียว ล้ำค่าอย่างแท้จริง!หลี่หลงหลินมิได้ไปยังภูเขาทิศประจิม แต่ตรงไปยังพื้นที่แห่งหนึ่งบริเวณลานป่าไผ่ของพี่สะใภ้รองกงซูหว่านตอนนี้กงซูหว่านอยู่ที่สถาบันวิจัยภูเขาทิศประจิม กลับมาเป็นครั้งคราวลานป่าไผ่รกร้างอยู่บ้างฝนตกหลายครั้ง ภายในลานเต็มไปด้วยวัชพืชกงซูหว่านมีอุปนิสัยเย็นชา ชอบธรรมชาติ น่าจะไม่ต่อต้านเรื่องการใช้พื้นที่รกร้างนี้“พี่สะใภ้สาม”“นี่คือมันเทศ!”“ท่านอย่ากลืนน้ำลาย ตอนนี้ยังกินไม่ได้...”“พืชชนิดนี้ชอบความแห้งแล้งไม่ชอบน้ำ ท่านอย่ารดน้ำบ่อยไปเล่า!”“ส่วนวิธีเพาะกล้า ง่ายมาก...”หลี่หลงหลินเล่าลักษณะของมันเทศ ไปจนถึงวิธีเพาะกล้า รวมถึงเรื่องสำคัญ บอกซุนชิงไต้ทั้งหมดสำหรับเรื่องกิน แต่ไหนแต่ไรมาซุนชิงไต้จริงจังเสมอนางทำเหมือนที่ผ่านมา หยิบสมุดเล็กๆ บันทึกคำพูดของหลี่หลงหลินลงไปโดยไม่พร่องแม้คำเดียวครั้นมีเวลาว่าง ก็จะหยิบขึ้นมาท่องมิน่าเล่าซุนชิงไต้จึงเป็นหมอเทวดา!หลี่หลงหลินคิดว่าตนเองอยู่ต่อหน้านาง ก็คือนักเรียนเกียจคร้านคนหนึ่ง!มีซุนชิงไต้ช่วยเหลือ หลี่หลงหลินปลูกมันเทศได้อย่างราบรื่นช่วงกลางวัน ซุนชิงไต้ยังไปสอนที่
ซูเฟิ่งหลิงยิ้มอย่างเย็นชา “มันสำคัญกว่าการนัดหมายของเจ้ากับเซียวเซวียนเช่อในเขาทิศประจิมหรือ?”หลี่หลงหลินตะลึงงันเวรเอ๊ย!ในหัวมีแต่มันเทศจนลืมเรื่องเดิมพันของเซียวเซวียนเช่อไปแล้ว!หลี่หลงหลินถามอย่างเร่งรีบ “ยังมีเวลาอีกกี่วัน?”เสียงของซูเฟิ่งหลิงเย็นชา “พรุ่งนี้ก็เป็นวันนัดหมายที่เขาทิศประจิมแล้ว!”หลี่หลงหลินตกใจมาก “วันเดียว? ข้าลืมไปเสียสนิทเลย ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้รองพัฒนาดินปืนเป็นอย่างไรบ้าง?”ซูเฟิ่งหลิงหัวเราะเยาะแล้วกล่าวว่า “พี่สะใภ้รองถามข้าหลายครั้งแล้ว บอกว่าหากเห็นเจ้า ก็ให้เจ้าไปที่สถาบันวิจัยในทันที! น่าเสียดายที่เจ้ามันสารเลว ทำเป็นแกล้งตาย ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไม่พบเจอผู้ใด!”หลี่หลงหลินร้อนใจแล้ว เขาลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปข้างนอกในทันที “ข้าจะไปพบพี่สะใภ้รองที่เขาทิศประจิมเดี๋ยวนี้! เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลไร่มันเทศ อย่าได้ทำอะไรให้เกิดความเสียหายล่ะ!”ซูเฟิ่งหลิงเดือดดาลจนกระทืบเท้านี่มันเวลาไหนแล้ว!ยังไม่ลืมเรื่องมันเทศพวกนี้อีก!เจ้าสิ่งนี้ มันมีพลังวิเศษอะไรกันแน่?ยั่วโมโหข้าให้ร้อนใจ ข้าจะทำลายไร่มันเทศของเจ้าให้หมด!ซูเฟิ่งหลิงเดือดดาลอยู่ครู่หนึ่ง คว้
หลี่หลงหลินเขย่าดินโคลนและหินกรวดบนตัวเขาออกไป แล้วยื่นหัวออกจากกำแพงเตี้ยนั้นก้อนหินในที่โล่งถูกระเบิดเป็นชิ้นๆ!เหลือเพียงหลุมขนาดใหญ่บนพื้น ด้านในนั้นดำมืดและมีรอยไหม้เกรียม“ดินปืนสีดำมีพลังขนาดนั้นเลยหรือ?”หลี่หลงหลินรู้สึกประหลาดใจและมีความสุขอานุภาพมันรุนแรงเช่นนี้ ก็เพียงพอใช้ประโยชน์ได้แล้วไม่ต้องเสียเวลาคิดค้นดินปืนสีเหลืองอีกต่อไป!กงซูหว่านมองไปที่หลี่หลงหลินด้วยสายตาล้ำลึก “ยังไงก็ต้องขอบคุณองค์ชายเก้าที่ให้แรงบันดาลใจกับข้า ไม่เช่นนั้น ข้าก็ไม่มีทางรู้ ดินปืนสีดำที่บรรพบุรุษคิดค้นขึ้นมานั้นน่ากลัวเพียงใด!”หลี่หลงหลินพูดด้วยความประหลาดใจ “แรงบันดาลใจหรือ?”กงซูหว่านพยักหน้า “ใช่! น้ำตาลแดงสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลทรายขาวได้หลังผ่านการกลั่นให้มันบริสุทธิ์ ดังนั้น ข้าจึงคิดว่าดินประสิว กำมะถัน และถ่านที่ใช้ในดินปืนสีดำสามารถนำมากลั่นให้บริสุทธิ์ และเพิ่มอานุภาพได้เหมือนกันหรือไม่”“การทดสอบนี้มันสุดยอดมากๆ พลังเพิ่มขึ้นอย่างมากจริงๆ!”หลี่หลงหลินเข้าใจในทันทีคนโบราณไม่มีแนวคิดเรื่องกลั่นให้บริสุทธิ์หลังจากขุดดินประสิวและกำมะถันออกมาแล้ว ก็นำไปผสมกับถ่านตามส
กงซูหว่านมีสีหน้าสับสนล้อเล่นอะไร!เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบที่อยากจะโกหกก็โกหกได้งั้นหรือ?แม้แต่ปืนไฟที่ง่ายที่สุดก็อาจจะไม่สามารถทำได้ในคืนเดียวแต่หลี่หลงหลินกลับต้องการสร้างอาวุธปืนที่ดีกว่าปืนใหญ่หงอีในคืนเดียวอย่างนั้นหรือ?เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?กงซูหว่านส่ายหัว “องค์ชายเก้า เจ้าอย่าล้อเล่น! นี่เป็นงานที่ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน! วิธีเดียวคือหาวิธีการปรับปรุงพื้นฐานของอาวุธปืนเดิมให้ดีขึ้น!”“แต่อานุภาพของดินปืนสีดำชนิดใหม่นี้น่าทึ่งมาก”“อาวุธปืนในอดีต เหล็กที่ใช้แย่เกินไป ไม่มีทางทนได้ ระเบิดได้ง่ายๆ!”หลี่หลงหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้รอง เจ้าวางใจเถอะ! ใช้เวลาเพียงแค่คืนเดียวจริงๆ ข้าสามารถสร้างอาวุธสังหารได้ร้อยชิ้นเลยล่ะ!”“...”กงซูหว่านพูดไม่ออกเลยคำพูดของหลี่หลงหลิน ยิ่งดูไร้สาระ และยิ่งเกินจริง!จะทำอาวุธสังหารหนึ่งชิ้นภายในหนึ่งคืน ช่างไร้สาระจริงๆ!อาวุธสังหารหนึ่งร้อยชิ้นหรือ? นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือ?ในฐานะลูกหลานของหลู่ปัน กงซูหว่านไม่ได้รู้สึกแปลกหน้ากับอาวุธปืนจริงๆ แล้วหลังจากที่ดินปืนสีดำตัวใหม่ทำออกมา กงซูหว่านก็เอาแต่คิดห
กงซูหว่านจ้องมองไปที่หลี่หลงหลิน แทบจะทรมานจากความโง่เขลาแล้วนางชอบคนฉลาดยอมทะเลาะกับคนฉลาด ดีกว่าพูดคุยกับคนโง่เขลาเดิมทีตามความเห็นของกงซูหว่าน หลี่หลงหลินเป็นคนที่ฉลาดมากไม่ใช่เพราะหลี่หลงหลินเป็นนักกวีแห่งต้าเซี่ยที่มีความรู้และความสามารถมากมายพูดตามตรงในใต้หล้านี้มีคนมากมายที่เขียนบทความได้!ปราชญ์มหาสำนักคนใดในสำนักฮั่นหลินที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนบ้าง?พวกเขาล้วนเป็นคนฉลาดหรือ?ไม่แน่นอน!ในความคิดของกงซูหว่าน ไม่ว่าบทความของพวกเขาจะดีแค่ไหน ไม่ว่าตำแหน่งขุนนางจะสูงแค่ไหน พวกเขาก็เป็นเพียงบัณฑิตอวดรู้!มีเพียงผู้ที่คิดค้นสร้างสรรค์ ผลักดันสังคมให้ก้าวหน้าเท่านั้น ถึงจะคู่ควรกับคำว่าฉลาดตัวอย่างเช่นหลี่หลงหลิน!กงซูหว่านชื่นชมหลี่หลงหลินมาโดยตลอด หรือกระทั่งพูดได้ว่าเลื่อมใสจนกระทั่งหลี่หลงหลินได้ก้าวเข้ามาในอาณาเขตที่นางเชี่ยวชาญที่สุด!นั่นก็คืออาวุธปืน!โดยเฉพาะปืนไร้มโนธรรมนี้ ได้ล้มล้างทัศนคติต่อโลกของกงซูหว่านไปโดยสิ้นเชิงกงซูหว่านไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าถังเหล็กธรรมดาๆ นี้จะเป็นอาวุธทรงพลังที่สามารถเอาชนะปืนใหญ่หงอีได้!กระทั่งกงซูหว่
คนคำนวณ มิอาจสู้ฟ้าลิขิต องค์รัชทายาทก่อกบฏ เป็นเรื่องร้ายแรง ด้วยเหตุบังเอิญหลายประการ แผนการกบฏของหลี่เทียนฉี่ล้มเหลว เสิ่นชิงโจวในฐานะราชครู เป็นอาจารย์ของหลี่เทียนฉี่ ย่อมได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม เสิ่นชิงโจวเตรียมการไว้ ใช้ทรัพยากรมหาศาล ไม่เพียงแต่รักษาชีวิตตนเอง ยังรักษาชีวิตหลี่เทียนฉี่ และฮองเฮาหลู่พระมารดาเอาไว้ได้ และจากเหตุการณ์นี้เอง... ความผิดหวังของเสิ่นชิงโจวที่มีต่อฮ่องเต้หวู่ ก็ถึงขีดสุด มีข่าวลือว่า ฮ่องเต้หวู่ทรงเย็นชา ไร้หัวใจ เหลวไหล! ผู้เป็นจักรพรรดิ ต้องเด็ดขาด ฮ่องเต้หวู่ทรงมีพระทัยอ่อนโยน เป็นคนดี แต่ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่ดี! ทว่า... เสิ่นชิงโจวไม่คาดคิดว่า ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในคุกหลวง นิสัยของฮ่องเต้หวู่ ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป เป็นแข็งกร้าวขึ้นกว่าเดิม? ต้องรู้ว่า... ก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้หวู่มีความเคารพตนอย่างมาก ไม่มีทางตะโกนใส่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตำหนิต่อหน้าธารกำนัล ให้ตนเองหุบปากด้วย สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก ฮ่องเต้หวู่อายุมากแล้ว นิสัยไม่อาจเปลี่ยนได้ในทันที นี่มันตะวันขึ้นทางทิศตะวันตกหรือ? “กระหม่อม ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”
เสิ่นชิงโจวสองมือไพล่หลัง ท่าทางหยิ่งผยอง พยักหน้าเล็กน้อย ถือว่าเป็นการตอบรับ สมกับเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้! สง่าผ่าเผย! ประชาชนนับไม่ถ้วนต่างก็รู้สึกทึ่งในใจ หลี่เทียนฉี่และกลุ่มข้าราชการ ก็มีสีหน้าฮึกเหิม ข้าราชการหลายคนยังคงกังวล เสิ่นชิงโจวถูกขังอยู่ในคุกหลวงเป็นเวลานาน ไม่มีข่าวคราว ถึงจะไม่ตาย ก็อาจจะถูกทรมานจนปางตาย ไร้ซึ่งความเฉียบคม ไม่อาจใช้งานได้ วันนี้ได้เห็น เสิ่นชิงโจวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงแต่มีอารมณ์แจ่มใส แต่ยังคงไว้ซึ่งความหยิ่งทระนง องค์รัชทายาท คราวนี้ ท่านเดินหมากพลาดแล้ว! ท่านจัดการฉินฮั่นหยางและคนอื่นๆ ก็ยังพอมีหวังอยู่บ้าง แต่ท่านกลับให้อาจารย์ของฮ่องเต้ออกจากคุกมาด้วย? ศึกนี้ ท่านแพ้แน่นอน! “หึหึ...” หลี่หลงหลินเผชิญหน้ากับข้อสงสัย ก็หัวเราะเยาะในใจ เสิ่นชิงโจว เจ้าแสร้งทำตัวเป็นผู้สูงส่งเพื่อปลุกขวัญกำลังใจ สร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีน่าเกรงขาม ช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจได้จริงๆ! ทุกสิ่งมีราคา เจ้าโอหัง ไม่เห็นใครในสายตา ราคาของมันคืออะไร? หลี่หลงหลินเงยหน้า มองฮ่องเต้หวู่ เป็นไปตามคาด สีหน้าของฮ่องเต้หวู่ มืดครึ้มราวกับฝน ในดวงต
บนลานหยกขาว เกิดความโกลาหล ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึง มองหลี่หลงหลินอย่างประหลาดใจ เจ้าเก้าจะไต่สวนบัณฑิตสิบคนที่นำโดยฉินฮั่นหยางนั้น ยังอยู่ในการคาดการณ์ของฮ่องเต้หวู่ แต่คาดไม่ถึงว่า... บัณฑิตสิบคนยังไม่พอ หลี่หลงหลินยังจะเพิ่มเสิ่นชิงโจว อาจารย์ของฮ่องเต้เข้ามาอีกคน? เขาละโมบเกินไปแล้ว! ต้องรู้ว่า... อาจารย์ของฮ่องเต้ไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ แม้ว่าเสิ่นชิงโจวจะถูกจับเข้าคุกหลวงเพราะข้อหากบฏ แต่เพราะไม่มีหลักฐาน จะไต่สวนก็ไม่ได้ จะปล่อยก็ไม่ได้ ทำได้เพียงขังไว้! ฮ่องเต้หวู่สีหน้าลังเล มองหลี่หลงหลิน: “เจ้าเก้า เจ้าต้องการไต่สวนเสิ่นชิงโจวจริงๆ หรือ?” บัณฑิตทรงคุณวุฒิสิบคน ก็ยุ่งยากพอแล้ว ยังเพิ่มเสิ่นชิงโจว อาจารย์ของฮ่องเต้เข้ามา เขาคืออดีตราชครูผู้มีอำนาจล้นฟ้า ฮ่องเต้หวู่กลัวว่าหลี่หลงหลินจะรับมือไม่ไหว จึงให้ทางลงแก่เขา หลี่หลงหลินไม่สนใจความหวังดีของฮ่องเต้หวู่ เพียงพยักหน้าอย่างหนักแน่น: “เสด็จพ่อ ครั้งนี้หากไม่กำจัดเสิ่นชิงโจว เกรงว่าจะมีภัยตามมา...” เขาไม่หลีกเลี่ยง สายตาจับจ้องไปที่หลี่เทียนฉี่ หลี่เ
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้...” หลี่หลงหลินส่ายหน้า ยิ้มอย่างขมขื่น: “เสด็จพ่อ ลูกยังเยาว์วัย รอได้! แต่ต้าเซี่ยรอได้หรือ? ชาวบ้านที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก รอได้หรือ?” ฮือ! ประชาชนแตกตื่น! ดังที่ฮ่องเต้หวู่เอ่ย หลี่หลงหลินเป็นองค์รัชทายาท ถูกกำหนดให้สืบทอดราชบัลลังก์ ขึ้นครองราชย์ เขาจะรีบร้อนไปไย? เหตุใดเขาจึงต้องกำจัดสำนักปราชญ์? เหตุใดต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งใต้หล้า? หลี่หลงหลินไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่เพื่อพวกเรา ประชาชนทุกคน! ใบหน้าแต่ละคนต่างตกตะลึง ดวงตาแต่ละคู่ เต็มไปด้วยความซาบซึ้งและตื้นตัน ผู้มีอำนาจมักเห็นแก่ตัว ผู้สูงศักดิ์ ล้วนมีนิสัยเหมือนกัน มักจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองก่อน ใครจะมาเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน แม้แต่ขุนนางที่เรียกตัวเองว่าขุนนางตงฉิน อ้างตนว่าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริต มักจะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ประชาชน แท้จริงแล้ว พวกเขาก็ทำเพื่อตนเอง คนเราเกิดมา ก็หนีไม่พ้นชื่อเสียงและลาภยศ ขุนนางตงฉินเหล่านี้ ไม่ได้ต้องการลาภยศ แต่ต้องการชื่อเสียง กล่าวโดยสรุป... ประชาชนสำหรับพวกเขา เป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาชื่อเสียงและลาภยศ เมื่อผลประ
“เสด็จพ่อ!” หลี่หลงหลินถอนหายใจ: “ลูก ตีกลองร้องทุกข์ เป็นเรื่องที่จำใจต้องทำ! เพราะผู้ที่ลูกจะร้องฎีกานั้น แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่อาจทำอะไรได้ ยากจะรับมือ” คำพูดนี้ ทำให้ทั่วทั้งลานหยกขาวเกิดความโกลาหล สีหน้าของฮ่องเต้หวู่มืดครึ้ม อัปลักษณ์ถึงขีดสุด เป็นผู้ใด? ที่ทำให้ข้าไม่อาจทำอะไรได้? เจ้าเก้า เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าประชาชน และเหล่าขุนนาง!ฮ่องเต้หวู่สูดลมหายใจลึก: “องค์รัชทายาท! เจ้าพูดให้ชัดเจน ว่าจะร้องฎีกาผู้ใด และข้าจะรับมือไม่ได้อย่างไร!” หลี่หลงหลินพูดอย่างหนักแน่น: “ผู้ที่ลูกจะร้องฎีกา คือสำนักปราชญ์!” สำนักปราชญ์? ทุกคนมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองหลี่หลงหลินพูดชัดเจน เขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คนหนึ่งหรือสองคน ไม่ใช่เสิ่นชิงโจว ไม่ใช่บัณฑิตทรงคุณวุฒิที่นำโดยฉินฮั่นหยาง แต่เป็นทั้งสำนักปราชญ์ กล่าวคือ... หลี่หลงหลินต้องการสั่นคลอนรากฐานของสำนักปราชญ์! นี่คือการเป็นศัตรูกับบัณฑิตทั้งใต้ทั่วหล้า เป็นศัตรูกับวิถีแห่งปราชญ์! เขาเสียสติไปแล้วหรือ? ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว: “องค์รัชทายาท เจ้า...เจ้าพูดให้ชัดเจน! เจ้าจะร้องฎีกาบั
เหตุใดเขาจึงตีกลองร้องทุกข์ และเหตุใดจึงพาประชาชนมากมายขนาดนี้เข้ามา หรือว่า... ในสมองของหลายคน ปรากฏภาพที่คุ้นเคย ภาพและบรรยากาศตรงหน้า เหมือนกับตอนที่องค์ชายหกหลี่เซวียนนำทหารก่อกบฏ บุกเข้าวังหลวง ต่างกันตรงที่... ตอนที่หลี่เซวียนก่อกบฏ ยังมีหลี่หลงหลิน ซูเฟิ่งหลิง นำทหารพ่ายศึกของตระกูลซูมาพลิกสถานการณ์! แต่ตอนนี้... หลี่หลงหลินกลับพาชาวบ้านบุกเข้าวังหลวง หมายจะก่อกบฏ! ผู้พิชิตมังกร ในที่สุดก็กลายเป็นมังกรเสียเอง! หลี่เทียนฉี่เป็นคนแรกที่ตอบสนอง จึงตะโกนด่า: “องค์รัชทายาท นี่จะก่อกบฏ! เสด็จพ่อ นี่เป็นการกบฏ ถือเป็นความผิดร้ายแรง ไม่อาจให้อภัยได้! ขอเสด็จพ่อทรงมีราชโองการ ปลดหลี่หลงหลินจากตำแหน่งองค์รัชทายาท!” ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างเห็นพ้อง: “ฝ่าบาท การกระทำขององค์รัชทายาท เกินไปแล้ว!” “ที่องค์รัชทายาทเหิมเกริมเช่นนี้ เป็นเพราะฝ่าบาททรงโปรดปรานและตามใจ จนเกิดเรื่องในวันนี้!” “ใช่แล้ว ฝ่าบาท! ครั้งนี้ ต้องลงโทษองค์รัชทายาทอย่างหนัก!” ฮ่องเต้หวู่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยเสียงดังกึกก้อง: “พวกเจ้าทุกคนจงเงียบ! พวกเจ้านี่ช่างด่วนส
ประตูอู่เหมิน ข้างกลองร้องทุกข์ ภายใต้สายตาของชาวบ้านนับพันนับหมื่น หลี่หลงหลินส่งไม้ตีกลองให้ซูเฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างๆ สองมือไพล่หลัง เอ่ยด้วยท่าทางหยิ่งผยอง: “เว่ยกงกง พูดอะไรเช่นนี้ ชาวบ้านตีกลองร้องทุกข์ได้ เหตุใดองค์รัชทายาทจะตีไม่ได้?” เว่ยซวินพูดไม่ออก ยืนงงในสายลม จู่ๆ เขาก็คิดถึงองค์ชายเก้าในอดีต กินดื่มเที่ยวเล่น ฟังดนตรีในหอนางโลม ซ่อนคมอย่างสงบ เป็นขยะที่รอวันตาย แล้วตอนนี้ล่ะ? เรื่องที่หลี่หลงหลินทำ ช่างถี่กระชั้น! จากงานเลี้ยงชมดอกไม้ร้อยบุปผาในคืนส่งท้ายปีเก่า ถึงพิธีสักการะฟ้าดินในวันขึ้นปีใหม่ ช่วงปียังไม่ทันผ่านพ้น หลี่หลงหลินก็มาตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา! นี่จะไม่ให้ใครได้พักผ่อนกันสักวันเลยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น... จุดประสงค์แรกเริ่มของการตั้งกลองร้องทุกข์นี้ ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงตั้งไว้ให้ชาวบ้านที่สิ้นไร้หนทาง ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท จะมีเรื่องอยุติธรรมใด? พระองค์จะมาสร้างเรื่องวุ่นวายอะไร! แม้ในใจเว่ยซวินจะบ่นพึมพำ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม: “องค์รัชทายาท บ่าวพูดผิดไป! กลองร้องทุกข์นี้ ชาวบ้านตีได้ พระองค์ก็ย่อมตีได้ บ่าวจะกลับ
เจิ้งถูฮู่ดวงตาเป็นประกาย หัวเราะเสียงดัง: “ไม่มีประโยชน์หรือ? เจ้าจะไปรู้อะไร! พิธีสักการะฟ้าดิน ไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆ แต่ตอนนี้มีคนตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา!” “เจ้ารู้กฎของกลองร้องทุกข์หรือไม่?” เจิ้งเทียนฉินส่ายหน้า สีหน้ามึนงง พูดตามตรง เขาไม่รู้จริงๆ ในสำนักศึกษา สอนแต่สี่ตำราห้าคัมภีร์ เรียงความของนักปราชญ์ ไม่สอนเรื่องพวกนี้เลย ที่จริง ตอนเด็กเจิ้งเทียนฉินก็เคยถามอาจารย์ว่า กลองร้องทุกข์มีไว้ทำอะไร ผลก็คือ อาจารย์สีหน้ามืดมน แล้วเอาไม้เรียวมาตีมือเขา การตีกลองร้องทุกข์ ในสายตาของสำนักปราชญ์ คือการที่ไพร่ก่อเรื่อง ในสำนักศึกษา สอนวิถีแห่งปราชญ์ ไม่ใช่สอนให้คนเป็นไพร่ เจิ้งถูฮู่ยิ้มพลางอธิบาย: “ตามกฎที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยตั้งไว้! ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง!” “ยิ่งไปกว่านั้น ชาวบ้านมีสิทธิ์เข้าไปในพระราชวังต้องห้าม เพื่อชมการไต่สวน เป็นการแสดงถึงความยุติธรรม!” เจิ้งเทียนฉินตกตะลึง พระราชวังต้องห้าม สำหรับชาวบ้านทุกคนแล้ว เป็นสถานที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เช่นกัน ตอนเด็ก เจิ้งเทียนฉ
กลองร้องทุกข์ กลองนี้คือกลองที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงประดิษฐานไว้หน้าประตูอู่เหมิน หากชาวบ้านได้รับความอยุติธรรม ก็สามารถมาตีกลองร้องทุกข์นี้ เพื่อเป็นการยื่นฎีกา ให้เรื่องราวไปถึงเบื้องพระยุคลบาทได้ ทว่า... นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าเซี่ยมา จำนวนครั้งที่กลองร้องทุกข์ถูกตีนั้น แทบนับครั้งได้ และล้วนเกิดขึ้นในช่วงต้นของการก่อตั้งอาณาจักร ร้อยปีให้หลังมานี้ กลองร้องทุกข์ไม่เคยถูกตีแม้แต่ครั้งเดียว กลายเป็นเพียงของประดับ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? สาเหตุก็แสนง่ายดาย ทุกครั้งที่กลองร้องทุกข์ดังขึ้น หมายความว่ามีคดีใหญ่สะเทือนฟ้าดินอุบัติขึ้น ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง ทั้งยังมีชาวบ้านและขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อแสดงถึงความยุติธรรม นั่นก็หมายความว่า... เมื่อใดก็ตามที่กลองร้องทุกข์ถูกตี ไม่รู้ว่าจะมีขุนนางกี่คนที่ต้องหัวหลุดจากบ่า เลือดนองแผ่นดิน ดังนั้น... เหล่าขุนนางจึงคิดหาวิธี โดยอ้างว่ากลองร้องทุกข์จะรบกวนเบื้องพระยุคลบาท ไม่เพียงแต่ส่งคนไปเฝ้ากลอง ยังซ่อนไม้ตีกลองเอาไว้ นอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข