ตอนแรกฉู่เนี่ยนซีจะเดินหนีไปแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเย่ฉงเฉิงจะพูดจาลามปามนางได้อย่างน่าไม่อายเช่นนี้นางทิ้งขนมฝูหรงที่เหลือลงสระน้ำ สีหน้าเย็นชามากกว่าเดิมสิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือการที่มีคนมายุ่งเรื่องของนาง หรือตัดสินนางโดยไม่ได้รู้ความจริงอะไรเลย เหมือนกับที่เย่ฉงเฉิงกำลังทำอยู่ตอนนี้“คนที่เห็นข้าในคืนนั้นคือพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ?”“ใช่ ไม่เช่นนั้นข้าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพี่สามได้อย่างไร?”“ไร้สาระ!”ดวงตาของเย่เฟยหลีเบิกกว้าง หญิงนางนี้กล้าดีอย่างไรมาบอกว่าเขาพูดไร้สาระ?ฉู่เนี่ยนซีแค่นเสียงเย็นชา “เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าคนที่เห็นหม่อมฉันในคืนนั้นคือคนขององค์ชายเหลียน เขาใช้ประโยชน์จากจิตใจของพระองค์ที่ปรารถนาดีต่อเย่เฟยหลี ถึงได้แสร้งทำเป็นบอกข่าวแก่พระองค์ ไม่เช่นนั้นพระองค์ทรงคิดว่าเหตุใดเย่เฟยหลีถึงได้ถูกลอบสังหารระหว่างทางกลับจวนล่ะเพคะ? นั่นเป็นเพราะพระองค์ถูกหลอกใช้อย่างไรเล่า!”เย่ฉงเฉิงคาดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะบานปลายได้เช่นนี้ ว่าแต่เหตุใดเขาถึงไม่รู้เรื่องที่เย่เฟยหลีถูกลอบสังหาร?เหตุใดก่อนหน้านี้พี่สามถึงไม่บอกเขา?“ปีนี้พระองค์อายุยี่สิบแล้วแท้ ๆ แต่จิตใจกลับยังเหมือ
ฉู่เนี่ยนซีอึ้งไปเล็กน้อย และเมื่อได้เห็นสายตาอันร้อนแรงที่เย่เฟยหลีส่งมาโดยไม่รู้ตัว นางก็เริ่มทำตัวไม่ถูก จึงพูดเลี่ยง ๆ “ท่านก็คิดมากเกินไป ตอนนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว มีเรื่องเกิดขึ้นกับท่านแล้วจะให้ข้าอยู่เฉย ๆ ได้เช่นไร”ขณะพูด นางก็ปัดเศษขนมที่ติดมือออก รีบเดินกลับเรือนของตัวเองโดยเมินสายตาอันตรายของเย่เฟยหลีเมื่อท้องอิ่ม ก็เริ่มแผนที่จะซื้อโรงพนันหลังจากที่ได้กำหนดเวลา ฉู่เนี่ยนซีก็เตรียมจะออกไปข้างนอกกับอวี้เป่ยเนื่องจากโดนเย่เฟยหลีจับได้ตอนออกไปครั้งแรก นางก็ได้เรียนรู้มากขึ้น และทำตัวสงบเสงี่ยมในหลายวันที่ผ่านมาแม้จะพาอวี๋เป่ยไปด้วย แต่เมื่อเห็นท่าทางของอวี๋หนานที่คล้ายจะบอกว่า ‘เหตุใดนายหญิงถึงไม่พาข้าไปเที่ยวเล่นด้วย’ นางจึงสั่งว่า “เจ้าช่วยเฝ้าที่นี่ให้ข้าหน่อย ถ้าเย่เฟยหลีมาถามว่าข้าไปไหน ให้บอกว่าข้าไปเที่ยวที่หอจุ้ยเยว่ ถ้าเขาทำเหมือนจะไปหอจุ้ยเยว่ให้รีบแจ้งข้าด้วย เจ้าว่องไวและพลังกำลังดีอยู่แล้ว อย่างไรก็ไปถึงก่อนเขาแน่นอน”อวี๋หนานรับคำสั่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทะยานขึ้นชายคาเพื่อเฝ้าเรือน เพียงไม่กี่ก้าวก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงาฉู่เนี่ยนซีปลอมตัวเป็นผู้ชา
หลายวันผ่านไป อากาศในเดือนแปดไม่ได้เย็นลง แต่กลับค่อย ๆ ร้อนขึ้นทุกวันฉู่เนี่ยนซีที่ต้องเผชิญกับฤดูร้อนที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมเป็นครั้งแรก และทุกวันต้องใส่เสื้อผ้าหลายชั้น อีกทั้งอุณหภูมิที่สูงตลอดวัน ทำให้นางรู้สึกไม่สบาย ไม่อยากกินอะไร แล้วก็ไม่อยากออกไปไหนเย่เฟยหลีถึงกับสงสัยว่านางโดนวางยาพิษเหมือนเขารึเปล่า ฉู่เนี่ยนซีที่ได้ยินก็รู้สึกละเหี่ยใจ ‘พวกเจ้าไม่เข้าใจความสุขของคนยุคใหม่หรอก’ที่บ่อนพนันก็มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจค้าสมุนไพรที่นางแอบไปทำการสำรวจก็ได้ผลตอบรับที่แตกต่างไปในแต่ละวันตอนนี้ธุรกิจทั้งหมดของฉู่เนี่ยนซีได้กลายเป็นธุรกิจที่ต้องทำในยามกลางคืนแล้วแต่เดิมนางตั้งใจไว้ว่าใช้เวลาช่วงกลางวันที่ศาลากับริมทะเลสาบตลอดช่วงฤดูร้อนทว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน มหาเสนาบดีฉู่ส่งคนมาแจ้งข่าวว่าขาของพี่ชายคนโตฉู่เจี้ยนอี้นั้นหายดีแล้ว และยังได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับสูงขั้นห้าประจำราชสำนัก ที่จวนมหาเสนาบดีจะจัดงานเลี้ยงฉลองในอีกสามวันจากนี้ ซึ่งบัตรเชิญนั้นได้ถูกส่งถึงเย่เฟยหลีก่อนแล้วคิด ๆ ดูก็เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้กลับไปจวนมหาเสนาบดี ตอ
เสียงดังของนางดึงดูดให้ผู้คนหันมามองเป็นตาเดียว จ้าวม่อเหยียนรู้สึกอายจนทำตัวไม่ถูก จึงทำมือเป็นสัญญาณให้นางลดเสียงลงแต่ในเมื่อหลิวซื่อมีความสุขขนาดนี้ จะไปสนใจคนอื่นทำไมกัน?“บอกแม่มาเร็ว มีเทพเซียนอาศัยที่จวนท่านมหาเสนาบดีใช่หรือไม่? ถึงได้รักษาขาของลูกเขยให้หายดีได้?”เหมือนหลิวซื่อจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เลยรีบลดเสียงลง “ข้าได้ยินคนนอกพูดกันว่าพวกเจ้าพาหมอเทวดามา หมอคนนั้นชื่อ...ชื่ออะไรนะ...”“เรียนฟูเหริน ชื่อว่าหมอเทวดาเฮ่อหลานเจ้าค่ะ”ขณะนั้น ฉู่หว่านเอ๋อร์ก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดอกไม้บนมวยผมอันบอบบางช่วยทำให้นางดูเหมือนดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ที่เพิ่งโผล่พ้นน้ำ คนหนุ่มสาวที่ยังไม่แต่งงานต่างแอบมองนางอยู่หลายหนฉู่เนี่ยนซียิ้มบาง ๆ รินจอกสุราของตนเอง แล้วค่อย ๆ ยกขึ้นจิบหลิวซื่อได้ยินดังนั้น ก็ดีใจจนหน้าบาน และดึงฉู่หว่านเอ๋อร์เข้ามาคุยอย่างสนิทสนม“สาวน้อย บอกข้ามาเร็ว คนที่จวนนี้ปากหนักกันมากเลย ข้าอยากจะตอบแทนน้ำใจหมอท่านนี้ที่ช่วยรักษาขาของลูกเขยข้าจะได้หรือไม่ ถือว่าช่วยข้าเถิด”จ้าวม่อเหยียนคิ้วขมวด เหลือบมองไปทางฉู่เนี่ยนซีโดยไม่รู้ตัว และได
“เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ?”อยู่ดี ๆ เสียงทุ้มกังวานของเย่เฟยหลีก็ดังเข้าหู นางตกใจเล็กน้อยและหันไปดู พบว่าเขาอยู่ใกล้นางมากเสียจนปลายจมูกเกือบชนกัน“อ้อ ไม่เป็นไร แค่ร้อนนิดหน่อย” นางลูบใบหูที่ถูกลมหายใจของเขารดใส่โดยไม่รู้ตัว ทั้งยังถอยออกมาเพราะทำตัวไม่ถูก “เมื่อครู่ข้าเห็นชื่อเย่เหลียนอยู่ในรายชื่อ ท่านรู้เรื่องนี้หรือไม่?”เย่เฟยหลีบ่นพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเรียกคนรับใช้มาเปลี่ยนเครื่องดื่มในมือของฉู่เนี่ยนซี จากสุราเป็นชาสมุนไพร“ถ้าเขามาข้าก็ไม่แปลกใจ”บรรยากาศรอบข้างที่ผู้คนพลุกพล่าน รออยู่นานกว่าจะสงบลง เย่เฟยหลีมองไปยังฉู่เจี้ยนอี้และกระซิบถาม “เจ้าเป็นคนรักษาขาของฉู่เจี้ยนอี้ใช่หรือไม่?”ฉู่เนี่ยนซีชะงักเบา ๆ แต่กระนั้นก็สบายใจ เพราะในเมื่อนางเป็นคนล้างพิษตกค้างในตัวเย่เฟยหลีในเวลาสั้น ๆ การที่เขาเดาได้ว่าตนเองเป็นคนรักษาขาให้ฉู่เจี้ยนอี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ“อืม”“ดูเหมือนที่นี่จะมีคนไม่ชอบเจ้า“ แม้เย่เฟยหลีจะคุยกับฉู่เนี่ยนซี แต่ตากลับจ้องไปยังฉู่หว่านเอ๋อร์ฉู่เนี่ยนซีที่เข้าใจว่าเขาหมายถึงใคร ก็แค่นเสียงเย็นชา “ตัวข้าไม่ใช่เงินทอง จะให้ทุกคนมาชอบคงทำไม่ได
ขณะที่การแสดงดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ฉู่หว่านเอ๋อร์ที่หายไปครู่หนึ่งก็ปรากฎตัวอยู่ด้านหลังลูกไฟในชุดสีแดง มนุษย์พ่นไฟได้สร้างลูกบอลไฟขนาดใหญ่ขึ้นมา ฉายให้ผู้ชมได้เห็นภาพของสตรีผู้งดงามอาบอัคดีฟื้นชีวาเปลวเพลิงโชติช่วงอันแสนเร้าใจ!ทุกสายตาต่างจับจ้อบไปยังฉู่หว่านเอ๋อร์ ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีกลองตั้งอยู่บนเวทีตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉู่หว่านเอ๋อร์เคลื่อนไหวด้วยรอยยิ้มอันเย้ายวน สะบัดชายผ้าผืนยาว วางเท้าเปล่าลงบนกลองและออกท่วงท่าร่ายรำ ทำเอาผู้ชมมองกันตาไม่กะพริบการแสดงระบำกลองนี้ได้รับความสนใจจากผู้ชมส่วนมาก ขณะกำลังจะปิดม่านการแสดงและทำการขอบคุณ จู่ ๆ คนรับใช้ที่พยุงนางไว้ก็เสียหลัก ทำให้นางร้องเสียงหลงและตกลงมาจากเวทีสูงบรรดาผู้ชมต่างตกใจ รีบลุกขึ้นดูเหตุการณ์ คนรับใช้หลายคนรีบไปช่วยกันพยุงขึ้นมา จ้าวม่อเหยียนที่เห็นก็ตกใจไม่แพ้กัน นางยกชายกระโปรงและวิ่งไปตรงนั้นอย่างรีบร้อนฉู่เนี่ยนซีกวาดตามองแขกในงาน เห็นเย่เหลียนจิบสุราอย่างไม่แยแส ส่วนมหาเสนาบดีฉู่ผู้เป็นประธานงานเลี้ยงก็คิ้วขมวดแน่นจนเห็นรอยย่นตรงหว่างคิ้วชัดเจน มีเพียงเย่เฟยหลีที่ถามเสียงเบา ๆ ว่า “น้องสาวของเจ้านี่ความสามารถไ
“พี่หญิง ได้โปรดดูอาการบาดเจ็บของน้องหว่านเอ๋อร์หน่อย นี่ยังมีเลือดออกอยู่เลยเจ้าค่ะ” ซ่างกวานเยียนที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีตั้งแต่เมื่อไหร่ พูดกับนางด้วยท่าทีเห็นอกเห็นใจ ฉู่เนี่ยนซีมองนางอย่างไม่เข้าใจ ซ่างกวานเยียนพยายามใช้กลอุบายอะไร นางอยากให้เรื่องที่ตนเองมีความรู้ทางการแพทย์เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะให้ผู้อื่นรู้ แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูคนอื่น มันเหมือนกับพวกเขาได้ยินเรื่องที่ตลกมาก ๆ เรื่องหนึ่ง แล้วก็เกิดเสียงเอะอะขึ้นมา “ข้าเกรงว่าชายารองคงดื่มจนเมาเสียแล้ว ใครจะไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระชายาหลีบ้าง? นางไม่เพียงแต่หน้าตาอัปลักษณ์เท่านั้น ยังไม่มีพรสวรรค์หรือคุณธรรมด้วย หากให้พระชายามาช่วยดูอาการบาดเจ็บของนาง ข้ากลัวว่าอาจจะเป็นอันตรายกับคุณหนูหว่านเอ๋อร์ก็เป็นได้...” “ข้าว่านางคงจะมีจิตใจดีเกินไปเลยไม่ทันได้ไตร่ตรอง หากพระชายาหลีมีความรู้ทางการแพทย์ หลังจากนี้ข้าจะเอาตำราแพทย์มาต้มกินเลย” “ฮ่าฮ่า... ข้าได้ยินคนใช้ในบ้านลูกพี่ลูกน้องภรรยาของข้าคุยกับคนนอก ว่ากันว่าตอนนั้นพระชายาหลีวางยาท่านอ๋องหลี พวกเขาจึงกลายเป็นสามีภรรยากัน เลยไม่แน่ใจนักว่าพระชายาหลีม
เมื่อความคิดเห็นของทุกคนไปถึงหูของซ่างกวานเยียนและฉู่หว่านเอ๋อร์ ทำให้พวกนางหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมา คนที่ไม่สบายใจที่สุดคือฉู่หว่านเอ๋อร์ นางเจ็บขาเสียจนแทบทนไม่ไหว ไหนจะยังมีคำพูดพวกนั้นที่ทำให้โมโหยิ่งกว่าเดิมอีก ก่อนหน้านี้ที่ฉู่หว่านเอ๋อร์เรียกซ่างกวานเยียนว่าพี่หญิง ฉู่เนี่ยนซีไม่ได้พูดอะไรเลย ฉู่เนี่ยนซีที่อยู่ด้านข้างกลับไม่รู้สึกรู้สา เมื่อได้เห็นสีหน้าของทั้งคู่ นางก็ยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ เมื่อพูดถึงวาทศิลป์ คนยุคใหม่เช่นนางจะแพ้ใครได้อย่างไร? “ไม่ใช่หรอก ตอนนี้ลูกพี่ลูกน้องของข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์ไปแล้ว หากข้ายังเรียกนางว่าพี่หญิง จะถูกผู้คนหาว่าไม่มีมารยาทเอาได้ ส่วนพี่หญิงซ่างกวานนั้น นางเห็นว่าข้าคิดถึงท่านย่ากับท่านพ่อ นางจึงรู้สึกสงสาร จึงอนุญาตให้ข้าเรียกนางว่าพี่หญิงได้” ฉู่หว่านเอ๋อร์อดทนต่อความเจ็บปวดที่ขาและความชิงชังริษยาในจิตใจ พูดขึ้นอย่างอ่อนแรง คำอธิบายพร้อมท่าทางอ่อนแอเช่นนี้เรียกร้องความเห็นใจได้สำเร็จ และบรรดาผู้ที่มีปากเสียงในเรื่องนี้ก็เงียบไปเช่นกัน “เอาล่ะ เจ้ารู้ความขึ้นมากจริง ๆ แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เจ้ารีบไปขอให้ท่านหมอเทวดาตร
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย