ฮ่องเต้หวู่โบกมือ ให้เว่ยซวินถอยออกไปในห้องโถงหยั่งซินขนาดใหญ่ เหลือเพียงฮ่องเต้หวู่และหลี่หลงหลินเท่านั้นฮ่องเต้หวู่ก้าวเท้าไปหาหลี่หลงหลิน ตบไหล่ของเขา “เจ้าเก้า ลำบากเจ้าแล้ว! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าให้เจ้าอยู่ทำไม?”หลี่หลงหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อไม่วางพระทัย!”ฮ่องเต้หวู่พยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึม “ใช่! ตอนนี้ข้าไม่ไว้ใจใครเลย! รวมถึงฮองเฮาด้วย! มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ข้าเชื่อได้! ให้ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาทดีหรือไม่...”ครั้งนี้ ฮ่องเต้หวู่ไม่ได้หยั่งเชิงหลี่หลงหลิน แต่ตั้งใจที่จะแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาทจริงๆต้าเซี่ยมีปัญหาทั้งภายในและภายนอก และความขัดแย้งก็เกิดขึ้นไม่หยุดฮ่องเต้หวู่รู้สึกว่าภาระที่เขาแบกรับนี้หนักเกินไป!เขาต้องการใครสักคนมาแบ่งปันความกดดันของตนอย่างเร่งด่วนหลี่หลงหลินคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดไม่เพียงแต่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังกตัญญูอีกด้วยถ้าหลี่หลงหลินได้ดูแลแคว้นในฐานะรัชทายาทฮ่องเต้หวู่ก็คงได้ผ่อนคลายลงบ้างหลี่หลงหลินส่ายหัว เอ่ยขัดจังหวะ “เสด็จพ่อ ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วตรัสด้วยความไม่พอใจ “อะไรนะ? เจ้าไม่อยากจะแบ่งเบ
“หากเจ้าได้เป็นองค์รัชทายาท...” หลี่หลงหลินส่ายหัว แล้วยิ้มอย่างขมขื่น “เสด็จพ่อ หากลูกได้เป็นองค์รัชทายาท! รับรองว่าไม่เกินหนึ่งเดือน เหล่าเชื้อพระวงศ์จะต้องก่อกบฏ ราชวงศ์ต้าเซี่ยจะแตกแยก แคว้นจะต้องล่มสลายในพริบตา!” ฮ่องเต้หวู่หยุดชะงัก เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” หลี่หลงหลินพยักหน้า และเอ่ยอย่างหนักแน่น “อาจจะร้ายแรงกว่านั้นด้วยซ้ำ! ต้าเซี่ยในตอนนี้ เปรียบเสมือนคนป่วยระยะสุดท้าย! ทนรับยาแรงของลูกไม่ได้หรอก!” ฮ่องเต้หวู่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “ถ้าอย่างนั้นควรจะทำเช่นไร? หรือว่า ต้าเซี่ยมีแค่หนทางเดียวคือล่มสลาย?” หลี่หลงหลินส่ายหัว “ไม่! ยังมีอีกทางหนึ่ง นั่นคือการขูดกระดูกเพื่อรักษาพิษ! ควบคุมอำนาจของราชสำนักและเหล่าขุนนางทีละขั้นตอน นำอำนาจของจักรพรรดิกลับมาอยู่ในมือเสด็จพ่ออีกครั้ง!” ฮ่องเต้หวู่ร่างกายสั่นสะท้าน และใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยเอ่ยว่า “วิสัยทัศน์ที่เจ้าวาดไว้นั้นไม่เลว! เพียงแต่ พูดนั้นง่ายกว่าทำ!” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ง่าย! แต่ว่า มีข้าคอยช่วยเหลือท่าน ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้!” ฮ่องเต้หวู่ดวงตาเป็นประกาย “เ
ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วมุ่น “ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือต้องการทำอะไรกันแน่?” หลี่หลงหลินหัวเราะเยาะ “เสด็จพ่อ นี่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือสมคบคิดกับฉินกุ้ยเฟย ก่อความวุ่นวายในวังหลวงก่อน จากนั้นก็ก่อความวุ่นวายในราชสำนัก สุดท้ายก็ทำให้เมืองหลวงปั่นป่วน ทำให้ไม่มีเวลาไปสนับสนุนเมืองซั่วเป่ย!” “ทหารรักษาพระองค์หนึ่งแสนนายติดอยู่ในเมืองเดียวดาย กำลังใจตกต่ำ ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือโจมตีครั้งใหญ่ ยึดเมืองซั่วเป่ยได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ!” “เมื่อเสียเมืองซั่วเป่ยไป ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือก็สามารถบุกตรงเข้ายึดเมืองหลวงได้!” “ถึงตอนนั้น ไม่ว่าเสด็จพ่อจะเลือกปกป้องเมืองหลวง สู้ตายกับชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ หรือจะอพยพลงใต้ หลีกหนีภัยพิบัติ” “จุดจบของต้าเซี่ย ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว!” ฮ่องเต้หวู่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เอ่ยอย่างกัดฟันกรอด “ต้องการยึดเมืองซั่วเป่ย ต้องก่อความวุ่นวายในเมืองหลวงก่อน! แผนร้ายกาจจริง ๆ! ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือไปเรียนรู้กลอุบายเช่นนี้มาจากไหนกัน!” ชาวต้าเซี่ยเป็นชนชาติที่หยิ่งทะนง ในสายตาของฮ่องเต้หวู่ นอกจากต้าเซี่ยแล้ว ที่อ
โชคดีที่แม้ฮ่องเต้หวู่จะยังดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่ก็ทรงเชื่อใจตน และรับฟังคำพูดของตน ต้าเซี่ยกำลังสั่นคลอน ราวกับอาคารที่ใกล้พังทลาย ไม่สามารถทนต่อพายุฝนได้อีกต่อไป! หากเกิดเหตุวุ่นวายจากเรื่องไสยศาสตร์ขึ้น ตั้งแต่วังหลัง ราชสำนัก ไปจนถึงประชาชน ไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่คนที่ต้องเดือดร้อน และสูญเสียชีวิต ที่สำคัญที่สุดคือ จะทำให้ประชาชนโกรธแค้น สูญเสียความเชื่อมั่น! ใจประชาชนคือใจสวรรค์ เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์! หากเสียความไว้ใจของประชาชนไป ต้าเซี่ยก็คงล่มสลาย! ต่อให้เป็นเทพเซียนมา ก็ช่วยอะไรไม่ได้! “ผู้ที่เก่งในการต่อสู้ จะโจมตีที่จิตใจเป็นหลัก!” “ในชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ มีผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?” หลี่หลงหลินเดินอยู่ในพระราชวัง พลางขมวดคิ้วเป็นปม ไม่ว่าอย่างไร ต้าเซี่ยจำเป็นต้องรักษาสถานการณ์ให้มั่นคง จึงจะรับมือกับการโจมตีของเผ่าหมานในครั้งต่อไปได้! ฮ่องเต้หวู่รับปากว่าจะโน้มน้าวฮองเฮา ไม่ให้เกิดเหตุวุ่นวายจากเรื่องไสยศาสตร์ขึ้นมา เช่นนั้นวังหลังต้องสงบสุขแน่ ฉินกุ้ยเฟยตายอย่างน่าอนาถ องค์ชายสี่ก็ถูกกักบริเวณ ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่นำโดยตู้เหวินยวนเสียหาย
