ถ้าเป็นนางเมื่อก่อน อาจจะถูกเขายุยงให้เข้าใจผิดว่าความคิดของเย่เฟยหลีที่มีต่อนางในตอนนี้ คือตัวนางมีค่าเพื่อเอาไว้สร้างประโยชน์ แต่นางเป็นคนเดียวที่รู้จากก้นบึ้งของหัวใจว่า ผู้ชายคนนี้รังเกียจที่จะแสวงหาอำนาจผ่านสตรี ไม่ต้องพูดถึงความรู้ด้านการแพทย์และมิตรภาพของนางกับหมอเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ แม้เขาจะเป็นท่านอ๋องผู้สูงส่ง แต่เขาไม่ชอบอะไรเขาจะไม่พูดกับนางเลย เหตุผลที่นางกับเขาเข้ากันได้ก็เพียงเพราะหนังสือหย่าฉบับนั้น มันทำให้เขารู้สึกโล่งใจและคิดว่านางไม่มีจุดประสงค์ใดแอบแฝงในการเข้ามาในจวนอ๋อง ไม่เช่นนั้น ตอนนี้เย่เฟยหลีคงกลัวว่านางจะรบกวนเขา และอยู่ห่างจากนางให้มากที่สุด ดังนั้นสิ่งที่เย่เหลียนพูดจึงไม่จำเป็นเลย แต่...เย่เหลียนคงไม่โง่ถึงเพียงนั้น แค่หว่านเมล็ดแห่งความขัดแย้งลงไปเท่านั้น ฉู่เนี่ยนซีครุ่นคิด พลางกวาดตาพินิจมองสายตาที่มีอยู่รอบตัวอย่างพินิจพิเคราะห์ และเข้าใจในทันที นอกจากจะบอกแก่นางแล้ว เขายังจะบอกคนอื่นด้วย ‘หากเรื่องไปถึงหูขององค์จักรพรรดิ ก็กลัวว่าเย่เฟยลีผู้ซึ่งไม่ได้รับความโปรดปราณ อาจจะทำให้องค์จักรพรรดิทรงคิดว่าเขากำลังหาทางเข้ามหาเสนาบดีผ่านการแต่ง
“ขอบคุณท่านหมอ คราวนี้ข้ารบกวนท่านอีกแล้ว” ดวงตาของฉู่หว่านเอ๋อร์เต็มไปด้วยน้ำตา และใบหน้าที่ดูซีดเซียวจากการเสียเลือด ก็ยิ่งทำให้นางดูน่าสงสากว่าเก่า แม้ว่าหมอเทวดาเฮ่อหลานจะไม่ได้มีชีวิตอย่างคนที่อยู่ในแวดวงชนชั้นสูง แต่เขาก็มองเห็นความชิงชังเล็ก ๆ ระหว่างนางกับฉู่เนี่ยนซี ดังนั้นท่าทีของเขาจึงเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม “คุณหนูหว่านเอ๋อร์ไม่ต้องเกรงใจ ก่อนหน้านี้ที่ท่านให้ยาวิเศษข้ามา คราวก่อนเรื่องขาของคุณชายใหญ่ฉู่ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ วันนี้ถือว่านี่เป็นการตอบแทน นับจากนี้ท่านกับข้าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป” หมอเทวเฮ่อหลานพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ความหมายก็คือหลังจากนี้นางไม่จำเป็นต้องติดต่อเขาอีกแล้ว ฉู่หว่านเอ๋อร์ที่ได้ยินก็ตะลึงและอยากจะลุกขึ้น แต่ความเจ็บปวดที่ขาทำให้นางอ้าปากค้างและมีสีหน้าที่แย่ยิ่งกว่าเดิม “ท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานกำลังพูดอะไรเจ้าคะ หว่านเอ๋อร์ใช้ยาวิเศษนี่ไม่ได้หรอก ข้าเพียงอยากมอบให้กับคนที่สามารถใช้มันได้ และข้าก็ชื่นชมความรู้ด้านการแพทย์ที่ท่านหมอเทวดามีมาโดยตลอด” “ข้ารู้ว่าสถานะของข้าไม่คู่ควรที่จะสนิทสนมกับท่านหมอเทวดา หากหว่านเอ๋อร์ทำอะไรที่ทำใ
