“ตายแล้ว?”ทันใดนั้นหลี่หลงหลิน คิดว่าฉินกุ้ยเฟยกำลังหลอกแต่หลี่หลงหลินมองจากท่าทางของฉินกุ้ยเฟยแล้ว มองออกอย่างว่องไวเสี่ยวเติ้งจื่อและเสี่ยวเต๋อจื่อขันทีสองคนนี้ เป็นไปได้เจ็ดถึงแปดในสิบส่วนว่าตายไปแล้วจริงๆ!ฆ่าคนปิดปาก!สอดรับกับจิตใจอำมหิตของฉินกุ้ยเฟยมาก!หลี่หลงหลินหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ถามไล่เรียง “ตายตั้งแต่ยามใด?”ฉินกุ้ยเฟยเอ่ยตอบ “เมื่อคืน!”หลี่หลงหลินสั่นสะท้านภายในใจเมื่อคืน?นั่นก็หมายความว่าฉินกุ้ยเฟยหลุดปากพูดที่ตำหนักชิงหนิง รู้ว่าตนเองเผยพิรุธ ดังนั้นกลับมาแล้ว ก็ฆ่าขันทีทั้งสองปิดปาก!ตนเองช้าไปหนึ่งก้าว!ไม่!ไม่ใช่ตนเองช้าไป!แต่ฉินกุ้ยเฟยระแวงหนักเกินไป ลงมือว่องไวเกินไป!สตรีคนนี้ รับมือยากยิ่งนัก!จิตใจล้ำลึก ไม่เป็นรองฮองเฮา!มิน่าเล่า มังกรหลับหงส์ดรุณ สามารถต่อสู้กันมานานหลายปีเพียงนี้ ไม่มีใครยอมใคร!หลี่หลงหลินถามต่อ “ตายเยี่ยงไร?”ฉินกุ้ยเฟยเอ่ยตอบ “โรคมาลาเรีย”หลี่หลงหลินตกตะลึงภายในใจ “เป็นไปไม่ได้! ทั้งสองคนเป็นโรคมาลาเรียพร้อมกัน ตายไปภายในคืนเดียว? บังเอิญเกินไปแล้วกระมัง?”ฉินกุ้ยเฟยยิ้มเย็น “เช่นนั้นเสด็จแม่เจ้าและไทเฮา
อ๊า!ซูเฟิ่งหลิงกรีดร้องออกมา มือสองข้างกุมศีรษะย่อตัวลงไป ปิดหูแน่นๆ ตกใจจนดวงหน้างดงามดุจบุปผาถอดสี“ฮ่าๆ!”“ที่แท้เจ้ากลัวผี!”หลี่หลงหลินชี้ซูเฟิ่งหลิง หัวเราะดังลั่นซูเฟิ่งหลิงนี่ถึงดึงสติกลับมาได้ เป็นหลี่หลงหลินแกล้ง กำหมัดแน่น ปากยังแข็งดังเดิม “ตัวข้าฟ้าไม่กลัว ดินไม่กลัว! ผีมีอะไรน่ากลัว?”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “เช่นนั้นเจ้าไปชันสูตรพลิกศพกับข้า! หาไม่แล้วก็คือกลัวผี!”ซูเฟิ่งหลิงสบถเสียงเย็น “ไปก็ไป! ใครกลัวใคร!”ณ ตำหนักด้านข้างพระที่นั่งหย่างซินเว่ยซวินกำลังพักผ่อนระยะนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ภัยพิบัติคนก่อหายนะไม่หยุดหย่อน บัดนี้ยังเกิดความชุลมุนเรื่องโรคมาลาเรียอีกด้วยไม่เพียงแค่ฮ่องเต้เว่ยซวินเองก็ว้าวุ่นใจ “หรือต้าเซี่ยใกล้มาถึงจุดจบแล้วจริงๆ? หาไม่แล้ว เหตุใดเกิดเภทภัยมากเพียงนี้เล่า? เฮ้อ ก็ไม่รู้ครั้งนี้สามารถผ่านพ้นไปได้หรือไม่!”ต่อให้เป็นเว่ยซวินขันทีคนนี้ ก็หวังว่าจะสามารถผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น แคว้นรุ่งเรืองปวงประชาสงบสุขสาเหตุไม่ใช่อื่นใดมีเพียงใต้หล้าสงบสุข เขาถึงจะสามารถหาเงินได้มากมาย เพลิดเพลินกับความมั่งคั่งร่ำรวยบัดนี้ชุลมุนวุ่นวาย
ราตรีมาเยือนภายในโรงทึม ผ้าขาวพัดตามแรงลม สายลมหนาวเหน็บดังหวีดหวิว ดุจวิญญาณกำลังร่ำไห้ต่อให้เป็นวังหลวง ที่พักศพแห่งนี้ก็เรียบง่ายเกินไปแล้วกระมังศพสิบกว่าร่างนอนบนกระดานไม้ บนตัวคลุมผ้าขาวคนรับผิดชอบดูแลโรงทึม คือขันทีเฒ่าตาบอดหนึ่งข้างคนหนึ่งในมือเขาถือน้ำเต้าสุรา กรอกสุราเข้าปาก กำลังสะลึมสะลือใกล้หลับเต็มที จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากไกลๆเงยหน้ามองแวบหนึ่งมองเห็นขันทีสวมชุดปักลายหม่าง มือถือโคมไฟข้างหลังยังมีหนึ่งชายหนึ่งหญิงตามมาฝ่ายหญิงสวมชุดเกราะ รูปโฉมงดงามเพริศพริ้งฝ่ายชายสวมชุดปักลายกิเลน รัศมีสูงสง่า เห็นได้ชัดว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ท่านหนึ่งแน่นอนว่าทำให้ขันทีเฒ่าตกตะลึงพรึงเพริด ยังเป็นขันทีสวมชุดปักลายหม่างข้างหน้าเขารีบคุกเข่าลง เสียงสั่นๆ “พระเก้าพันปี...”ฝันไปก็คาดไม่ถึงพระเก้าพันปีผู้ยิ่งใหญ่ บุคคลสูงสง่าเพียงนั้น ถึงขั้นมาที่โรงทึมสถานที่เช่นนี้!เว่ยซวินหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ปิดปากจมูกไว้ พูดเสียงแหบ “เมื่อคืนมีสองศพถูกส่งมาจากตำหนักจิ่นซิ่ว อยู่ที่ใด?”หากมิใช่หลี่หลงหลินยืนกรานจะชันสูตรพลิกศพ ชาตินี้เว่ยซวิน ก็ไม่คิดมาเยือนสถานที่เช่นน
สถานที่พรรค์นี้ นางมิอาจอยู่ต่อไปได้แล้ว!หากมิใช่เพราะกลัวหลี่หลงหลินจะหัวเราะเยาะตนเอง ซูเฟิ่งหลิงคงหมุนตัวหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว! หลี่หลงหลินเองก็คิดว่าภายในโรงทึมอึมครึมเกินไป รู้สึกไม่สบายตัว ถอนหายใจพลางเอ่ย “เสร็จแล้ว! พวกเราไปเถอะ!”ซูเฟิ่งหลิงถอนหายใจโล่งอก จับชายเสื้อหลี่หลงหลิน กลับออกไปอย่างระมัดระวังสำหรับผลลัพธ์นี้ หลี่หลงหลินผิดหวังมากหากไม่มีความสามารถ อย่าได้เข้าไปข้องเกี่ยวชันสูตรพลิกศพงานพรรค์นี้ ไม่ใช่ใครก็สามารถทำได้ดังคาดต่อให้เป็นคนสองโลกหลี่หลงหลิน ความอดทนอยู่เหนือคนธรรมดามาก แต่ก็ไม่สามารถทำได้หลี่หลงหลินเพิ่งออกจากประตูใหญ่โรงทึม ก็ได้ยินขันทีเฒ่าบ่นงึมงำ “ก็ไม่รู้ถูกวิญญาณร้ายอันใดครอบงำ หรือเป็นโรคติดต่อ! ศพถูกส่งมาในระยะนี้ ล้วนมีสภาพเช่นนี้ ข้าอยู่ที่โรงทึมมาหลายสิบปีแล้ว ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน”หลี่หลงหลินชะงักฝีเท้า หันมองขันทีเฒ่า เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “เจ้าว่าอะไรนะ?”ขันทีเฒ่าตกตะลึงใจสั่น รีบคุกเข่าลง “องค์ชาย กระหม่อมพูดเลื่อนเปื้อน...”หลี่หลงหลินส่ายหน้า มาหยุดต่อหน้าขันทีเฒ่า เค้นถามว่า “เจ้าพูดว่าศพอื่น ก็เป็นเช่นนี้? อยู่ที่ใด?”ขันที
หลี่หลงหลินหยิบก้อนเงินออกมา โยนให้ขันทีเฒ่า “ตกรางวัลเจ้า!”สำหรับบ่าวรับใช้ แต่ไหนแต่ไรมาหลี่หลงหลินไม่เคยตระหนี่ สมควรตกรางวัลก็ตกรางวัลยิ่งไปกว่านั้น ขันทีเฒ่าคนนี้ก็ทำความดีความชอบครั้งใหญ่จริงหลี่หลงหลินหาเบาะแสพบแล้ว“ขอบพระทัยองค์ชาย! ขอบพระทัยองค์ชาย!”ขันทีเฒ่าประคองก้อนเงินในมือ โค้งคำนับขอบคุณ รอจนเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หลี่หลงหลินพาซูเฟิ่งหลิงออกจากโรงทึมแล้วมีเพียงเว่ยซวินยังอยู่หน้าประตู สีหน้าบึ้งตึง ออกคำสั่ง “เรื่องคืนนี้ ห้ามมิให้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด! หาไม่แล้ว ระวังหัวเจ้าจะหลุดจากบ่า!”ขันทีเฒ่ารีบคุกเข่า ร่างกายสั่นเทา “พระเก้าพันปี ผู้น้อยเข้าใจแล้ว!”เว่ยซวินหมุนตัวออกจากโรงทึม รีบวิ่งเหยาะๆ ไล่ตามหลี่หลงหลินไป “องค์ชาย เรื่องโรคมาลาเรีย ท่านสืบความกระจ่างแล้วหรือ?”หลี่หลงหลินพยักหน้า สายตาคมกริบ “เรียบร้อยแล้ว! หากข้าเดาไม่ผิด! คำตอบก็อยู่ในตำหนักเย็น! เว่ยกงกง รบกวนท่านนำทาง พวกเราไปตำหนักเย็นสักเที่ยว”เว่ยซวินตัวสั่น สีหน้าเผือดซีดดุจกระดาษ เสียงสั่นเครือ “องค์ชายตำหนักเย็นนี้ไปไม่ได้!”หลี่หลงหลินขมวดคิ้ว “เพราะเหตุใด?”เว่ยซวินงึมงำอยู่น
เว่ยซวินส่ายหัวยิ้มอย่างขมขื่น “พระชายา เมื่อเจ้าเข้ามาก็รู้แล้ว! สรุปก็คือ... ระวังตัวเอาไว้เป็นหลัก!”เอี๊ยด...เว่ยซวินเปิดประตูใหญ่ตำหนักเย็น แล้วซ่อนตัวอยู่ข้างๆ ไม่กล้าเข้าไปกลับกัน หลี่หลงหลินกลับไม่เผยความหวาดกลัวออกมา แต่เดินเข้าไปพร้อมกับตะเกียงในมือเมื่อเขาเห็นซูเฟิ่งหลิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม “อะไร? เจ้ากลัวหรือ?”ซูเฟิ่งหลิงหน้าแดงก่ำ กำด้ามดาบเอาไว้แน่น พูดอย่างปากแข็ง “ใครกลัว! มันก็แค่ตำหนักเย็นไม่ใช่หรือ? มีอะไรให้กลัว!”แม้จะพูดเช่นนี้ ซูเฟิ่งหลิงก็ยังตื่นตระหนกอยู่ดีซูเฟิ่งหลิงไม่กลัวการต่อสู้ในสนามรบ ซากศพที่พะเนินเป็นภูเขา หรือทะเลเลือดนางกลัวอย่างเดียวก็คือกลัวผี!ไม่ว่าจะเป็นสุสานหรือตำหนักเย็น สถานที่เช่นนี้ไม่รู้ว่า มีคนตายอย่างไม่ยุติธรรมไปเท่าไหร่แล้ว มันมืดมน สามารถให้กำเนิดวิญญาณชั่วร้ายได้ง่ายที่สุด!นางจับแขนของหลี่หลงหลินเอาไว้แน่น แล้วมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนกตำหนักเย็น ดูเสื่อมโทรมยิ่งนักในสวน มีวัชพืชเกิดขึ้นรกเต็มไปหมด มีพังพอนปรากฏตัวออกมาอีกทั้งยังมียุงเยอะมาก พวกมันส่งเสียงหึ่งๆ ราวกับเมฆหมอกสิ่งที่ทำให
“ที่ตำหนักเย็นแห่งนี้ไม่ใช่ที่ให้คนอยู่จริงๆ!”หลี่หลงหลินสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นที่พุ่งเข้ามาบนหลังของเขา ลำคอของเขาแข็งอย่างที่ไม่เคยแข็งมาก่อนเขาค่อนข้างชื่นชมฉินกุ้ยเฟยหลังจากถูกจับขังอยู่ในตำหนักเย็นเป็นเวลานาน แต่ก็ยังรักษาสติเอาไว้ได้โดยที่ไม่เป็นบ้าไปเสียก่อนหลี่หลงหลินถามตัวเอง ต่อให้เป็นเขาก็ยังทำเช่นนั้นไม่ได้!ตอนนี้หลี่หลงหลินแค่อยากหนีออกจากสถานที่บ้าๆ แห่งนี้!แต่เขาออกไปไม่ได้ซูเฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างๆ ถ้าตนหนีไป นางคงจะหัวเราะเยาะเขาเป็นแน่ ต่อจากนี้ก็คงจะเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้อีกแต่ซูเฟิ่งหลิงก็คิดเช่นเดียวกันถ้านางไม่กลัวว่าจะขายหน้าต่อหน้าหลี่หลงหลิน นางคงจะหนีไปนานแล้ว!ทั้งสองจะไม่ยอมขายหน้าต่อหน้ากันและกัน ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ใจดีสู้เสือ ติดตามกลิ่นเลือด เดินไปข้างหน้าท่ามกลางความมืดมิด และไปถึงส่วนลึกของตำหนักเย็นโดยไม่รู้ตัว“ที่นี่...”ซูเฟิ่งหลิงปิดปากและจมูก ชี้ไปที่ประตูลับที่พาไปยังใต้ดินตรงหน้านาง “กลิ่นเลือดมาจากด้านล่าง! ที่นี่คือที่ไหนกันแน่?”หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงต่ำ “บางทีมันอาจจะเป็นคุกใต้ดินก็ได้นะ!”เสียงของซูเฟิ่งหลิงสั่นเครือ
ตำหนักเย็น คุกใต้ดินกลิ่นเลือดที่นี่ฉุนมาก แถมยุงก็ยังเยอะมากด้วยหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงใช้เสื้อผ้าคลุมศีรษะ เหลือเพียงดวงตาที่โผล่ออกมา ยกโคมไฟในมือ แล้วเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังบนพื้นมีทรงกลมจำนวนหนึ่งคล้ายกับโคมไฟที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นซูเฟิ่งหลิงประหลาดใจมาก “นี่คืออะไร?”ใบหน้าของหลี่หลงหลินน่าเกลียดมากขึ้น “น่าจะเป็นกรงยุง! มีคนเลี้ยงยุงไว้ที่นี่ เอาไว้แพร่เชื้อมาลาเรีย!”ซูเฟิ่งหลิงตกใจยิ่งนักจนหนังศีรษะชาไปหมดถ้านางไม่ได้เห็นด้วยตาของนางเอง นางก็คงยากที่จะเชื่อว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ชั่วร้ายขนาดนี้ด้วย!นั่นเป็นโรคมาลาเรียเลยนะ!ตราบใดที่มันแพร่กระจายประชาชนหลายพันคนจะติดเชื้อและเสียชีวิตทั่วใต้หล้าจะโศกเศร้า อดอยาก เกิดสงคราม แผ่นดินจะไร้เสียงของสิ่งมีชีวิต นี่ไม่ใช่การพูดเกินจริง!สิ่งที่ซูเฟิ่งหลิงไม่อาจเข้าใจได้เลยก็คือคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ ทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้ ทำลายชีวิตผู้คนมากมายเช่นนี้ เพียงเพราะความอิจฉาริษยาในวังหลังเท่านั้นหรือ?ไม่อาจเข้าใจได้เลย!หลี่หลงหลินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อมีกรงยุง ก็ต้องมีบ่อเลือด...”กรงยุง เป็นเพ
เขาประจิมจดหมายนิรนามหลั่งไหลเข้ามาดั่งหิมะหนิงชิงโหวและเหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสกำลังจัดการกับจดหมายเหล่านี้ จนแทบไม่มีเวลาพักแต่จดหมายมีมากเกินไปจริงๆถึงจะพยายามแล้ว พวกเขาก็ยังจัดการไม่ทันจนสุดท้าย หนิงชิงโหวต้องขอความช่วยเหลือจากหลี่หลงหลินแต่หลี่หลงหลินไม่ได้มา มีแต่ซูเฟิ่งหลิง ลั่วอวี้จู๋ และหลิ่วหรูเยียนที่เดินทางมายังเขาประจิม“รัชทายาทล่ะขอรับ?”หนิงชิงโหวไม่เห็นหลี่หลงหลิน ก็รู้สึกแปลกใจซูเฟิ่งหลิงมุ้ยปาก “เจ้าสุนัขนั่น โรคขี้เกียจกำเริบอีกแล้ว! ซ่อนตัวอยู่ในห้องของ ไม่ยอมออกมา ให้พวกเรามาช่วยแทน!”ตอนนี้ภาพลักษณ์ของหลี่หลงหลินในสายตาชาวบ้านสูงส่งราวกับเทพเจ้าอาจจะมีแค่ซูเฟิ่งหลิงที่กล้าเรียกเขาแบบนั้นนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของสามีภรรยา คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งแต่หลิ่วหรูเยียนรู้สึกไม่สบายใจ จึงแย้งว่า “น้องหญิง เจ้าเข้าใจองค์รัชทายาทผิดแล้ว! เขาไม่ได้ขี้เกียจ แต่กำลังทำสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งอยู่ต่างหาก”ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกหึงหวง “เรื่องสำคัญ? ข้าไม่เห็นรู้เลย? แล้วพี่สะใภ้สี่รู้ได้อย่างไร?”ใบหน้าสวยของหลิ่วหรูเยียนแดงก่ำ รีบแก้ตัว “องค์รัชทายาทขังตัวเองอยู่ในห้อง
เขาตกใจสะดุ้งโหยง รีบคว้ากระดานประตูขึ้นมาปิดร้านอย่างรวดเร็ว“ท่านแม่!”“ท่านพ่อหนีออกจากคุกมาแล้ว!”“พวกเราเก็บข้าวของ เงินทองของมีค่า แล้วหนีไปเถิด...”เจิ้งเทียนฉินยังเยาว์วัย ไม่เคยประสบเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษในชั่วพริบตามารดาของเขาก็ปาดน้ำตาไปพลางบ่นไปพลาง “ดูสิ! เรื่องวุ่นวายอะไรเช่นนี้? แต่เดิมพวกเราก็อยู่กันดีๆ เหตุใดจู่ๆ กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”เจิ้งถูฮู่เกาศีรษะพลางเอ่ย “เจ้าลูกชาย เมียข้า เจ้าสองคนพูดอะไรกัน? ใครบอกว่าข้าหนีออกจากคุกมา? ข้าน่ะเดินออกจากคุกใหญ่กรมอาญาทางประตูใหญ่เชียวนะ!”เมื่อได้ยินดังนั้น สองแม่ลูกกลับยิ่งแตกตื่นมากกว่าเดิมเดินออกมาทางประตูใหญ่หรือ!?หรือว่าภายในคุกเกิดการจลาจล? เหล่านักโทษลุกฮือขึ้นสังหารผู้คุม ก่อนจะแหกคุกออกมากันหมด!?คุกใหญ่กรมอาญานั้นเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่เพียงมีกองทหารคอยดูแล ยังมีองครักษ์เสื้อแพรประจำการอีกด้วย กล่าวได้ว่าปลอดภัยราวกำแพงเหล็ก!ทว่าได้ยินมาว่าครานี้ในคุกมีนักโทษอยู่แน่นขนัด ถูกกักขังไว้นับหมื่นคน เกินขีดจำกัดที่คุกสามารถรองรับได้ไปมากโข!เมื่อคนมากเกินควบคุม ข้อผิดพลาดก็ย่อมเก
เจิ้งถูฮู่เพิ่งหลุดพ้นจากคุกของกรมอาญาได้ ก็รีบเร่งกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นลูกชายของเขา เจิ้งเทียนฉิน กำลังปรึกษากับมารดาอยู่ “ท่านแม่ ต่อให้เราต้องขายหม้อขายกระทะก็ต้องช่วยท่านพ่อออกมาจากคุกให้ได้! ที่นั่นข้าเคยไปมาแล้ว มันไม่ใช่ที่ที่คนจะอยู่ได้เลย!”เจิ้งเทียนฉินมีท่าทางสุภาพเรียบร้อย ดูไม่เหมือนลูกชายของคนขายเนื้อ แต่กลับดูเหมือนบัณฑิตเสียมากกว่าความจริงแล้วเจิ้งเทียนฉินเคยเข้าศึกษาเล่าเรียน และมีพรสวรรค์ไม่เลว เขาขยันเรียนมาก จนสามารถสอบผ่านเป็นทงเซิงได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเจิ้งถูฮู่ดีใจมาก จัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเพื่อนบ้านมาร่วมฉลองกินเลี้ยงหมูย่างติดต่อกันถึงสามวันความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่เขาคิดว่าในที่สุดตระกูลเจิ้งของตนก็จะได้บัณฑิตสืบสกุล นำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลเสียทีแต่ใครจะคาดคิดว่านั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายเจิ้งเทียนฉินเรียนหนังสือเก่ง ไม่เพียงแต่เจิ้งถูฮู่เท่านั้น แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ฝากความหวังไว้กับเขาอย่างมากทว่า...ครั้งแรกที่เขาเข้าสอบมณฑล ไม่เพียงแต่สอบตกหมดสภาพอย่างสิ้นเชิง แต่ยังถูกจับขังคุกอีกด้วยข้อหาคือทุจริตในการสอบ!เจิ้งถูฮู่
หลี่หลงหลินมองใบหน้างดงามของซูเฟิ่งหลิงก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “วีรบุรุษยิ่งใหญ่ ข้าเป็นไม่ได้หรอก งั้นเป็นพ่อของวีรบุรุษยิ่งใหญ่แทนดีไหม เจ้าคิดว่าอย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”หลี่หลงหลินถอนหายใจ “เสด็จพ่ออยากให้ข้าเป็นรัชทายาทสำเร็จราชการแทน ก็ชัดเจนว่าอยากพึ่งลูกกิน! แต่สิ่งที่เขาทำนี้ กลับทำให้ข้านึกอะไรบางอย่างออก!”“เสด็จพ่อพึ่งพาไม่ได้ พวกเราต้องรีบมีลูกให้เร็วที่สุด แล้วทุ่มเททุกอย่างเพื่อฝึกเขาให้เก่งกาจ จากนั้นส่งต่อบัลลังก์ให้เขา ให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาติบ้านเมือง!”“ข้าจะได้เป็นพ่อของวีรบุรุษ!”“ฮ่าๆ บนพึ่งพาพ่อ ล่างพึ่งพาลูก ข้านี่มันอัจฉริยะจริง ๆ!”ซูเฟิ่งหลิงเบิกตากว้าง จ้องเขาด้วยความตกตะลึงถึงขีดสุดพึ่งพาพ่อก็ว่าน่าละอายแล้ว!หลี่หลงหลิน ไอ้เจ้าหมานี่ คิดจะพึ่งพาลูกตัวเองด้วยงั้นหรือ?ซูเฟิ่งหลิงก้มมองหน้าท้องแบนราบของตนเอง พลันรู้สึกเศร้าใจ “ลูกน้อยของแม่ เจ้าช่างโชคร้ายเสียจริง ยังไม่ทันได้เกิด ก็ต้องเจอพ่อแบบนี้เข้าเสียแล้ว...”เดี๋ยวก่อน!ซูเฟิ่งหลิงฉุกคิดขึ้นมาได้ทันที ใบหน้างามแดงระเรื่อ น
ในที่สุดจางอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดหลี่หลงหลินจึงจับผิดสำนักปราชญ์ไม่ปล่อย จับบัณฑิตขังคุกทีละคนสำนักปราชญ์อาจมีอำนาจทางวาจา แต่กลับไร้ซึ่งกำลังทหารคนธรรมดาไร้ความผิด แต่หากมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าติดตัว ก็อาจนำภัยมาสู่ตนนี่ไม่ใช่เนื้อชิ้นโตแล้วจะเป็นอะไร?หลี่หลงหลินยิ้ม “เงินแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ไป! ตามข้าไปพบฉินฮั่นหยางกันอีกครั้ง!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินจึงพาซูเฟิ่งหลิงและจางอี้ไปยังห้องขังของฉินฮั่นหยางอีกครั้ง“รัชทายาท!”“ท่านช่างใจร้ายนัก!”ฉินฮั่นหยางจ้องหลี่หลงหลินเขม็ง ดวงตาลุกโชนราวกับเปลวไฟความเจ้าเล่ห์ขององค์รัชทายาทผู้นี้ ช่างน่ากลัวจนทำให้ผู้คนโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดหลี่หลงหลินโบกมือ “ข้าขี้เกียจพูดมาก! ราคาเดียว หนึ่งล้านตำลึง ขาดแม้แต่ตำลึงเดียวก็ไม่ได้!”ฉินฮั่นหยางส่ายหน้า “ไม่มีทาง!”หลี่หลงหลินแสยะยิ้ม “ดี! ข้าชี้ทางสว่างให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมเดิน เลือกที่จะเดินบนสะพานไม้ซุง! อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน! ไป!”เมื่อสิ้นเสียงหลี่หลงหลินไม่รอให้ฉินฮั่นหยางได้ตอบโต้ใดๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป“???”ฉินฮั่นหยางมองตามหลังหลี่หลงหลินด้วย
“ขออภัยด้วย!”“ศิษย์ขอไปก่อน หากออกไปได้ ข้าจะหาทางช่วยอาจารย์ออกมาให้ได้ขอรับ!”เหล่าบัณฑิตรีบเขียนจดหมายให้คนทางบ้านส่งเงินมาให้ เมื่อจะจากไปยังไม่ลืมคำนับคารวะต่อหน้าบัณฑิตเช่นฉินฮั่นหยางฉินฮั่นหยางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธพวกเจ้าช่างทรยศนัก!ทิ้งข้าไว้เช่นนี้หรือ?พวกเจ้ารู้จักคำว่าเคารพครูบาอาจารย์หรือไม่? จิตใจของพวกเจ้าเหี่ยวเฉาเสียจนสิ้นดีแล้วหรือ?ตำราที่พวกเจ้าอ่านมา หรือว่าลงกระเพาะสุนัขไปแล้วงั้นรึ?สิ่งที่ฉินฮั่นหยางไม่อาจรับได้ยิ่งกว่าคือแม้แต่อาจารย์วัยชราหลายคนก็ทนไม่ไหว ต่างหยิบเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาแล้วออกจากคุกไป“ช่าง...”“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”“สำนักปราชญ์เลี้ยงคนเหล่านี้ไว้เสียข้าวสุกจริงๆ!”“ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมต้านทานไม่ได้!”เหล่าบัณฑิตโดยมีฉินฮั่นหยางเป็นผู้นำ มองไปยังบัณฑิตและอาจารย์ที่จากไปด้วยความอิจฉาความจริงแล้ว พวกเขาก็อยากจากไปเช่นกันคุกเป็นสถานที่เช่นไร ใครที่เคยอยู่ย่อมรู้ซึ้งมันไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้อีกอย่าง ฉินฮั่นหยางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมานาน ย่อมไม่อาจทนทุกข์เช่นนี้ได้ปัญหาคือเงินหนึ่งล้านตำลึงมันมากมายเกินไป
จางอี้มีสีหน้างุนงงเงินไถ่ชีวิตราษฎรเพียงหนึ่งอีแปะบัณฑิตต่ำที่สุดหนึ่งร้อยตำลึงสูงที่สุดหนึ่งล้านตำลึงความแตกต่างนี้ช่างราวกับฟ้าและเหวโดยแท้นี่เห็นได้ชัดว่าหลี่หลงหลินต้องการลงมือกับสำนักปราชญ์!ฉินฮั่นหยางโมโหตัวสั่น จับจ้องหลี่หลงหลิน “ผู้สูงศักดิ์ราคาแพง? คนจนราคาถูก? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”หลี่หลงหลินยิ้มเย็น พูดเย้ยหยัน “เรายังอยากถามเจ้า เกิดและเติบโตโดยพ่อแม่เฉกเดียวกัน ถือสิทธิ์อะไรพวกเจ้าบัณฑิตสูงส่งกว่าหนึ่งขั้น? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”ฉินฮั่นหยางชะงักไป ไม่พูดอีกหลี่หลงหลินคร้านจะพูดไร้สาระ หันหน้าหาจางอี้ ออกคำสั่ง “ทำตามที่เราบอก!”จางอี้พยักหน้า มาที่ด้านหน้าคุก ถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ของหลี่หลงหลินหนึ่งรอบเหล่าราษฎรฮือฮา ดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าเปี่ยมความรู้สึกเหลือจะเชื่อหนึ่งอีแปะ ก็สามารถแลกกับอิสระได้แล้วหรือ?จริงหรือนี่?ทว่า เหล่าราษฎรกลับกังวลประการแรกคือตนเองออกมารับชมความครึกครื้น บนตัวไม่มีเงินแม้อีแปะเดียวประการที่สองคือรัชทายาทมิได้หลอกคนเพียงครั้งเดียวหากเขาหลอกตนจะทำเช่นไร?เจิ้งถูฮู่กลับดีใจมาก ยื่นเงินหนึ่งก้อนออกไป “นี่คือเงินหนึ่งตำลึง