สตรีในจวนตระกูลซูต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด หรือว่า เรื่องสำคัญที่หลี่หลงหลินจะประกาศ คือฮ่องเต้หวู่ทรงตำหนิ และตระกูลซูจะต้องรับเคราะห์ด้วยหรือ? หลี่หลงหลินส่ายหัว “เสด็จพ่อตรัสว่า จะไม่ติดใจเอาความเรื่องการตายของฉินกุ้ยเฟยอีกต่อไป!” คำพูดของเขาหมายความว่า ฮ่องเต้หวู่ไม่ต้องการให้เรื่องบานปลาย ไม่ต้องการไล่ล่าลูกสมุนที่เหลืออยู่ของฉินกุ้ยเฟย และไม่เอาผิดองค์ชายสี่ แต่สตรีในตระกูลซูกลับเข้าใจผิดแล้ว พวกนางคิดว่า ฮ่องเต้หวู่ไม่เอาผิดหลี่หลงหลิน จึงพากันอุทานออกมา “อิทธิพลขององค์ชายเก้า ช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!” “ไม่เอาความ ฉินกุ้ยเฟยก็ตายเปล่าๆสิ!” “ฮ่าฮ่าฮ่า คราวนี้องค์ชายสี่กับตู้เหวินยวนคงแค้นใจจนอกแตกตาย!” หลี่หลงหลินเผยยิ้ม ไม่ได้อธิบายอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าซูยิ้มอย่างอารมณ์ดี และถามว่า “องค์ชายเก้า ฮ่องเต้หวู่ได้ตรัสหรือไม่ว่า เจ้าจะได้แต่งงานกับเฟิ่งหลิงเมื่อไหร่?” ไม่แปลกที่ฮูหยินผู้เฒ่าซูจะรีบร้อน อยากให้ซูเฟิ่งหลิงแต่งงานกับหลี่หลงหลิน หลี่หลงหลินในตอนนี้ กำลังรุ่งโรจน์ เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้หวู่ พิงต้นไม้ใหญ่แล้วร่มเย็น หากตระกูลซูต้องการกลับมารุ่งเ
ไม่ต้องพูดถึงหัวหน้าแพทย์หลวงขั้นหก แม้จะเป็นแค่หมอหลวงธรรมดา หรือแม้แต่เด็กจุดเตา ก็เป็นเรื่องที่ทำให้วงศ์ตระกูลรุ่งเรือง! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเป็นหมอหลวงนั้นยากเย็นเพียงใด? นั่นเป็นตำแหน่งที่ได้รับการสืบทอดจากตระกูล! หากเจ้าเป็นหมอหลวง ลูกหลานของเจ้าก็จะเป็นหมอหลวง ตั้งแต่นั้นมาก็จะได้รับเงินเดือนจากราชสำนัก ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน มีคนมากมายแย่งกันเข้าไป! ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามอย่างไม่เข้าใจ “น้องสาม เจ้าไม่ชอบกฎระเบียบมากมายในวังหลวงหรือ? รู้สึกว่าไม่มีอิสระหรือ?” ซุนชิงไต้ส่ายหัว “ไม่ใช่!” หลิ่วหรูเยียนถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่า หัวหน้าแพทย์หลวงขั้นหกตำแหน่งเล็กเกินไป? อยากเป็นแพทย์หลวงใหญ่หรือ?” ซุนชิงไต้ยังคงส่ายหัว เหล่าสตรีต่างก็งุนงง หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าทำไมพี่สะใภ้คนที่สามถึงไม่อยากเข้าวัง เป็นหมอหลวง!” เหล่าสตรีต่างก็เงยหน้าขึ้น มองหลี่หลงหลินอย่างตกตะลึง “ทำไม?” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยยิ้ม “เพราะว่า... อาหารในห้องเครื่องหลวงไม่อร่อยเอาเสียเลย!” ซุนชิงไต้ร้องไห้ออกมาเสียงดัง ดึงแขนเสื้อของหลี่หลงหลิน เช็ดน้ำม
เมื่อรู้ว่าสิ่งที่หลี่หลงหลินประกาศไม่ใช่เรื่องร้าย แต่เป็นเรื่องดีมาก เหล่าสตรีในตระกูลซูต่างก็ดีใจกันยกใหญ่ จนกระทั่งแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน “พี่สะใภ้ใหญ่!” หลี่หลงหลินเรียกลั่วอวี้จู๋ไว้ ลั่วอวี้จู๋หันกลับมา ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “องค์ชาย มีอะไรจะชี้แนะหรือ?” หลี่หลงหลินเกาหัว “ข้าอยากจะขอให้พี่สะใภ้ช่วยกระจายข่าวการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ที่โรงเรียนทหารซีซาน! โรคมาลาเรียกำลังระบาด โรคระบาดใกล้จะมาถึง เราต้องการคนจำนวนมาก...” ลั่วอวี้จู๋พยักหน้าเล็กน้อย “กระจายข่าว เรื่องง่าย ๆ!” หลี่หลงหลินรีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณพี่สะใภ้มาก!” “แต่ว่า...” ลั่วอวี้จู๋ถอนหายใจ ดวงตาคู่สวยจ้องมองหลี่หลงหลิน “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะขัดใจองค์ชายนะ! แต่เกรงว่าจะมีนักเรียนมาสมัครน้อยมาก!” หลี่หลงหลินขมวดคิ้วมุ่น “ทำไม?” ลั่วอวี้จู๋กล่าว “หากท่านรับสมัครนักเรียนจากประชาชนทั่วไป ไม่จำกัดเพศ ย่อมมีคนแห่กันมาสมัคร! แต่ท่านกลับต้องการรับสมัครบุตรสาวจากตระกูลชนชั้นสูง นี่เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์!” “พูดตามตรง ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงทำเช่นนี้” “หรือว่า บรรดาคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างสุขสบ
นอกจากเรื่องงานแล้ว ท่านไม่เคยเหยียบเข้ามาในตำหนักเฟิ่งซีเลยหรือ? ถึงแม้หม่อมฉันจะอาศัยอยู่ในตำหนักเฟิ่งซี แต่มันก็ไม่ต่างอะไรกับตำหนักเย็นเลย! หลู่ฮองเฮาทรงรู้สึกเศร้าใจ แต่ก็ยังฝืนยิ้ม “ฝ่าบาท มีเรื่องอะไรหรือเพคะ?” ฮ่องเต้หวู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เรื่องของฉินกุ้ยเฟย เราไม่คิดจะเอาความอีกต่อไป!” หลู่ฮองเฮาตกใจ “ฝ่าบาท พระองค์เคยสัญญากับหม่อมฉันแล้วไม่ใช่หรือเพคะ ว่าจะใช้เรื่องไสยศาสตร์เป็นข้ออ้าง ตรวจสอบวังหลัง กวาดล้างสมุนของฉินกุ้ยเฟย! พระองค์เป็นถึงฮ่องเต้หวู่ จะผิดคำพูดได้อย่างไร!” ฮ่องเต้หวู่โกรธขึ้นมา “ใช่! เราผิดคำพูด! แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากเกิดเรื่องไสยศาสตร์ขึ้น จะมีอีกกี่คนที่ต้องตาย? จะมีอีกกี่คนที่ต้องเดือดร้อน ครอบครัวแตกแยก?” “ราชวงศ์ต้าเซี่ยในตอนนี้ บอบช้ำมากพอแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว!” หลู่ฮองเฮาก็โมโหขึ้นเช่นกัน “แต่ว่า นางเป็นคนทำตัวเอง...” ฮ่องเต้หวู่แค่นเสียงเอ่ย พลางมองหลู่ฮองเฮาด้วยสายตาคมกริบ “ในตอนนั้น เจ้าทำเรื่องเลวร้ายไว้มากมาย ฆ่าคนไปมากมาย เพื่อที่จะให้องค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ คนที่ตายโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมจากน้ำมือเจ้า พวกเขาทำตัวเองเช่น