“เอาล่ะ ๆ ข้าจะเล่าให้ฟัง” ซ่างกวานเยียนใช้ฝ่ามือตบ ๆ ไปที่ฉู่หว่านเอ๋อร์อย่างไม่มีทางเลือก และพูดขึ้นช้า ๆ “เมื่อครู่…” นางเล่าถึงเหตุการณ์ที่เย่เหลียน เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีสนทนากันในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะตอนที่เย่เหลียนเข้าหาฉู่เนี่ยนซีและพูดเรื่องหย่า รวมไปถึงการเปลี่ยนสรรพนามระหว่างพวกเขาทั้งสองคน อีกทั้งนางยังใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไปอีก ทันใดนั้นฉู่หว่านเอ๋อร์ก็กลายเป็นเหมือนเสือคลุ้มคลั่ง นางกำหมัดแน่น “เหตุใด! เหตุใด! ถึงต้องเป็นฉู่เนี่ยนซีอีกแล้ว เป็นนางอีกแล้ว" “อย่าตะโกนสิ ข้างนอกมีคนอยู่ ใจเย็น ๆ ” “จะให้ข้าจะใจเย็นได้เช่นไร ข้าชอบองค์ชายเหลียนมาตั้งแต่เด็ก นางแย่งชิงแต่สิ่งดี ๆ ไป ตอนนี้ก็จะมาแย่งองค์ชายเหลียนไปอีก” “น้องหญิงของข้างามกว่าฉู่เนี่ยนซีไม่รู้ตั้งกี่เท่า เหตุใดถึงไม่มั่นใจในตัวเองหน่อยล่ะ บางทีนะ...บางทีอาจเป็นเพราะท่านอ๋องเหลียนไม่ถูกกับท่านอ๋องหลี เลยเป็นสาเหตุที่พระองค์จงใจสร้างความลำบากให้อีกฝ่าย” ซ่างกวานเยียนพูดอย่างจริงใจ ฉู่หว่านเอ๋อร์มองนางทั้งน้ำตา ราวกับได้พบสิ่งยึดเหนี่ยวใจ และถามอย่างแผ่วเบาว่า "จริงหรือเจ้าคะ?" “จริงสิ หากนางไม่
“มีสถานที่เช่นนั้นอยู่ด้วยนี่เอง” ฉู่เนี่ยนซีประหลาดใจ “แล้วปกติเขาทำการค้าขายกันอย่างไร?” “โดยปกติแล้วจะมีคู่ค้าที่พวกเขาคุ้นเคยด้วย” “ชื่อเสียงเรียงนามเล่า?” “เย่ากู่!” “พรุ่งนี้ท่านหมอว่างใช่ไหม?” เฮ่อหลานโบกมืออย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินเช่นนั้น “ไม่...ข้าไม่ว่าง ข้าขอตัวกลับก่อน...” ทันทีที่เขาหันหลังจะจากไป เสียงอันแผ่วเบาของฉู่เนี่ยนซีก็ดังขึ้น “นี่คือเงื่อนไขที่สองของข้า” หมอเทวดาเฮ่อหลานตกตะลึงพรึงเพริดราวกับเขาเผลอกลืนของขม และสีหน้าที่มีแต่ความหดหู่ ‘ไหนพระชายาสัญญาว่าจะไม่บังคับผู้อื่นโดยไม่เต็มใจไม่ใช่หรือ?’ .….. งานเลี้ยงในห้องโถงด้านหน้าสิ้นสุดลง แขกแต่ละคนก็ทยอยกันกลับ ส่วนเย่เฟยหลีกลับเข้างานมาอีกทีในตอนเย็น จากนั้นฉู่เนี่ยนซีและซ่างกวานเยียนก็กลับไปที่จวนอ๋องหลีพร้อม ๆ กัน ไม่รู้เหตุใดซ่างกวานเยียนจึงนั่งเงียบอย่างน่าประหลาดใจมาตลอดทาง นางไม่แม้แต่จะหาเรื่อง แต่กระนั้นฉู่เนี่ยนซีก็คร้านที่จะสนใจ เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อฉู่เนี่ยนซีตื่นขึ้นมา ก็สั่งให้อวี๋ซีเตรียมเสื้อผ้าล่วงหน้าออกจากจวนไปก่อน และไปรอนางที่โรงพนันหุยหุน ทันทีที่สั่งการเรียบร้อยแล้ว
ฉู่เนี่ยนซีมาถึงโรงพนันหุยหุนอย่างรวดเร็วเพื่อตามหาอวี๋ซีและเอาเสื้อผ้าที่ฝากไว้ล่วงหน้า ข้างในห่อผ้านั้นเป็นอาภรณ์บุรุษและของบางสิ่งที่คล้ายทำจากหนังซึ่งนางก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร “ออกไปก่อน ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า” เสี่ยวเถาและอวี๋ซีรับคำสั่งและออกจากห้องไป ไม่รู้ว่ารออยู่นานเท่าไหร่ ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง ทั้งสองมองไปเห็นบุรุในชุดผ้าฝ้ายสีขาวไข่กาเดินออกมาจากห้อง ผิวของเขาขาวราวกับหยก ใบหน้างดงามมีมิติ แม้แต่กรอบหน้าและแต่ละมุมของใบหน้าก็วิจิตรงดงามราวกับรูปสลัก เซียวเถาชี้ไปที่คนผู้นี้ด้วยความประหลาดใจและแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ตะโกนออกมาอย่างไม่แน่ใจ “พระชายาหรือเพคะ?” “อืม” ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าเบา ๆ พร้อมเผยรอยยิ้มบนใบหน้า “เป็นท่านจริง ๆ โอ้สวรรค์ พระชายาดูเหมือนบุรุษมากเพคะ” เสี่ยวเถาวิ่งไปหาฉู่เนี่ยนซีอย่างมีความสุขและเดินดูวนไปมารอบ ๆ ตัวนาง อวี๋ซีมองจากด้านข้าง มีความประหลาดใจแวบขึ้นมาในดวงตาที่เย็นชาของเขา นายหญิงเลียนแบบลักษณะเด่น ๆ ของผู้ชายได้เกือบทั้งหมด แม้แต่ลูกกระเดือกก็สมจริง อีกทั้งใบหน้าก็ไร้ซึ่งความกลมมนและไม่มีเค้าความอ่อนโยนของส
ฉู่เนี่ยนซียิ้มมุมปากเบา ๆ พุ่งไปหาชายเหล่านั้นและทำท่าทางเหมือนคุณชายโดยเอากำปั้นมาทาบไว้ตรงหน้าอกเพื่อแสดงความเคารพ “ข้าแซ่ซี อยากจะขอพบนายใหญ่ของศาลาโอสถแห่งนี้” “ที่ศาลาโอสถไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้าไป คุณชายมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นจะดีกว่า” แม้จะเห็นท่าทางที่มีมารยาทอย่างมากของฉู่เนี่ยนซี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาลำบากใจเท่าไหร่ “ข้าได้ยินมาว่าที่ศาลาโอสถมีกฎ หากใครก็ตามที่ผ่านทั้งศิลปะการต่อสู้และการทดสอบพิษจะสามารถเข้าไปในศาลาโอสถได้ ข้าสงสัยว่านั่นเป็นความจริงหรือไม่?” หลังจากได้ยินคำถามของฉู่เนี่ยนซี หลายคนก็มองหน้ากัน จากนั้นชายที่เป็นผู้นำก็พูดขึ้น “มีคำกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครผ่าน และหากไม่ผ่านก็ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ ท่านแน่ใจหรือว่าต้องการจะลอง” “แน่ใจสิ” ฉู่เนี่ยนซีมีท่าทีสงบและพยักหน้าเบา ๆ ชายทั้งกลุ่มเห็นว่าทั้งสองคนแน่ใจและไม่พูดอะไรต่อ ในรอบแรกของการแข่งขันคือการทดสอบศิลปะการต่อสู้ มีเพียงหนึ่งในสองคนเท่านั้นที่สามารถลงสนามและต่อสู้กับคนสิบคนได้ ขอแค่สามารถล้มพวกเขาสามคนได้ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป*ก็จะถือว่าผ่าน ผู้เข้าแข่งขันในรอ
ได้ยินดังนั้น ผู้คนที่ตื่นตระหนกเล็กน้อยจากการโจมตีสองครั้งของอวี๋ซี ในตอนนี้ก็ตื่นตระหนกมากขึ้นกว่าเดิม ค่ายกลกระบี่สูญเสียคนไปสองคน และตอนนี้อารมณ์ของทุกคนทำให้ค่ายกลกระบี่ดั้งเดิมมีจุดบอด ไม่สามารถรักษาค่ายกลกระบี่ไว้ได้อย่างสมบูรณ์เหมือนเก่า เป็นเรื่องยากที่จะเห็นร่องรอยแห่งความสุขในดวงตาที่เย็นชาของอวี๋ซี ดวงตาที่แหลมคมของเขาราวกับนกอินทรีมองไปที่ตำแหน่งการป้องกันที่อ่อนแอที่สุดและโจมตีเข้าไปอย่างรุนแรง กระบี่ที่อยู่ในมือของหลาย ๆ คนถูกกระแทกออกไปทันที จากนั้นพวกเขาก็ทรงตัวไม่อยู่ หลังถูกชนก็ลอยถอยหลังล้มลงกับพื้น “ทำได้ดีมากอวี๋ซี!” ฉู่เนี่ยนซีอดไม่ได้ที่จะตะโกน จากนั้นนางก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วกว่าความคิด น้ำยาล้างแผลและผ้าพันแผลก็โผล่ออกมาจากแขนเสื้อ “แขน” อวี๋ซีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยื่นแขนออกอย่างว่าง่าย ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองบาดแผลที่แขนของเขา จากนั้นเปิดขวดน้ำยาล้างแผลแล้วเม้มริมฝีปาก “เจ็บหน่อยนะ อดทนไว้” ขณะที่พูด นางก็ฉีกรูเสื้อผ้าให้กว้างขึ้นจนเห็นบาดแผลทั้งหมด แล้วฆ่าเชื้ออย่างระมัดระวัง ทายาที่แผล จากนั้นจึงพันผ้าพันแผล วันนี้เขาสวมชุดสีดำ หา
“นี่คือยาพิษ ใครจะเป็นคนดื่ม?” “ข้าเอง” อวี๋ซีก้าวไปข้างหน้าและรับยาพิษมา ฉู่เนี่ยนซีที่เห็นก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปห้าม เพราะพวกเขากินยาบรรเทาพิษไว้ตั้งแต่ตอนที่มาถึงแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาพิษทั้งหมดได้ แต่ก็ยังพอควบคุมพิษที่เป็นอันตรายได้ เหมือนกับพิษที่รุนแรงชนิดนี้ ซึ่งก็สามารถลดความเจ็บปวดได้เช่นกัน แต่จู่ ๆ ในหัวของนางก็มีภาพขวดยาขนาดใหญ่ปรากฎขึ้น โดยมีข้อความสองสามบรรทัดอยู่เหนือขวดยา “ชื่อ: โอสถกลืนวิญญาณ พิษระดับหก อาการ: เจ็บปวดทุรนทุราย ต้องชะล้างพิษภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ไม่เช่นนั้นจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ และท้ายที่สุดเส้นลมปราณจะถูกทำลายและตายไป ต่อไปคือส่วนผสมของตัวยา…” ฉู่เนี่ยนซีสะดุ้งและรีบเบนสายตาให้พ้นจากขวดยา แต่เสียงที่ดังขึ้นในหัวยังคงไม่หายไป ทำให้นางทั้งตกใจและกลัวอย่างมาก แม้อาการคนไข้ที่ได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงทีจะไม่มีอาการร้ายแรง แต่ก็ค่อนข้างทรมาณ ทำให้นางได้เปิดใช้งานทักษะการค้นคว้าและวิเคราะห์ข้อมูล เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เกรงว่าหากอวี๋ซีดื่มยาพิษนั่นแล้วจะ… คิดได้ดังนั้น นางก็รู้สึกเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ ดวงตาเรียวดุจหงษ์มองคนที่ยื่นขวดยาให้