ฮ่องเต้หวู่ทรงหัวเราะลั่น “เจ้าสามลูกทรพี นำทหารม้าเหล็กซีเหลียงสามพันนายมาคอยจ้องมองอยู่ข้างนอกเมืองหลวง เห็นได้ชัดว่ารอจังหวะที่จะทำร้ายข้า!” “ศึกภูเขาทิศประจิม ทหารม้าเหล็กซีเหลียงตายและบาดเจ็บจำนวนมาก แม้แต่ม้าก็ไม่เหลือ!” “ในที่สุดข้าก็สามารถนอนหลับสนิทได้แล้ว!” “ผลงานี้ ไม่ใช่ความดีความชอบหรือ?” หลี่หลงหลินกล่าวด้วยความดีใจ “ถ้าเช่นนั้น เสด็จพ่อจะทรงประทานรางวัลอะไรให้ลูก?” “รางวัล?” ฮ่องเต้หวู่สีหน้าบึ้ง “เจ้าเก้า ข้าช่วยให้เจ้าได้ม้าศึกสองพันตัว ยังไม่พออีกหรือ? อย่าโลภมาก! จำไว้ว่า ไม่ว่าฟ้าจะประทานสิ่งใดลงมา ล้วนเป็นความเมตตาของกษัตริย์!” “ลูกรับด้วยเกล้า!” หลี่หลงหลินยิ้ม แต่ในใจกลับบ่นพึมพำ ฮ่องเต้หวู่คนนี้ ไก่เหล็กตัวหนึ่ง ขนสักเส้นก็ไม่ยอมถอน! แม้ว่าในมือจะไม่มีเงิน ก็น่าจะประทานบรรดาศักดิ์ให้ข้าบ้าง! ดูอย่างเจ้าสามสิ เรียกตัวเองว่าท่านอ๋องท่านอ๋องทั้งวัน ดูเท่ห์จะตาย! พระองค์น่าจะแต่งตั้งข้าเป็นอ๋องบ้าง แม้ว่าจะเป็นอ๋องที่ไม่มีอำนาจก็เถอะ! ช่างเถอะ! ยังไงครั้งนี้ ทหารใหม่ตระกูลซูไม่เพียงแต่ต่อสู้ได้อย่างกล้าหาญ แต่ยังรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน!
หลังจากส่งฮ่องเต้หวู่กลับไปแล้ว หลี่หลงหลินก็ไปหาพบซูเฟิ่งหลิงที่ลานฝึก ซูเฟิ่งหลิงกำลังสั่งการให้ทหารเก็บกวาดสนามรบ เมื่อสัญญากับหลีเฟิงอวิ๋นไว้แล้ว ก็ต้องส่งศพของทหารซีเหลียงที่ตายไปกลับไป ฝังให้เรียบร้อย หลี่หลงหลินถาม “มีคนตายและบาดเจ็บเท่าไหร่?” ซูเฟิ่งหลิงตอบ “ซีเหลียงตายเจ็ดร้อย! ฝ่ายเราตายและบาดเจ็บไม่ถึงร้อย!” ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่! ทหารราบสองพันนาย สู้กับทหารม้าสามพันนาย อัตราการสูญเสียคือหนึ่งต่อเจ็ด! ช่างเป็นปาฏิหาริย์! ยิ่งไปกว่านั้น ซูเฟิ่งหลิงพูดถึงทั้งคนตายและบาดเจ็บ หมายความว่าในบรรดาร้อยกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นแค่บาดเจ็บ มีผู้เสียชีวิตเพียงเล็กน้อย! มีหมอเทวดาซุนชิงไต้ คอยรักษาอาการบาดเจ็บให้ทันท่วงที เชื่อว่าอีกไม่นาน อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็จะหายสนิท! หลี่หลงหลินดีใจมาก “ศึกภูเขาทิศประจิม ชนะด้วยจำนวนที่น้อยกว่า ชนะด้วยกำลังที่อ่อนแอกว่า เพียงพอที่จะทำให้ทั่วหล้าตกตะลึง! ไม่ได้ ข้าต้องหาวิธีเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป...” จะเผยแพร่อย่างไร? แน่นอนว่าต้องผ่านสำนักการสังคีต! หลี่หลงหลินค้นพบแล้วว่า ในยุคนี้ สถานที่ที่ข่าวสารแพร่กระจายเร็วที่สุดคือสำน
