“หากเติบโตที่นี่ เจ้าก็มีตำแหน่งที่สูงมากเลยสิ?” “ไม่หรอก จริง ๆ แล้ว หุบเขาสมุนไพรก็เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ผู้คนมากมายอยู่อาศัยกันมาตั้งแต่เล็ก รวมไปถึงเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยผู้คนที่นี่ ดังนั้นจึงมีคนที่เหมือนข้าอยู่มากมายที่เติบโตในหุบเขาสมุนไพรแห่งนี้” ฉู่เนี่ยนซีได้ฟังคำอธิบายของเขาก็พอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างออกและหันกลับมามองเขาอีกครั้ง “เจ้าจำข้าได้อย่างไร” “กลิ่นไง!” เซวียหนานคงพูดด้วยรอยยิ้ม ฉู่เนี่ยนซียิ้มมุมปากเล็กน้อย นางก็จำเขาได้ด้วยกลิ่นของเขาเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน... โดยปกติแล้วเซวียหนานคงมักตามความคิดนางไม่ทัน จึงพูดต่อว่า "ผู้มีพระคุณของข้ามีกลิ่นหอมของยาเป็นพิเศษ ปกติแล้วคนที่มีกลิ่นหอมของยาติดตัวเช่นนี้ ข้าเคยเห็นเฉพาะในที่ที่ปลูกสมุนไพรตลอดทั้งปีดังเช่นหุบเขาแห่งนี้ ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะมีกลิ่นติดตัวมาบ้าง ผู้มีพระคุณก็มีกลิ่นนั้นเช่นกัน แต่พิเศษกว่าคนอื่นเลยเป็นที่จดจำได้ง่ายกว่า” “เอาล่ะ เจ้าช่วยแนะนำข้าให้นายท่านของหุบเขาสมุนไพรนี้หน่อยสิ” เมื่อพูดถึงนายท่านของหุบเข
เมื่อฉู่เนี่ยนซีกลับเข้ามาในเมืองแห่งรัตติกาล ท้องฟ้าก็มืดลง ทั้งสองเลยไปส่งหมอเทวดาเฮ่อหลานที่บ้านก่อน ระหว่างทางเข้าไปในเมือง ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังแสงไฟสว่างจ้าตามบ้านเรือน แต่ไม่รู้เหตุใด กลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่หน่อย ๆ ทำได้แค่บอกอวี๋ซีให้เร่งความเร็วขึ้น หลังจากผ่านโรงเต้นรำและเข้าสู่เขตโรงพนันหุยหุนแล้ว เสี่ยวเถาก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้ากังวล “พระชายา ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว” เสี่ยวเถาจูงฉู่เนี่ยนซี ดวงตาของนางแดงเล็กน้อย “พี่อวี๋ตงให้คนมาส่งสารบอกว่าท่านอ๋องกำลังตามหาท่าน และขอให้ท่านกลับไปโดยเร็วที่สุด” “ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เสี่ยวเถาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ประมาณยามเซินสองเค่อ*เจ้าค่ะ” ‘ยามเซินสองเค่อ? ถ้าเทียบกับการนับเวลาของปัจจุบันก็เป็นเวลาเกือบ ๆ สี่โมงเย็น ตอนนี้ก็น่าจะประมาณเกือบสองทุ่มไปแล้ว ก่อนจะออกไปนางบอกอวี๋ตง หากมีคนมาถามหาให้บอกว่านางกลับไปที่จวนมหาเสนาบดีฉู่ แต่โดยปกติแล้ว เย่เฟยหลีจะไม่ตามหานาง คิด ๆ ไป ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงรีบเปลี่ยนชุดแล้วกลับจวน เมื่อไปในจวนอ๋อง นางก็พบว่าคนรับใช้ที่มักจะเดินตรวจตราลดลงไปไม่น้อย นางขมวดคิ้
เมื่อพูดจบ ก่อนที่นางจะได้โต้ตอบ เขาก็พานางนำเข้าไปในพระตำหนักหย่างซิน องค์จักรพรรดิสวมเพียงอาภรณ์ชั้นในเอนหลังอยู่บนบัลลังก์มังกร โดยมีฮองเฮาและฉู่กุ้ยเฟยก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ประกอบไปด้วยหมอหลวงที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้างอีกหลายคน และมีอีกคนหนึ่งที่นางไม่คาดคิดว่าจะอยู่ด้วย นั่นคือมหาเสนาบดีฉู่ “ลูกขอถวายบังคมเสด็จพ่อ เสด็จแม่ และฉู่กุ้ยเฟย” เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีต่างคุกเข่าลง “โอ้ อ๋องหลีและพระชายาช่างประเสริฐเสียจริงที่ให้องค์จักรพรรดิรอนานกว่าสองชั่วยาม” ฮองเฮาเหลือบมองพวกเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม องค์จักรพรรดิขมวดคิ้ว หลับตาปี๋ เหงื่อไหลบนหน้าผากของเขา ทั้งสองคนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น เย่เฟยหลีกำลังจะพูด แต่กลับรู้สึกว่าถูกสะกิด จึงรีบยั้งปากทันที ฉู่เนี่ยนซียืดตัวตรงในท่าคุกเข่า “ทูลฮองเฮา เป็นหม่อมฉันเองที่ออกจากจวนไปปรึกษาปัญหากับท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานจนดึกดื่น ด้วยเหตุนี้หม่อมฉันจึงไม่ได้รับข่าวการเรียกตัวเข้าวังเพคะ” ความกังวลตอนก่อนเข้าวังของฉู่เนี่ยนซีได้หายไปแล้ว บนใบหน้านั้นมีแต่รอยยิ้มอันใสซื่อ ในเมื่อวันนี้เรียกนางเข้ามา ทางพระราชวังก็คงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในง
เมื่อเห็นเช่นนี้ เย่เฟยหลีก็ขมวดคิ้วและมองฮองเฮาอย่างเย็นชา ฉู่เนี่ยนซีดึงเขาจากด้านข้างอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร” ฉู่เนี่ยนซีพูดจบ มหาเสนาบดีฉู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างมาเป็นเวลานาน จู่ ๆ ก็คุกเข่าลงและพูดว่า “องค์จักรพรรดิ ฮองเฮา ลองตรองดูอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะกระหม่อมตามใจนางมากเกินไปจนกลายเป็นคนไร้มารยาทไม่รู้กาลเทศะเช่นนี้ กระหม่อมเลี้ยงลูกแต่ตัวทว่ากลับไม่อบรมบ่มนิสัยให้ดี ฉะนั้นโทษเฆี่ยนห้าสิบทีกระหม่อมจะรับไว้เอง ส่วนอ๋องหลีก็เป็นเขยที่กระหม่อมเลือกเอง เช่นนั้นโทษเฆี่ยนก็เพิ่มโทษเฆี่ยนตีไปอีกห้าสิบที เป็นหนึ่งร้อยที กระหม่อมจะรับโทษแทนเองพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่เนี่ยนซีที่ได้ยินดังนั้น ก็เผลอส่งเสียง “พรื่ด” ออกมาจนต้องรีบปิดปาก ฉู่กุ้ยเฟยที่อยู่ข้าง ๆ เป็นกังวลอย่างมาก เมื่อเห็นว่าฉู่เนี่ยนซียังคงหัวเราะได้ จึงตบนางด้วยความโกรธทันที “เจ้าเด็กนี่ยังมีหน้ามาหัวเราะอีกรึ!” ฉู่เนี่ยนซีไม่ได้พูดอธิบายอะไร สีหน้าของนางกลับมาจริงจังอย่างรวดเร็ว “มหาเสนาบดีฉู่กำลังวางแผนที่จะใช้ความชราเป็นข้อได้เปรียบ! องค์จักรพรรดิและพระราชวังแห่งนี้จะยอมให้ท่านข่มขู่พวกเขาได้เช่นไร!” ทัน
“หลี่...” หมอหลวงหลี่เกือบจะโพล่งคำตอบทั้งหมดออกมา เขาพูดได้เท่านั้นแล้วก็ไม่ได้โต้ตอบอีก เขารู้สึกรำคาญเล็กน้อย เขาจะโต้ตอบได้อย่างไร “อ้อ!” ฉู่เนี่ยนซีเม้มปากเบา ๆ แล้วพูดต่อ “ท่านเปลี่ยนนามสกุลเป็นฉู่ดีกว่า ถ้าใช้คำว่าฉู่จะดูฉลาดกว่านี้ขึ้นมาหน่อย” “ทะ...ท่านหมายความว่าอย่างไร!” เคราของหมอหลวงหลี่แทบจะหลุดออกมา เขาถลึงตา แต่คนที่รายล้อมเต็มไปด้วยเชื้อพระวงศ์และขุนนาง เป็นเรื่องยากหากจะพูดอะไร เขาจึงทำได้เพียงรีบ ๆ จัดการให้เสร็จเท่านั้น แต่ความประทับใจที่มีต่อฉู่เนี่ยนซีก็ลดลงเช่นกัน! “ถ้าข้าสามารถรักษาองค์จักรพรรดิได้ นับจากนี้ไปหมอหลวงหลี่คงต้องเปลี่ยนเป็นหมอหลวงฉู่แล้วล่ะ ข้าจะบอกให้ว่าสิ่งที่ท่านรักษาไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นเขาจะทำไม่ได้” แม้เสียงของฉู่เนี่ยนซีจะเบามาก แต่ก็ไม่อาจทำให้ผู้คนที่อยู่ในรัศมีรอบตัวเพิกเฉยได้ ฉู่เนี่ยนซีรำคาญที่สุดเวลาที่คนอื่นพูดกับนางด้วยความคิดที่ว่านางทำไม่ได้ ในเมื่อเขาพูดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องสอนบทเรียนให้เสียหน่อย เมื่อเห็นดังนั้น องค์จักรพรรดิที่กำลังทนกับความเจ็บปวด ได้มองไปยังฉู่เนี่ยนซี อารมณ์ที่อธิบายไม่ได้แวบผ่านดวงตาราวกับ
ฉู่เนี่ยนซีมาจากศตวรรษที่ 21 จึงไม่ได้มีความคิดอนุรักษ์นิยมมากนัก แต่นี่เป็นสมัยโบราณ อย่าว่าแต่นางกำลังเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิ การที่นางดึงขากางเกงขององค์จักรพรรดิลงเพียงเล็กน้อย จึงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก “นี่เป็นการรักษา! หมอหลวงหลี่ก็เป็นหมอนาน ไฉนไม่รู้ว่าการรักษาโรคต้องทำโดยไม่ลังเลหรือสนวิธีการ ในสายตาของหมอที่ประสบความสำเร็จ มีเพียงผู้ป่วยเท่านั้น ไม่แบ่งแยกบุรุษหรือสตรี” ฉู่เนี่ยนซีไม่หันกลับมามอง นางใช้นิ้วกดขาของจักรพรรดิแล้วพูดเบา ๆ คำพูดเหล่านี้ทำให้หมอหลวงหลี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากคิดได้ ก็มีร่องรอยของความอับอายปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา แน่นอนว่าเขาเข้าใจดีว่าการเป็นหมอควรรักษาโดยไม่ลังเลหรือสนใจวิธีการ แต่ตัวเขาที่อายุปูนนี้แล้วก็ยังไม่เคยเห็นเรือนร่างของสตรีที่ไหนเปิดเผยเช่นนี้เลย! ขณะนี้ หมอหลวงหลี่เงียบ แต่ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่การรักษาของนางอย่างไม่มีเหตุผล หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีตรวจดูแล้ว นางก็เข้าใจ “ให้คนมาทำความสะอาดบริเวณที่มีใส่ยาให้องค์จักรพรรดิที” นางยืดตัวขึ้นสูดลมหายใจ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ขันทีที่อยู่ด้านข้างได้รับสัญ
“เพราะกล้ามเนื้อตึงเป็นอาการที่ไม่รุนแรง และในระดับนี้ สามารถรักษาให้หายขาดได้ภายในไม่กี่อึดใจ แต่อาการป่วยหลักขององค์จักรพรรดิอยู่ที่...ไต!” ไต? ทุกคนหายใจพร้อมกัน สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย และพวกเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิค้างเติ่ง และเปลี่ยนเป็นมืดมนอย่างน่าสะพรึงกลัว ฉู่เนี่ยนซีนึกแล้วก็ปวดหัว นางลังเลที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หลังจากนี้ต้องมีการให้ยา นางไม่อาจพูดไร้สาระเกี่ยวกับอาการของโรคได้ หากมีใครรู้เข้า ก็จะมีความผิดฐานหลอกลวงราชวงศ์ แต่ทว่าการเผยแพร่ความรู้ด้านการแพทย์สมัยใหม่ให้คนในยุดนี้ฟังก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน “โรคไตมีได้หลายสาเหตุ โรคของเสด็จพ่อเรียกว่า โรคไตอักเสบ โรคนี้มีหลายสาเหตุ เช่น แผลติดเชื้อ หรือติดเชื้อโรคบางชนิดจากผลข้างเคียงของยาบางตัวที่เสวย หรืออาจเกี่ยวกับประวัติครอบครัว และอีกหลายสาเหตุ หากเสด็จพ่อให้ความร่วมมือในการรักษาก็จะหายขาดในไม่ช้าเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีพยายามอธิบายด้วยคำพูดที่พวกเขาเข้าใจได้ดีที่สุด แต่เมื่อเธอเห็นสีหน้าโล่งใจขององค์จักรพรรดิ เธอก็ถอนหายใจเงียบ ๆ สีหน้าเช่นนี้คงจะเข้าใจสินะ ถ้า
พูดมาได้ประมาณหนึ่ง เขาก็หยุดคิดไปสักพัก แล้วพูดต่อ “เพื่อเป็นการลงโทษ พรุ่งนี้ให้เจ้าเข้าวังมาช่วยสอนพวกหมอแก่ ๆ ทั้งหลายในสำนักหมอหลวงเสีย" เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินดังนั้น ก็คิ้วขมวดทันที พร้อมทำสีหน้าลำบากใจ “ฝ่าบาท เช่นนั้นพระองค์ทรงเอารางวัลของหม่อมฉันคืนไปได้หรือไม่เพคะ?” ‘น่าขำนัก พวกหมอที่อยู่ในสำนักหมอหลวงอาศัยว่าตนเองเป็นขุนนาง ทะนงตัวและดูถูกหมอคนอื่นนั่นน่ะรึM’ ‘นางเหนื่อยมาทั้งวัน หากยังต้องเจอพวกเขาอีก ฆ่านางเลยเสียจะดีกว่า’ “เจ้าจะเอารางวัลที่ได้ไปมาคืนข้าได้อย่างไร?” องค์จักรพรรดิโกรธมาก! “ฝ่าบาท พระองค์ทรงทำโทษหรือกำลังให้รางวัลนางกันแน่พ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะทรงตามใจนางไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาของมหาเสนาบดีฉู่มองอยู่ด้วยความลึกลับ และในที่สุดเขาก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง องค์จักรพรรดิไม่ได้ใส่ใจ เหลือบมองเขาและพูดอย่างเย็นชา "แม้ข้าจะไม่ได้สนิทสนมกับนางมากนัก แต่ก็รู้ว่าเด็กคนนี้มีนิสัยเย็นชาและความอดทนต่ำ ปล่อยให้นางได้ช่วยเหลือและสื่อสารกับผู้อาวุโสเหล่านั้นให้มากหน่อย มันเป็นดเพียงการลงโทษ อีกอย่าง ข้าก็เห็นว่าเจ้าตามใจนางมาสิบแปดปีแล้ว ข้าคงไม่ตามใจนางไปด้วยหรอ