ฉู่เนี่ยนซียิ้มมุมปากเบา ๆ พุ่งไปหาชายเหล่านั้นและทำท่าทางเหมือนคุณชายโดยเอากำปั้นมาทาบไว้ตรงหน้าอกเพื่อแสดงความเคารพ “ข้าแซ่ซี อยากจะขอพบนายใหญ่ของศาลาโอสถแห่งนี้” “ที่ศาลาโอสถไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้าไป คุณชายมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นจะดีกว่า” แม้จะเห็นท่าทางที่มีมารยาทอย่างมากของฉู่เนี่ยนซี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาลำบากใจเท่าไหร่ “ข้าได้ยินมาว่าที่ศาลาโอสถมีกฎ หากใครก็ตามที่ผ่านทั้งศิลปะการต่อสู้และการทดสอบพิษจะสามารถเข้าไปในศาลาโอสถได้ ข้าสงสัยว่านั่นเป็นความจริงหรือไม่?” หลังจากได้ยินคำถามของฉู่เนี่ยนซี หลายคนก็มองหน้ากัน จากนั้นชายที่เป็นผู้นำก็พูดขึ้น “มีคำกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครผ่าน และหากไม่ผ่านก็ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ ท่านแน่ใจหรือว่าต้องการจะลอง” “แน่ใจสิ” ฉู่เนี่ยนซีมีท่าทีสงบและพยักหน้าเบา ๆ ชายทั้งกลุ่มเห็นว่าทั้งสองคนแน่ใจและไม่พูดอะไรต่อ ในรอบแรกของการแข่งขันคือการทดสอบศิลปะการต่อสู้ มีเพียงหนึ่งในสองคนเท่านั้นที่สามารถลงสนามและต่อสู้กับคนสิบคนได้ ขอแค่สามารถล้มพวกเขาสามคนได้ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป*ก็จะถือว่าผ่าน ผู้เข้าแข่งขันในรอ
ได้ยินดังนั้น ผู้คนที่ตื่นตระหนกเล็กน้อยจากการโจมตีสองครั้งของอวี๋ซี ในตอนนี้ก็ตื่นตระหนกมากขึ้นกว่าเดิม ค่ายกลกระบี่สูญเสียคนไปสองคน และตอนนี้อารมณ์ของทุกคนทำให้ค่ายกลกระบี่ดั้งเดิมมีจุดบอด ไม่สามารถรักษาค่ายกลกระบี่ไว้ได้อย่างสมบูรณ์เหมือนเก่า เป็นเรื่องยากที่จะเห็นร่องรอยแห่งความสุขในดวงตาที่เย็นชาของอวี๋ซี ดวงตาที่แหลมคมของเขาราวกับนกอินทรีมองไปที่ตำแหน่งการป้องกันที่อ่อนแอที่สุดและโจมตีเข้าไปอย่างรุนแรง กระบี่ที่อยู่ในมือของหลาย ๆ คนถูกกระแทกออกไปทันที จากนั้นพวกเขาก็ทรงตัวไม่อยู่ หลังถูกชนก็ลอยถอยหลังล้มลงกับพื้น “ทำได้ดีมากอวี๋ซี!” ฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะตะโกน จากนั้นนางก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วกว่าความคิด น้ำยาล้างแผลและผ้าพันแผลก็โผล่ออกมาจากแขนเสื้อ “แขน” อวี๋ซีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยื่นแขนออกอย่างว่าง่าย ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองบาดแผลที่แขนของเขา จากนั้นเปิดขวดน้ำยาล้างแผลแล้วเม้มริมฝีปาก “เจ็บหน่อยนะ อดทนไว้” ขณะที่พูด นางก็ฉีกรูเสื้อผ้าให้กว้างขึ้นจนเห็นบาดแผลทั้งหมด แล้วฆ่าเชื้ออย่างระมัดระวัง ทายาที่แผล จากนั้นจึงพันผ้าพันแผล วันนี้เขาสวมชุดสีดำ หา
“นี่คือยาพิษ ใครจะเป็นคนดื่ม?” “ข้าเอง” อวี๋ซีก้าวไปข้างหน้าและรับยาพิษมา ฉู่เนี่ยนซีที่เห็นก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปห้าม เพราะพวกเขากินยาบรรเทาพิษไว้ตั้งแต่ตอนที่มาถึงแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาพิษทั้งหมดได้ แต่ก็ยังพอควบคุมพิษที่เป็นอันตรายได้ เหมือนกับพิษที่รุนแรงชนิดนี้ ซึ่งก็สามารถลดความเจ็บปวดได้เช่นกัน แต่จู่ ๆ ในหัวของนางก็มีภาพขวดยาขนาดใหญ่ปรากฎขึ้น โดยมีข้อความสองสามบรรทัดอยู่เหนือขวดยา “ชื่อ: โอสถกลืนวิญญาณ พิษระดับหก อาการ: เจ็บปวดทุรนทุราย ต้องชะล้างพิษภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ไม่เช่นนั้นจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ และท้ายที่สุดเส้นลมปราณจะถูกทำลายและตายไป ต่อไปคือส่วนผสมของตัวยา…” ฉู่เนี่ยนซีสะดุ้งและรีบเบนสายตาให้พ้นจากขวดยา แต่เสียงที่ดังขึ้นในหัวยังคงไม่หายไป ทำให้นางทั้งตกใจและกลัวอย่างมาก แม้อาการคนไข้ที่ได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงทีจะไม่มีอาการร้ายแรง แต่ก็ค่อนข้างทรมาณ ทำให้นางได้เปิดใช้งานทักษะการค้นคว้าและวิเคราะห์ข้อมูล เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เกรงว่าหากอวี๋ซีดื่มยาพิษนั่นแล้วจะ… คิดได้ดังนั้น นางก็รู้สึกเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ ดวงตาเรียวดุจหงษ์มองคนที่ยื่นขวดยาให้
ชายคนนั้นก็สับสนเช่นกัน เขาจึงเดินตรงไปที่ขวด หยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดฝา มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยออกมา แม้ว่ากลิ่นจะเบามาก แต่ผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้มาย่อมได้กลิ่นอยู่แล้ว “มันคือโอสถกลืนวิญญาณจริง ๆ !” ชายคนนั้นดูเหลือเชื่อ จากนั้นชี้ไปยังชายที่นอนเจ็บปวดจนเหงื่อตกอยู่บนพื้นแล้วพูดว่า “เจ้าทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร!” “เซวียเล่อ นอกจากแขนเจ้าจะบาดเจ็บแล้วจมูกก็ยังเพี้ยนอีกรึ? เห็น ๆ กันอยู่ว่าขวดในมือเจ้าเป็นขวดโอสถวิญญาณ!” หนึ่งในนั้นถือดาบพลางหรี่ตาลงเป็นการเตือนแล้วชี้ไปที่พวกของฉู่เนี่ยนซี "พี่น้องทั้งหลาย สองคนนี้ฝ่าฝืนกฎและวางยาคนของเรา ต้องฆ่าพวกมันเพื่อเป็นการตักเตือนผู้อื่นไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง!" "ฆ่าพวกมัน!" "ฆ่าพวกมัน!" ... ฉู่เนี่ยนซีมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา นอกจากผู้ที่เพิ่งเข้าร่วมการแข่งขัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกน ยามหน้าประตูและคนที่ลาดตระเวนรอบนอกของป่าพิษก็พากันทยอยเข้ามาหลายสิบคน “พวกเจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้” เซวียเล่อยืนบังพวกฉู่เนี่ยนซีไว้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “นั่นคือโอสถกลืนวิญญาณ ข้าได้กลิ่นไม่ผิดจริง ๆ คนที่ทำผิดพลาดก่อนคือพวกเรา อย่าโทษคุณช
“เหตุใดพวกเจ้าถึงยังยืนอยู่ตรงนั้นล่ะ? ไอ้หนุ่มหน้าขาวนี่มาจากนอกหุบเขาและเก่งเรื่องการหลอกลวงผู้คน มาช่วยกันจัดการพวกมัน แล้วโยนเข้าไปในป่าพิษกันเถอะ” คน ๆ นี้จงใจบอกว่าพวกเขาเป็นคนนอก อีกทั้งไม่รู้จะมีใครมาเจอหรือไม่หากพวกเขาถูกโยนเข้าไปในป่าพิษ จู่ ๆ คนที่ดูลังเลก็เหมือนจะได้รับความมั่นใจ ทำการโจมตีพวกของฉู่เนี่ยนในทันใดนั้นเอง “อวี๋ซี ปกป้องเด็กคนนี้ด้วย” ฉู่เนี่ยนซีเอ่ยเสียงเรียบ สะบัดนิ้วทั้งสิบเล็กน้อยก็มีเข็มเงินออกมา ทำการจู่โจมคนแถวหน้า เมื่อคนเหล่านั้นถูกเข็มเงินโจมตี พวกเขาก็รู้สึกอ่อนแรงและล้มลงกับพื้นทันที ฉู่เนี่ยนซียิ้มเยาะ เข็มเงินเหล่านี้แตกต่างจากเข็มที่นางใช้รักษาอาการป่วย มันเป็นเข็มเงินที่แช่ในพิษชนิดพิเศษเป็นเวลาเจ็ดวัน แม้แต่พิษเพียงเล็กน้อยที่นางกลั่นออกมาก็สามารถทำให้เสือสลบได้ ไม่ต้องพูดถึงเข็มเงินที่แช่ในพิษมาเป็นเวลานานเช่นนี้เลย นอกจากนี้ แม้ว่าจะไม่มีทักษะด้านวิทยายุทธ์ของโลกนี้ แต่ทักษะที่นางพัฒนาในชีวิตก่อนติดตัวมาด้วย นางอาศัยอยู่ในสนามรบ การต่อสู้ระยะประชิด คันธนูและลูกธนู มีด ปืนและกระสุนที่ไม่มีในโลกนี้ นับเป็นสิ่งที่นางเชี่ยวชาญเสียยิ่ง
ไม่ต้องคิดอะไรอีกต่อไป เขาโบยบินสะบัดกระบี่ สกัดกั้นการโจมตีอันหนักหน่วงแทนฉู่เนี่ยนซี เซวียเล่อและอวี๋ซีปกป้องนางทั้งทางซ้ายและขวา นางจึงรู้สึกสบายใจไปได้เปราะหนึ่ง เมื่อมองดูผู้คนที่ผลัดกันเข้ามาโจมตี นางก็คิ้วขมวด นี่ไม่ใช่วิธีที่ดี “กินสิ่งนี้เสีย” ขณะที่พูด ยาสองเม็ดที่อยู่ในมือของฉู่เนี่ยนซีก็ถูกโยนไปให้ทั้งสองคน พวกเขาสองคนเชื่อฉู่เนี่ยนซีอย่างสนิทใจ นำมันเข้าปากโดยไม่ลังเล ฉู่เนี่ยนซีหรี่ตาลง ทันใดนั้นก็มีถุงใส่ของอยู่ในมือของนาง จากนั้นนางก็หายใจเข้าลึก ๆ “อวี๋ซี ข้าอยากบิน” อวี๋ซีรู้สึกงง แต่ก็ยังทำตามที่นางบอก เขาจับแขนของนาง เท้าเบาขึ้น ในพริบตานางก็บินขึ้นไปบนอากาศ ฉู่เนี่ยนซีเปิดถุง พยายามกลั้นหายใจอย่างเต็มที่ และโบกแขนอีกข้างแรง ๆ ของในถุงก็ขยับไปตามการเคลื่อนไหวของนาง สุดท้ายก็ลอยละล่องไปตามลม ทุกคนมองดูพวกเขาทั้งสองด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่มอ่อนแรงลง พวกเขาล้มลงกับพื้นโดยไม่มีโอกาสได้พูดอะไรสักคำ ขณะนี้ฉู่เนี่ยนซีและอวี๋ซีก็ลงสู่พื้นดินโดยสวัสดิภาพ อวี๋ซีกับเซวียเล่อกินยาแก้พิษล่วงหน้าไว้แล้ว พวกเขาจึงไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ตา
“หากเติบโตที่นี่ เจ้าก็มีตำแหน่งที่สูงมากเลยสิ?” “ไม่หรอก จริง ๆ แล้ว หุบเขาสมุนไพรก็เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ผู้คนมากมายอยู่อาศัยกันมาตั้งแต่เล็ก รวมไปถึงเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยผู้คนที่นี่ ดังนั้นจึงมีคนที่เหมือนข้าอยู่มากมายที่เติบโตในหุบเขาสมุนไพรแห่งนี้” ฉู่เนี่ยนซีได้ฟังคำอธิบายของเขาก็พอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างออกและหันกลับมามองเขาอีกครั้ง “เจ้าจำข้าได้อย่างไร” “กลิ่นไง!” เซวียหนานคงพูดด้วยรอยยิ้ม ฉู่เนี่ยนซียิ้มมุมปากเล็กน้อย นางก็จำเขาได้ด้วยกลิ่นของเขาเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน... โดยปกติแล้วเซวียหนานคงมักตามความคิดนางไม่ทัน จึงพูดต่อว่า "ผู้มีพระคุณของข้ามีกลิ่นหอมของยาเป็นพิเศษ ปกติแล้วคนที่มีกลิ่นหอมของยาติดตัวเช่นนี้ ข้าเคยเห็นเฉพาะในที่ที่ปลูกสมุนไพรตลอดทั้งปีดังเช่นหุบเขาแห่งนี้ ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะมีกลิ่นติดตัวมาบ้าง ผู้มีพระคุณก็มีกลิ่นนั้นเช่นกัน แต่พิเศษกว่าคนอื่นเลยเป็นที่จดจำได้ง่ายกว่า” “เอาล่ะ เจ้าช่วยแนะนำข้าให้นายท่านของหุบเขาสมุนไพรนี้หน่อยสิ” เมื่อพูดถึงนายท่านของหุบเข
เมื่อฉู่เนี่ยนซีกลับเข้ามาในเมืองแห่งรัตติกาล ท้องฟ้าก็มืดลง ทั้งสองเลยไปส่งหมอเทวดาเฮ่อหลานที่บ้านก่อน ระหว่างทางเข้าไปในเมือง ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังแสงไฟสว่างจ้าตามบ้านเรือน แต่ไม่รู้เหตุใด กลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่หน่อย ๆ ทำได้แค่บอกอวี๋ซีให้เร่งความเร็วขึ้น หลังจากผ่านโรงเต้นรำและเข้าสู่เขตโรงพนันหุยหุนแล้ว เสี่ยวเถาก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้ากังวล “พระชายา ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว” เสี่ยวเถาจูงฉู่เนี่ยนซี ดวงตาของนางแดงเล็กน้อย “พี่อวี๋ตงให้คนมาส่งสารบอกว่าท่านอ๋องกำลังตามหาท่าน และขอให้ท่านกลับไปโดยเร็วที่สุด” “ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เสี่ยวเถาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ประมาณยามเซินสองเค่อ*เจ้าค่ะ” ‘ยามเซินสองเค่อ? ถ้าเทียบกับการนับเวลาของปัจจุบันก็เป็นเวลาเกือบ ๆ สี่โมงเย็น ตอนนี้ก็น่าจะประมาณเกือบสองทุ่มไปแล้ว ก่อนจะออกไปนางบอกอวี๋ตง หากมีคนมาถามหาให้บอกว่านางกลับไปที่จวนมหาเสนาบดีฉู่ แต่โดยปกติแล้ว เย่เฟยหลีจะไม่ตามหานาง คิด ๆ ไป ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงรีบเปลี่ยนชุดแล้วกลับจวน เมื่อไปในจวนอ๋อง นางก็พบว่าคนรับใช้ที่มักจะเดินตรวจตราลดลงไปไม่น้อย นางขมวดคิ้