จางอี้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทางหนึ่งสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ ใช้ปลอกดาบเคาะตีที่กรงเหล็ก ตะคอกนักโทษภายในคุก ทางหนึ่งคุ้มกันหลี่หลงหลิน ก้าวเท้าฉับไวเข้าไปยังส่วนลึกที่สุด ชี้ประตูห้องขังแห่งหนึ่ง “องค์ชาย ฉินฮั่นหยางอยู่ข้างในนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินฮั่นหยางอยู่ห้องขังเดี่ยวไม่ใช่เพราะเขาเป็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิ มีสิทธิพิเศษอะไรแต่เพราะมีตัวอย่างของซ่งชิงหลวน หากฉินฮั่นหยางอยู่ที่คุกด้านนอก ตายไปอย่างคลุมเครือ จางอี้ก็ยากจะหาข้อแก้ตัว รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรนี้เขาก็ไม่ต้องทำแล้วเพราะเหตุนี้ฉินฮั่นหยางไม่เพียงขังอยู่ในห้องขังเดี่ยว ประตูยังมีองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าอีกสองคน รับรองไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหลี่หลงหลินผลักเปิดประตูเข้าห้องขัง ได้เห็นฉินฮั่นหยางกำลังนั่งขัดสมาธิ“ฮึๆ รัชทายาท เจ้ามาหาข้าว่องไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”“อะไรกัน?”“เจ้ามาเชิญข้าออกไปหรือ?”“บอกเจ้า ข้าอยู่ที่นี่สบายมากนัก! เว้นเสียแต่เจ้าคุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะสามครั้ง ขอร้องให้ข้าออกไป! หาไม่แล้ว ชาตินี้ข้าก็จะอยู่ที่นี่!”เสียงฉินฮั่นหยางแหบพร่า ใบหน้าประดับยิ้มเย็นหลายวันมานี้ เขาด่าอย่างหยาบคาย เสียงแห
หลี่หลงหลินลูบจมูก สบมองหนิงชิงโหวอย่างพูดไม่ออก “สหายร่วมสำนักศึกษาของเจ้านี้คิดมากเกินไปแล้ว ข้ามิใช่เทพเซียนเสียหน่อย เพียงแค่ตัวอักษรของจดหมายนิรนามก็สามารถหาตัวเขาได้แล้วกระนั้น?”หนิงชิงโหวยิ้มแห้ง “องค์ชาย ท่านยังไม่รู้ คนบนโลกล้วนพูดว่าท่านฉลาดปราดเปรื่องเหนือกว่ามนุษย์ เป็นปีศาจ...”หลี่หลงหลินยิ้มขมปร่าตนเองให้เสด็จพ่อยกเว้นเก็บภาษีราษฎรสามปี พวกเขายังพูดว่าตนเป็นปีศาจอีกนะคนดี เป็นได้ยากยิ่ง!“ในเมื่อเป็นเช่นนี้...”หลี่หลงหลินใคร่ครวญ พูดกับหนิงชิงโหว “เจ้าไปบอกให้ซูเฟิ่งหลิงเตรียมรถม้า ไปที่คุกใหญ่กับข้า”หนิงชิงโหวค้อมตัว “น้อมรับคำสั่ง”ครู่ต่อมารถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากภูเขาทิศประจิม มุ่งหน้าไปสู่คุกใหญ่กรมอาญาบัดนี้คุกใหญ่กรมอาญามีคนเนืองแน่น ภายในถูกยัดไว้แน่นเอียด เสียงโอดครวญดังระงมผู้คุมเรือนจำต้องควบคุมนักโทษมากถึงเพียงนี้ ยุ่งแทบตายตั้งแต่เช้าจรดเย็น เหนื่อยเสียจนพูดไม่ออกหากไม่ใช่เพราะจางอี้พาองครักษ์เสื้อแพรมาคุมเชิง พวกเขากล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอันใด ป่านนี้คงหนีหายไม่ทำแล้วเห็นหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงลงจากรถม้า จางอี้รีบเข้าไปต้อนรับ โค้งคำนั