ถ้าเป็นนางเมื่อก่อน อาจจะถูกเขายุยงให้เข้าใจผิดว่าความคิดของเย่เฟยหลีที่มีต่อนางในตอนนี้ คือตัวนางมีค่าเพื่อเอาไว้สร้างประโยชน์ แต่นางเป็นคนเดียวที่รู้จากก้นบึ้งของหัวใจว่า ผู้ชายคนนี้รังเกียจที่จะแสวงหาอำนาจผ่านสตรี ไม่ต้องพูดถึงความรู้ด้านการแพทย์และมิตรภาพของนางกับหมอเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ แม้เขาจะเป็นท่านอ๋องผู้สูงส่ง แต่เขาไม่ชอบอะไรเขาจะไม่พูดกับนางเลย เหตุผลที่นางกับเขาเข้ากันได้ก็เพียงเพราะหนังสือหย่าฉบับนั้น มันทำให้เขารู้สึกโล่งใจและคิดว่านางไม่มีจุดประสงค์ใดแอบแฝงในการเข้ามาในจวนอ๋อง ไม่เช่นนั้น ตอนนี้เย่เฟยหลีคงกลัวว่านางจะรบกวนเขา และอยู่ห่างจากนางให้มากที่สุด ดังนั้นสิ่งที่เย่เหลียนพูดจึงไม่จำเป็นเลย แต่...เย่เหลียนคงไม่โง่ถึงเพียงนั้น แค่หว่านเมล็ดแห่งความขัดแย้งลงไปเท่านั้น ฉู่เนี่ยนซีครุ่นคิด พลางกวาดตาพินิจมองสายตาที่มีอยู่รอบตัวอย่างพินิจพิเคราะห์ และเข้าใจในทันที นอกจากจะบอกแก่นางแล้ว เขายังจะบอกคนอื่นด้วย ‘หากเรื่องไปถึงหูขององค์จักรพรรดิ ก็กลัวว่าเย่เฟยลีผู้ซึ่งไม่ได้รับความโปรดปราณ อาจจะทำให้องค์จักรพรรดิทรงคิดว่าเขากำลังหาทางเข้ามหาเสนาบดีผ่านการแต่ง
“ขอบคุณท่านหมอ คราวนี้ข้ารบกวนท่านอีกแล้ว” ดวงตาของฉู่หว่านเอ๋อร์เต็มไปด้วยน้ำตา และใบหน้าที่ดูซีดเซียวจากการเสียเลือด ก็ยิ่งทำให้นางดูน่าสงสากว่าเก่า แม้ว่าหมอเทวดาเฮ่อหลานจะไม่ได้มีชีวิตอย่างคนที่อยู่ในแวดวงชนชั้นสูง แต่เขาก็มองเห็นความชิงชังเล็ก ๆ ระหว่างนางกับฉู่เนี่ยนซี ดังนั้นท่าทีของเขาจึงเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม “คุณหนูหว่านเอ๋อร์ไม่ต้องเกรงใจ ก่อนหน้านี้ที่ท่านให้ยาวิเศษข้ามา คราวก่อนเรื่องขาของคุณชายใหญ่ฉู่ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ วันนี้ถือว่านี่เป็นการตอบแทน นับจากนี้ท่านกับข้าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป” หมอเทวเฮ่อหลานพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ความหมายก็คือหลังจากนี้นางไม่จำเป็นต้องติดต่อเขาอีกแล้ว ฉู่หว่านเอ๋อร์ที่ได้ยินก็ตะลึงและอยากจะลุกขึ้น แต่ความเจ็บปวดที่ขาทำให้นางอ้าปากค้างและมีสีหน้าที่แย่ยิ่งกว่าเดิม “ท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานกำลังพูดอะไรเจ้าคะ หว่านเอ๋อร์ใช้ยาวิเศษนี่ไม่ได้หรอก ข้าเพียงอยากมอบให้กับคนที่สามารถใช้มันได้ และข้าก็ชื่นชมความรู้ด้านการแพทย์ที่ท่านหมอเทวดามีมาโดยตลอด” “ข้ารู้ว่าสถานะของข้าไม่คู่ควรที่จะสนิทสนมกับท่านหมอเทวดา หากหว่านเอ๋อร์ทำอะไรที่ทำใ
“เอาล่ะ ๆ ข้าจะเล่าให้ฟัง” ซ่างกวานเยียนใช้ฝ่ามือตบ ๆ ไปที่ฉู่หว่านเอ๋อร์อย่างไม่มีทางเลือก และพูดขึ้นช้า ๆ “เมื่อครู่…” นางเล่าถึงเหตุการณ์ที่เย่เหลียน เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีสนทนากันในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะตอนที่เย่เหลียนเข้าหาฉู่เนี่ยนซีและพูดเรื่องหย่า รวมไปถึงการเปลี่ยนสรรพนามระหว่างพวกเขาทั้งสองคน อีกทั้งนางยังใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไปอีก ทันใดนั้นฉู่หว่านเอ๋อร์ก็กลายเป็นเหมือนเสือคลุ้มคลั่ง นางกำหมัดแน่น “เหตุใด! เหตุใด! ถึงต้องเป็นฉู่เนี่ยนซีอีกแล้ว เป็นนางอีกแล้ว" “อย่าตะโกนสิ ข้างนอกมีคนอยู่ ใจเย็น ๆ ” “จะให้ข้าจะใจเย็นได้เช่นไร ข้าชอบองค์ชายเหลียนมาตั้งแต่เด็ก นางแย่งชิงแต่สิ่งดี ๆ ไป ตอนนี้ก็จะมาแย่งองค์ชายเหลียนไปอีก” “น้องหญิงของข้างามกว่าฉู่เนี่ยนซีไม่รู้ตั้งกี่เท่า เหตุใดถึงไม่มั่นใจในตัวเองหน่อยล่ะ บางทีนะ...บางทีอาจเป็นเพราะท่านอ๋องเหลียนไม่ถูกกับท่านอ๋องหลี เลยเป็นสาเหตุที่พระองค์จงใจสร้างความลำบากให้อีกฝ่าย” ซ่างกวานเยียนพูดอย่างจริงใจ ฉู่หว่านเอ๋อร์มองนางทั้งน้ำตา ราวกับได้พบสิ่งยึดเหนี่ยวใจ และถามอย่างแผ่วเบาว่า "จริงหรือเจ้าคะ?" “จริงสิ หากนางไม่
“มีสถานที่เช่นนั้นอยู่ด้วยนี่เอง” ฉู่เนี่ยนซีประหลาดใจ “แล้วปกติเขาทำการค้าขายกันอย่างไร?” “โดยปกติแล้วจะมีคู่ค้าที่พวกเขาคุ้นเคยด้วย” “ชื่อเสียงเรียงนามเล่า?” “เย่ากู่!” “พรุ่งนี้ท่านหมอว่างใช่ไหม?” เฮ่อหลานโบกมืออย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินเช่นนั้น “ไม่...ข้าไม่ว่าง ข้าขอตัวกลับก่อน...” ทันทีที่เขาหันหลังจะจากไป เสียงอันแผ่วเบาของฉู่เนี่ยนซีก็ดังขึ้น “นี่คือเงื่อนไขที่สองของข้า” หมอเทวดาเฮ่อหลานตกตะลึงพรึงเพริดราวกับเขาเผลอกลืนของขม และสีหน้าที่มีแต่ความหดหู่ ‘ไหนพระชายาสัญญาว่าจะไม่บังคับผู้อื่นโดยไม่เต็มใจไม่ใช่หรือ?’ .….. งานเลี้ยงในห้องโถงด้านหน้าสิ้นสุดลง แขกแต่ละคนก็ทยอยกันกลับ ส่วนเย่เฟยหลีกลับเข้างานมาอีกทีในตอนเย็น จากนั้นฉู่เนี่ยนซีและซ่างกวานเยียนก็กลับไปที่จวนอ๋องหลีพร้อม ๆ กัน ไม่รู้เหตุใดซ่างกวานเยียนจึงนั่งเงียบอย่างน่าประหลาดใจมาตลอดทาง นางไม่แม้แต่จะหาเรื่อง แต่กระนั้นฉู่เนี่ยนซีก็คร้านที่จะสนใจ เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อฉู่เนี่ยนซีตื่นขึ้นมา ก็สั่งให้อวี๋ซีเตรียมเสื้อผ้าล่วงหน้าออกจากจวนไปก่อน และไปรอนางที่โรงพนันหุยหุน ทันทีที่สั่งการเรียบร้อยแล้ว
ฉู่เนี่ยนซีมาถึงโรงพนันหุยหุนอย่างรวดเร็วเพื่อตามหาอวี๋ซีและเอาเสื้อผ้าที่ฝากไว้ล่วงหน้า ข้างในห่อผ้านั้นเป็นอาภรณ์บุรุษและของบางสิ่งที่คล้ายทำจากหนังซึ่งนางก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร “ออกไปก่อน ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า” เสี่ยวเถาและอวี๋ซีรับคำสั่งและออกจากห้องไป ไม่รู้ว่ารออยู่นานเท่าไหร่ ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง ทั้งสองมองไปเห็นบุรุในชุดผ้าฝ้ายสีขาวไข่กาเดินออกมาจากห้อง ผิวของเขาขาวราวกับหยก ใบหน้างดงามมีมิติ แม้แต่กรอบหน้าและแต่ละมุมของใบหน้าก็วิจิตรงดงามราวกับรูปสลัก เซียวเถาชี้ไปที่คนผู้นี้ด้วยความประหลาดใจและแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ตะโกนออกมาอย่างไม่แน่ใจ “พระชายาหรือเพคะ?” “อืม” ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าเบา ๆ พร้อมเผยรอยยิ้มบนใบหน้า “เป็นท่านจริง ๆ โอ้สวรรค์ พระชายาดูเหมือนบุรุษมากเพคะ” เสี่ยวเถาวิ่งไปหาฉู่เนี่ยนซีอย่างมีความสุขและเดินดูวนไปมารอบ ๆ ตัวนาง อวี๋ซีมองจากด้านข้าง มีความประหลาดใจแวบขึ้นมาในดวงตาที่เย็นชาของเขา นายหญิงเลียนแบบลักษณะเด่น ๆ ของผู้ชายได้เกือบทั้งหมด แม้แต่ลูกกระเดือกก็สมจริง อีกทั้งใบหน้าก็ไร้ซึ่งความกลมมนและไม่มีเค้าความอ่อนโยนของส
ฉู่เนี่ยนซียิ้มมุมปากเบา ๆ พุ่งไปหาชายเหล่านั้นและทำท่าทางเหมือนคุณชายโดยเอากำปั้นมาทาบไว้ตรงหน้าอกเพื่อแสดงความเคารพ “ข้าแซ่ซี อยากจะขอพบนายใหญ่ของศาลาโอสถแห่งนี้” “ที่ศาลาโอสถไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้าไป คุณชายมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นจะดีกว่า” แม้จะเห็นท่าทางที่มีมารยาทอย่างมากของฉู่เนี่ยนซี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาลำบากใจเท่าไหร่ “ข้าได้ยินมาว่าที่ศาลาโอสถมีกฎ หากใครก็ตามที่ผ่านทั้งศิลปะการต่อสู้และการทดสอบพิษจะสามารถเข้าไปในศาลาโอสถได้ ข้าสงสัยว่านั่นเป็นความจริงหรือไม่?” หลังจากได้ยินคำถามของฉู่เนี่ยนซี หลายคนก็มองหน้ากัน จากนั้นชายที่เป็นผู้นำก็พูดขึ้น “มีคำกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครผ่าน และหากไม่ผ่านก็ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ ท่านแน่ใจหรือว่าต้องการจะลอง” “แน่ใจสิ” ฉู่เนี่ยนซีมีท่าทีสงบและพยักหน้าเบา ๆ ชายทั้งกลุ่มเห็นว่าทั้งสองคนแน่ใจและไม่พูดอะไรต่อ ในรอบแรกของการแข่งขันคือการทดสอบศิลปะการต่อสู้ มีเพียงหนึ่งในสองคนเท่านั้นที่สามารถลงสนามและต่อสู้กับคนสิบคนได้ ขอแค่สามารถล้มพวกเขาสามคนได้ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป*ก็จะถือว่าผ่าน ผู้เข้าแข่งขันในรอ
ได้ยินดังนั้น ผู้คนที่ตื่นตระหนกเล็กน้อยจากการโจมตีสองครั้งของอวี๋ซี ในตอนนี้ก็ตื่นตระหนกมากขึ้นกว่าเดิม ค่ายกลกระบี่สูญเสียคนไปสองคน และตอนนี้อารมณ์ของทุกคนทำให้ค่ายกลกระบี่ดั้งเดิมมีจุดบอด ไม่สามารถรักษาค่ายกลกระบี่ไว้ได้อย่างสมบูรณ์เหมือนเก่า เป็นเรื่องยากที่จะเห็นร่องรอยแห่งความสุขในดวงตาที่เย็นชาของอวี๋ซี ดวงตาที่แหลมคมของเขาราวกับนกอินทรีมองไปที่ตำแหน่งการป้องกันที่อ่อนแอที่สุดและโจมตีเข้าไปอย่างรุนแรง กระบี่ที่อยู่ในมือของหลาย ๆ คนถูกกระแทกออกไปทันที จากนั้นพวกเขาก็ทรงตัวไม่อยู่ หลังถูกชนก็ลอยถอยหลังล้มลงกับพื้น “ทำได้ดีมากอวี๋ซี!” ฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะตะโกน จากนั้นนางก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วกว่าความคิด น้ำยาล้างแผลและผ้าพันแผลก็โผล่ออกมาจากแขนเสื้อ “แขน” อวี๋ซีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยื่นแขนออกอย่างว่าง่าย ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองบาดแผลที่แขนของเขา จากนั้นเปิดขวดน้ำยาล้างแผลแล้วเม้มริมฝีปาก “เจ็บหน่อยนะ อดทนไว้” ขณะที่พูด นางก็ฉีกรูเสื้อผ้าให้กว้างขึ้นจนเห็นบาดแผลทั้งหมด แล้วฆ่าเชื้ออย่างระมัดระวัง ทายาที่แผล จากนั้นจึงพันผ้าพันแผล วันนี้เขาสวมชุดสีดำ หา
“นี่คือยาพิษ ใครจะเป็นคนดื่ม?” “ข้าเอง” อวี๋ซีก้าวไปข้างหน้าและรับยาพิษมา ฉู่เนี่ยนซีที่เห็นก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปห้าม เพราะพวกเขากินยาบรรเทาพิษไว้ตั้งแต่ตอนที่มาถึงแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาพิษทั้งหมดได้ แต่ก็ยังพอควบคุมพิษที่เป็นอันตรายได้ เหมือนกับพิษที่รุนแรงชนิดนี้ ซึ่งก็สามารถลดความเจ็บปวดได้เช่นกัน แต่จู่ ๆ ในหัวของนางก็มีภาพขวดยาขนาดใหญ่ปรากฎขึ้น โดยมีข้อความสองสามบรรทัดอยู่เหนือขวดยา “ชื่อ: โอสถกลืนวิญญาณ พิษระดับหก อาการ: เจ็บปวดทุรนทุราย ต้องชะล้างพิษภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ไม่เช่นนั้นจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ และท้ายที่สุดเส้นลมปราณจะถูกทำลายและตายไป ต่อไปคือส่วนผสมของตัวยา…” ฉู่เนี่ยนซีสะดุ้งและรีบเบนสายตาให้พ้นจากขวดยา แต่เสียงที่ดังขึ้นในหัวยังคงไม่หายไป ทำให้นางทั้งตกใจและกลัวอย่างมาก แม้อาการคนไข้ที่ได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงทีจะไม่มีอาการร้ายแรง แต่ก็ค่อนข้างทรมาณ ทำให้นางได้เปิดใช้งานทักษะการค้นคว้าและวิเคราะห์ข้อมูล เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เกรงว่าหากอวี๋ซีดื่มยาพิษนั่นแล้วจะ… คิดได้ดังนั้น นางก็รู้สึกเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ ดวงตาเรียวดุจหงษ์มองคนที่ยื่นขวดยาให้
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย