? ? ?หลี่หลงหลินอึ้งงันอยู่กับที่แล้วนี่มันอะไรกันเล่า?ใครป่วย ก็ส่งไปขังในคุก?นี่คือหลักการอะไรกัน?ภายในคุกน้ำสกปรกโสโครก สภาพแวดล้อมไม่ถูกสุขอนามัยอย่างร้ายกาจคนป่วยถูกส่งเข้าไปขัง นั่นเท่ากับตัดสินโทษตาย!แต่ว่านี่ก็นับเป็นการกักกันอย่างหนึ่งบางทีวิธีรับมือโรคระบาดในยุคสมัยโบราณก็เรียบง่ายหยาบโลนเช่นนี้!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วอยู่นานกลับไม่คลายออก ถอนพระทัย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ถ่ายทอดพระราชโองการ!”ตู้เหวินยวนเห็นฮ่องเต้หวู่ยอมรับความเห็นของตนแล้ว ดีใจขึ้นมาในทันใด พูดต่อ “ไข้มาลาเรียเริ่มจากแดนเหนือ! กระหม่อมกำลังสงสัย ไข้มาลาเรียที่ถูกพบในเมืองหลวงนี้แพร่มาจากเหล่าผู้ลี้ภัย!”“กระหม่อมขอให้ฝ่าบาทถ่ายทอดพระราชโองการขับไล่ผู้ลี้ภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”หลี่หลงหลินงุนงงแล้วตู้เหวินยวนนี่มิใช่กำลังล้อเล่นกระมัง?ต่อให้ไข้มาลาเรียแพร่จากแดนเหนือต่อให้บนตัวของผู้ลี้ภัยเป็นพาหะนำโรคจริงเจ้าไม่เข้ากระบวนการกักกันควบคุม ตรงข้ามกันต้องการขับไล่ผู้ลี้ภัยนี่มิใช่กำลังทำให้ไข้มาลาเรียแพร่ระบาดหรือ?เมื่อนั้นไม่เพียงเมืองหลวง ทุกหนแห่งไปจนถึงทั่วทั้งแคว้นต้าเซี่ย ผู้
“เสด็จแม่...ประชวร?”ฮ่องเต้หวู่ได้ยิน สีพระพักตร์เปลี่ยนไปอย่างสุดระงับ ตรัสถาม “ช่วงเช้ายังดีๆ อยู่เลย! เหตุใดจู่ๆ ก็ทรงประชวรได้เล่า? หมอว่ากระไร?”ขันทีก้มหน้า “หมอบอกว่าคือ...ไข้มาลาเรียพ่ะย่ะค่ะ!”ไข้มาลาเรีย!ฮ่องเต้หวู่เพียงรู้สึกโลกหมุนติ้ว เบื้องหน้ามืดสนิทคิดไม่ถึงเลยจริงๆไข้มาลาเรียแพร่เข้าเมืองหลวงว่องไวเพียงนี้ แพร่เข้าวังหลวงแล้วคนแรกที่ติดเชื้อถึงขั้นเป็นไทเฮา!ไข้มาลาเรียโรคระบาดนี้ร้ายกาจมากนักต่อให้เป็นคนหนุ่มสาวร่างกายแข็งแรงก็ทนไม่ไหวนับประสาอะไรกับไทเฮาพระชนม์พรรษาเกินเจ็บสิบแล้วเล่า?ฝีเท้าฮ่องเต้หวู่โซเซ ขาสองข้างอ่อนลง ล้มหน้าคะมำลงไปโชคดีเว่ยซวินอยู่ด้านข้าง รีบประคองฮ่องเต้หวู่ไว้ ตะโกนเสียงดัง “รีบตามหมอหลวง! ฝ่าบาท...ฝ่าบาทหมดสติ...”หลี่หลงหลินสบถด่า “ว้าวุ่นอะไร! หมอเทวดาซุนอยู่ที่นี่ ตามหมอหลวงอะไรกัน!”ซุนชิงไต้ขยับขึ้นไปในทันใด จับพระวรกายของฮ่องเต้หวู่ไว้ “ฝ่าบาทเพียงร้อนพระทัยเกินไป หมดสติไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร!”ครู่ต่อมาฮ่องเต้หวู่ค่อยๆ ฟื้นขึ้น ประโยคแรกหลังลืมตาคือ “เร็ว! เราจะเข้าเฝ้าเสด็จแม่!”เดิมทีเว่ยซวินยังอยากใ
ซุนชิงไต้ไม่กล้าร่ำไร รีบมาหยุดข้างพระวรกายไทเฮา จับชีพจรนางเวลาผ่านไปสีหน้าซุนชิงไต้เกร็งเครียดมากยิ่งขึ้น ลงท้ายส่ายหน้า “ฝ่าบาท ไทเฮาเป็นไข้มาลาเรียจริงเพคะ! วิชาแพทย์ของหม่อมฉันตื้นเขิน ไร้ความสามารถอย่างแท้จริง...”พระเนตรฮ่องเต้หวู่แดงก่ำ ใกล้เสียสติเต็มที “หมอเทวดาซุน! เจ้าไม่มีหนทาง อาจารย์ของเจ้าเล่า? ในบรรดาหมอเทวดาที่เจ้ารู้จักจะต้องมีคนรู้วิธีเป็นแน่! บอกเรา เราจะรีบส่งคนไปตามหา!”ซุนชิงไต้เพียงส่ายหน้าถอนหายใจป่วยหนักต้องใช้ยาแรงหากไทเฮาอายุน้อยกว่านี้หลายสิบชันษา ซุนชิงไต้กลับรู้ตำรับยาหลายอย่าง สามารถใช้พิษล้างพิษ เดิมพันดูได้!ทว่าอายุของไทเฮามากเกินไปแล้ว!ยาแรงเหล่านี้ ซุนชิงไต้ไม่กล้าใช้หากเคราะห์ไม่ดี นี่ก็คือโทษหนักข้อหาปลงพระชนม์ไทเฮา!ซุนชิงไต้รับไม่ไหว!อาจมีเพียงเทพเซียน จึงจะสามารถรักษาไข้มาลาเรียของไทเฮาได้!“ฮือๆ...”ฮ่องเต้หวู่ปิดพระพักตร์ ทรงกรรแสงอย่างเจ็บปวดเขาเป็นฮ่องเต้ เดิมทีรักเกลียดไม่สมควรเปิดเผยออกมาทว่าเขาในฐานะลูกชาย ได้รู้ว่ามารดาล้มป่วย ไม่สามารถรักษาหายได้ ก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้อีก ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดตู้เ
เจ้าเป็นหมอเทวดา?ภายในตำหนักชิงหนิงเงียบกริบสายตาของทุกคนล้วนรวมอยู่บนตัวหลี่หลงหลิน หลี่หลงหลินยักไหล่ พูดยิ้มๆ “เดิมทีต้องการใช้ฐานะธรรมดาเข้าหาพวกเจ้า! แต่กลับแลกมากับความเข้าใจผิด! ไม่เสแสร้งแล้ว ข้าคือหมอเทวดา! ข้าแบไต๋แล้ว!”ซุนชิงไต้จับมือหลี่หลงหลินไว้ กระซิบเสียงค่อย “องค์ชายเก้า ท่านอย่าล้อเล่นเลย! ไข้มาลาเรียนี้ แม้แต่ข้าก็รับมือไม่ทัน! ท่านสามารถมีหนทางอะไรได้เล่า?”หลี่หลงหลินผินมองใบหน้าเล็กของซุนชิงไต้ “พี่สะใภ้สาม ข้ามิได้ล้อเล่น! ไข้มาลาเรียนี้ คนทั่วหล้ารักษาไม่ได้ ข้ากลับสามารถรักษาได้!”ฮ่องเต้หวู่กริ้วหนัก สบถว่า “เจ้าเก้า มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังเหลวไหลอีก?”หลี่หลงหลินเอ่ยปากว่า “เสด็จพ่อ ลูกมิได้เหลวไหลจริงๆ! ไข้มาลาเรียของเสด็จย่า ลูกมีความมั่นใจเจ็ดส่วน!”เจ็ดส่วนนี่นับว่าสูงมาก!อย่างไรเสียไทเฮาก็พระชันษาเกินเจ็ดสิบแล้ว อายุมากเกินไปแล้ว!ตู้เหวินยวนยิ้มเย็น “องค์ชายเก้า กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ! อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หากท่านกล้าพูดเหลวไหล นี่คือกำลังหมิ่นเบื้องสูง!”หลี่หลงหลินเลิกคิ้วขึ้น พูดอย่างมั่นใจ “อ้อ? ใต้เท้าตู้คิดว่าข้าพูดเหลวไห
ถ้าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นล่ะ?ยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่หลงหลินสร้างปาฏิหาริย์!สงครามที่เขาทิศประจิม เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้นใครจะคิดได้ว่าทหารม้าเหล็กซีเหลียง ซึ่งมีประสบการณ์การต่อสู้มาหลายร้อยครั้ง ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของกองทัพใหม่ตระกูลซูที่เพิ่งสร้างขึ้นมาได้ฮ่องเต้หวู่โบกมือแล้วพูดกับหลี่หลงหลิน “ไปเถอะ! หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”เมื่อพูดจบแล้วฮ่องเต้หวู่นั่งยองๆ ลงที่หน้าเตียง จับมือไทเฮาเอาไว้แน่น ไม่ได้พูดอะไรอีกหลี่หลงหลินจับมือเล็กๆ ของซุนชิงไต้ แล้วออกไปจากตำหนักชิงหนิง“ซวยแล้ว ซวยแล้ว”ใบหน้าของซุนชิงไต้ตื่นตระหนก ร้อนรนเหมือนกำลังจะร้องไห้ “องค์ชายเก้า ครั้งนี้เจ้ามั่นใจเกินไป! เจ้าคิดว่าข้าจะมีทางช่วยเหลือไทเฮาอย่างนั้นหรือ! ข้าพูดไปหลายครั้งแล้ว ข้าทำไม่ได้จริงๆ...”หลี่หลงหลินมีสีหน้านิ่งสงบ “พี่สะใภ้สาม ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าข้าเป็นหมอเทวดา สามารถรักษาโรคมาลาเรียได้! เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่เชื่อล่ะ?”น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาของซุนชิงไต้เป็นประกาย “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อ แต่เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรคมาลาเลียคืออะไร”หลี่หลงหลินหัวเราะออกมา “
ซุนชิงไต้หยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ออกมา จดบันทึกไปพร้อมกับวิ่ง นางดูจริงจังมากราวกับนักเรียน “โรคมาลาเรียสามารถติดต่อจากยุงได้ด้วยสินะ! แล้วสิ่งที่ก่อให้เกิดโรคด้วย เรียกว่าอะไรนะ ข้าจะจดเอาไว้”หลี่หลงหลินทวนซ้ำอีกครั้ง อย่างไม่รำคาญซุนชิงไต้ขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ตามที่เจ้าพูด ตราบใดที่ไล่ยุงออกไปได้ โรคมาลาเรียมันสามารถป้องกันได้! แต่ไทเฮาติดโรคไปแล้ว ดังนั้นควรทำอย่างไร...”หลี่หลงหลินพูดอย่างใจเย็น “มียาพิเศษในการรักษาโรคมาลาเรีย! เรียกว่ายาจินจีน่าซวงหรือเรียกอีกอย่างว่ายาควินิน!”ซุนชิงไต้เหมือนได้พบกับสมบัติล้ำค่า จึงรีบบันทึกมันไว้ “ยาควินิน ชื่อแปลก ใช่ยาจีนหรือไม่? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”หลี่หลงหลินอธิบายว่า “เจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ถูกแล้ว ยาควินินทำมาจากเปลือกของต้นจินจีน่า! ต้นไม้นี้เกิดในต่างแดน! ห่างจากต้าเซี่ยหลายพันลี้...”เมื่อซุนชิงไต้ได้ยินดังนั้น นางก็ห่อเหี่ยวขึ้นมาทันทีหลี่หลงหลินพูดสรุปสั้นๆ ทั้งยาควินิน ทั้งต้นจินจีน่าที่แท้ก็เป็นของจากต่างแดนดินแดนเหล่านั้นต่างจากเกาะสวรรค์ต่างแดนที่เหล่าผู้แสวงหาเซียนและยาอายุวัฒนะเหล่านั้นสร้างขึ้นมาเพ
หลี่หลงหลินรีบดึงซุนชิงไต้เข้ามาตรงหน้า แล้วกล่าวว่า “นางคือสะใภ้สามของข้า หมอเทวดาซุนชิงไต้! นางรักษาอาการเบื่ออาหารของเสด็จพ่อได้! ท่านไม่ต้องห่วง นางมีวิธีรักษาอาการป่วยของท่านอย่างแน่นอน”ซุนชิงไต้เข้าใจว่าหลี่หลงหลินตั้งใจกล่าวเช่นนี้เพื่อปลอบใจหลินกุ้ยเฟยดังนั้นนางจึงแสดงคล้อยตามไปด้วย “ใช่แล้ว กุ้ยเฟย อาการป่วยของท่านรักษาได้ง่ายมาก”หลินกุ้ยเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดว่า “ในเมื่อ พูดเช่นนั้น ข้าก็ไม่กังวลแล้ว!”หลี่หลงหลินเอ่ยปลอบใจ “เสด็จแม่ ท่านพักผ่อนเยอะๆ เถอะ! เดี๋ยวพอข้าต้มยาเสร็จแล้ว ข้าจะส่งให้!”หลินกุ้ยเฟยทนไม่ไหวแล้วจริงๆ นางจึงหลับตาลง ไม่นานก็หลับไปหลี่หลงหลินไปหาขวานมาหนึ่งด้าม และพาซุนชิงไต้ไปที่สวน เขารีบหาต้นจินจีน่าแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ นี่คือต้นจินจีน่าที่สามารถรักษาโรคมาลาเรียได้!”“เจ้าเคยเห็นที่อื่นบ้างหรือไม่?”ซุนชิงไต้นึกตั้งนาน ก่อนจะส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน! ดูเหมือนว่าต้นไม้ต้นนี้จะมาจากต่างแดนจริงๆ! แต่ต้นไม้ต้นนี้สามารถรักษาโรคมาลาเรียได้จริงหรือ? เจ้าไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน?”หลี่หลงหลินยิ้มเจื่อน “ข้าอ่านมาจากหนังสือ
ข่าวว่าไทเฮาทรงประชวรหนักก็ได้แพร่สะพัดไปอย่างเลี่ยงไม่ได้หลังจากเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ทราบเรื่อง ก็พากันเข้าวังโดยเฉพาะองค์ชายเหล่านั้น ต้องวิ่งมาเร็วกว่าใคร!เหล่าสนมทั้งหลายที่มาความกตัญญูต่อหน้าฮ่องเต้ ก็มารวมตัวกันในตำหนักชิงหนิงและร้องไห้เสียงดังระงมแม้แต่ฮองเฮาหลู่และฉินกุ้ยเฟยก็มาด้วยตั้งแต่ฉินกุ้ยเฟยดื่มน้ำอุจจาระ มันก็ทำให้ความอยากอาหารของนางลดลงอย่างมาก นางผอมจนเสียรูปลักษณ์ และยิ่งทำให้นางดูน่ากลัวมากขึ้น!นางมองไปรอบๆ ไม่พบเงาของหลี่หลงหลินหรือหลินกุ้ยเฟย ก็กล่าวด้วยความโกรธ “ฮองเฮา องค์ชายเก้าคอยพร่ำบ่นว่าตนเองกตัญญูนักหนาทุกวันไม่ใช่หรือ?”“เหตุใดเขากับหลินกุ้ยเฟยถึงได้มาช้าล่ะ?”“ความกตัญญูของเขาคงไม่ได้แกล้งทำออกมากระมัง?”ฮองเฮาหลู่ขมวดคิ้ว แล้วพูดกับฮ่องเต้หวู่ “เจ้าเก้ากับหลินกุ้ยเฟย ทำเกินไปแล้วจริงๆ!”ฮ่องเต้หวู่อธิบายว่า “เจ้าเก้ามาที่นี่แต่แรกแล้ว! เขาบอกว่าเขามีวิธีอาการประชวรของเสด็จแม่ เขากำลังไปหายา! ส่วนหลินกุ้ยเฟย ข้าเองก็ไม่แน่ใจ...”เหล่าราชวงศ์คนอื่นๆ ได้ยินว่าองค์ชายเก้าอาสารักษาไข้มาลาเรีย จึงเริ่มพูดถึงเรื่องนี้ทันที“เจ้าเก้า ชอบคุยโวจ
เขาประจิมจดหมายนิรนามหลั่งไหลเข้ามาดั่งหิมะหนิงชิงโหวและเหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสกำลังจัดการกับจดหมายเหล่านี้ จนแทบไม่มีเวลาพักแต่จดหมายมีมากเกินไปจริงๆถึงจะพยายามแล้ว พวกเขาก็ยังจัดการไม่ทันจนสุดท้าย หนิงชิงโหวต้องขอความช่วยเหลือจากหลี่หลงหลินแต่หลี่หลงหลินไม่ได้มา มีแต่ซูเฟิ่งหลิง ลั่วอวี้จู๋ และหลิ่วหรูเยียนที่เดินทางมายังเขาประจิม“รัชทายาทล่ะขอรับ?”หนิงชิงโหวไม่เห็นหลี่หลงหลิน ก็รู้สึกแปลกใจซูเฟิ่งหลิงมุ้ยปาก “เจ้าสุนัขนั่น โรคขี้เกียจกำเริบอีกแล้ว! ซ่อนตัวอยู่ในห้องของ ไม่ยอมออกมา ให้พวกเรามาช่วยแทน!”ตอนนี้ภาพลักษณ์ของหลี่หลงหลินในสายตาชาวบ้านสูงส่งราวกับเทพเจ้าอาจจะมีแค่ซูเฟิ่งหลิงที่กล้าเรียกเขาแบบนั้นนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของสามีภรรยา คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งแต่หลิ่วหรูเยียนรู้สึกไม่สบายใจ จึงแย้งว่า “น้องหญิง เจ้าเข้าใจองค์รัชทายาทผิดแล้ว! เขาไม่ได้ขี้เกียจ แต่กำลังทำสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งอยู่ต่างหาก”ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกหึงหวง “เรื่องสำคัญ? ข้าไม่เห็นรู้เลย? แล้วพี่สะใภ้สี่รู้ได้อย่างไร?”ใบหน้าสวยของหลิ่วหรูเยียนแดงก่ำ รีบแก้ตัว “องค์รัชทายาทขังตัวเองอยู่ในห้อง
เขาตกใจสะดุ้งโหยง รีบคว้ากระดานประตูขึ้นมาปิดร้านอย่างรวดเร็ว“ท่านแม่!”“ท่านพ่อหนีออกจากคุกมาแล้ว!”“พวกเราเก็บข้าวของ เงินทองของมีค่า แล้วหนีไปเถิด...”เจิ้งเทียนฉินยังเยาว์วัย ไม่เคยประสบเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษในชั่วพริบตามารดาของเขาก็ปาดน้ำตาไปพลางบ่นไปพลาง “ดูสิ! เรื่องวุ่นวายอะไรเช่นนี้? แต่เดิมพวกเราก็อยู่กันดีๆ เหตุใดจู่ๆ กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”เจิ้งถูฮู่เกาศีรษะพลางเอ่ย “เจ้าลูกชาย เมียข้า เจ้าสองคนพูดอะไรกัน? ใครบอกว่าข้าหนีออกจากคุกมา? ข้าน่ะเดินออกจากคุกใหญ่กรมอาญาทางประตูใหญ่เชียวนะ!”เมื่อได้ยินดังนั้น สองแม่ลูกกลับยิ่งแตกตื่นมากกว่าเดิมเดินออกมาทางประตูใหญ่หรือ!?หรือว่าภายในคุกเกิดการจลาจล? เหล่านักโทษลุกฮือขึ้นสังหารผู้คุม ก่อนจะแหกคุกออกมากันหมด!?คุกใหญ่กรมอาญานั้นเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่เพียงมีกองทหารคอยดูแล ยังมีองครักษ์เสื้อแพรประจำการอีกด้วย กล่าวได้ว่าปลอดภัยราวกำแพงเหล็ก!ทว่าได้ยินมาว่าครานี้ในคุกมีนักโทษอยู่แน่นขนัด ถูกกักขังไว้นับหมื่นคน เกินขีดจำกัดที่คุกสามารถรองรับได้ไปมากโข!เมื่อคนมากเกินควบคุม ข้อผิดพลาดก็ย่อมเก
เจิ้งถูฮู่เพิ่งหลุดพ้นจากคุกของกรมอาญาได้ ก็รีบเร่งกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นลูกชายของเขา เจิ้งเทียนฉิน กำลังปรึกษากับมารดาอยู่ “ท่านแม่ ต่อให้เราต้องขายหม้อขายกระทะก็ต้องช่วยท่านพ่อออกมาจากคุกให้ได้! ที่นั่นข้าเคยไปมาแล้ว มันไม่ใช่ที่ที่คนจะอยู่ได้เลย!”เจิ้งเทียนฉินมีท่าทางสุภาพเรียบร้อย ดูไม่เหมือนลูกชายของคนขายเนื้อ แต่กลับดูเหมือนบัณฑิตเสียมากกว่าความจริงแล้วเจิ้งเทียนฉินเคยเข้าศึกษาเล่าเรียน และมีพรสวรรค์ไม่เลว เขาขยันเรียนมาก จนสามารถสอบผ่านเป็นทงเซิงได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเจิ้งถูฮู่ดีใจมาก จัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเพื่อนบ้านมาร่วมฉลองกินเลี้ยงหมูย่างติดต่อกันถึงสามวันความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่เขาคิดว่าในที่สุดตระกูลเจิ้งของตนก็จะได้บัณฑิตสืบสกุล นำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลเสียทีแต่ใครจะคาดคิดว่านั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายเจิ้งเทียนฉินเรียนหนังสือเก่ง ไม่เพียงแต่เจิ้งถูฮู่เท่านั้น แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ฝากความหวังไว้กับเขาอย่างมากทว่า...ครั้งแรกที่เขาเข้าสอบมณฑล ไม่เพียงแต่สอบตกหมดสภาพอย่างสิ้นเชิง แต่ยังถูกจับขังคุกอีกด้วยข้อหาคือทุจริตในการสอบ!เจิ้งถูฮู่
หลี่หลงหลินมองใบหน้างดงามของซูเฟิ่งหลิงก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “วีรบุรุษยิ่งใหญ่ ข้าเป็นไม่ได้หรอก งั้นเป็นพ่อของวีรบุรุษยิ่งใหญ่แทนดีไหม เจ้าคิดว่าอย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”หลี่หลงหลินถอนหายใจ “เสด็จพ่ออยากให้ข้าเป็นรัชทายาทสำเร็จราชการแทน ก็ชัดเจนว่าอยากพึ่งลูกกิน! แต่สิ่งที่เขาทำนี้ กลับทำให้ข้านึกอะไรบางอย่างออก!”“เสด็จพ่อพึ่งพาไม่ได้ พวกเราต้องรีบมีลูกให้เร็วที่สุด แล้วทุ่มเททุกอย่างเพื่อฝึกเขาให้เก่งกาจ จากนั้นส่งต่อบัลลังก์ให้เขา ให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาติบ้านเมือง!”“ข้าจะได้เป็นพ่อของวีรบุรุษ!”“ฮ่าๆ บนพึ่งพาพ่อ ล่างพึ่งพาลูก ข้านี่มันอัจฉริยะจริง ๆ!”ซูเฟิ่งหลิงเบิกตากว้าง จ้องเขาด้วยความตกตะลึงถึงขีดสุดพึ่งพาพ่อก็ว่าน่าละอายแล้ว!หลี่หลงหลิน ไอ้เจ้าหมานี่ คิดจะพึ่งพาลูกตัวเองด้วยงั้นหรือ?ซูเฟิ่งหลิงก้มมองหน้าท้องแบนราบของตนเอง พลันรู้สึกเศร้าใจ “ลูกน้อยของแม่ เจ้าช่างโชคร้ายเสียจริง ยังไม่ทันได้เกิด ก็ต้องเจอพ่อแบบนี้เข้าเสียแล้ว...”เดี๋ยวก่อน!ซูเฟิ่งหลิงฉุกคิดขึ้นมาได้ทันที ใบหน้างามแดงระเรื่อ น
ในที่สุดจางอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดหลี่หลงหลินจึงจับผิดสำนักปราชญ์ไม่ปล่อย จับบัณฑิตขังคุกทีละคนสำนักปราชญ์อาจมีอำนาจทางวาจา แต่กลับไร้ซึ่งกำลังทหารคนธรรมดาไร้ความผิด แต่หากมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าติดตัว ก็อาจนำภัยมาสู่ตนนี่ไม่ใช่เนื้อชิ้นโตแล้วจะเป็นอะไร?หลี่หลงหลินยิ้ม “เงินแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ไป! ตามข้าไปพบฉินฮั่นหยางกันอีกครั้ง!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินจึงพาซูเฟิ่งหลิงและจางอี้ไปยังห้องขังของฉินฮั่นหยางอีกครั้ง“รัชทายาท!”“ท่านช่างใจร้ายนัก!”ฉินฮั่นหยางจ้องหลี่หลงหลินเขม็ง ดวงตาลุกโชนราวกับเปลวไฟความเจ้าเล่ห์ขององค์รัชทายาทผู้นี้ ช่างน่ากลัวจนทำให้ผู้คนโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดหลี่หลงหลินโบกมือ “ข้าขี้เกียจพูดมาก! ราคาเดียว หนึ่งล้านตำลึง ขาดแม้แต่ตำลึงเดียวก็ไม่ได้!”ฉินฮั่นหยางส่ายหน้า “ไม่มีทาง!”หลี่หลงหลินแสยะยิ้ม “ดี! ข้าชี้ทางสว่างให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมเดิน เลือกที่จะเดินบนสะพานไม้ซุง! อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน! ไป!”เมื่อสิ้นเสียงหลี่หลงหลินไม่รอให้ฉินฮั่นหยางได้ตอบโต้ใดๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป“???”ฉินฮั่นหยางมองตามหลังหลี่หลงหลินด้วย
“ขออภัยด้วย!”“ศิษย์ขอไปก่อน หากออกไปได้ ข้าจะหาทางช่วยอาจารย์ออกมาให้ได้ขอรับ!”เหล่าบัณฑิตรีบเขียนจดหมายให้คนทางบ้านส่งเงินมาให้ เมื่อจะจากไปยังไม่ลืมคำนับคารวะต่อหน้าบัณฑิตเช่นฉินฮั่นหยางฉินฮั่นหยางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธพวกเจ้าช่างทรยศนัก!ทิ้งข้าไว้เช่นนี้หรือ?พวกเจ้ารู้จักคำว่าเคารพครูบาอาจารย์หรือไม่? จิตใจของพวกเจ้าเหี่ยวเฉาเสียจนสิ้นดีแล้วหรือ?ตำราที่พวกเจ้าอ่านมา หรือว่าลงกระเพาะสุนัขไปแล้วงั้นรึ?สิ่งที่ฉินฮั่นหยางไม่อาจรับได้ยิ่งกว่าคือแม้แต่อาจารย์วัยชราหลายคนก็ทนไม่ไหว ต่างหยิบเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาแล้วออกจากคุกไป“ช่าง...”“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”“สำนักปราชญ์เลี้ยงคนเหล่านี้ไว้เสียข้าวสุกจริงๆ!”“ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมต้านทานไม่ได้!”เหล่าบัณฑิตโดยมีฉินฮั่นหยางเป็นผู้นำ มองไปยังบัณฑิตและอาจารย์ที่จากไปด้วยความอิจฉาความจริงแล้ว พวกเขาก็อยากจากไปเช่นกันคุกเป็นสถานที่เช่นไร ใครที่เคยอยู่ย่อมรู้ซึ้งมันไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้อีกอย่าง ฉินฮั่นหยางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมานาน ย่อมไม่อาจทนทุกข์เช่นนี้ได้ปัญหาคือเงินหนึ่งล้านตำลึงมันมากมายเกินไป
จางอี้มีสีหน้างุนงงเงินไถ่ชีวิตราษฎรเพียงหนึ่งอีแปะบัณฑิตต่ำที่สุดหนึ่งร้อยตำลึงสูงที่สุดหนึ่งล้านตำลึงความแตกต่างนี้ช่างราวกับฟ้าและเหวโดยแท้นี่เห็นได้ชัดว่าหลี่หลงหลินต้องการลงมือกับสำนักปราชญ์!ฉินฮั่นหยางโมโหตัวสั่น จับจ้องหลี่หลงหลิน “ผู้สูงศักดิ์ราคาแพง? คนจนราคาถูก? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”หลี่หลงหลินยิ้มเย็น พูดเย้ยหยัน “เรายังอยากถามเจ้า เกิดและเติบโตโดยพ่อแม่เฉกเดียวกัน ถือสิทธิ์อะไรพวกเจ้าบัณฑิตสูงส่งกว่าหนึ่งขั้น? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”ฉินฮั่นหยางชะงักไป ไม่พูดอีกหลี่หลงหลินคร้านจะพูดไร้สาระ หันหน้าหาจางอี้ ออกคำสั่ง “ทำตามที่เราบอก!”จางอี้พยักหน้า มาที่ด้านหน้าคุก ถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ของหลี่หลงหลินหนึ่งรอบเหล่าราษฎรฮือฮา ดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าเปี่ยมความรู้สึกเหลือจะเชื่อหนึ่งอีแปะ ก็สามารถแลกกับอิสระได้แล้วหรือ?จริงหรือนี่?ทว่า เหล่าราษฎรกลับกังวลประการแรกคือตนเองออกมารับชมความครึกครื้น บนตัวไม่มีเงินแม้อีแปะเดียวประการที่สองคือรัชทายาทมิได้หลอกคนเพียงครั้งเดียวหากเขาหลอกตนจะทำเช่นไร?เจิ้งถูฮู่กลับดีใจมาก ยื่นเงินหนึ่งก้อนออกไป “นี่คือเงินหนึ่งตำลึง
จางอี้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทางหนึ่งสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ ใช้ปลอกดาบเคาะตีที่กรงเหล็ก ตะคอกนักโทษภายในคุก ทางหนึ่งคุ้มกันหลี่หลงหลิน ก้าวเท้าฉับไวเข้าไปยังส่วนลึกที่สุด ชี้ประตูห้องขังแห่งหนึ่ง “องค์ชาย ฉินฮั่นหยางอยู่ข้างในนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินฮั่นหยางอยู่ห้องขังเดี่ยวไม่ใช่เพราะเขาเป็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิ มีสิทธิพิเศษอะไรแต่เพราะมีตัวอย่างของซ่งชิงหลวน หากฉินฮั่นหยางอยู่ที่คุกด้านนอก ตายไปอย่างคลุมเครือ จางอี้ก็ยากจะหาข้อแก้ตัว รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรนี้เขาก็ไม่ต้องทำแล้วเพราะเหตุนี้ฉินฮั่นหยางไม่เพียงขังอยู่ในห้องขังเดี่ยว ประตูยังมีองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าอีกสองคน รับรองไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหลี่หลงหลินผลักเปิดประตูเข้าห้องขัง ได้เห็นฉินฮั่นหยางกำลังนั่งขัดสมาธิ“ฮึๆ รัชทายาท เจ้ามาหาข้าว่องไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”“อะไรกัน?”“เจ้ามาเชิญข้าออกไปหรือ?”“บอกเจ้า ข้าอยู่ที่นี่สบายมากนัก! เว้นเสียแต่เจ้าคุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะสามครั้ง ขอร้องให้ข้าออกไป! หาไม่แล้ว ชาตินี้ข้าก็จะอยู่ที่นี่!”เสียงฉินฮั่นหยางแหบพร่า ใบหน้าประดับยิ้มเย็นหลายวันมานี้ เขาด่าอย่างหยาบคาย เสียงแห
หลี่หลงหลินลูบจมูก สบมองหนิงชิงโหวอย่างพูดไม่ออก “สหายร่วมสำนักศึกษาของเจ้านี้คิดมากเกินไปแล้ว ข้ามิใช่เทพเซียนเสียหน่อย เพียงแค่ตัวอักษรของจดหมายนิรนามก็สามารถหาตัวเขาได้แล้วกระนั้น?”หนิงชิงโหวยิ้มแห้ง “องค์ชาย ท่านยังไม่รู้ คนบนโลกล้วนพูดว่าท่านฉลาดปราดเปรื่องเหนือกว่ามนุษย์ เป็นปีศาจ...”หลี่หลงหลินยิ้มขมปร่าตนเองให้เสด็จพ่อยกเว้นเก็บภาษีราษฎรสามปี พวกเขายังพูดว่าตนเป็นปีศาจอีกนะคนดี เป็นได้ยากยิ่ง!“ในเมื่อเป็นเช่นนี้...”หลี่หลงหลินใคร่ครวญ พูดกับหนิงชิงโหว “เจ้าไปบอกให้ซูเฟิ่งหลิงเตรียมรถม้า ไปที่คุกใหญ่กับข้า”หนิงชิงโหวค้อมตัว “น้อมรับคำสั่ง”ครู่ต่อมารถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากภูเขาทิศประจิม มุ่งหน้าไปสู่คุกใหญ่กรมอาญาบัดนี้คุกใหญ่กรมอาญามีคนเนืองแน่น ภายในถูกยัดไว้แน่นเอียด เสียงโอดครวญดังระงมผู้คุมเรือนจำต้องควบคุมนักโทษมากถึงเพียงนี้ ยุ่งแทบตายตั้งแต่เช้าจรดเย็น เหนื่อยเสียจนพูดไม่ออกหากไม่ใช่เพราะจางอี้พาองครักษ์เสื้อแพรมาคุมเชิง พวกเขากล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอันใด ป่านนี้คงหนีหายไม่ทำแล้วเห็นหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงลงจากรถม้า จางอี้รีบเข้าไปต้อนรับ โค้งคำนั