“ตาเฒ่า?”ฉินฮั่นหยางได้ยินคำเรียกขานนี้ มุมปากกระตุกริกอย่างสุดระงับคนของสำนักปราชญ์ให้ความสำคัญต่อหน้าตาอย่างที่สุดแม้ว่าฉินฮั่นหยางไม่ใช่ขุนนาง แต่เขามีความรู้เข้าขั้นสูง ศิษย์กระจายอยู่ทั่วหล้า คล้ายไม่ด้อยไปกว่าเสิ่นชิงโจวและซ่งชิงหลวนทั้งสองคนภายในราชสำนักมีศิษย์ของเขาไม่น้อยยามอยู่ต่อหน้าฉินฮั่นหยาง พวกเขาล้วนต้องเรียกตนอย่างเคารพนบนอบหนึ่งประโยคว่าท่านอาจารย์สำหรับราษฎรธรรมดา กลับเรียบขานเขาว่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิตาเฒ่า?คำเรียกขานขาดความเคารพนี้ ฉินฮั่นหยางไม่ได้ยินมานานหลายปีแล้วจากนั้น แม้ว่าฉินฮั่นหยางโมโห แต่กลับจนใจใครให้ตนเองเรียกหลี่หลงหลินว่าองค์ชายเก้า มิใช่รัชทายาทกันเล่าอีกฝ่ายก็ตอบโต้ด้วยวิธีการของเขากลับมาก็เท่านั้น!หากตนเองติดอยู่กับเรื่องเล็กน้อยนี้ ก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบฉินฮั่นหยางจนใจ ได้แต่บีบจมูกยอมรับเขายิ้มเย็น พูดข้ออ้างที่เตรียมไว้อย่างดีแล้วออกมา “องค์ชาย เจ้าพูดว่าบัณฑิตซ่งมีความผิดสมควรได้รับโทษ ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด? จะต้องให้ความเคารพต่อผู้วายชนม์ด้วย! บัณฑิตซ่งตายไปแล้ว เจ้ายังคิดจะปรักปรำต่ออีก!”“มโนสำนึกของเจ้าอยู่ที
แต่เป็นเรื่องจริงที่ตีพิมพ์จดหมายลับต้นฉบับของซ่งชิงหลวนและตู้เหวินยวน!ครั้งที่แล้ว หลี่หลงหลินใช้วิธีนี้โค่นล้มขุนนางผู้ตรวจการราชสำนักครั้งนี้เขากลับใช้กลยุทธ์เดิมอีกครั้งเพื่อจัดการกับซ่งชิงหลวน!“ของปลอม!”“ทั้งหมดเป็นของปลอม!”ฉินฮั่นหยางเดือดดาลอย่างหนัก ฉีกหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยในมือขว้างขึ้นไปบนอากาศ เหมือนหิมะที่โปรยปรายลงมาชายชราคนนั้นงงงวยไปหมด ดวงตาแดงก่ำ “หนังสือพิมพ์...หนังสือพิมพ์ของข้า...”น่าเสียดายที่หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยถูกฉีกขาดชายชรานั่งยองๆ มองเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ ร่างกายของเขาโค้งงอ ดูน่าสงสารมากเขาไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษใดๆ กับหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยแต่เพียงเพราะเขาเคยชินกับชีวิตที่ยากจนและเคยชินกับการประหยัดหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยนี้ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นของที่ใช้ประโยชน์ได้แต่ถูกฉินฮั่นหยางฉีกขาด เสียของเปล่าๆ ชายชรารู้สึกเสียดายฉินฮั่นหยางไม่รู้สึกเห็นใจแม้แต่น้อย ชี้ไปที่ชายชราและด่าว่า “ทุกคนดูสิ! อะไรที่เรียกว่าคนโง่ นี่ไงล่ะคนโง่! คนอื่นพูดอะไรเขาก็เชื่อไปหมด ตัวเขาเองไม่มีความสามารถในการแยกแยะเลยแม้แต่น้อย!”“ข่าวล
ไส้ศึกของรัชทายาท?สมองของชายชราว่างเปล่าเขาทำกรรมอะไรไว้?แค่ดูเหตุการณ์วุ่นวาย แล้วเข้าไปใกล้เกินไปหน่อยเท่านั้นเองหรือ?ทำไมแค่บัณฑิตฉินขยับปากพูด เขาก็กลายเป็นไส้ศึกไปได้?นี่ไม่ใช่คำพูดที่ดีเลยชายชรารีบโต้แย้ง “ท่านบัณฑิตฉิน ข้าน้อยไม่ใช่ ข้าน้อยไม่ใช่จริงๆ! ข้าน้อยกับรัชทายาทไม่รู้จักกันจริงๆ! และข้าน้อยก็ไม่รู้จักท่านบัณฑิตซ่ง ไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง ไม่เคยมีความแค้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำร้ายเขา...”“เหอะๆ”บนใบหน้าของฉินฮั่นหยางปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ย “ในเมื่อไม่รู้จัก แล้วเจ้าจะคุกเข่าทำไม! ถ้านี่ไม่ใช่การสำนึกผิดแล้วจะเรียกว่าอะไรเล่า?”เสียงของเหล่าบัณฑิตดังขึ้น “เจ้าสำนึกผิดชัดๆ!”“เจ้าเป็นสุนัขรับใช้ของรัชทายาท!”“สุนัขรับใช้! ไส้ศึก!”ชายชราเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้เรียนหนังสือ พูดไม่เก่งเขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาคุกเข่าต่อหน้าฉินฮั่นหยาง น้ำมูกน้ำตาไหลอาบ “ท่านบัณฑิตฉิน ข้า...ข้าน้อยผิดไปแล้ว! ได้โปรด ท่านเป็นผู้ใหญ่ ใจกว้าง อย่าถือสาข้าน้อยเลย ปล่อยข้าน้อยไปเถอะ!”ฉินฮั่นหยางยิ้มเล็กน้อย ปลาติดเบ็ดแล้วรัชทายาทจัดการยากแต
ชายชราอายุมากแล้ว กระดูกเปราะบาง ทนการทรมานแบบนี้ไม่ไหว ร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด และยังคงร้องขอความเมตตาไม่หยุดภาพนี้ ชาวบ้านที่มามุงดูก็ทนไม่ได้พวกบัณฑิตเหล่านี้ ช่างกดขี่ข่มเหงเกินไปแล้ว!ไม่มีเหตุผลสักนิด!!ตำราของนักปราชญ์ พวกเขาร่ำเรียนเข้าไปในท้องหมากันหมดหรือยังไง?แม้จะไม่พอใจก็เถอะแต่สำนักปราชญ์มีอำนาจมาก ชาวบ้านโกรธแต่ไม่กล้าพูด สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้ายืนหยัดออกมาพูดแทนชายชรา บนหอสักการะฟ้า ซูเฟิ่งหลิงอยู่ข้างหลี่หลงหลิน เหมือนมดบนกระทะร้อน จิตใจร้อนรนทนไม่ไหวนานแล้วนางฝึกฝนวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก มีจิตใจชอบช่วยเหลือผู้คน ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการถือกระบี่ท่องยุทธภพ เห็นความอยุติธรรมก็ชักกระบี่ช่วยเหลือในตอนนี้ซูเฟิ่งหลิงมองดูชายชราอายุเกินห้าสิบปี ถูกฉินฮั่นหยางรังแกจิตใจที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นของนาง ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!เพียงแต่...ฮ่องเต้ก็อยู่ ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ก็อยู่ยังมีองครักษ์เสื้อแพร กองกำลังใหม่ของตระกูลซู...ในสถานการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ จะมีที่ไหนให้นางที่เป็นถึงพระชายารัชทายาทได้แสดงอำนาจ?ซูเฟิ่งหลิงได้แต่กัดฟัน อดทนแล้วอดทนอีก!
ชายชรารีบคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะ น้ำตาคลอเบ้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่เป็นไร ขอบพระทัยพระชายา! ท่านช่วยชีวิตข้าน้อยไว้! ท่านช่างเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ! ใครกล้าพูดว่าท่านเป็นแม่เสือโคร่ง หรือเป็นราชสีห์เหอตง ข้าน้อยจะสู้กับเขาสุดชีวิต!”เขารู้สึกตื้นตันใจอย่างมากพระชายารัชทายาท!บุคคลที่สูงส่งเช่นนี้ กลับลงมือช่วยเหลือเขาด้วยตัวเองชายชราซาบซึ้งใจมากแปะ แปะ แปะ...ชาวบ้านที่มามุงดูเห็นฉากนี้ ต่างก็ปรบมือ“พระชายา สตรีผู้ไม่แพ้บุรุษ!”“ช่างเป็นวีรสตรีจริงๆ!”“พวกเราขอคารวะ!”ซูเฟิ่งหลิงหน้าแดงด้วยความเขินอายพูดตามตรงเมื่อครู่นางเพียงแค่ทำไปด้วยความหุนหันพลันแล่น โดยไม่ได้คิดอะไรมากเลยนี่คือความรู้สึกของการช่วยเหลือผู้คน เป็นที่เคารพของชาวบ้านหรือ? ช่างรู้สึกดีจริงๆ!ซูเฟิ่งหลิงยืดอก สองมือไขว้หลัง พยายามทำท่าทางที่เท่ที่สุด รับการคารวะจากผู้คน!ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด หรือรูปปั้น ก็ให้ทำตามลักษณะนี้ได้เลย!เมื่อฉินฮั่นหยางเห็นดังนั้น จมูกแทบเบี้ยว! เดิมทีแผนการของเขากำลังจะสำเร็จใครจะไปรู้ จู่ๆ ซูเฟิ่งหลิงก็โผล่มา แย่งแสงไปหมด!“พระชายา!”สีหน้าของฉินฮั่นหยางมืดครึ้ม
แม้แต่ตัวข้าเองยังไม่รู้เลย!ฉินฮั่นหยางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆ เจ้ารับแล้ว! เช่นนั้นก็ดี ดีมาก...”หลี่หลงหลินยังมีสีหน้าเรียบเฉย กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าเป็นรัชทายาทแห่งต้าเซี่ย ไม่ช้าก็เร็วจะขึ้นครองราชย์ เป็นจักรพรรดิปกครองแผ่นดิน! เขาเป็นราษฎรของต้าเซี่ย แน่นอนว่าเป็นคนของข้า! ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ข้ายังจะถือว่าประชาชนทั่วหล้าเป็นเหมือนลูกของข้าด้วย!”“รวมถึงเจ้าด้วย!”“แต่ว่า คนอย่างเจ้าไม่กตัญญู เป็นลูกทรพี!”???ฉินฮั่นหยางราวกับถูกสาปเป็นหิน อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่า หลี่หลงหลินจะพูดแบบนี้คำกล่าวที่ว่า จักรพรรดิเปรียบเสมือนพ่อ เป็นสิ่งที่สำนักปราชญ์ส่งเสริมมาตลอดแม้ว่าหลี่หลงหลินจะยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ แต่การที่เขาถือว่าประชาชนทั่วหล้าเป็นเหมือนลูกของตัวเอง ก็เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยกย่องและชื่นชมแต่เมื่อฉินฮั่นหยางได้ยินกลับรู้สึกขัดใจไม่น้อยข้าอายุมากขนาดนี้แล้ว ยังถูกเด็กน้อยอย่างเจ้าเรียกว่าลูก แถมยังเป็นลูกทรพีอีก! มันช่างน่าอึดอัดเสียจริง!แต่ฉินฮั่นหยางก็ไม่สามารถโต้แย้งได้ เพราะคำกล่าวที่ว่า จักรพรรดิเปร
วิเคราะห์ตามเหตุผลทั่วไป?ฉินฮั่นหยางเผยสีหน้าดูแคลนในสายตาของเขา มีเพียงสำบัณฑิตเท่านั้นที่เป็นตัวแทนแห่งสัจธรรมสูงสุดของฟ้าดินส่วนเหตุผลอื่นๆล้วนเป็นความคิดนอกรีต ไร้ค่า!อย่างไรก็ตามชาวบ้านที่อยู่ในที่นั้นต่างเห็นพ้องต้องกัน พยักหน้ารัวๆสำบัณฑิต ช่างไร้เหตุผลเสียจริง ในทางกลับกัน องค์รัชทายาททุกคำพูด ทุกการกระทำ ล้วนสมเหตุสมผลอีกทั้งยังสามารถยกหลักฐานที่ชัดเจนมาแสดงได้ไม่เหมือนสำบัณฑิต ที่เอาแต่ใช้ปากพล่ามไปเรื่อย ไม่มีหลักฐานสักชิ้นเมื่อฉินฮั่นหยางเห็นปฏิกิริยาของชาวบ้าน ก็ขมวดคิ้วแน่น ช่างเป็นพวกโง่เขลา!ถูกหลี่หลงหลินเล่นงานจนตกอยู่ในกำมือ!เดิมที เขายังหวังที่จะยุยงชาวบ้านให้ต่อต้านหลี่หลงหลิน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแผนนี้จะล่มไม่เป็นท่าแน่นอน ฉินฮั่นหยางไม่สนใจในสายตาของเขา ชาวบ้านก็ไม่ต่างจากฝูงสุกร อยากหลอกก็หลอก อยากลวงก็ลวงพวกมวลชนไร้ระเบียบเช่นนี้ ไม่มีผู้นำ ก็ไม่มีทางก่อให้เกิดพายุใหญ่ได้สิ่งสำคัญอยู่ที่ฮ่องเต้ต่างหาก!ฉินฮั่นหยางไม่เคยคิดฝันมาก่อนเมื่อคืนในงานเลี้ยงชมดอกไม้ร้อยบุปผา ฮ่องเต้ได้มีพระราชโองการให้สอบสวนคดีทุจริตในการสอบคัด
วันหน้า พวกเขายังจะกุเรื่อง บิดเบือนความจริง และกล่าวร้ายเจ้า!จะส่งกองทัพเข้าปราบปรามหรือ?อย่าแม้แต่จะคิดแค่สวมหมวกทรราชให้เจ้า แม้แต่ฮ่องเต้หวู่ก็ยังต้องถอยไปสามก้าวเป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า เมื่อคนไร้ยางอายถึงที่สุด ก็ไร้เทียมทาน!หลี่หลงหลินถึงกับพูดไม่ออกทำไมสำนักปราชญ์ในโลกนี้ ถึงได้ตกต่ำถึงเพียงนี้? หรือว่าสำนักปราชญ์ในประวัติศาสตร์ ก็เป็นแบบนี้?มิฉะนั้นแล้ว เหตุใดบัณฑิตถึงถูกด่าว่าเป็นบัณฑิตไร้ประโยชน์ลำดับเก้ากันเล่า?อ้อ ไม่สิ!ข้าก็เป็นเจ้าเก้าเหมือนกัน!“เหอะๆ”หลี่หลงหลินแสยะยิ้มเย็นที่มุมปาก “ฉินฮั่นหยาง เจ้าคิดว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้หรือ?”ฉินฮั่นหยางนั่งขัดสมาธิบนพื้น หลุบตาลงต่ำเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน “องค์รัชทายาท เจ้าจะทำอะไรก็เชิญ ต่อให้ต้องเผชิญคมดาบคมหอก ข้าก็ไม่มีวันขมวดคิ้วแม้แต่นิดเดียว!”หลี่หลงหลินหัวเราะออกมา “เผชิญคมดาบคมหอกงั้นหรือ? ฝันไปเถอะ! แบบนั้นไม่เท่ากับให้เจ้าได้ตายอย่างสบายไปหน่อยหรือ?”พูดจบหลี่หลงหลินไม่แม้แต่จะมองฉินฮั่นหยาง และเหล่าบัณฑิต แต่เดินไปหาชาวบ้าน พูดเสียงกังวาน “พ่อแม่พี่น้อง พวกท่านก็เห็นแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นทะเลคราม ฟ้าสีฟ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ ไกลสุดสายตาเรือใหญ่ลำหนึ่งแล่นออกจากท่าเรือตงไห่อย่างโอ่อ่า ท่วงทีองอาจไม่ธรรมดาการออกทะเลครั้งนี้ หลี่หลงหลินไม่เพียงแต่พาเหล่าพี่สะใภ้มาด้วยหลายคน แต่ยังคัดเลือกทหารยอดฝีมือของตระกูลซูมาเป็นพิเศษอีกสามร้อยนายซูเฟิ่งหลิงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทอดสายตามองไปยังเส้นขอบฟ้าที่ผืนน้ำจรดกับผืนฟ้า แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ลมทะเลพัดผ่าน ผ้าคลุมสีแดงสดด้านหลังนางปลิวสะบัดพลิ้วไหว!หลี่หลงหลินบิดขี้เกียจ กระทืบเท้าลงบนดาดฟ้าเรือเบาๆเรือของเมืองตงไห่แข็งแรงกว่าที่ข้าคิดไว้มากตอนนี้หลี่หลงหลินทำได้เพียง มีอะไรก็ใช้อย่างนั้นไปก่อนแม้จะเทียบไม่ได้กับเรือประมงหมื่นตันในจินตนาการแต่แค่จับปลาหลายพันชั่งขึ้นมาก็ยังถือว่าสบายมากหลี่หลงหลินหยิบคันเบ็ดออกมานั่งลงข้างๆ ซูเฟิ่งหลิง ด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงาม กล่าวเสียงขรึม "รัชทายาท ท่านบอกว่าจะพาพวกเราออกมาจับปลา คงไม่ได้คิดจะใช้แค่คันเบ็ดนี่ตกปลาหรอกนะเพคะ?"เหล่าพี่สะใภ้ก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่ออยู่บ้างอาศัยเพียงคันเบ็ดคันเดียวของหลี่หลงหลิน
ลั่วอวี้จู๋ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน นางส่ายหน้าไม่หยุดกล่าวว่า “ไม่ได้ น้องหญิง เจ้าอย่าพูดอะไรพล่อยๆ บัญชีมันไม่ได้คำนวณแบบนั้น! ตอนนี้ประชาชนหลายแสนคนในตงไห่กำลังรอเสบียงอาหารอยู่ นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เพียงแค่พึ่งพาการล่าสัตว์ อย่างไรก็ไม่พอ!”ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงค่ากินอยู่ใช้สอยของเหล่าทหารกองทัพตระกูลซูทั้งหมด แต่ที่สำคัญกว่าคือการแก้ปัญหาความต้องการเสบียงอาหารของประชาชนตงไห่ทั้งหมดซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วเรียวงาม “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะนำกองทัพตระกูลซูไปปล้นยุ้งฉางของพวกพ่อค้าเหล่านั้นเสียเลย! แบบนี้พวกเราก็จะมีเสบียงอาหารแล้วไม่ใช่รึ?”ลั่วอวี้จู๋ตกใจ รีบกล่าวว่า “น้องหญิง! เจ้าอย่าทำเรื่องเหลวไหล!”“เจ้าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ แล้วชื่อเสียงของกองทัพตระกูลซูจะทำอย่างไร! ชื่อเสียงอันดีงามที่ตระกูลซูผู้จงรักภักดีสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจะถูกทำลายในพริบตาได้อย่างไร?”“อีกอย่าง ท่านย่าก็คงไม่อนุญาตให้เจ้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้แน่!”ซูเฟิ่งหลิงเบ้ปาก พึมพำว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง...”ตระกูลซูรับราชการทหารมาหลายชั่วอายุคน ทั้งตระกูลจงรักภักดี ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อมโนธรรมใดๆ แม้กระทั
ตกเย็น จวนอ๋องตงไห่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟเหล่าพี่สะใภ้รวมตัวกันอยู่ในห้อง ใบหน้างดงามซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล ทุกคนต่างกลัดกลุ้มกับสถานการณ์ปัจจุบันของตงไห่ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “รัชทายาท ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี? ท่านสัญญาว่าจะทำให้ราษฎรตงไห่ทุกคนได้กินเนื้อสัตว์ภายในเจ็ดวัน แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เนื้อเลย เกรงว่าแม้แต่การกินให้อิ่มท้องธรรมดาๆ ก็ยังยาก”เมื่อตอนเย็น ลั่วอวี้จู๋ได้ส่งคนไปสืบราคาเสบียงอาหารในตลาดแล้วและก็เป็นไปตามคาด หลังจากที่ราษฎรตื่นตระหนก ราคาเสบียงอาหารก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่ว่าในตลาดตงไห่ไม่มีข้าวสารขายในทันทีแล้ว หากต้องการซื้อทันทีก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ!เหล่าราษฎรต่างพากันส่งเสียงก่นด่าอย่างคับแค้น สถานการณ์เริ่มจะดำเนินไปในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้แล้วลั่วอวี้จู๋มองไปยังหลี่หลงหลิน ถอนหายใจกล่าวว่า “รัชทายาท ตอนนี้วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วนำเงินไปแลกเป็นเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย”“แต่ข้าคำนวณดูแล้ว ต่อให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลซู ก็ทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
เหล่าราษฎรจ้องเขม็งไปยังหลี่หลงหลิน ต้องการคำอธิบายจากเขา หากไม่ได้ความในวันนี้ พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมเลิกรา!หลี่หลงหลินเชิดหน้าอกผาย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ปากท้องของราษฎรคือเรื่องสำคัญที่สุด ในเมื่อตงไห่เป็นดินแดนในอาณัติของข้า เช่นนั้นพวกท่านก็คือราษฎรของข้า หลี่หลงหลิน”“แม้จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ แต่ข้ารับรองว่าจะไม่ปล่อยให้พวกท่านต้องอดอยากหิวโหยเป็นอันขาด เรื่องเสบียงอาหารนั้นขอให้ราษฎรวางใจ ภายในเจ็ดวัน ข้าจะทำให้พวกท่านได้กินอิ่มท้องอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงของหลี่หลงหลินทรงพลังอย่างยิ่ง ถ้อยคำดังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของเหล่าราษฎรผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา“ขี้โม้!”“พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้หลงเชื่อคำโอ้อวดของเขาเลย! ดูสิ ยุ้งฉางเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า! จะเอาข้าวที่ไหนมาให้พวกเรา!”“หากวันนี้ไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับพวกเรา แล้วอีกเจ็ดวันพวกเราจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับใคร!”“ใช่แล้ว!”“หากวันนี้ไม่ยอมมอบเสบียงอาหารออกมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ก้าวเท้าออกจากยุ้งฉางนี้ไปได้!”ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าโบกแขนตะโกนปลุกระดมเหล่าราษฎร ผู้คนต่างขานรับเป็นเสียงเดี
เหล่าราษฎรที่อยู่ด้านนอกยุ้งฉางต่างชูกำปั้นตะโกนก้อง เสียงดังสะท้อนไปทั่วฟ้า “แจกจ่ายเสบียง! แจกจ่ายเสบียง!”ข่าวราคาเสบียงอาหารในเมืองตงไห่พุ่งสูงขึ้นได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ราษฎรต่างตื่นตระหนกหวาดกลัว จึงนัดหมายกันมารวมตัวที่หน้ายุ้งฉางเพื่อเรียกร้องขอเสบียง ก่อเกิดเป็นพลังมหาศาลหากไม่ใช่เพราะเหล่าทหารที่คอยขัดขวางไว้ เกรงว่าป่านนี้เหล่าราษฎรคงบุกเข้าไปในยุ้งฉางแล้วลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “รัชทายาท เช่นนี้จะทำอย่างไรดี ตอนนี้ยังไม่ได้ขาดแคลนเสบียงอาหารถึงที่สุด แต่ความโกรธแค้นของราษฎรก็รุนแรงถึงเพียงนี้แล้ว หากมีวันใดที่เสบียงหมดลงจริงๆ...”ใบหน้างามของลั่วอวี้จู๋ซีดขาว ริมฝีปากแดงเม้มแน่น ยืนนิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ นางไม่อาจจินตนาการถึงภาพนั้นได้ราษฎรที่ก่อความวุ่นวายนอกยุ้งฉางมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆเหล่าทหารยามเริ่มชักดาบประจำกายออกมา แต่สำหรับเหล่าราษฎรแล้ว หากไม่มีเสบียงให้กิน ในภายภาคหน้าก็มีแต่ความตายสถานเดียว!ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงามเล็กน้อย แววตาหงส์ฉายประกายดุดัน “รัชทายาท หากปล่อยให้พวกเขาอาละวาดต่อไปเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องแน่เพค
ลั่วอวี้จู๋เดินเข้ามาก่อนสองก้าว กล่าวว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้แม้จะจัดการกับพวกพ่อค้าเศรษฐี แต่ก็ยังต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องเสบียงอาหารก่อน มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลา ราษฎรอาจตื่นตระหนก ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อพวกเราได้”หลี่หลงหลินเพียงแค่แย้มยิ้มบางเบาซูเฟิ่งหลิงกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถือเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของต้าเซี่ย ข้างในย่อมต้องมีเสบียงเก็บไว้แน่นอน ตอนนี้สามารถนำเสบียงในยุ้งฉางออกมาแจกจ่ายช่วยเหลือราษฎร เพื่อให้พวกเขาคลายกังวลได้แล้วเพคะ”ลั่วอวี้จู๋พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเพคะ องค์รัชทายาท ทำให้ราษฎรคลายกังวลลงก่อน แล้วค่อยว่ากันถึงแผนขั้นต่อไป”หลี่หลงหลินส่ายหน้า กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องเสียแรงเปล่าแล้ว ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถูกขนย้ายไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เมล็ดเดียว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ยุ้งฉางเปล่าๆ เท่านั้น”ทั้งสองคนตกตะลึง“เป็นไปได้อย่างไร? ยุ้งฉางนั้นเป็นเสบียงช่วยชีวิตที่ราชสำนักเก็บไว้ เพื่อรับประกันว่าราษฎรจะไม่อดตายในปีที่เกิดภัยพิบัติ จะมีคนกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ มาคิดการใหญ่กับมันได้อย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลี่หลงหลินหลี่
ตำหนักอ๋องตงไห่หลี่หลงหลินเดินออกจากห้องก็พบกับลั่วอวี้จู๋และซูเฟิ่งหลิงที่รีบร้อนเข้ามาพอดีลั่วอวี้จู๋มีสีหน้าตื่นตระหนก รีบกล่าวว่า “องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ!”หลี่หลงหลินหาว กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ ไม่ต้องรีบร้อน มีอะไรค่อยๆ พูด”ลั่วอวี้จู๋หอบหายใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากับน้องหญิงกำลังดูแลร้านค้าของตระกูลซูในตงไห่ที่ถนน ได้ยินเถ้าแก่บอกว่า ตอนนี้ราคาธัญพืชในตงไห่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วันเดียวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว!”“เรื่องผิดปกติย่อมมีเบื้องหลัง ดังนั้นจึงรีบกลับมารายงานองค์รัชทายาท”ปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดราคาธัญพืชเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร หากราคาธัญพืชผิดปกติ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก!ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า ตอบว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้เป็นปีแห่งภัยพิบัติอยู่แล้ว เกิดภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี บ้านเรือนของราษฎรแทบไม่มีเสบียงสำรอง ต้องอาศัยการซื้อธัญพืชประทังชีวิตทั้งสิ้น”“แต่ตอนนี้ถ้าหากราคาธัญพืชพุ่งสูงขึ้น แล้วราษฎรในตงไห่เหล่านี้จะทำอย่างไร?”หลี่หลงหลินมองลั่วอวี้จู๋ กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่าน
“แต่ทุกท่านกลับมองข้ามเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป นั่นคือโอกาสที่จะร่ำรวยมหาศาล”แววตาละโมบปรากฏขึ้นในดวงตาของหลู่จงหมิง“นั่นก็คือเสบียงอาหาร”พอหลู่จงหมิงกล่าวคำนี้ออกมา ทั่วทั้งห้องก็เกิดเสียงฮือฮา พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่พ่อค้าร่ำรวยไม่อาจปิดบังความดีใจอย่างบ้าคลั่งในใจ “ท่านพระเชษฐภาดา ท่านหมายความว่าจะลงมือกับราคาธัญพืชหรือ?”หลู่จงหมิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ถูกต้อง”ปัจจุบันต้าเซี่ยประสบภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี แม้แต่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างตงไห่ ยุ้งฉางก็ร่อยหรอเต็มทีแล้วยิ่งไปกว่านั้น หลี่หลงหลินนำกองทัพใหญ่มาปักหลักที่ตงไห่ ค่ากินอยู่ใช้สอยล้วนต้องเบิกจ่ายจากท้องพระคลังตงไห่แม้ว่ากบฏจะถูกปราบปรามจนสงบ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเสบียงอาหารให้กับตงไห่มากขึ้นเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น อาจมีสถานการณ์กบฏที่รุนแรงกว่าเกิดขึ้นได้อีกถึงตอนนั้น เสบียงอาหารของตงไห่ก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆของยิ่งน้อยยิ่งมีค่า ราคาธัญพืชย่อมต้องถูกปั่นสูงขึ้นปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดพ่อค้าร่ำรวยย่อมรู้หนทางสู่ความร่ำรวยด้วยการกักตุนธัญพืช ปั่นราคา แต่ไม่มีใครกล
จวนตระกูลหลู่คานแกะสลัก เสากรอบวาดลวดลาย วิจิตรตระการตา ทองเหลืองเรืองรอง หลู่จงหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองเหล่าพ่อค้าที่มาถึง “มากันครบแล้วหรือ?”เงียบสงั ดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพ่อค้าเหล่านี้หูตาสว่าง รู้เรื่องที่พระเชษฐภาดาเจอในจวนอ๋องนานแล้ว ไม่กล้าราดน้ำมันบนกองไฟในจังหวะสำคัญนี้ พ่อค้าที่ปกติหยิ่งยโสโอหังต่างก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวต่อหน้าหลู่จงหมิง ไม่กล้าพูดมาก เกรงว่าจะล่วงเกินแม้หลู่จงหมิงจะเสียหน้าอย่างหนักในจวนอ๋อง แต่ก็ไม่ใช่คนที่พ่อค้าอย่างพวกเขาจะดูเบาได้พ่อบ้านจวนตระกูลหลู่เดินเข้ามากล่าวเสียงเบา “นายท่าน ยังมีคนจากตระกูลซุนและตระกูลจ้าวที่ยังไม่มา ท่านจะว่าอย่างไร...”หลู่จงหมิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตวาดว่า “ไม่มาก็ไม่ต้องมาแล้ว! กล้าดีอย่างไรไม่เห็นคำพูดของข้าผู้เป็นพระเชษฐภาดาอยู่ในสายตา”หลู่จงหมิงมองเหล่าพ่อค้ามั่งคั่งที่อยู่ ณ ที่นั้น กล่าวเสียงเย็นชา “นับแต่นี้ไป ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ห้ามทำการค้าใดๆ กับสองตระกูลนี้ หากข้าพบเข้า... หึหึ!”แววตาอำมหิตวาบผ่านดวงตาของหลู่จงหมิงนี่คือเขาต้องการแสดงอำนาจ สร้างบารมี กู้หน้าตาที่เสียไปกลับคืนมาพ่อค