“เพราะกล้ามเนื้อตึงเป็นอาการที่ไม่รุนแรง และในระดับนี้ สามารถรักษาให้หายขาดได้ภายในไม่กี่อึดใจ แต่อาการป่วยหลักขององค์จักรพรรดิอยู่ที่...ไต!” ไต? ทุกคนหายใจพร้อมกัน สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย และพวกเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิค้างเติ่ง และเปลี่ยนเป็นมืดมนอย่างน่าสะพรึงกลัว ฉู่เนี่ยนซีนึกแล้วก็ปวดหัว นางลังเลที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หลังจากนี้ต้องมีการให้ยา นางไม่อาจพูดไร้สาระเกี่ยวกับอาการของโรคได้ หากมีใครรู้เข้า ก็จะมีความผิดฐานหลอกลวงราชวงศ์ แต่ทว่าการเผยแพร่ความรู้ด้านการแพทย์สมัยใหม่ให้คนในยุดนี้ฟังก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน “โรคไตมีได้หลายสาเหตุ โรคของเสด็จพ่อเรียกว่า โรคไตอักเสบ โรคนี้มีหลายสาเหตุ เช่น แผลติดเชื้อ หรือติดเชื้อโรคบางชนิดจากผลข้างเคียงของยาบางตัวที่เสวย หรืออาจเกี่ยวกับประวัติครอบครัว และอีกหลายสาเหตุ หากเสด็จพ่อให้ความร่วมมือในการรักษาก็จะหายขาดในไม่ช้าเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีพยายามอธิบายด้วยคำพูดที่พวกเขาเข้าใจได้ดีที่สุด แต่เมื่อเธอเห็นสีหน้าโล่งใจขององค์จักรพรรดิ เธอก็ถอนหายใจเงียบ ๆ สีหน้าเช่นนี้คงจะเข้าใจสินะ ถ้า
พูดมาได้ประมาณหนึ่ง เขาก็หยุดคิดไปสักพัก แล้วพูดต่อ “เพื่อเป็นการลงโทษ พรุ่งนี้ให้เจ้าเข้าวังมาช่วยสอนพวกหมอแก่ ๆ ทั้งหลายในสำนักหมอหลวงเสีย" เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินดังนั้น ก็คิ้วขมวดทันที พร้อมทำสีหน้าลำบากใจ “ฝ่าบาท เช่นนั้นพระองค์ทรงเอารางวัลของหม่อมฉันคืนไปได้หรือไม่เพคะ?” ‘น่าขำนัก พวกหมอที่อยู่ในสำนักหมอหลวงอาศัยว่าตนเองเป็นขุนนาง ทะนงตัวและดูถูกหมอคนอื่นนั่นน่ะรึM’ ‘นางเหนื่อยมาทั้งวัน หากยังต้องเจอพวกเขาอีก ฆ่านางเลยเสียจะดีกว่า’ “เจ้าจะเอารางวัลที่ได้ไปมาคืนข้าได้อย่างไร?” องค์จักรพรรดิโกรธมาก! “ฝ่าบาท พระองค์ทรงทำโทษหรือกำลังให้รางวัลนางกันแน่พ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะทรงตามใจนางไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาของมหาเสนาบดีฉู่มองอยู่ด้วยความลึกลับ และในที่สุดเขาก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง องค์จักรพรรดิไม่ได้ใส่ใจ เหลือบมองเขาและพูดอย่างเย็นชา "แม้ข้าจะไม่ได้สนิทสนมกับนางมากนัก แต่ก็รู้ว่าเด็กคนนี้มีนิสัยเย็นชาและความอดทนต่ำ ปล่อยให้นางได้ช่วยเหลือและสื่อสารกับผู้อาวุโสเหล่านั้นให้มากหน่อย มันเป็นดเพียงการลงโทษ อีกอย่าง ข้าก็เห็นว่าเจ้าตามใจนางมาสิบแปดปีแล้ว ข้าคงไม่ตามใจนางไปด้วยหรอ
หลังจากได้ยินคำตอบที่ชัดเจน ใบหน้าที่มีเสน่ห์และหล่อเหลาของเย่เฟยหลีก็ปรากฏขึ้นในใจของนาง ทำให้นางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย จนกระทั่งเสี่ยวเถาเรียกหา นางก็ระงับอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ที่อยู่ในใจ และเดินไปนั่งหน้ากระจก ในไม่ช้า ฉู่เนี่ยนซีก็เก็บข้าวของเสร็จ และทันทีที่เขาเข้าไปในโถงรับรอง ก็เห็นขันทีเฉินกำลังจิบชาอย่างมีมารยาท “ข้าปล่อยให้ขันทีเฉินรอเสียนาน” เมื่อขันทีเฉินเห็นฉู่เนี่ยนซี เขาก็รีบวางถ้วยชาลง ยืนขึ้นและทำความเคารพ “ขอทำความเคารพพระชายา” “ขันทีเฉินรีบลุกขึ้นเถิด” ฉู่เนี่ยนซีโบกมือแล้วมองไปที่เซียเสี่ยวเถา เสี่ยวเถารับคำสั่งและมอบเงินให้เขา “ข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ารอนานในยามเช้าเช่นนี้ ถือว่าสิ่งนี้แทนคำขอโทษเถอะ” ฉู่เนี่ยนซีเผยรอยยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ เมื่อขันทีเฉินเห็นดังนั้น เขาก็รีบปฏิเสธ “กระหม่อมไม่กล้า พระชายาหลีสูงส่งเช่นนี้ หากให้รอครึ่งวันก็ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” “จากนี้ไปข้าคงต้องให้เจ้าให้คำแนะนำในวัง เงินจำนวนแค่นี้เจ้าอย่าปฏิเสธเลย” “เช่นนั้น...กระหม่อมจะรับไว้” ขันทีเฉินคิดครู่หนึ่งจึงรับเงินไว้แล้วพูดต่อ “อย่างไรก็ตาม พระชายาหลีได้ทำการรักษา
สิ่งที่หมอหลวงหลี่พูดล้วนออกมาจากใจจริง หลังจากกลับมาเมื่อวานนี้ เขาครุ่นคิดถึงขั้นตอนการรักษาของฉู่เนี่ยนซี ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าหลังจากฉู่เนี่ยนซีวินิจฉัยเสร็จแล้ว ก็ให้คนทำความสะอาดบริเวณที่เขาให้ยากับองค์จักรพรรดิ หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว เขาก็อ่านตำราโบราณตอนกลางดึกและพบว่าโหระพามีข้อห้ามสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต และในน้ำมันยาที่ให้กับองค์จักรพรรดิก็มีส่วนผสมของมันอยู่ ฉู่เนี่ยนซีรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก แต่ไม่ได้บอกองค์จักรพรรดิ กลับกลายเป็นว่าฉุ่เนี่ยนซีได้ช่วยสำนักหมอหลวงไว้ “นั่นคือสิ่งที่ข้าควรทำ คนเป็นหมอไม่ควรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ในอนาคตหมอหลวงหลี่ควรจะระมัดระวังให้มากขึ้นกว่านี้” ฉู่เนี่ยนซีพูดเบา ๆ แต่นางก็รู้ด้วยว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเขา อาการป่วยขององค์จักรพรรดินั้นอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาการบาดเจ็บที่เอวได้ง่าย ในยุคนี้หากไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะวินิจฉัยโรคได้ไม่ถูกต้อง “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะจำคำสอนของพระชายาหลี” หมอหลวงหลี่โค้งคำนับอย่างจริงใจ ทำให้ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “หัวหน้าหมอหลวงหลี่ วันนี้กินอะไรผิดสำแดงมารึ ท่านบ้า
หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองไปทางหมอหลี่ “ท่านอาจารย์ โปรดบอกพวกเราว่าพระชายาหลีใช้อำนาจอะไรกดขี่ข่มเหงท่านหรือเปล่า! ไม่เพียงแต่ให้ท่านเปลี่ยนแซ่ แต่ยังทำให้ท่านยกย่องนางด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ ถึงแม้นางจะเป็นพระชายา แต่พวกเราสำนักหมอหลวงทุกคนจะไปรายงานแก่ฮ่องเต้ด้วยกัน นำความยุติธรรมกลับมาให้ท่าน!”“พรืด!”เมื่อฟังคำพูดของทั้งสองคน ฉู่เนี่ยนซีก็ขำออกมาเสียงดัง ใช้เวลานานมากกว่าจะสงบลงได้หมอหลี่ได้ฟังก็รู้สึกโกรธมากจนชี้ไปทางพวกเขาทั้งสองคนจนพูดอะไรกันไม่ออกแม้แต่คำเดียว“เอาล่ะ พูดมามากพอแล้ว เช่นนั้นวันนี้พระชายาจะสอนบทเรียนให้พวกท่าน! ให้พวกท่านเลื่อมใส!” ฉู่เนี่ยนซีบิดขี้เกียจก่อนจะหันไปมองหมอหน้ากลมคนนั้นที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมรอยยิ้ม “และก็จะได้ลบล้างความอัปยศของข้าด้วย”น้ำเสียงของนางมีความหยอกล้อปนอยู่ เมื่อหมอหลี่เห็นดังนี้ก็รู้สึกอยากจะตบลูกศิษย์งี่เง่าคนนี้ขึ้นมาทันทีตอนนี้ฉู่เนี่ยนซีเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเขา เขาหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะจากนางในอนาคตสักสองสามอย่าง แต่ผลที่ได้ดันกลายเป็นว่าลูกศิษย์ของตัวเองพูดอะไรที่โง่เขลาเช่นนี้ออกมาเสียได้!“พระชายาหลี หวังว่าท่านจะไม่ถือ
“เอาล่ะ ข้าจะวางสมุนไพรไว้ตรงนี้ ข้าหิวแล้ว จะออกไปหาอะไรกินหน่อย ตอนบ่ายจะมาขอคำตอบของพวกท่านนะ”ฉู่เนี่ยนซีเอ่ยก่อนจะหันตัวกลับออกไป แต่ดูเหมือนจะเพิ่งนึกอะไรออก จึงได้หันตัวกลับมาอีกครั้ง “อ้อ อีกอย่างนะ อย่าทำให้เสียหายล่ะ!”เหล่าหมอที่สำนักหมอหลวงได้เห็นถึงความรู้ของนางและไม่ได้มองนางด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามอีกต่อไป ทุกคนต่างมองนางด้วยความเคารพและพยักหน้ารับรู้ฉู่เนี่ยนซีเพิ่งออกจากสำนักหมอหลวง ก็ได้เจอกับขันทีตัวน้อยที่กำลังเดินมาพอดี เมื่อเขาเห็นฉู่เนี่ยนซีก็เดินไปด้านหน้าทำความเคารพทันที “พระชายาหลี องค์จักรพรรดิและฉู่กุ้ยเฟยได้ส่งคนมาพาท่านไปร่วมโต๊ะเสวยพะย่ะค่ะ!”“ร่วมโต๊ะเสวย?” ‘เวลาแบบนี้นางอยากทำอะไรก็ทำไม่ได้งั้นหรือ?’ แม้ว่านางจะไม่อยากอยู่กับจักรพรรดิ แต่มีของให้กินก็ดีกว่าต้องไปตระเวนหากินเอง“งั้นก็ไปกัน นำทางไปเลย!”ฉู่เนี่ยนซีเดินตามขันทีน้อยผ่านทางโค้งไปสองสามทางโค้งก็มาถึงพระตำหนักหย่างซินทันทีที่มาถึงตรงประตูทางเข้า ก็ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาทันที ท้องของฉู่เนี่ยนซีจึงร้องออกมาสองครั้ง ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้นางยังไม่ได้ทานข้าวเลยสักคำและนางก็หิวมา
“อะไรกันเพคะ? พระองค์ทรงเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก ปกติพระองค์ไม่ใช่คนที่ตำหนิกล่าวโทษอะไรกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เลยนี่เพคะ” ในขณะที่พูดนางก็หยิบปลาขึ้นมากัดอีกคำหนึ่ง และกินมันเข้าไปองค์จักรพรรดิเมื่อได้เห็นนางทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ก็ได้คีบอาหารขึ้นมากินตามนางฉู่กุ้ยเฟยที่มองอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในแววตาของนางนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกดำดิ่งหลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีทานอาหารเสร็จ ก็ถูกฉู่กุ้ยเฟยดึงตัวมาคุยเรื่องครอบครัวของนางเวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละนิด ฉู่เนี่ยนซีก็คำนวนเวลา ก่อทูลลาองค์จักรพรรดิและฉู่กุ้ยเฟยกลับไปยังสำนักหมอหลวงเมื่อเข้ามาในสำนักหมอหลวง ทุกคนก็มาล้อมรอบตัวนาง“พวกท่านรู้คำตอบแล้วหรือ? ข้าเตรียมทองคำหนึ่งร้อยตำลึงไว้ให้เรียบร้อยแล้ว!” ฉู่เนี่ยนซีกินและดื่มจนอิ่ม แม้แต่เสียงพูดของนางก็ดังขึ้นมาเล็กน้อยใบหน้าของทุกคนล้วนโศกเศร้าและส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง“พระชายาหลี ข้านั่งคิดนอนคิดมาตลอดเที่ยงแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่านี่คือสมุนไพรอมฤตอะไร”“ไม่รู้เหรอ? เป็นไปได้ยังกัน?” ฉู่เนี่ยนซีมีท่าทีตกใจอย่างมาก ก่อนจะหันมาพูดกับทุกคนในที่นี้ “พวกท่า
ฉู่เนี่ยนซีหันไปมองตามต้นเสียง แล้วเงยหน้าขึ้นมอง บนต้นไม้ใหญ่ด้านหนึ่งของสำนักหมอหลวง มีสตรีคนหนึ่งสวมกระโปรงสีน้ำเงินเข้มปักลายดอกไม้สีขาวกำลังจ้องมองมาที่นางเมื่อเห็นว่านางมองอยู่ สตรีผู้นั้นก็บินลงจากต้นไม้ กิ่งก้านใบไม้ขยับตามการเคลื่อนไหวของนาง และใบไม้บางส่วนก็ปลิวตามลมร่วงลงมาที่พื้น ดูส่งเสริมกันอย่างงดงาม ดูแล้วราวกับเทพธิดาที่ลงมายังโลกมนุษย์ในขณะที่ฉู่เนี่ยนซีกำลังคิดอยู่ สตรีผู้นั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง เมื่อได้มองเห็นอีกฝ่ายในระยะใกล้จึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายมีผิวขาวละเอียดอ่อน ดวงตาได้รูปดูสดใส จมูกเล็กจิ้มลิ้ม ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ และสองลักยิ้มข้างแก้มให้ความรู้สึกน่ารักและขี้เล่น“เจ้าคือพระชายาหลี?” เสียงของสตรีคนนั้นเบาและอ่อนหวานฉู่เนี่ยนซีได้สติกลับคืนมา ก่อนจะยิ้มหวาน “ใช่แล้ว”“ได้ยินชื่อเสียงมาเนิ่นนานแล้ว แต่…เจ้าดูไม่เหมือนกับในข่าวลือเลย” หญิงสาวจ้องมองหน้านาง ในแววตาคู่นั้นไม่มีความมุ่งร้ายอะไรเลยแม้แต่น้อย “แต่…ข้าไม่เคยเชื่อข่าวลือพวกนั้นเลยสักนิด เจ้าทั้งสวย ทั้งเก่งกาจ และฉลาดโดดเด่นกว่าใครในวังแห่งนี้เสียอีก!”ฉู่เนี่ยนซีนึกไม่ถึงว่าวันนี้จะถูกคนวิ