กงซูหว่านกลับหันหน้าเข้าสถาบันวิจัย ตั้งแต่เช้าจรดค่ำล้วนไม่ออกมาหลี่หลงหลินครุ่นคิด ไปหาหนิงชิงโหวอีกครั้ง พูดยิ้มๆ “หนิงเซิง! วันนี้ได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ ใช่หรือไม่ว่าสมควรฉลองสักหน่อย?”หนิงชิงโหวรู้ชัดในทันใด ยิ้มกว้างพูดว่า “องค์ชาย วันนี้ถึงตาท่านเลี้ยงแล้ว!”หลี่หลงหลินและหนิงชิงโหวโอบบ่ากัน “ไปๆ! คืนนี้เจ้าจะต้องเรียกนางคณิกาฝูเซียงมาให้ได้! ข้าเตรียมบทกวีไว้มอบให้นางแล้ว!”หนิงชิงโหวพูดยิ้มๆ “บทกวีขององค์ชายจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ นางคณิกาฝูเซียงจะต้องใจสั่นหวั่นไหว ดวงตาดุจสายน้ำคู่นั้นล้วนต้องหลั่งน้ำตาออกมา!”หลี่หลงหลินและหนิงชิงโหวสหายชั่วคู่นี้ออกจากภูเขาทิศประจิม มุ่งหน้าไปยังสำนักการสังคีตก่อนนี้หลี่หลงหลิน แม้มีฐานะขององค์ชาย แต่แท้จริงแล้วไม่ร่ำเรียนไร้ความสามารถ ไม่ได้รับความสำคัญจากเหล่านางคณิกามากนักอย่างไรเสียสำหรับเหล่านางคณิกาแล้ว สำคัญที่สุดก็คือชื่อเสียง!เพราะเหตุใดคือชื่อเสียงน่ะหรือ?เพราะลูกค้าที่เหล่านางคณิกาต้องเผชิญหน้าก็คือบัณฑิตบัณฑิตมีชื่อเสียง เหล่านางคณิกาย่อมพลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย!สำหรับการเพิ่มชื่อเสียง วิธีที่ดีที่สุดคืออะไร?แน่
“หนิงเซิง!”“ข้ามีธุระด่วน ขอไปก่อนแล้ว!”หลี่หลงหลินรีบสะบัดแขนหยกของนางคณิกาออก ผุดลุกขึ้นได้ก็วิ่งไปแล้วเพิ่งถึงภายในลาน หลี่หลงหลินก็กลับไปอีกครั้ง หยิบแป้งชาดหนึ่งตลับจากฝูเซียงไปอีกด้วยนางคณิกาทั้งหมดล้วนตกตะลึงเหม่อลอย มองเงาด้านหลังหลี่หลงหลินที่กำลังรีบร้อนจากไป “องค์ชายเก้านี่เป็นอะไรไปแล้ว? เหตุใดตกตะลึงรับมือไม่ทันเพียงนี้? ราวกับเห็นผีก็มิปาน?”หนิงชิงโหวเดาบางอย่างได้ ยิ้มขมปร่า “สิงโตเหอตง น่ากลัวยิ่งกว่าผีเสียอีก!”นางคณิกาฝูเซียงถอนหายใจ น้ำตาคลอหน่วย “ทั้งๆ ที่องค์ชายพูดว่าจะมอบบทกวีให้ข้า! ปรากฏว่ามิได้มอบบทกวีก็ช่างเถอะ! ยังหยิบแป้งชาดตลับไม้กฤษณาของข้าไปด้วย แพงมากนะ...”หนิงชิงโหวหยิงตั๋วเงินออกมา ยัดไว้ที่หน้าทรวงอกนางคณิกาฝูเซียง พูดยิ้มๆ “ก็แค่แป้งชาดหนึ่งตลับเท่านั้นมิใช่หรือ? ข้าคืนให้เจ้าแทนองค์ชายแล้วกัน! ส่วนเรื่องกวีน่ะหรือ ให้ข้าคิดดู...”บทกวีของหนิงเซิงไร้เทียมทานไม่เป็นสองรองใคร บัดนี้ยังได้เป็นจอหงวนอีกด้วย เขายินดีแต่งกวีให้ ย่อมเป็นเรื่องดีมากนางคณิกาฝูเซียงหยุดสะอื้นแย้มยิ้มในทันใดภายในสำนักการสังคีตกลับมามีเสียงหัวเราะอีกครั้ง....
ซูเฟิ่งหลิงชะงัก สมองคิดตามไม่ทันอยู่บ้างข้ายังไม่บันดาลโทสะ เหตุใดท่านกระทืบเท้าก่อนเล่า?ซูเฟิ่งหลิงแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง “เหลวไหล! ท่านไปสำนักการสังคีตใช่หรือไม่!”หลี่หลงหลินยิ้มเย็นพูดว่า “เจ้าเห็นใครไปสำนักการสังคีตแล้วไม่ค้างแรมด้วยหรือ?”ซูเฟิ่งหลิงชะงักเป็นหลักการนี้จริงเสียด้วยไปสำนักการสังคีตไม่ค้างแรม นั่นมิเท่ากับเสียเงินเปล่าหรอกหรือ?มิหนำซ้ำยังถูกคนอื่นหัวเราะ พูดว่าเจ้าไม่ได้เรื่อง!“หรือว่าเขามิได้ไปสำนักการสังคีต?”ซูเฟิ่งหลิงนึกฉงนภายในใจ ขยับขึ้นมาดมตัวหลี่หลงหลิน โกรธขึ้งขึ้นมาในทันใดสวบ!ซูเฟิ่งหลิงยกทวนเงินในมือ ปลายคมกริบชี้คอหลี่หลงหลิน พูดอย่างมีโทสะ “ทั้งตัวล้วนคือกลิ่นชาด! ยังพูดว่าท่านไม่ได้ไปสำนักการสังคีตอีกกระนั้น? คิดว่าข้าเป็นเด็กสาวขวบรึ?”หลี่หลงหลินถอนหายใจ หยิบตลับชาดจากวงแขน ท่าทีโศกเศร้า “ตลับไม้กฤษณาของชั้นเลิศ! เดิมทีวางแผนมอบให้เจ้าเป็นของขวัญ คิดไม่ถึงเจ้าจะเข้าใจข้าผิดเช่นนี้!”“ข้าผิดหวังเหลือเกิน!”ซูเฟิ่งหลิงเหม่อลอย มองหลี่หลงหลินอย่างเก้อกระดาก “ท่านวางแผนมอบแป้งชาดให้ข้าเป็นของขวัญ?”หลี่หลงหลินพยักหน้าสีหน้าซูเฟิ่
ครู่ต่อมาร่างกายหลี่หลงหลินกลายเป็นแข็งทื่อ ไม่รู้สมควรรับมือเยี่ยงไรข้าแกล้งหลับต่อ?หรือหมุนตัวกลับไปกอดนาง ทำเรื่องให้นางเขินอายสักหน่อย?สมองของหลี่หลงหลินต่อสู้กันหนักลงท้ายเขายังเลือกหมุนตัวกลับมา ตกตะลึงพบว่าซูเฟิ่งหลิงหลับไปแล้วต่อสู้มาตลอดทั้งวัน ยังตั้งใจอาบน้ำแช่กลีบดอกไม้เป็นพิเศษ ทำร่างกายให้หอมฉุย ฝืนพาตนเองมาหาหลี่หลงหลินนางเหนื่อยมากเกินไป ถึงเตียงได้ก็หลับ...แสงจันทร์ส่องผ่านบานหน้าต่าง ตกลงบนใบหน้ายามหลับของซูเฟิ่งหลิง แพรขนตายาวสั่นเบาๆ งดงามดุจนางเซียนในภาพวาด!หลี่หลงหลินมิอาจหักใจปลุกนาง ยิ้มน้อยๆ หมุนตัวเตรียมนอนหลับต่อพึ่บ!หลี่หลงหลินเพิ่งหลับตา กำลังจะเข้าสู่ห้วงฝัน จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวซูเฟิ่งหลิงแย่งผ้าห่มไปจนหมดแล้ว!หลี่หลงหลินยื่นมือออกไปดึงผ้าห่ม กลับถูกนางถีบลงเตียงแล้ว!“บัดซบ...”หลี่หลงหลินโมโหมาก ลุกขึ้นมอง พบว่าซูเฟิ่งหลิงนอนกางแขนขา ยึดครองเตียงไปแล้ว“ได้ๆ ล่วงเกินไม่ได้ หลบก็ไม่ได้กระนั้นรึ?”หลี่หลงหลินเอือมระอา สวมเสื้อผ้าออกจากห้องเช้าวันต่อมา“นอนหลับสบายเหลือเกิน!”ซูเฟิ่งหลิงยืดเอวอย่างเกียจคร้าน เดินออกจ
เขาวางแผนเข้าไปนอนหลับชดเชยภายในห้องหัวหน้าสำนักศึกษาปรากฏว่าเพิ่งเข้าประตูก็มีขันทีมาถ่ายทอดพระราชโองการแล้ว “องค์ชายเก้า ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านและหมอเทวดาซุนเข้าวังในทันที!”หลี่หลงหลินขมวดคิ้ว “เข้าวังอีกแล้ว? เสด็จพ่อร้อนใจเพราะเรื่องผงปรุงรสไก่หนึ่งไหเพียงนี้เชียวหรือ?”ส่งขันทีถ่ายทอดพระราชโองการกลับไป หลี่หลงหลินมาที่ห้องซุนชิงไต้ ลากนางออกจากความฝัน “พี่สะใภ้สาม ฝ่าบาทให้พวกเราเข้าวัง! อาจเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!”ซุนชิงไต้ยังแทะน่องไก่ในความฝัน น้ำลายไหลเยิ้ม นั่งบนรถม้าอย่างสะลึมสะลือ นี่ถึงมีสติขึ้นมา “หา องค์ชายเก้า! ท่านจะพาหม่อมฉันไปที่ใด?”หลี่หลงหลินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าพูดหลายรอบแล้ว เข้าวังเข้าเฝ้าฝ่าบาท”ซุนชิงไต้พองแก้ม “เข้าวังอีกแล้วหรือ น่ารำคาญยิ่งนัก! รู้ตั้งแต่แรกว่าน่ารำคาญเพียงนี้ ก็ไม่รักษาอาการประชวรให้ฝ่าบาทแล้ว! พูดไปแล้ว ข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยนะ...”หลี่หลงหลินเตรียมน่องไก่ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ยัดใส่มือนางมัดผมหางม้าสองข้างตามหลักโลลิ คลี่ยิ้มกว้าง “คิกๆ ขอเพียงมีน่องไก่ ไปที่ใดก็ได้!”รถม้าแล่นเข้าวังหลี่หลงหลินถือไหผงปรุงรสไก่ไว้ในมือ พาซุ
ฮ่องเต้หวู่เหม่อลอย ตรัสงึมงำ “วิถีแห่งฟ้าก็เป็นเช่นนี้? ตกลงเราทำผิดอันใด สวรรค์จึงลงโทษเราเช่นนี้!”ตู้เหวินยวนขยับขึ้นมาหนึ่งก้าว ประกบมือพูดว่า “ฝ่าบาท ระยะนี้ภายนอกเมืองหลวงเองก็พบว่ามีบางครอบครัวติดโรคร้าย! กระหม่อมสงสัยว่าอาจเป็นโรคเดียวกันกับไข้มาลาเรียที่หมอเทวดาซุนพูดถึงพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึงหน้าถอดสี “อะไรนะ? หรือว่าโรคไข้มาลาเรียพิษจั้งนี้แพร่มาถึงเมืองหลวงแล้วกระนั้น?”เพราะเหตุนี้ฮ่องเต้หวู่จึงหวั่นวิตกทิศใต้ของต้าเซี่ย ปกติแล้วอากาศร้อน พบไข้จั้งชี่ได้บ่อยๆทว่าเพราะการเดินทางไม่สะดวก ไข้จั้งชี่แพร่เชื้อเพียงในบริเวณนั้น มิได้แพร่ออกมาอย่างง่ายดายแม้เป็นเช่นนี้ กลับมีคนตายเพราะไข้จั้งชี่ทุกปี จำนวนชวนให้คนตกตะลึง เห็นถึงความร้ายแรงได้!ราษฎร์ในเมืองหลวงแออัด มีสามัญชนหลายล้ายคน!หากไข้มาลาเรียแพร่มาถึงเมืองหลวง นั่นก็ยุ่งยากแล้ว!ฮ่องเต้หวู่รีบตรัส “หมอเทวดาซุน! ไข้มาลาเรียนี้ เจ้ามีวิธีรับมือหรือไม่?”ซุนชิงไต้ขมวดคิ้วแน่น “หม่อมฉันกลับรู้วิธีไม่น้อย! แต่ล้วนเคยลองมาก่อนแล้ว ผลลัพธ์ไม่แน่นอน...”ภายในห้องทรงพระอักษรเงียบกริบ เหล่าขุนนางล้วนก้มหน้า ส
ในที่สุดจางอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดหลี่หลงหลินจึงจับผิดสำนักปราชญ์ไม่ปล่อย จับบัณฑิตขังคุกทีละคนสำนักปราชญ์อาจมีอำนาจทางวาจา แต่กลับไร้ซึ่งกำลังทหารคนธรรมดาไร้ความผิด แต่หากมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าติดตัว ก็อาจนำภัยมาสู่ตนนี่ไม่ใช่เนื้อชิ้นโตแล้วจะเป็นอะไร?หลี่หลงหลินยิ้ม “เงินแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ไป! ตามข้าไปพบฉินฮั่นหยางกันอีกครั้ง!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินจึงพาซูเฟิ่งหลิงและจางอี้ไปยังห้องขังของฉินฮั่นหยางอีกครั้ง“รัชทายาท!”“ท่านช่างใจร้ายนัก!”ฉินฮั่นหยางจ้องหลี่หลงหลินเขม็ง ดวงตาลุกโชนราวกับเปลวไฟความเจ้าเล่ห์ขององค์รัชทายาทผู้นี้ ช่างน่ากลัวจนทำให้ผู้คนโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดหลี่หลงหลินโบกมือ “ข้าขี้เกียจพูดมาก! ราคาเดียว หนึ่งล้านตำลึง ขาดแม้แต่ตำลึงเดียวก็ไม่ได้!”ฉินฮั่นหยางส่ายหน้า “ไม่มีทาง!”หลี่หลงหลินแสยะยิ้ม “ดี! ข้าชี้ทางสว่างให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมเดิน เลือกที่จะเดินบนสะพานไม้ซุง! อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน! ไป!”เมื่อสิ้นเสียงหลี่หลงหลินไม่รอให้ฉินฮั่นหยางได้ตอบโต้ใดๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป“???”ฉินฮั่นหยางมองตามหลังหลี่หลงหลินด้วย
“ขออภัยด้วย!”“ศิษย์ขอไปก่อน หากออกไปได้ ข้าจะหาทางช่วยอาจารย์ออกมาให้ได้ขอรับ!”เหล่าบัณฑิตรีบเขียนจดหมายให้คนทางบ้านส่งเงินมาให้ เมื่อจะจากไปยังไม่ลืมคำนับคารวะต่อหน้าบัณฑิตเช่นฉินฮั่นหยางฉินฮั่นหยางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธพวกเจ้าช่างทรยศนัก!ทิ้งข้าไว้เช่นนี้หรือ?พวกเจ้ารู้จักคำว่าเคารพครูบาอาจารย์หรือไม่? จิตใจของพวกเจ้าเหี่ยวเฉาเสียจนสิ้นดีแล้วหรือ?ตำราที่พวกเจ้าอ่านมา หรือว่าลงกระเพาะสุนัขไปแล้วงั้นรึ?สิ่งที่ฉินฮั่นหยางไม่อาจรับได้ยิ่งกว่าคือแม้แต่อาจารย์วัยชราหลายคนก็ทนไม่ไหว ต่างหยิบเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาแล้วออกจากคุกไป“ช่าง...”“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”“สำนักปราชญ์เลี้ยงคนเหล่านี้ไว้เสียข้าวสุกจริงๆ!”“ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมต้านทานไม่ได้!”เหล่าบัณฑิตโดยมีฉินฮั่นหยางเป็นผู้นำ มองไปยังบัณฑิตและอาจารย์ที่จากไปด้วยความอิจฉาความจริงแล้ว พวกเขาก็อยากจากไปเช่นกันคุกเป็นสถานที่เช่นไร ใครที่เคยอยู่ย่อมรู้ซึ้งมันไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้อีกอย่าง ฉินฮั่นหยางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมานาน ย่อมไม่อาจทนทุกข์เช่นนี้ได้ปัญหาคือเงินหนึ่งล้านตำลึงมันมากมายเกินไป
จางอี้มีสีหน้างุนงงเงินไถ่ชีวิตราษฎรเพียงหนึ่งอีแปะบัณฑิตต่ำที่สุดหนึ่งร้อยตำลึงสูงที่สุดหนึ่งล้านตำลึงความแตกต่างนี้ช่างราวกับฟ้าและเหวโดยแท้นี่เห็นได้ชัดว่าหลี่หลงหลินต้องการลงมือกับสำนักปราชญ์!ฉินฮั่นหยางโมโหตัวสั่น จับจ้องหลี่หลงหลิน “ผู้สูงศักดิ์ราคาแพง? คนจนราคาถูก? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”หลี่หลงหลินยิ้มเย็น พูดเย้ยหยัน “เรายังอยากถามเจ้า เกิดและเติบโตโดยพ่อแม่เฉกเดียวกัน ถือสิทธิ์อะไรพวกเจ้าบัณฑิตสูงส่งกว่าหนึ่งขั้น? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”ฉินฮั่นหยางชะงักไป ไม่พูดอีกหลี่หลงหลินคร้านจะพูดไร้สาระ หันหน้าหาจางอี้ ออกคำสั่ง “ทำตามที่เราบอก!”จางอี้พยักหน้า มาที่ด้านหน้าคุก ถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ของหลี่หลงหลินหนึ่งรอบเหล่าราษฎรฮือฮา ดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าเปี่ยมความรู้สึกเหลือจะเชื่อหนึ่งอีแปะ ก็สามารถแลกกับอิสระได้แล้วหรือ?จริงหรือนี่?ทว่า เหล่าราษฎรกลับกังวลประการแรกคือตนเองออกมารับชมความครึกครื้น บนตัวไม่มีเงินแม้อีแปะเดียวประการที่สองคือรัชทายาทมิได้หลอกคนเพียงครั้งเดียวหากเขาหลอกตนจะทำเช่นไร?เจิ้งถูฮู่กลับดีใจมาก ยื่นเงินหนึ่งก้อนออกไป “นี่คือเงินหนึ่งตำลึง
จางอี้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทางหนึ่งสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ ใช้ปลอกดาบเคาะตีที่กรงเหล็ก ตะคอกนักโทษภายในคุก ทางหนึ่งคุ้มกันหลี่หลงหลิน ก้าวเท้าฉับไวเข้าไปยังส่วนลึกที่สุด ชี้ประตูห้องขังแห่งหนึ่ง “องค์ชาย ฉินฮั่นหยางอยู่ข้างในนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินฮั่นหยางอยู่ห้องขังเดี่ยวไม่ใช่เพราะเขาเป็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิ มีสิทธิพิเศษอะไรแต่เพราะมีตัวอย่างของซ่งชิงหลวน หากฉินฮั่นหยางอยู่ที่คุกด้านนอก ตายไปอย่างคลุมเครือ จางอี้ก็ยากจะหาข้อแก้ตัว รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรนี้เขาก็ไม่ต้องทำแล้วเพราะเหตุนี้ฉินฮั่นหยางไม่เพียงขังอยู่ในห้องขังเดี่ยว ประตูยังมีองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าอีกสองคน รับรองไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหลี่หลงหลินผลักเปิดประตูเข้าห้องขัง ได้เห็นฉินฮั่นหยางกำลังนั่งขัดสมาธิ“ฮึๆ รัชทายาท เจ้ามาหาข้าว่องไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”“อะไรกัน?”“เจ้ามาเชิญข้าออกไปหรือ?”“บอกเจ้า ข้าอยู่ที่นี่สบายมากนัก! เว้นเสียแต่เจ้าคุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะสามครั้ง ขอร้องให้ข้าออกไป! หาไม่แล้ว ชาตินี้ข้าก็จะอยู่ที่นี่!”เสียงฉินฮั่นหยางแหบพร่า ใบหน้าประดับยิ้มเย็นหลายวันมานี้ เขาด่าอย่างหยาบคาย เสียงแห
หลี่หลงหลินลูบจมูก สบมองหนิงชิงโหวอย่างพูดไม่ออก “สหายร่วมสำนักศึกษาของเจ้านี้คิดมากเกินไปแล้ว ข้ามิใช่เทพเซียนเสียหน่อย เพียงแค่ตัวอักษรของจดหมายนิรนามก็สามารถหาตัวเขาได้แล้วกระนั้น?”หนิงชิงโหวยิ้มแห้ง “องค์ชาย ท่านยังไม่รู้ คนบนโลกล้วนพูดว่าท่านฉลาดปราดเปรื่องเหนือกว่ามนุษย์ เป็นปีศาจ...”หลี่หลงหลินยิ้มขมปร่าตนเองให้เสด็จพ่อยกเว้นเก็บภาษีราษฎรสามปี พวกเขายังพูดว่าตนเป็นปีศาจอีกนะคนดี เป็นได้ยากยิ่ง!“ในเมื่อเป็นเช่นนี้...”หลี่หลงหลินใคร่ครวญ พูดกับหนิงชิงโหว “เจ้าไปบอกให้ซูเฟิ่งหลิงเตรียมรถม้า ไปที่คุกใหญ่กับข้า”หนิงชิงโหวค้อมตัว “น้อมรับคำสั่ง”ครู่ต่อมารถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากภูเขาทิศประจิม มุ่งหน้าไปสู่คุกใหญ่กรมอาญาบัดนี้คุกใหญ่กรมอาญามีคนเนืองแน่น ภายในถูกยัดไว้แน่นเอียด เสียงโอดครวญดังระงมผู้คุมเรือนจำต้องควบคุมนักโทษมากถึงเพียงนี้ ยุ่งแทบตายตั้งแต่เช้าจรดเย็น เหนื่อยเสียจนพูดไม่ออกหากไม่ใช่เพราะจางอี้พาองครักษ์เสื้อแพรมาคุมเชิง พวกเขากล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอันใด ป่านนี้คงหนีหายไม่ทำแล้วเห็นหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงลงจากรถม้า จางอี้รีบเข้าไปต้อนรับ โค้งคำนั
มีนับล้านคน!ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าหลี่หลงหลินเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ สามารถใช้กำลังเพียงฝ่ายเดียวเป็นศัตรูกับสำนักปราชญ์ได้?น่าขันจริงเชียว!หลี่เทียนฉี่รีบหยิบหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยออกมา ถือไว้ด้วยสองมือ “นี่คือหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับล่าสุด เชิญท่านผ่านตา!”สีหน้าเสิ่นชิงโจวเปลี่ยนไป รีบรับไปอ่านอย่างละเอียดของสิ่งอื่นเขาสามารถไม่ใส่ใจได้เว้นแต่เพียงหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยเจ้าสิ่งใหม่นี้ ทำให้เสิ่นชิงโจวไม่มั่นใจ กระวนกระวายว้าวุ่น“นี่...ก็ไม่มีอันใดพิเศษนี่”เสิ่นชิงโจวอ่านหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยอย่างละเอียดหนึ่งรอบ สีหน้าแปลกใจเดิมทีคิดว่าหลี่หลงหลินจะเขียนเรื่องวันพิธีสักการะฟ้าดินออกมาเพื่อฉวยโอกาสปรักปรำสำนักปราชญ์สรุปว่าไม่เป็นเช่นนั้นหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับนี้ เทียบกันแล้วธรรมดามาก คล้ายรีบทำออกมา ไม่เขียนถึงพิธีสักการะฟ้าดินเลยแม้แต่น้อยหลี่เทียนฉี่รีบสืบเท้าขึ้นไป ชี้ตำแหน่งใจกลางหน้าหนังสือพิมพ์ “ท่านอาจารย์ ท่านดูที่นี่...”เสิ่นชิงโจวจ้องมอง ในที่สุดก็พบประกาศเกี่ยวกับจดหมายนิรนาม ทันใดนั้นสีหน้าแข็งทื่อดุจเหล็ก “รัชทายาท นี่
สิบห้าค่ำเดือนอ้าย ก่อนวันเทศกาลโคมไฟ หลี่หลงหลินจะต้องจัดการสำนักปราชญ์พูดให้ถูกก็คือเหลืออีกเพียงสิบสี่วันเวลานั้นสั้นนัก ไม่อาจพลาดไปได้แม้เสี้ยวนาทีรุ่งเช้าวันต่อมาหลี่หลงหลินและกงซูหว่านมายังภูเขาทิศประจิม ให้เหล่าช่างฝีมือพิมพ์หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับใหม่เริ่มงานวันที่สองเดือนอ้าย เหล่าช่างฝีมือย่อมไม่พอใจทว่าหลี่หลงหลินลงมืออย่างใจกว้าง รับปากเพิ่มค่าทำงานล่วงเวลาให้เหล่าช่างฝีมือเหล่าช่างฝีมือยิ้มกว้างอย่างดีใจ ไม่บ่นอีกสองวันต่อมาหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับใหม่ก็ออกมาเหล่าเด็กขายหนังสือพิมพ์บุกฝ่าหิมะ ขายตามตรอกเล็กซอยน้อย การค้าขายดีมากการขายหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยกลายเป็นความคุ้นชินของราษฎรภายในเมืองหลวงแล้วยังมีคนฉลาดบางส่วน สบช่องทางการค้า ลอบรับซื้อหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยโดยเฉพาะฉบับแรกรวมถึงภาคผนวกฉบับใหม่ล่าสุด ไม่เพียงพิเศษ ยังผลิตเป็นจำนวนน้อย สามารถขายได้ในราคาสูงบนตลาดมืด“หา?”“นี่คืออันใด?”“รัชทายาทต้องการให้พวกเราเขียนจดหมายร้องเรียนนิรนามฟ้องร้องสำนักปราชญ์?”“นี่แปลกมาก!”เหล่าราษฎรเห็นโฆษณาบนหนังสือพิมพ์ ดวง
“หลายปีมานี้สำนักปราชญ์ผูกขาดการสอบขุนนาง คนถูกสับเปลี่ยนข้อสอบเหมือนหนิงเซิงมีมากมายนับไม่ถ้วน”“เพียงน่าเสียดายสำนักปราชญ์ยิ่งใหญ่ ร่วมมือกับทางการทุจริต ต่อให้ภายในมือพวกเขามีหลักฐาน แต่ก็ไม่สามารถร้องขอความเป็นธรรมได้!”“สามารถใช้หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยประกาศออกไปได้ ให้คนเหล่านี้ล่วงรู้ว่าพวกเขาสามารถเขียนจดหมายถึงข้าโดยไม่เปิดเผยชื่อ เพื่อให้ข้าร้องทุกข์แทนพวกเขาได้!”กงซูหว่านชะงักไป ใบหน้าเผยแววดีใจยังสามารถทำเช่นนี้ได้?อานุภาพของหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยมากกว่าที่ตนเองคิดไว้อย่างแท้จริง“แต่...”กงซูหว่านยังลังเลเล็กน้อย “องค์ชาย น่ากลัวว่าไม่ได้! วิธีที่ท่านพูด แม้ว่ามีเหตุผลที่แน่นอน แต่พลังอำนาจของสำนักปราชญ์กลับยิ่งใหญ่ ไม่แน่ว่าคนเหล่านี้จะกล้าเขียนจดหมายร้องเรียนและมอบหลักฐานให้พวกเรา...”ลั่วอวี้จู๋คิดไปไกลยิ่งกว่านั้น “หากเปิดให้มีการร้องเรียน น่ากลัวว่าหายนะที่ตามมาจะไม่มีที่สิ้นสุด! หากมีคนตั้งใจก่อกวน สร้างหลักฐานเท็จ กล่าวหาคนดี นั่นจะทำเช่นไร?”ในยุคสมัยโบราณ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ปรักปรำคนดี โทษการกล่าวหาเท็จรุนแรงมากนักหากมั่นใจแล้วว่ากล่าวหาเท็
“แต่...”กงซูหว่านหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทำใจให้สงบลง “ท่านวางแผนโจมตีสำนักปราชญ์ น่ากลัวว่าไม่ง่ายถึงเพียงนั้น! ประวัติศาสตร์นับพันปี ฮ่องเต้ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ขั้วอำนาจเปลี่ยนผัน ธงใหญ่บนกำแพงเมืองเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดหย่อน แต่มีเพียงสำนักปราชญ์ไม่เคยล้มลง”“รากฐานของสำนักปราชญ์หยั่งลึกเกินกว่าที่ท่านคิดไว้มากนัก!”“ท่านฆ่าบัณฑิตทรงคุณวุฒินั้นง่าย ก็แค่หนึ่งชีวิตเท่านั้น ขอเพียงยอมรับเสียงก่นด่าก็พอ!”“แต่ หากท่านต้องการตัดรากถอนโคนสำนักปราชญ์ นั่นยากมากเหลือเกิน”สำนักโม่ถูกสำนักปราชญ์ทำลายกงซูหว่านเป็นคนรุ่นหลังของสำนักโม่ โกรธแค้นสำนักปราชญ์ลึกถึงกระดูก ใคร่ครวญอยู่ทุกขณะจิต จะใช้วิธีการใดทำลายสำนักปราชญ์สรุปคือไม่ได้อะไรสำนักปราชญ์แข็งแกร่งเกินไปต่อให้เป็นสำนักโม่ ก็มีโอกาสเพียงน้อยนิดต่อให้หลี่หลงหลินเป็นรัชทายาท ต้องการใช้กำลังเพียงคนเดียวล้มสำนักปราชญ์ ตัดรากถอนโคนให้สิ้นซากนี่จะเป็นไปได้จริงหรือ?หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ “พี่สะใภ้รอง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของคน ไม่ลองดู จะรู้ได้เยี่ยงไร? ยิ่งไปกว่านั้น หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยในมือข้ายั