“พี่หญิง ได้โปรดดูอาการบาดเจ็บของน้องหว่านเอ๋อร์หน่อย นี่ยังมีเลือดออกอยู่เลยเจ้าค่ะ” ซ่างกวานเยียนที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีตั้งแต่เมื่อไหร่ พูดกับนางด้วยท่าทีเห็นอกเห็นใจ ฉู่เนี่ยนซีมองนางอย่างไม่เข้าใจ ซ่างกวานเยียนพยายามใช้กลอุบายอะไร นางอยากให้เรื่องที่ตนเองมีความรู้ทางการแพทย์เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะให้ผู้อื่นรู้ แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูคนอื่น มันเหมือนกับพวกเขาได้ยินเรื่องที่ตลกมาก ๆ เรื่องหนึ่ง แล้วก็เกิดเสียงเอะอะขึ้นมา “ข้าเกรงว่าชายารองคงดื่มจนเมาเสียแล้ว ใครจะไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระชายาหลีบ้าง? นางไม่เพียงแต่หน้าตาอัปลักษณ์เท่านั้น ยังไม่มีพรสวรรค์หรือคุณธรรมด้วย หากให้พระชายามาช่วยดูอาการบาดเจ็บของนาง ข้ากลัวว่าอาจจะเป็นอันตรายกับคุณหนูหว่านเอ๋อร์ก็เป็นได้...” “ข้าว่านางคงจะมีจิตใจดีเกินไปเลยไม่ทันได้ไตร่ตรอง หากพระชายาหลีมีความรู้ทางการแพทย์ หลังจากนี้ข้าจะเอาตำราแพทย์มาต้มกินเลย” “ฮ่าฮ่า... ข้าได้ยินคนใช้ในบ้านลูกพี่ลูกน้องภรรยาของข้าคุยกับคนนอก ว่ากันว่าตอนนั้นพระชายาหลีวางยาท่านอ๋องหลี พวกเขาจึงกลายเป็นสามีภรรยากัน เลยไม่แน่ใจนักว่าพระชายาหลีม
เมื่อความคิดเห็นของทุกคนไปถึงหูของซ่างกวานเยียนและฉู่หว่านเอ๋อร์ ทำให้พวกนางหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมา คนที่ไม่สบายใจที่สุดคือฉู่หว่านเอ๋อร์ นางเจ็บขาเสียจนแทบทนไม่ไหว ไหนจะยังมีคำพูดพวกนั้นที่ทำให้โมโหยิ่งกว่าเดิมอีก ก่อนหน้านี้ที่ฉู่หว่านเอ๋อร์เรียกซ่างกวานเยียนว่าพี่หญิง ฉู่เนี่ยนซีไม่ได้พูดอะไรเลย ฉู่เนี่ยนซีที่อยู่ด้านข้างกลับไม่รู้สึกรู้สา เมื่อได้เห็นสีหน้าของทั้งคู่ นางก็ยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ เมื่อพูดถึงวาทศิลป์ คนยุคใหม่เช่นนางจะแพ้ใครได้อย่างไร? “ไม่ใช่หรอก ตอนนี้ลูกพี่ลูกน้องของข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์ไปแล้ว หากข้ายังเรียกนางว่าพี่หญิง จะถูกผู้คนหาว่าไม่มีมารยาทเอาได้ ส่วนพี่หญิงซ่างกวานนั้น นางเห็นว่าข้าคิดถึงท่านย่ากับท่านพ่อ นางจึงรู้สึกสงสาร จึงอนุญาตให้ข้าเรียกนางว่าพี่หญิงได้” ฉู่หว่านเอ๋อร์อดทนต่อความเจ็บปวดที่ขาและความชิงชังริษยาในจิตใจ พูดขึ้นอย่างอ่อนแรง คำอธิบายพร้อมท่าทางอ่อนแอเช่นนี้เรียกร้องความเห็นใจได้สำเร็จ และบรรดาผู้ที่มีปากเสียงในเรื่องนี้ก็เงียบไปเช่นกัน “เอาล่ะ เจ้ารู้ความขึ้นมากจริง ๆ แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เจ้ารีบไปขอให้ท่านหมอเทวดาตร
ฉู่เนี่ยนซีมีท่าทีนิ่งเฉย และเมื่อหมอเทวดาโค้งคำนับเสร็จ นางก็ตอบรับเป็นอย่างดี การเสแสร้งเช่นนี้ ทำให้ผู้ตะลึงตาค้างและคิดว่าตัวเองตาฝาด หมอเทวดาเฮ่อหลานที่แม้แต่องค์จักรพรรดิยังให้ความเคารพยกย่อง กลับมาโค้งคำนับให้หญิงสาวที่เติบโตอยู่แต่ในห้องและมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ อีกทั้งสายตาเขาก็ดูนับถือนางอีกด้วย ขณะที่ทุกคนคิดว่าตัวเองกำลังเข้าใจผิดและตาฝาด หมอเทวดาเฮ่อหลานก็พูดว่า “คุณหนูหว่านเอ๋อร์ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นแค่การบาดเจ็บภายนอก ให้ข้าดูให้เองดีกว่า คุณหนูเนี่ยนซีสามารถรักษาคนที่อาการหนักกว่านี้ได้ หากแค่ให้มารักษาแผลที่ขาของท่านจะเป็นการเสียของเปล่า ๆ ” ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบลงทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา หมอเทวดาเฮ่อหลานดูเหมือนจะไม่รู้ว่าคำพูดของเขาส่งผลต่อใจของทุกคนอย่างไร เขารีบเดินไปหาฉู่หว่านเอ๋อร์และรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของนาง ในขณะนี้ ปฏิกิริยาของทุกคนมีเพียงความตกตะลึง นี่ใช่หมอเทวดาเฮ่อหลานในตำนานแน่หรือ? เหตุใดเขาถึงทำตัวเหมือนเป็นน้องชายของพระชายาหลี? ชายผู้มีชื่อเสียงมองหญิงสาวที่ไม่มีพรสวรรค์คนนั้นด้วยความเคารพ ถึงขั้นเอ่ยออกว่า หากให้รักษาแค่แผลเล็ก
พูดจบ เขาก็ขอให้คนสนิทพาฉู่หว่านเอ๋อร์กลับห้อง โดยอ้างว่าคุณหนูหว่านเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสและรู้สึกขวัญเสีย ไม่สามารถออกไปไหนได้ตามใจชอบ ความหมายนั้นชัดเจนมาก ไม่มีใครสามารถไปเยี่ยมนางได้หากไม่ได้รับการอนุญาตจากมหาเสนาบดีฉู่ และฉู่หว่านเอ๋อร์เองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากเรือนได้ตามใจตัวเอง มหาเสนาบดีฉู่พูดเช่นนั้นแล้ว บรรดาแขกในงานก็คงไม่อาจพูดเรื่องของฉู่หว่านเอ๋อร์ได้อีก พวกเขาต่างคนก็หาข้อแก้ตัวเพื่อดื่มสุราและเปลี่ยนมาพูดคุยเรื่องของฉู่เนี่ยนซีแทน ฉู่เนี่ยนซีกลับมาที่ที่นั่งของนางอย่างเงียบ ๆ โดยยังคงยิ้มตามมารยาท ยอมรับการรินสุราและการผูกมิตรจากแขกเหล่านี้ แต่หางตาของนางโค้งเล็กน้อยไม่ใช่แค่เฉยเมยอีกต่อไป แต่กลับเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ไม่มีใครมาชวนนางดื่ม เย่เฟยหลีที่อยู่ด้วย ก็ถามขึ้นเนิบ ๆ "เจ้าต้องการให้ข้าช่วยดื่มหรือไม่?" ฉู่เนี่ยนซีตกใจเล็กน้อย พลางนึกไปถึงงานเลี้ยงในวังเมื่อครั้งก่อน ที่นางได้ช่วยเย่เฟยหลีดื่มสุราเพราะตอนนั้นเขายังดื่มไม่ได้ “ไม่ต้อง ข้าก็ไม่ใช่ว่าจะดื่มไม่ได้ ขอบคุณมาก” อาจเป็นเพราะอารมณ์ที่สับสน น้ำเสียงของนางจึงเย็นชากว่าปกติเล
ถ้าเป็นนางเมื่อก่อน อาจจะถูกเขายุยงให้เข้าใจผิดว่าความคิดของเย่เฟยหลีที่มีต่อนางในตอนนี้ คือตัวนางมีค่าเพื่อเอาไว้สร้างประโยชน์ แต่นางเป็นคนเดียวที่รู้จากก้นบึ้งของหัวใจว่า ผู้ชายคนนี้รังเกียจที่จะแสวงหาอำนาจผ่านสตรี ไม่ต้องพูดถึงความรู้ด้านการแพทย์และมิตรภาพของนางกับหมอเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ แม้เขาจะเป็นท่านอ๋องผู้สูงส่ง แต่เขาไม่ชอบอะไรเขาจะไม่พูดกับนางเลย เหตุผลที่นางกับเขาเข้ากันได้ก็เพียงเพราะหนังสือหย่าฉบับนั้น มันทำให้เขารู้สึกโล่งใจและคิดว่านางไม่มีจุดประสงค์ใดแอบแฝงในการเข้ามาในจวนอ๋อง ไม่เช่นนั้น ตอนนี้เย่เฟยหลีคงกลัวว่านางจะรบกวนเขา และอยู่ห่างจากนางให้มากที่สุด ดังนั้นสิ่งที่เย่เหลียนพูดจึงไม่จำเป็นเลย แต่...เย่เหลียนคงไม่โง่ถึงเพียงนั้น แค่หว่านเมล็ดแห่งความขัดแย้งลงไปเท่านั้น ฉู่เนี่ยนซีครุ่นคิด พลางกวาดตาพินิจมองสายตาที่มีอยู่รอบตัวอย่างพินิจพิเคราะห์ และเข้าใจในทันที นอกจากจะบอกแก่นางแล้ว เขายังจะบอกคนอื่นด้วย ‘หากเรื่องไปถึงหูขององค์จักรพรรดิ ก็กลัวว่าเย่เฟยลีผู้ซึ่งไม่ได้รับความโปรดปราณ อาจจะทำให้องค์จักรพรรดิทรงคิดว่าเขากำลังหาทางเข้ามหาเสนาบดีผ่านการแต่ง
“ขอบคุณท่านหมอ คราวนี้ข้ารบกวนท่านอีกแล้ว” ดวงตาของฉู่หว่านเอ๋อร์เต็มไปด้วยน้ำตา และใบหน้าที่ดูซีดเซียวจากการเสียเลือด ก็ยิ่งทำให้นางดูน่าสงสากว่าเก่า แม้ว่าหมอเทวดาเฮ่อหลานจะไม่ได้มีชีวิตอย่างคนที่อยู่ในแวดวงชนชั้นสูง แต่เขาก็มองเห็นความชิงชังเล็ก ๆ ระหว่างนางกับฉู่เนี่ยนซี ดังนั้นท่าทีของเขาจึงเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม “คุณหนูหว่านเอ๋อร์ไม่ต้องเกรงใจ ก่อนหน้านี้ที่ท่านให้ยาวิเศษข้ามา คราวก่อนเรื่องขาของคุณชายใหญ่ฉู่ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ วันนี้ถือว่านี่เป็นการตอบแทน นับจากนี้ท่านกับข้าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป” หมอเทวเฮ่อหลานพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ความหมายก็คือหลังจากนี้นางไม่จำเป็นต้องติดต่อเขาอีกแล้ว ฉู่หว่านเอ๋อร์ที่ได้ยินก็ตะลึงและอยากจะลุกขึ้น แต่ความเจ็บปวดที่ขาทำให้นางอ้าปากค้างและมีสีหน้าที่แย่ยิ่งกว่าเดิม “ท่านหมอเทวดาเฮ่อหลานกำลังพูดอะไรเจ้าคะ หว่านเอ๋อร์ใช้ยาวิเศษนี่ไม่ได้หรอก ข้าเพียงอยากมอบให้กับคนที่สามารถใช้มันได้ และข้าก็ชื่นชมความรู้ด้านการแพทย์ที่ท่านหมอเทวดามีมาโดยตลอด” “ข้ารู้ว่าสถานะของข้าไม่คู่ควรที่จะสนิทสนมกับท่านหมอเทวดา หากหว่านเอ๋อร์ทำอะไรที่ทำใ
“เอาล่ะ ๆ ข้าจะเล่าให้ฟัง” ซ่างกวานเยียนใช้ฝ่ามือตบ ๆ ไปที่ฉู่หว่านเอ๋อร์อย่างไม่มีทางเลือก และพูดขึ้นช้า ๆ “เมื่อครู่…” นางเล่าถึงเหตุการณ์ที่เย่เหลียน เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีสนทนากันในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะตอนที่เย่เหลียนเข้าหาฉู่เนี่ยนซีและพูดเรื่องหย่า รวมไปถึงการเปลี่ยนสรรพนามระหว่างพวกเขาทั้งสองคน อีกทั้งนางยังใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไปอีก ทันใดนั้นฉู่หว่านเอ๋อร์ก็กลายเป็นเหมือนเสือคลุ้มคลั่ง นางกำหมัดแน่น “เหตุใด! เหตุใด! ถึงต้องเป็นฉู่เนี่ยนซีอีกแล้ว เป็นนางอีกแล้ว" “อย่าตะโกนสิ ข้างนอกมีคนอยู่ ใจเย็น ๆ ” “จะให้ข้าจะใจเย็นได้เช่นไร ข้าชอบองค์ชายเหลียนมาตั้งแต่เด็ก นางแย่งชิงแต่สิ่งดี ๆ ไป ตอนนี้ก็จะมาแย่งองค์ชายเหลียนไปอีก” “น้องหญิงของข้างามกว่าฉู่เนี่ยนซีไม่รู้ตั้งกี่เท่า เหตุใดถึงไม่มั่นใจในตัวเองหน่อยล่ะ บางทีนะ...บางทีอาจเป็นเพราะท่านอ๋องเหลียนไม่ถูกกับท่านอ๋องหลี เลยเป็นสาเหตุที่พระองค์จงใจสร้างความลำบากให้อีกฝ่าย” ซ่างกวานเยียนพูดอย่างจริงใจ ฉู่หว่านเอ๋อร์มองนางทั้งน้ำตา ราวกับได้พบสิ่งยึดเหนี่ยวใจ และถามอย่างแผ่วเบาว่า "จริงหรือเจ้าคะ?" “จริงสิ หากนางไม่
“มีสถานที่เช่นนั้นอยู่ด้วยนี่เอง” ฉู่เนี่ยนซีประหลาดใจ “แล้วปกติเขาทำการค้าขายกันอย่างไร?” “โดยปกติแล้วจะมีคู่ค้าที่พวกเขาคุ้นเคยด้วย” “ชื่อเสียงเรียงนามเล่า?” “เย่ากู่!” “พรุ่งนี้ท่านหมอว่างใช่ไหม?” เฮ่อหลานโบกมืออย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินเช่นนั้น “ไม่...ข้าไม่ว่าง ข้าขอตัวกลับก่อน...” ทันทีที่เขาหันหลังจะจากไป เสียงอันแผ่วเบาของฉู่เนี่ยนซีก็ดังขึ้น “นี่คือเงื่อนไขที่สองของข้า” หมอเทวดาเฮ่อหลานตกตะลึงพรึงเพริดราวกับเขาเผลอกลืนของขม และสีหน้าที่มีแต่ความหดหู่ ‘ไหนพระชายาสัญญาว่าจะไม่บังคับผู้อื่นโดยไม่เต็มใจไม่ใช่หรือ?’ .….. งานเลี้ยงในห้องโถงด้านหน้าสิ้นสุดลง แขกแต่ละคนก็ทยอยกันกลับ ส่วนเย่เฟยหลีกลับเข้างานมาอีกทีในตอนเย็น จากนั้นฉู่เนี่ยนซีและซ่างกวานเยียนก็กลับไปที่จวนอ๋องหลีพร้อม ๆ กัน ไม่รู้เหตุใดซ่างกวานเยียนจึงนั่งเงียบอย่างน่าประหลาดใจมาตลอดทาง นางไม่แม้แต่จะหาเรื่อง แต่กระนั้นฉู่เนี่ยนซีก็คร้านที่จะสนใจ เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อฉู่เนี่ยนซีตื่นขึ้นมา ก็สั่งให้อวี๋ซีเตรียมเสื้อผ้าล่วงหน้าออกจากจวนไปก่อน และไปรอนางที่โรงพนันหุยหุน ทันทีที่สั่งการเรียบร้อยแล้ว