หลายวันผ่านไป อากาศในเดือนแปดไม่ได้เย็นลง แต่กลับค่อย ๆ ร้อนขึ้นทุกวันฉู่เนี่ยนซีที่ต้องเผชิญกับฤดูร้อนที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมเป็นครั้งแรก และทุกวันต้องใส่เสื้อผ้าหลายชั้น อีกทั้งอุณหภูมิที่สูงตลอดวัน ทำให้นางรู้สึกไม่สบาย ไม่อยากกินอะไร แล้วก็ไม่อยากออกไปไหนเย่เฟยหลีถึงกับสงสัยว่านางโดนวางยาพิษเหมือนเขารึเปล่า ฉู่เนี่ยนซีที่ได้ยินก็รู้สึกละเหี่ยใจ ‘พวกเจ้าไม่เข้าใจความสุขของคนยุคใหม่หรอก’ที่บ่อนพนันก็มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจค้าสมุนไพรที่นางแอบไปทำการสำรวจก็ได้ผลตอบรับที่แตกต่างไปในแต่ละวันตอนนี้ธุรกิจทั้งหมดของฉู่เนี่ยนซีได้กลายเป็นธุรกิจที่ต้องทำในยามกลางคืนแล้วแต่เดิมนางตั้งใจไว้ว่าใช้เวลาช่วงกลางวันที่ศาลากับริมทะเลสาบตลอดช่วงฤดูร้อนทว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน มหาเสนาบดีฉู่ส่งคนมาแจ้งข่าวว่าขาของพี่ชายคนโตฉู่เจี้ยนอี้นั้นหายดีแล้ว และยังได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับสูงขั้นห้าประจำราชสำนัก ที่จวนมหาเสนาบดีจะจัดงานเลี้ยงฉลองในอีกสามวันจากนี้ ซึ่งบัตรเชิญนั้นได้ถูกส่งถึงเย่เฟยหลีก่อนแล้วคิด ๆ ดูก็เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้กลับไปจวนมหาเสนาบดี ตอ
เสียงดังของนางดึงดูดให้ผู้คนหันมามองเป็นตาเดียว จ้าวม่อเหยียนรู้สึกอายจนทำตัวไม่ถูก จึงทำมือเป็นสัญญาณให้นางลดเสียงลงแต่ในเมื่อหลิวซื่อมีความสุขขนาดนี้ จะไปสนใจคนอื่นทำไมกัน?“บอกแม่มาเร็ว มีเทพเซียนอาศัยที่จวนท่านมหาเสนาบดีใช่หรือไม่? ถึงได้รักษาขาของลูกเขยให้หายดีได้?”เหมือนหลิวซื่อจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เลยรีบลดเสียงลง “ข้าได้ยินคนนอกพูดกันว่าพวกเจ้าพาหมอเทวดามา หมอคนนั้นชื่อ...ชื่ออะไรนะ...”“เรียนฟูเหริน ชื่อว่าหมอเทวดาเฮ่อหลานเจ้าค่ะ”ขณะนั้น ฉู่หว่านเอ๋อร์ก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดอกไม้บนมวยผมอันบอบบางช่วยทำให้นางดูเหมือนดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ที่เพิ่งโผล่พ้นน้ำ คนหนุ่มสาวที่ยังไม่แต่งงานต่างแอบมองนางอยู่หลายหนฉู่เนี่ยนซียิ้มบาง ๆ รินจอกสุราของตนเอง แล้วค่อย ๆ ยกขึ้นจิบหลิวซื่อได้ยินดังนั้น ก็ดีใจจนหน้าบาน และดึงฉู่หว่านเอ๋อร์เข้ามาคุยอย่างสนิทสนม“สาวน้อย บอกข้ามาเร็ว คนที่จวนนี้ปากหนักกันมากเลย ข้าอยากจะตอบแทนน้ำใจหมอท่านนี้ที่ช่วยรักษาขาของลูกเขยข้าจะได้หรือไม่ ถือว่าช่วยข้าเถิด”จ้าวม่อเหยียนคิ้วขมวด เหลือบมองไปทางฉู่เนี่ยนซีโดยไม่รู้ตัว และได
“เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ?”อยู่ดี ๆ เสียงทุ้มกังวานของเย่เฟยหลีก็ดังเข้าหู นางตกใจเล็กน้อยและหันไปดู พบว่าเขาอยู่ใกล้นางมากเสียจนปลายจมูกเกือบชนกัน“อ้อ ไม่เป็นไร แค่ร้อนนิดหน่อย” นางลูบใบหูที่ถูกลมหายใจของเขารดใส่โดยไม่รู้ตัว ทั้งยังถอยออกมาเพราะทำตัวไม่ถูก “เมื่อครู่ข้าเห็นชื่อเย่เหลียนอยู่ในรายชื่อ ท่านรู้เรื่องนี้หรือไม่?”เย่เฟยหลีบ่นพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเรียกคนรับใช้มาเปลี่ยนเครื่องดื่มในมือของฉู่เนี่ยนซี จากสุราเป็นชาสมุนไพร“ถ้าเขามาข้าก็ไม่แปลกใจ”บรรยากาศรอบข้างที่ผู้คนพลุกพล่าน รออยู่นานกว่าจะสงบลง เย่เฟยหลีมองไปยังฉู่เจี้ยนอี้และกระซิบถาม “เจ้าเป็นคนรักษาขาของฉู่เจี้ยนอี้ใช่หรือไม่?”ฉู่เนี่ยนซีชะงักเบา ๆ แต่กระนั้นก็สบายใจ เพราะในเมื่อนางเป็นคนล้างพิษตกค้างในตัวเย่เฟยหลีในเวลาสั้น ๆ การที่เขาเดาได้ว่าตนเองเป็นคนรักษาขาให้ฉู่เจี้ยนอี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ“อืม”“ดูเหมือนที่นี่จะมีคนไม่ชอบเจ้า“ แม้เย่เฟยหลีจะคุยกับฉู่เนี่ยนซี แต่ตากลับจ้องไปยังฉู่หว่านเอ๋อร์ฉู่เนี่ยนซีที่เข้าใจว่าเขาหมายถึงใคร ก็แค่นเสียงเย็นชา “ตัวข้าไม่ใช่เงินทอง จะให้ทุกคนมาชอบคงทำไม่ได
ขณะที่การแสดงดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ฉู่หว่านเอ๋อร์ที่หายไปครู่หนึ่งก็ปรากฎตัวอยู่ด้านหลังลูกไฟในชุดสีแดง มนุษย์พ่นไฟได้สร้างลูกบอลไฟขนาดใหญ่ขึ้นมา ฉายให้ผู้ชมได้เห็นภาพของสตรีผู้งดงามอาบอัคดีฟื้นชีวาเปลวเพลิงโชติช่วงอันแสนเร้าใจ!ทุกสายตาต่างจับจ้อบไปยังฉู่หว่านเอ๋อร์ ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีกลองตั้งอยู่บนเวทีตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉู่หว่านเอ๋อร์เคลื่อนไหวด้วยรอยยิ้มอันเย้ายวน สะบัดชายผ้าผืนยาว วางเท้าเปล่าลงบนกลองและออกท่วงท่าร่ายรำ ทำเอาผู้ชมมองกันตาไม่กะพริบการแสดงระบำกลองนี้ได้รับความสนใจจากผู้ชมส่วนมาก ขณะกำลังจะปิดม่านการแสดงและทำการขอบคุณ จู่ ๆ คนรับใช้ที่พยุงนางไว้ก็เสียหลัก ทำให้นางร้องเสียงหลงและตกลงมาจากเวทีสูงบรรดาผู้ชมต่างตกใจ รีบลุกขึ้นดูเหตุการณ์ คนรับใช้หลายคนรีบไปช่วยกันพยุงขึ้นมา จ้าวม่อเหยียนที่เห็นก็ตกใจไม่แพ้กัน นางยกชายกระโปรงและวิ่งไปตรงนั้นอย่างรีบร้อนฉู่เนี่ยนซีกวาดตามองแขกในงาน เห็นเย่เหลียนจิบสุราอย่างไม่แยแส ส่วนมหาเสนาบดีฉู่ผู้เป็นประธานงานเลี้ยงก็คิ้วขมวดแน่นจนเห็นรอยย่นตรงหว่างคิ้วชัดเจน มีเพียงเย่เฟยหลีที่ถามเสียงเบา ๆ ว่า “น้องสาวของเจ้านี่ความสามารถไ
“พี่หญิง ได้โปรดดูอาการบาดเจ็บของน้องหว่านเอ๋อร์หน่อย นี่ยังมีเลือดออกอยู่เลยเจ้าค่ะ” ซ่างกวานเยียนที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีตั้งแต่เมื่อไหร่ พูดกับนางด้วยท่าทีเห็นอกเห็นใจ ฉู่เนี่ยนซีมองนางอย่างไม่เข้าใจ ซ่างกวานเยียนพยายามใช้กลอุบายอะไร นางอยากให้เรื่องที่ตนเองมีความรู้ทางการแพทย์เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะให้ผู้อื่นรู้ แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูคนอื่น มันเหมือนกับพวกเขาได้ยินเรื่องที่ตลกมาก ๆ เรื่องหนึ่ง แล้วก็เกิดเสียงเอะอะขึ้นมา “ข้าเกรงว่าชายารองคงดื่มจนเมาเสียแล้ว ใครจะไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระชายาหลีบ้าง? นางไม่เพียงแต่หน้าตาอัปลักษณ์เท่านั้น ยังไม่มีพรสวรรค์หรือคุณธรรมด้วย หากให้พระชายามาช่วยดูอาการบาดเจ็บของนาง ข้ากลัวว่าอาจจะเป็นอันตรายกับคุณหนูหว่านเอ๋อร์ก็เป็นได้...” “ข้าว่านางคงจะมีจิตใจดีเกินไปเลยไม่ทันได้ไตร่ตรอง หากพระชายาหลีมีความรู้ทางการแพทย์ หลังจากนี้ข้าจะเอาตำราแพทย์มาต้มกินเลย” “ฮ่าฮ่า... ข้าได้ยินคนใช้ในบ้านลูกพี่ลูกน้องภรรยาของข้าคุยกับคนนอก ว่ากันว่าตอนนั้นพระชายาหลีวางยาท่านอ๋องหลี พวกเขาจึงกลายเป็นสามีภรรยากัน เลยไม่แน่ใจนักว่าพระชายาหลีม
เมื่อความคิดเห็นของทุกคนไปถึงหูของซ่างกวานเยียนและฉู่หว่านเอ๋อร์ ทำให้พวกนางหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมา คนที่ไม่สบายใจที่สุดคือฉู่หว่านเอ๋อร์ นางเจ็บขาเสียจนแทบทนไม่ไหว ไหนจะยังมีคำพูดพวกนั้นที่ทำให้โมโหยิ่งกว่าเดิมอีก ก่อนหน้านี้ที่ฉู่หว่านเอ๋อร์เรียกซ่างกวานเยียนว่าพี่หญิง ฉู่เนี่ยนซีไม่ได้พูดอะไรเลย ฉู่เนี่ยนซีที่อยู่ด้านข้างกลับไม่รู้สึกรู้สา เมื่อได้เห็นสีหน้าของทั้งคู่ นางก็ยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ เมื่อพูดถึงวาทศิลป์ คนยุคใหม่เช่นนางจะแพ้ใครได้อย่างไร? “ไม่ใช่หรอก ตอนนี้ลูกพี่ลูกน้องของข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์ไปแล้ว หากข้ายังเรียกนางว่าพี่หญิง จะถูกผู้คนหาว่าไม่มีมารยาทเอาได้ ส่วนพี่หญิงซ่างกวานนั้น นางเห็นว่าข้าคิดถึงท่านย่ากับท่านพ่อ นางจึงรู้สึกสงสาร จึงอนุญาตให้ข้าเรียกนางว่าพี่หญิงได้” ฉู่หว่านเอ๋อร์อดทนต่อความเจ็บปวดที่ขาและความชิงชังริษยาในจิตใจ พูดขึ้นอย่างอ่อนแรง คำอธิบายพร้อมท่าทางอ่อนแอเช่นนี้เรียกร้องความเห็นใจได้สำเร็จ และบรรดาผู้ที่มีปากเสียงในเรื่องนี้ก็เงียบไปเช่นกัน “เอาล่ะ เจ้ารู้ความขึ้นมากจริง ๆ แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เจ้ารีบไปขอให้ท่านหมอเทวดาตร
ฉู่เนี่ยนซีมีท่าทีนิ่งเฉย และเมื่อหมอเทวดาโค้งคำนับเสร็จ นางก็ตอบรับเป็นอย่างดี การเสแสร้งเช่นนี้ ทำให้ผู้ตะลึงตาค้างและคิดว่าตัวเองตาฝาด หมอเทวดาเฮ่อหลานที่แม้แต่องค์จักรพรรดิยังให้ความเคารพยกย่อง กลับมาโค้งคำนับให้หญิงสาวที่เติบโตอยู่แต่ในห้องและมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ อีกทั้งสายตาเขาก็ดูนับถือนางอีกด้วย ขณะที่ทุกคนคิดว่าตัวเองกำลังเข้าใจผิดและตาฝาด หมอเทวดาเฮ่อหลานก็พูดว่า “คุณหนูหว่านเอ๋อร์ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นแค่การบาดเจ็บภายนอก ให้ข้าดูให้เองดีกว่า คุณหนูเนี่ยนซีสามารถรักษาคนที่อาการหนักกว่านี้ได้ หากแค่ให้มารักษาแผลที่ขาของท่านจะเป็นการเสียของเปล่า ๆ ” ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบลงทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา หมอเทวดาเฮ่อหลานดูเหมือนจะไม่รู้ว่าคำพูดของเขาส่งผลต่อใจของทุกคนอย่างไร เขารีบเดินไปหาฉู่หว่านเอ๋อร์และรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของนาง ในขณะนี้ ปฏิกิริยาของทุกคนมีเพียงความตกตะลึง นี่ใช่หมอเทวดาเฮ่อหลานในตำนานแน่หรือ? เหตุใดเขาถึงทำตัวเหมือนเป็นน้องชายของพระชายาหลี? ชายผู้มีชื่อเสียงมองหญิงสาวที่ไม่มีพรสวรรค์คนนั้นด้วยความเคารพ ถึงขั้นเอ่ยออกว่า หากให้รักษาแค่แผลเล็ก
พูดจบ เขาก็ขอให้คนสนิทพาฉู่หว่านเอ๋อร์กลับห้อง โดยอ้างว่าคุณหนูหว่านเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสและรู้สึกขวัญเสีย ไม่สามารถออกไปไหนได้ตามใจชอบ ความหมายนั้นชัดเจนมาก ไม่มีใครสามารถไปเยี่ยมนางได้หากไม่ได้รับการอนุญาตจากมหาเสนาบดีฉู่ และฉู่หว่านเอ๋อร์เองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากเรือนได้ตามใจตัวเอง มหาเสนาบดีฉู่พูดเช่นนั้นแล้ว บรรดาแขกในงานก็คงไม่อาจพูดเรื่องของฉู่หว่านเอ๋อร์ได้อีก พวกเขาต่างคนก็หาข้อแก้ตัวเพื่อดื่มสุราและเปลี่ยนมาพูดคุยเรื่องของฉู่เนี่ยนซีแทน ฉู่เนี่ยนซีกลับมาที่ที่นั่งของนางอย่างเงียบ ๆ โดยยังคงยิ้มตามมารยาท ยอมรับการรินสุราและการผูกมิตรจากแขกเหล่านี้ แต่หางตาของนางโค้งเล็กน้อยไม่ใช่แค่เฉยเมยอีกต่อไป แต่กลับเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ไม่มีใครมาชวนนางดื่ม เย่เฟยหลีที่อยู่ด้วย ก็ถามขึ้นเนิบ ๆ "เจ้าต้องการให้ข้าช่วยดื่มหรือไม่?" ฉู่เนี่ยนซีตกใจเล็กน้อย พลางนึกไปถึงงานเลี้ยงในวังเมื่อครั้งก่อน ที่นางได้ช่วยเย่เฟยหลีดื่มสุราเพราะตอนนั้นเขายังดื่มไม่ได้ “ไม่ต้อง ข้าก็ไม่ใช่ว่าจะดื่มไม่ได้ ขอบคุณมาก” อาจเป็นเพราะอารมณ์ที่สับสน น้ำเสียงของนางจึงเย็นชากว่าปกติเล